ชุดเจ้าบ่าวแบบไม่ต้องพึ่งสูทให้เป็นทางการ เจ้าบ่าวสายชิลต้องยกนิ้วกดไลค์

ไม่ว่าจะผ่านไปกี่ปีก็จะมีเจ้าบ่าวตั้งคำถามขึ้นมาว่าวันแต่งงานไม่ใส่สูทได้ไหมแพรวเวดดิ้งขอย้ำๆๆ ว่า ได้!! ถ้างานของคุณไม่ใช่งานทางการ (เราคงไม่ต้องบอกนะว่าทางการนั้นคืออะไร??) และถ้าคุณตกลงกันได้กับเจ้าสาว แล้วผู้ใหญ่ไม่ว่าอะไร ก็จัดเลยอย่าให้เสียความตั้งใจ เอ…ว่าแต่เลี่ยงใส่สูทแล้วเจ้าบ่าวจะใส่ ชุดเจ้าบ่าว แบบไหนได้บ้าง มาดูกัน

 

  • เอาแค่สูทออก เหลือเชิ้ตกับเสื้อกั๊ก

แบบนี้ก็ได้นะ ยังคงความสุภาพ แถมไม่ร้อนแล้วยังคงช่วยกระชับรูปร่างให้ดูดี ใครมีกล้ามท้องก็ยังได้โชว์หน่อยๆ ที่สำคัญเลือกลวดลาย เนื้อผ้า สีของเสื้อกั๊กตัดกับเชิ้ต ดูดีไปอีกแบบ

  • เหลือแค่เชิ้ตก็ยังได้อยู่

แค่ใส่เสื้อเชิ้ตก็ถือว่าสุภาพแล้วนะ แต่ควรเป็นเชิ้ตแขนยาว ไม่ใช่แขนสั้น ส่วนว่าจะติดกระดุมแขนหรือพับมาพอดีศอกให้ดูสบายๆ มีสไตล์อย่างจงใจก็แล้วแต่ แต่ถ้าจะให้ดูดีไม่สบายเกินเหตุ ต้องมีเนคไท โบไท หรือสายเอี่ยมแบบนั้นก็ดูแนวไปอีกทาง

  • ใส่เครื่องแบบซะสิ

ถ้าคุณเป็นข้าราชการก็จะมีชุดข้าราชการใส่ แล้วทำไมไม่ใส่แต่งงานด้วยความภาคภูมิใจล่ะ และเราเชื่อว่า เจ้าสาวของคุณก็ต้องมีแต่คนอิจฉา ยิ่งถ้าได้นับดาวบนบ่าไปด้วยเพลินๆ ยิ่งปลื้ม แหม…มีบ่อยไปที่ตำรวจหรือทหารใส่เครื่องแบบเข้าพิธีหมั้น ยิ่งถ้าเป็นชุดขาวเต็มยศมาแห่ขันหมากยิ่งดูดี มีเกียรติได้เลย

  • เสื้อพื้นเมือง

กำลังมาเลยเถอะขอบอก เพราะผ้าพื้นเมืองใส่สบาย มีความเป็นเอกลักษณ์ แสดงตัวตน และยังเข้ากับพิธีการของแต่ละภาคแต่ละจังหวัดอีกด้วย แน่นอนว่าสีที่ใช้ยังเป็นสีขาวสะอาดตา ใส่แต่งงานได้รับรองไม่มีใครว่า แถมเสร็จงานยังใส่ต่อวาระอื่นได้อีก ดีใช่ไหมล่ะ

  • เสื้อคอตั้งแขนยาว

จะจีนก็ไม่ใช่ฟิลิปินส์ก็ไม่เชิง จริงๆ แล้วเสื้อแบบนี้เป็นการรับวัฒนธรรมอื่นมาประยุกต์ ไม่มีผิดไม่มีถูก ดีไซน์โดยรวมคือเสื้อคอตั้งคล้ายคอจีน คู่กับแขนเสื้อยาวขาว ทิ้งชายเสื้อให้เป็นทรงตรงๆ ลงไปได้ลุคสบายๆ เป็นเสื้อที่เรียบง่ายแต่ยังดูดี และยังคงมีความสุภาพในตัว

>> ดูเรื่องราวเกี่ยวเจ้าบ่าวเพิ่มเติมได้ที่นี่อีกเพียบ คลิกเลย <<

9 กุญแจสำคัญเพื่อชีวิตคู่ที่นำไปสู่รักแท้เสริมใยเหล็กให้รักนี้ยาวนาน

คู่รักหลายคู่อาจจะมีทฤษฎีในการใช้ ชีวิตคู่ ร่วมกัน และคิดว่าสิ่งเหล่านั้นถูกต้องแล้ว อยู่ด้วยกันมาช่วงเวลาหนึ่งจนบางครั้งก็ลืมนึกไปว่าสิ่งที่เราคิดหรือเชื่อมาตลอดนั้นอาจไม่ถูกต้องเสมอไป เอาเป็นว่าถ้าคุณพร้อมจะฟังเสียงจากข้างนอกเพื่อให้ความรักมั่นคงและเข้าใจกันมากกว่าเดิมแล้วล่ะก็ วันนี้ แพรว wedding รวบรวม 9 กุญแจสำคัญที่จะทำให้ความสัมพันธ์ระหว่างคู่รักยืดยาวและมี ชีวิตคู่ ที่มั่นคงมาฝากกัน มาทำให้ความรักของคุณแข็งแรงกันเถอะค่ะ

1. ทีมเดียวกัน

จำไว้เลยว่าเมื่อคุณและคู่รักเริ่มสร้างความสัมพันธ์กัน คุณต่างก็เป็นส่วนหนึ่งของกันและกัน นั่นหมายความว่าคุณสามารถเรียนรู้ และที่สำคัญคอยช่วยเหลือกันและกันเมื่ออีกฝ่ายกำลังผิดหวัง เพราะต่อจากนี้คุณจะไม่โดดเดี่ยวอีกต่อไป

2. เลิกคาดหวัง

แน่นอนว่าคู่รักส่วนใหญ่ล้วนอยากให้ความรักเป็นในแบบที่ต้องการ จนหลงลืมไปว่าชีวิตรักของคนสองคนมีทั้งขึ้นและลงอยู่ตลอด ถ้าคุณเข้าใจว่ารักแท้คือการที่ระยะทางของความสัมพันธ์จะไม่พบทางขรุขระเลยล่ะก็ผิดแล้วค่ะ ไม่งั้นโบราณจะมีคำว่าร่วมทุกข์ร่วมสุขหรือคะ เอาเป็นว่าคุณและคู่รักควรที่จะลืมเรื่องราวความรักอันสวยหรูที่อยากจะให้เกิดราวเทพนิยาย แล้วเตรียมใจเตรียมกายพร้อมจับมือกันไว้ให้แน่นไม่ว่าเส้นทางข้างหน้าจะเป็นอย่างไร เพราะลองคุณจับมือกันแน่นพอ ความฝันหรือความหวังต่างๆก็แทบไม่สำคัญอะไรต่อความรักที่มั่นคงอยู่แล้วของคุณทั้งคู่

3. ลืมและให้อภัย

หากคู่รักของคุณทำบางสิ่งบางอย่างผิดพลาดไป แม้คุณจะเสียใจก็ควรให้อภัยคู่รักของคุณ และที่สำคัญการลืมสิ่งที่คู่รักทำผิดพลาดก็เป็นสิ่งที่สำคัญเช่นกัน เพราะการดึงความผิดพลาดของคู่รักมาซ้ำเติมกัน ไม่ได้ช่วยให้มีอะไรดีขึ้นมาเลย

4. หมั่นใช้เวลาด้วยกัน

เราต่างก็อยู่ในโลกที่เต็มไปด้วยความวุ่นวายและต่างก็มีมากสิ่งที่แต่ละคนต้องทำ แต่คู่รักที่มีความสัมพันธ์หอมหวานจะหาเวลาให้กันอยู่เสมอ แม้ว่าช่วงเวลาที่มีให้กันจะจำกัดและดูเหมือนจะไม่โรแมนติคซะเท่าไร แต่ก็เป็นเรื่องดีไม่ใช่เหรอที่อย่างน้อยเราก็มีเวลาได้เจอกันบ้าง

5. ชัดเจนต่อกัน

จะดีแค่ไหนถ้าหากคุณและคู่รักได้เคลียร์ในสิ่งที่ต่างคนกำลังคิดอยู่ และบอกให้อีกฝ่ายได้รับทราบก่อนที่จะกลายเป็นปัญหาใหญ่ พอกันทีกับการทิ้งคำถามหรือคำพูดที่มีนัยเอาไว้ให้ต้องตีความต่อ เพราะตีถูกก็ดีไป แต่ถ้าไม่ถูกเดี๋ยวก็ได้ไฟท์กันไม่จบอีก และบ่อยครั้งเข้าก็เจ็บช้ำกันทั้งคู่ เลิกคิดว่าอีกฝ่ายคงจะเข้าใจได้เอง เพราะไม่มีอะไรดีไปกว่าการเคลียร์กันให้ชัดเจนอีกแล้ว มัวไม่พูดดีไม่ดีทำอีกฝ่ายโกรธขึ้นมาว่าทำไมคุณไม่บอกหรือพูดคุยกับเขาก็ได้เรื่องยาวไปอีก

6. ยอมรับเมื่อรู้ว่าตัวเองทำผิด

คู่รักที่มีความสัมพันธ์ที่ยาวนานจะรู้ว่าเมื่อตัวเองทำผิดจะยอมรับออกมาตรงๆ แน่ล่ะว่ามันคงเป็นเรื่องที่ยากที่จะยอมรับในสิ่งที่ตัวเองทำผิด แต่ถ้าคุณมีความคิดเห็นที่ไม่ตรงกันกับคู่รักของคุณ และคุณรู้ดีว่าคุณเป็นฝ่ายที่ผิด คุณควรลดอัตตาลงให้มาก และยอมรับผิดซะ ปัญหาจะได้ไม่เรื้อรัง

7. หาโอกาสเซอร์ไพรส์กันบ้าง

อย่าปล่อยให้ความสัมพันธ์ถึงจุดที่น่าเบื่อเลยนะคะ ลองหาโอกาสเซอร์ไพรส์กันบ้างแม้จะเป็นเรื่องเล็กน้อยก็ตาม ไม่ว่าจะเป็นการทำอาหารเมนูโปรดให้กับคู่รัก พาไปทานเค้กร้านโปรด พาไปดูหนังรักสักเรื่อง หรือแม้แต่การเขียนโน้ตติดกระจกไว้ในตอนเช้า เพราะการเซอร์ไพรส์ไม่ได้หมายความว่าคุณจะต้องทำเรื่องที่ยิ่งใหญ่เสมอไป แต่ก็กลับเป็นเรื่องที่อีกฝ่ายไม่คิดว่าคุณจะทำให้ต่างหากล่ะคะ

8. ให้กำลังใจกันอยู่เสมอ

แค่ใช้ชีวิตก็ยากอยู่แล้ว ดังนั้นต่างฝ่ายควรให้กำลังใจกันอยู่เสมอ เพราะกำลังใจคือสิ่งที่คุณสามารถให้อีกฝ่ายได้อยู่ตลอด คนรักของคุณกำลังจะมีพรีเซ้นต์งานใหญ่ในวันพรุ่งนี้หรือเปล่า ถ้าเป็นแบบนั้นบอกเธอหรือเขาไปเลยว่า “สู้ๆ นะ คุณจะต้องทำออกมาได้ดีแน่นอน” หรืออะไรก็ว่าไป

9. พึ่งพาตัวเองบ้าง

ทุกความรักความสัมพันธ์ที่ยาวนานเป็นเรื่องง่ายที่ต่างฝ่ายจะต้องดูและกัน แต่การดูแลตัวเองด้วยตัวเองก็เป็นเรื่องที่สำคัญเช่นเดียวกัน แม้ว่าเธอจะเป็นคนที่คอยรีดผ้าให้คุณ หรือเขาที่คอยเป็นคนตัดหญ้าหน้าบ้านให้คุณ แน่นอนว่าการพึ่งพากันเป็นเรื่องที่ดี แต่คุณก็ไม่ต้องการให้ชีวิตขึ้นอยู่กับเขาแค่คนเดียวใช่ไหมล่ะคะ เพราะฉะนั้นในบางเวลาคุณเองก็ต้องดูแลตัวเองให้ได้ แม้ว่าจะเป็นเรื่องที่รับมือยากสักหน่อยก็เถอะ

เป็นยังไงกันบ้างคะ กับ 9 เคล็ดลับที่เรานำมาบอกเล่ากัน เราหวังว่าบทความนี้จะช่วยให้ชีวิตคู่ของคุณราบรื่นและมั่งคงขึ้นอย่างที่คุณต้องการ หรือถ้าต้องเจอกับปัญหาที่จะเข้ามาในวันข้างหน้า เราก็เชื่อว่าคู่ของคุณก็พร้อมจะรับมือกับอุปสรรคได้อย่างเข้าใจและไม่หวั่นไหวอย่างแน่นอนเลยค่ะ 😉

Cr : teendayz.com

อ่านบทความเพิ่มเติม

How to จีบมนุษย์โลกส่วนตัวสูงยังไงให้โลกทั้งใบมีแค่เราสองคน

เสริมดวงความรักให้มั่นคง ด้วย 7 ไม้มงคลไว้ปลูกในเรือนหอ

7 เทคนิคกระชับพื้นที่ใจ ให้รักทางไกลได้ใกล้กว่าที่เคย

เช็คให้พร้อมแล้วรีบหา! ของแต่งงานจีนที่เจ้าสาวต้องเตรียมมีอะไรบ้าง

ของแต่งงานจีน ที่เจ้าสาวต้องเตรียมมีอะไรบ้าง เช็กเลย

ในพิธีแบบจีน ฝ่ายเจ้าสาวจะต้องเตรียม ของแต่งงานจีน ที่เรียกว่า “เครื่องแต่งงาน” สารพัด ซึ่งของแต่ละอย่างมาพร้อมความหมายแฝงดีๆ ที่เชื่อกันมายาวนานว่ามีแล้วดี มีแล้วเฮง ทั้งหมดมีอะไรบ้าง เช็คไปพร้อมกันเลยค่ะ

ของแต่งงานจีน

ต้นชุงเฉ้า (ต้นเมียหลวง) น้ำตาลทรายแดง เชือกแดง ในพิธีแต่งงานแบบจีนใช้ต้นชุงเฉ้าจำนวน 2 ต้น แต่ให้ความหมายว่าเป็นเมียเพียงคนเดียว ถ้ามองเผินๆ อาจคิดว่าเป็นต้นไม้ในห่อ แต่จริงๆ แล้วในห่อกระดาษแก้วสีแดงนั้นบรรจุน้ำตาลทรายแดงที่มัดด้วยเชือกแดงไว้ เมื่อเสร็จพิธี นิยมนำน้ำตาลทรายแดงมาปรุงอาหารทานได้ (ราคาของต้นชุงเฉ้าพร้อมน้ำตาลทรายแดงนี้อยู่ที่ประมาณ 600-800 บาท)

ของแต่งงานจีน

ชุดเอี๊ยมแต่งงาน ประกอบด้วยเมล็ดพืช 5 ชนิด เหรียญเงินทอง 2 คู่ ปิ่นทอง 2 อัน สำลี 2 คู่ เมล็ดแป้งจีน 2 ห่อ โดยเอี๊ยมแดงต้องมีช่องกระเป๋าตรงกลางปักตัวอักษรจีน ซึ่งแปลว่าอยู่กินกันจนแก่ 100 ปี เวลานำมาเข้าพิธีจะต้องใส่เมล็ดพืช 5 ชนิด (โหงวเจ๊งจี้ หรือ โหงวอิ๊กอี้) อันได้แก่ ข้าวเปลือก ข้าวสาร ถั่วเขียว สาคู ถั่วแดง ซึ่งห่อไว้ในกระดาษแดงลงไปในกระเป๋า เพื่อเอาเคล็ดให้ทั้งคู่มีความเจริญรุ่งเรืองงอกงามและมีลูกหลานสืบสกุล พร้อมใส่เหรียญทองลายมังกร (เหรียญกิมเล้ง) หรือบางบ้านใส่เงินเพิ่มเติมลงไปด้วย เพื่อเอาเคล็ดให้ร่ำรวย มีเงินมีทองตลอดปี จากนั้นเสียบปิ่นทองไว้ที่ปากกระเป๋าเอี๊ยม เพื่ออวยพรให้สมปรารถนา พร้อมกันนี้ให้วางสำลี 2 คู่ ที่สื่อความหมายว่าอยู่ร่วมกันจนแก่เฒ่า เมล็ดแป้งจีน 2 ห่อ ที่สื่อความหมายว่าเงินทองเฟื่องฟูลงไปด้วย (ราคาของเอี๊ยมแดงอยู่ที่ 150-250 บาท แต่ถ้าซื้อแบบครบชุดราคาอยู่ประมาณ 600-800 บาท)

ของแต่งงานจีน

ส้มเช้ง จำนวน 1 ถาดใหญ่ ติดตัวหนังสือ “ซังฮี้” แปลว่าคู่ยินดี โดยปริมาณส้มเช้งจะมากน้อยแล้วแต่กำหนด และแล้วแต่งบประมาณกับราคาส้มเช้งในขณะนั้น แต่ที่บ่าวสาวจะต้องไม่ลืมคือ ส้มเช้งที่ว่าต้อง ใหม่ สด ทุกผลมีกิ่ง ก้าน ใบ พร้อมติดตัวอักษรซังฮี้

ใบทับทิม

ใบทับทิม เชื่อว่ามีไว้เพื่อความเป็นสิริมงคลและช่วยปัดเป่าชำระสิ่งชั่วร้ายไปให้หมด บ่าวสาวจึงต้องเตรียมไว้สำหรับประดับของทุกถาด

เซฟ

เซฟแดง สำหรับใส่เงินทองและเครื่องประดับที่เจ้าสาวนำติดตัวออกไปจากบ้าน มีความหมายว่า ให้มีเงินมีทองใช้ตลอดชาติและเพิ่มพูนเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ โดยในปัจจุบันเซฟแดงมีให้เลือกทั้งเซฟหล็ก เซฟแมตทาริกและเซฟไฟเบอร์ ราคาโดยเฉลี่ยอยู่ที่ 1,500 บาทขึ้นไป

เครื่องใช้111

ชุดของใช้สำหรับเจ้าสาว ได้แก่ กะละมังสีแดง 2 ใบ ตามประเพณีจีนมีไว้ให้ใช้เป็นภาชนะใส่สบู่ เเปรงสีฟัน ยาสีฟัน ผ้าขนหนู 2 ชุด สำหรับล้างหน้าเจ้าสาว (ราคาเริ่มต้นอยู่ที่ชิ้นละ 300 บาท) ถังน้ำสีแดง 2 ใบ  กระป๋องน้ำสีแดง 2 ใบ กระโถน 1 ใบ มีไว้เพื่ออวยพรให้เจ้าสาวคลอดลูกง่ายและปลอดภัย (ราคาเริ่มต้นอยู่ที่ 400 บาท) กระจก มีไว้เพื่อสะท้อนสิ่งไม่ดีออกไป กรรไกรเพื่อสื่อให้เจ้าสาวมีความเป็นแม่ศรีเรือน ตะกร้า หมายถึงการอุ้มท้อง ด้ายสีขาวเเละสีดำ สื่อถึงบ่าวสาวอยู่ด้วยกันจากผมสีดำจนผมเป็นสีขาว เข็ม หมายถึงลูกหลานประสบความสำเร็จไปได้ด้วยดี หวี หมายถึง ความร่ำรวยเงินทองไม่ขาดมือ ไม้บรรทัดสีแดง หมายถึง ความคงเส้นคงวา

ถาด

ถาดใส่ของ จัดเตรียมไว้เป็นคู่กี่คู่ก็ได้เพื่อใส่ของในพิธีการ โดยคนจีนเชื่อว่าสีแดงเป็นสีหนึ่งในเบญจธาตุของจีนคือ ธาตุไฟที่เป็นสีแดง หมายถึงแสงสว่าง ความอบอุ่น พละกำลัง และความรุ่งโรจน์นั่นเอง โดยราคาถาดเริ่มต้นที่ชิ้นละ 150 บาทขึ้นไปขึ้นอยู่กับวัสดุว่าเป็นพลาสติกหรือเหล็ก

แผ่นหัวใจ

แผ่นรูปหัวใจสีแดง  สำหรับติดเครื่องประดับ ทองและเพชร จะมีจำนวนมากหรือน้อยขึ้นอยู่กับฐานะเจ้าสาว โดยราคาเฉลี่ยเริ่มต้นที่ชิ้นละ 120 บาท

พัด

พัดแดง สำหรับเจ้าสาวถือตอนส่งตัว ให้ความหมายถึงการพัดสิ่งไม่ดีออกจากตัวและพัดพาสิ่งดีๆ เข้ามาหา ราคาเริ่มต้นอยู่ที่ 100 บาทขึ้นไป

รองเท้า

รองเท้าเกี๊ยะสีแดง 1 คู่ สำหรับใส่ในเช้าวันแรกที่อยู่บ้านฝ่ายชาย ราคาเริ่มต้นที่ 200 บาท

หมอน

หมอน 1 ชุด ได้แก่  หมอนข้าง 1 คู่ หมอนหนุน 1 คู่  หมอนหนุนใบยาว 1 ใบ (มี หรือไม่มีก็ได้)  ผ้าปูที่นอน และผ้าห่ม 1 ผืน หมายถึงการร่วมเตียงเคียงหมอน ราคาขึ้นอยู่กับคุณภาพของเนื้อผ้า

ของแต่งงานจีน

ชุดน้ำชาและกาเหล้าสีแดง จะใช้สำหรับพิธียกน้ำชาแก่ญาติผู้ใหญ่ พร้อมกับการเเนะนำตัวแก่ญาติทั้ง 2 ฝ่าย ซึ่งพิธีนี้ถือเป็นการแสดงความเคารพแก่ญาติผู้ใหญ่ของบ่าวสาว ขาเทียนหรือเชิงเทียนรูปซังฮี้ ใช้ในช่วงก่อนถึงฤกษ์ส่ง ตัวที่เจ้าสาวต้องทานอาหารมงคล 10 อย่างพร้อมครอบครัวและใช้ไหว้ฟ้าดินเมื่อถึงบ้านเจ้าบ่าว ราคาเริ่มต้นอยู่ที่ 300 บาท

ตะเกียง

ตะเกียง หมายถึง เเสงสว่างในชีวิตและการมีทายาทคนแรกเป็นผู้ชาย ชาวจีนจึงถือเคล็ดว่าตะเกียงนี้ห้ามผูกโบหรือติดของตกเเต่งให้ดูเป็นผู้หญิงเด็ดขาด ราคาเริ่มต้นอยู่ที่ 250 บาท

ไข่ต้มย้อมเปลือกเป็นสีแดง จัดเตรียม เป็นจำนวนคู่ สื่อความหมายให้มีลูกหลานมากๆ

ของขวัญ สำหรับมอบให้พ่อแม่และญาติ ฝ่ายชาย

ทั้งหมดนี้คือของแต่งงานจีนที่เจ้าสาวชาวจีนหรือว่าที่สะใภ้ชาวจีนต้องตระเตรียมให้พร้อม เพื่อใช้ในประเพณีแต่งงานที่ถูกต้องตามประเพณี แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นก็ขึ้นอยู่กับความเชื่อของแต่ละครอบครัวนะคะว่าอยากได้งานแต่งจีนแบบจีนแท้ๆ หรือแบบประยุกต์ แต่รับรองได้ว่า ข้าวของทุกชิ้นที่เจ้าสาวต้องเตรียมนี้ ล้วนเป็นของมงคลทั้งสิ้นค่ะ

ส่วนเจ้าบ่าวก็มีเรื่องที่ต้องเตรียมเหมือนกันนะ >>> ส่องขันหมากจีน เจ้าบ่าวเตรียมตามนี้ถูกตามประเพณีแน่นอน <<< คลิกเลย!

4 เหตุผลที่งานแต่งทำลายมิตรภาพระหว่างเจ้าสาวกับเพื่อนเจ้าสาว

เจ้าสาวหลายคนที่เคยประสบเหตุมีปัญหากับ เพื่อนเจ้าสาว ในระหว่างทางที่เตรียมงานจนจบงานฝากคำเตือนมากับแพรว wedding เพื่อบอกต่อกับคุณว่าที่คนต่อไปให้ระวังในการจะชวนใครก็ตามมาทำหน้าที่นี้ เพราะถ้าคุณคิดน้อยไปละก็ มิตรภาพที่ดีอาจดับสูญ ฉะนั้นตั้งใจอ่านให้ดีแล้วคิดให้ถี่ถ้วนก่อนจะชวนใครต่อใครนะคะ

ความคาดหวังทำมิตรภาพสั่นคลอน

ความคาดหวังที่ว่าไม่ได้เกิดแค่เจ้าสาวเท่านั้น แต่เพื่อนเจ้าสาวเองก็ไม่ต่างกัน เพราะเมื่อคุณหวังให้เธอทำบางอย่างให้ เธอเองก็คาดหวังถึงการปฏิบัติดีต่อเธอเช่นกัน โดยเฉพาะการรับฟังความเห็นกันอย่างมีเหตุผล ไม่ใช่เจ้าสาวที่เอาแต่ชี้นิ้วสั่งให้ทำอย่างที่ต้องการ นั่นเพราะคำว่า ‘เพื่อน’ นำหน้า ไม่ใช่ทาสเจ้าสาวสักหน่อย นอกจากนี้ประโยคฮิตที่ว่า นี่วันแต่งงานของเรานะ ที่ทำเอามิตรภาพแตกมานักต่อนัก ถ้าจะให้ดี เปลี่ยนมาเป็นคำพูดที่ว่า วันแต่งงานของเราถ้าไม่มีแกละแย่เลย ขอบใจนะจ้ะ รับรองว่าพูดไปมิตรภาพแน่นกว่าเดิมค่ะ

ความต้องการที่มากล้นแต่อับจนด้วยงบประมาณ

กลุ่มเพื่อนเจ้าสาวมักจะได้รับโจทย์จากเจ้าสาวในเรื่องธีมสีธีมชุดหรืออะไรก็ตามที่มองดูแล้วมีความเป็นทีมเดียวกัน ซึ่งนั่นทำให้เกิดคำถามว่า ใครจ่ายเงินล่ะ ถ้าเจ้าสาวจ่ายหมดก็จบปัญหา แต่ถ้าเจ้าสาวไม่ช่วยจ่ายสักบาท แถมยังมากับโจทย์เยอะแยะที่ไม่มองความจริงเอาซะเลยว่า ทั้งพร้อพเว่อร์ ชุดอลัง ราคารวมๆ แล้วเท่าไหร่ ซึ่งเพื่อนเจ้าสาวก็ต้องมีคิดบ้างแหละว่า นี่ถ้าเป็นแขกทั่วไปก็ไม่ต้องลงทุนขนาดนี้ และชุดที่ซื้อมายังใส่ไปงานอื่นได้ด้วย

ฉะนั้นถ้าคุณอยากมีเพื่อนเจ้าสาวและมีโจทย์ในใจแต่ไม่มีมีเงินก็บอกไปตรงๆ แล้วลองดูว่าเพื่อนๆ จะว่ายังไง ซึ่งบางทีคุณอาจต้องลดทอนความต้องการไปบ้าง คุณจะโอเคไหม หรือถ้ามีน้อยช่วยน้อยยังโอเคกันหรือเปล่าอะไรแบบนั้น แต่ถ้าปัญหานี้เคลียร์กันไม่ลงตัวแถมคุณยังเอาแต่ใจ เชื่อเถอะว่านอกจากจะมีแววว่าเพื่อนเจ้าสาวจะขอถอนตัว เสียงเม้ามอยจะมีตามหลังมาอย่างแน่นอน

รับความเครียดจากเจ้าสาวเกินกำลัง

แม้คุณสมบัติหนึ่งของการเป็นเพื่อนเจ้าสาวคือ อดทนฟังและทำความเข้าใจกับสิ่งที่เจ้าสาวคิดและมีความฝัน แต่ในบางครั้งความเครียดในระดับสูงส่งผลให้เจ้าสาวมีอาการไบรด์ซิลล่าขึ้นมาซะงั้น ไอ้ที่เคยน่ารักและดีแสนดีก็พลิกกลับด้านทันที ซึ่งพออารมณ์ที่ว่าเหวี่ยงลงที่เพื่อนเจ้าสาวบ่อยๆ ก็พลอยให้เพื่อนเครียดตามจนเกิดความรู้สึกว่า คบกันมานาน ฉันเพิ่งรู้นะว่า เธอเป็นคนแบบนี้เอง!’ จากนั้นก็บายยยยย อย่าได้มาเจอะมาเจอมาจอยชีวิตกันอีกเลย

ใช้ตำแหน่งนี้เพื่อปรับความสัมพันธ์

ถ้าเมื่อก่อนความสัมพันธ์ระหว่างคุณกับเพื่อนคนที่เชิญมาเป็นเพื่อนเจ้าสาวไม่ค่อยจะรุ่ง แล้วคุณคิดว่า นี่คือโอกาสดีที่จะเอาตำแหน่งเพื่อนเจ้าสาวมากระชับความสัมพันธ์ละก็ ขอบอกว่าคิดผิดถนัด และดีไม่ดี การตัดสินใจแบบนี้ นอกจากจะไม่ช่วยให้ความสัมพันธ์เป็นไปในทางที่ดีขึ้นแล้ว ยังอาจทำให้เรื่องแย่ๆ เกิดขึ้นในงานแต่งก็ได้ เพราะถ้าคุณมีโจทย์บังคับให้ช่วยทำนั่นนี่กับคนที่ยังมีทัศนคติไม่ดีกับคุณอยู่ละก็ มีหรือที่คนๆ นั้นจะเต็มใจและพร้อมยอมทำให้คุณ

ทางที่ดีถ้าคิดจะอยากได้มิตรภาพดีๆ ของเพื่อนคนนั้นกลับมา ก็เคลียร์ใจกันก่อนถึงวันจริง แล้วชวนเธอคนนั้นมาร่วมงาน ดูสิว่าปฏิกิริยาเป็นแบบไหน ถ้ามั่นใจว่าใจผ่องใสไร้เรื่องบาดหมาง ค่อยเอ่ยปากชวนเธอมาร่วมแก๊งเพื่อนเจ้าสาวก็ยังไม่สาย

เรื่อง : Hoyamemoria / ภาพ : get.pxhere.com, commons.wikimedia.org

อ่านบทความเพิ่มเติม

4 ประโยชน์น่าทึ่งที่ได้จากการจับมือแฟนที่คุณอาจไม่เคยรู้มาก่อน

5 การยอมรับที่ต้องมั่นใจก่อนเข้าสู่ชีวิตแต่งงาน

อายุเป็นเพียงแค่ตัวเลขกับ 3 เคล็ดลับเพื่อชีวิตรักต่างวัยที่เป็นสุข

5 นิสัยควรลด ละ เลิก!! ถ้าอยากมีชีวิตคู่แบบโฮมสวีทโฮม

ลด ละ เลิก และทิ้ง 5 นิสัยนี้ไปซะเพื่อ ชีวิตคู่ ที่สมบูรณ์แบบ

แม้คุณจะไม่ได้มีแพลนเข้าประตูวิวาห์อย่างเป็นเรื่องเป็นราว แค่ว่าอยู่กันไปเลยหรือแม้แต่อยู่ก่อนแต่งชั่วครั้งชั่วคราวประมาณว่าแค่ออกทริปเที่ยวเล่นท่องโลก แต่การอยู่ร่วมกันในทุกกรณีต้องมีการปรับนะคะ ยิ่งถ้าคุณเป็นคู่ที่แต่งงานกันไปแล้วละก็ คุณปรับนิสัย ปรับตัวเอง และปรับทัศนคติในการอยู่ร่วมกันกับอีกฝ่ายได้ดีแค่ไหนคะ ถ้ายังคิดไม่ออก ลองมาดู 5 นิสัยที่เราสำรวจมาให้แล้วว่าควรทิ้งซะ แล้วปรับตัวกันใหม่ เพื่อการใช้ ชีวิตคู่ อยู่ร่วมใต้ชายคาของคุณจะมีแต่คำว่าโฮมสวีทโฮมขึ้นทุกๆ ปี

อีโก้แรงแซงสติ

ยึดมั่นถือมั่นอยู่กับความคิดของตัวเอง ไม่ยอมลงให้กัน จะเอาแบบนี้เท่านั้นไม่มีวันปรับเปลี่ยน และเธอต้องยอมตามชั้นสิ นี่แหละค่ะ คือนิสัยของคนที่อีโก้แรง ซึ่งการอยู่ร่วมกันของคนสองคนที่มีอีโก้แรงต้องรู้จักคำว่า ‘ยอม’ คำว่า ‘ลง’ ให้กันบ้าง ไม่ใช่คิดแต่ว่าตัวเองทำถูกเสมอ และอีกฝ่ายต้องคลานเข่าเข้ามาง้องอนก่อน รวมถึงอย่าคิดค่ะว่า แต่งงานกันแล้วจะทำแบบนั้นแบบนี้กับชั้นได้ยังไง ขอบอกว่าทำได้ค่ะ เพราะอีกฝ่ายยังมีความเป็นมนุษย์ที่มีอารมณ์รัก โลภ โกรธ หลง อยู่เช่นกัน ถ้าคุณอยากให้ชีวิตคู่ในใต้ชายคาเดียวกันมีความสุขที่มาพร้อมความเข้าใจ ต้องลดอีโก้ลงบ้าง พยายามมองตัวเองและมองอีกฝ่าย ทำความเข้าใจในตัวตนและจัดการอีโก้ของตัวเอง แล้วการอยู่ร่วมชายคาเดียวกันจะดีกว่าที่คิดนะคะ

ฟังอย่างเดียวแต่ไม่แสดงความเห็นในทุกกรณี

เป็นอะไรที่น่าเบื่อมากนะคะ ถ้าคนหนึ่งถามหรือเล่าเรื่องนั้นนี้ให้ฟัง แต่อีกคนเอาแต่ฟังแล้วไม่แสดงออกซึ่งความเห็นใดๆ ทั้งสิ้น ไม่มีแม้แต่คำพูดในลักษณะการสนทนาทั่วไป ซึ่งบางทีการที่คุณคิดว่า อีกฝ่ายอาจจะอยากได้แค่คนรับฟังเท่านั้น คุณอาจคิดผิดก็เป็นได้ เพราะต่อให้อีกคนอยากให้มีใครสักคนฟังสิ่งที่พูดหรือระบายออกมา แต่เชื่อเถอะค่ะว่า เขาคนนั้นอยากได้ยินคำพูดที่เป็นการแสดงออกว่าใส่ใจฟังและมีส่วนร่วมจากปากคุณไม่มากก็น้อย และต่อให้สิ่งที่คุณพูดไป คุณจะรู้สึกว่าไม่สำคัญในความรู้สึกของเขา (ซึ่งคุณอาจคิดไปเอง) แต่เชื่อเถอะว่าการมีปฏิกริยาตอบกลับดีกว่านิ่งฟังอย่างเดียว ถ้าคุณยังไม่ทิ้งนิสัยเป็นผู้รับฟังที่ดีเพียงอย่างเดียว ระวังเขาจะไปพูดให้คนอื่นฟังแทนนะคะ แล้วถ้าถึงวันนั้นละก็…อย่ามานั่งเสียใจทีหลังล่ะ

ออกรบในสงครามประสาท

ข้อนี้เป็นนิสัยที่ส่วนใหญ่ฝ่ายหญิงมักจะงัดมาใช้กับฝ่ายชายเมื่อตอนที่ตัวเองมีความรู้สึกว่า ไม่ได้รับความสำคัญหรือไม่คิดว่าผู้ชายสนใจค่ะ เธอเหล่านี้จะใส่เสื้อเกราะถือโล่ห์หยิบดาบเตรียมไว้แล้วเดินสู่สนามรบสงครามประสาททันที ซึ่งกลยุทธ์ของนักรบสงครามประสาทคือ ทนได้แค่ไหนก็มาลองทนกันดูสักตั้ง และถ้ามีจังหวะที่มั่นใจเมื่อไหร่เธอก็พร้อมจะเอาดาบที่เตรียมไว้มาฟาดฟันได้ทันที ซึ่งถ้าคุณมีนิสัยชอบอยู่ในสงครามประสาทละก็ ขอให้รีบถอดเกราะอย่างเร็วที่สุด ก่อนที่โฮมสวีทโฮมจะกลายเป็นสนามรบที่ลุกเป็นไฟ

แผนชีวิต (ประจำวัน) ไม่มี

จำไว้ค่ะว่าชีวิตที่คุณเลือกตอนนี้ไม่ได้มีคุณแค่คนเดียวอีกต่อไป การที่คุณตัดสินใจอยู่ใต้ชายคาเดียวกันแล้ว ไม่ว่าจะแต่งงานแล้วหรือยังไม่แต่ง แต่การไปไหน ทำอะไร ในแต่ละวัน ควรบอกอีกฝ่ายไว้บ้าง ซึ่งนี่ไม่ใช่การรายงานตัวนะคะ อย่าเอามาเป็นประเด็น! แต่เป็นการบอกให้อีกฝ่ายได้รู้แผนชีวิตประจำวันในฐานะที่คุณอยู่ร่วมชายคาเดียวกันต่างหาก

ลองคิดดูง่ายๆ ว่าถ้ามีเหตุอะไรไม่ดีเกิดขึ้นกับคุณ หรือกลับบ้านผิดเวลา อีกฝ่ายจะเกิดอาการห่วงมากน้อยแค่ไหน ฉะนั้นเลิกเถอะค่ะ ไอ้นิสัยนึกจะอยู่บ้านก็อยู่ คิดจะออกไปร่อนก็ไป อ้าวววว แล้วอีกคนละจะเป็นยังไง ถ้านัดเพื่อนไว้เรียบร้อยแล้วก็ต้องยกเลิกนัดเพื่อมาอยู่กับคุณเนี่ยนะ เห็นแก่ตัวไปหรือเปล่า หรือแม้คุณจะรู้อยู่แล้วว่าเขาไม่ได้ออกไปไหน ไม่ได้มีนัด แต่อย่าคิดแทนเขาว่า คุณจะไปไหนเขาก็ต้องไปด้วย คุณจะอยู่บ้านเขาก็ต้องอยู่ด้วย แบบนั้นเห็นแก่ตัวสุดๆ แค่เปิดปากบอกแผนชีวิต (ประจำวัน) ให้อีกฝ่ายได้รู้สักหน่อย ดอกพิกุลไม่ร่วงหรอก จริงไหม

ช้ามากในทุกสิ่ง เอ่อระเหยในทุกอารมณ์

ก่อนแต่งงานคุณอาจจะทำทุกอย่างสบายๆ ไม่มีเวลาจำกัดหรือใครมานั่งรอ แต่ถ้าคุณแต่งงานแล้ว อยู่ใต้ชายคาร่วมกับอีกคนแล้ว จงคิดเสมอค่ะว่า คุณไม่ได้อยู่คนเดียวแบบเดิมอีกต่อไป  ดังนั้นถ้าคุณเป็นคนประเภทช้าทุกอย่าง ไม่ว่าจะการตัดสินใจสั่งอาหาร การเลือกเสื้อผ้าออกงาน หรือแม้แต่จะแต่งสวยเสริมหล่อแบบไหนดี ฯลฯ ขอให้ค่อยๆ เลิกนิสัยนี้ซะ แล้วปรับสปีดขึ้นอีกสักหน่อย เชื่อเถอะค่ะว่า อีกฝ่ายเข้าใจดีกว่านิสัยบางอย่างที่ติดตัวมาจะให้ทิ้งเลยแบบหักดิบคงลำบากเกินไป แต่คุณควรแสดงออกว่ารู้สำนึกและกำลังปรับนิสัยนี้อยู่ เพื่อการอยู่ร่วมชายคาจะเต็มไปด้วยบรรยากาศดีๆ

อ่านถึงตรงจุดนี้แล้ว คุณและคนที่เรียกว่า “คู่ชีวิต” เข้าข่ายมีนิสัยที่ควรทิ้งเหล่านี้ไหมคะ ถ้ามีละก็ ลองถามตัวเองนะคะว่า จะอยู่ต่อหรือเปล่า ถ้าคิดจะอยู่ก็ทิ้งนิสัยแย่ๆ พวกนี้ซะ แล้วปรับตัวให้น่ารักกว่าเดิม แต่ถ้าคิดว่าจะยังคงอยากเป็นอยู่เหมือนเดิมใช้ชีวิตและทำนิสัยเดิมๆ ละก็ ถามตัวเองดีไหมว่า คุณอยู่ไปเพื่ออะไร

สุดท้ายแพรวเวดดิ้งขอให้ทุกคู่โชคดีกับความรักและเส้นทางชีวิตคู่ที่เลือกนะคะ ^^

ภาพ hdwallpapersrocks.com

อ่านบทความเพิ่มเติม

10 ไอเดียกิจกรรมแก้เบื่อที่คู่รักต้องทำรับประกับความสวีทเว่อร์

4 คุณสมบัติต่อไปนี้ลูกสะใภ้จำไว้ให้ดีแม่สามีจะทั้งรักทั้งหลง

หนุ่มๆ จงฟังถ้าไม่อยากแป้ก! วิธีขอแต่งงานอย่างไรให้ได้ใจสาว

แต่งงานช้าไม่ต้องเครียด ข้อดีมีเพียบรับรองเลย!

ยุคนี้ถ้าไม่แต่งงานเร็วไปเลย อายุ 20 ต้นๆ ก็คือต้องแต่งงานช้าไปเลยตั้งแต่ 30 จนถึง 40 กว่าๆ ก็มี ซึ่งการแต่งงานเร็วและการแต่งงานช้านั้นก็มีทั้งข้อดีและข้อเสียแตกต่างกันออกไป ถ้าถามว่าแบบไหนดีกว่ากัน อันนี้ก็ต้องบอกว่า ขึ้นอยู่กับความพร้อมของเราในตอนนั้นมากกว่า แพรว wedding เลยอยากจบอกคุณว่า แต่งงานช้า ไม่ต้องเครียด มีข้อดีเพียบ ไม่เชื่อลองอ่านบทความนี้ดู 😉

  • รู้จักตัวเองดีขึ้น

ช่วงอายุหลังเลข 3 เป็นต้นไป คือ ช่วงเวลาของการเติบโตที่หลายคนทราบดีว่าคือช่วงเวลาการเป็นผู้ใหญ่ สามารถช่วยเหลือและดูแลตัวเองได้อย่างอิสระเป็นครั้งแรก ดังนั้นจึงอาจเป็นช่วงที่คนส่วนใหญ่ควรใช้เวลาคิดและนึกถึงสิ่งที่ตัวเองเป็น สิ่งต้องการในชีวิต และสิ่งที่ต้องการจากคนอื่นๆ เป็นช่วงเวลาสำคัญที่จะสร้างความเชื่อมั่นและโอกาสที่ดีสำหรับตัวเองและทำความเข้าใจตัวเองเท่าๆ กับการเปิดตัวเองเพื่อเข้าใจคนอื่นมากขึ้นเพื่อสร้างสรรค์ความสุขและมิตรภาพที่ดีระหว่างกัน

  • ร่วมกันสร้างรากฐานที่แข็งแรง

การใช้เวลาจะทำให้คู่รักรู้จักกันและกันมากยิ่งขึ้น มีเวลาในการสร้างรากฐานความสัมพันธ์ที่แข็งแกร่งสำหรับกันและกันมากขึ้น ก่อนที่ความกดดันทั้งเรื่องเงิน ภาษี และความรับผิดชอบในครอบครัวจะเข้ามา นอกจากนี้ ยังมีโอกาสในการมองเห็นว่าทั้งคู่จะสามารถช่วยเหลือค้ำจุนกันและกันได้อย่างไร ซึ่งหมายถึงคู่รักจะมีช่วงเวลาทำความเข้าใจที่ดีเมื่อมีฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดหรือทั้งสองฝ่ายเกิดภาวะยากลำบาก ไม่เข้าใจกัน จะมีวิธีประนีประนอมกันอย่างไร จะโต้แย้งกันอย่างไรและการแก้ไขปัญหาอื่นๆ ร่วมกันอย่างไร ซึ่งทั้งหมดของความสัมพันธ์ที่ผ่านมาร่วมกันจะเป็นแกนหลักของการใช้ชีวิตคู่หลังแต่งงานต่อไป

  • ไม่มีกำหนดเวลาสำหรับความสัมพันธ์

เมื่ออายุเกิน 30 ผู้ปกครองของคู่รักหลายคู่อาจจะเริ่มให้สัญญาณอะไรบางอย่างที่บ่งบอกถึงนาฬิกาที่เริ่มนับถอยหลัง หรือการที่คู่รักบางคู่เองเองอาจจะเริ่มกดดันเพราะเพื่อนส่วนใหญ่แต่งงานจนอาจเกิดเป็นปมด้อย แต่ไม่ว่าเหตุผลใดสำหรับการมาที่นั่งกังวลเกี่ยวกับการยังไม่ได้แต่งงานในช่วงวัยเลข 3 ให้จำไว้ว่าเรื่องอายุไม่ใช่เรื่องสำคัญ เพราะในความไม่จริงไม่มีเวลาที่กำหนดตายตัวสำหรับความสัมพันธ์ ดังนั้นจึงไม่ควรกังวลและคิดซะว่ามีเวลาหายใจสำหรับความสัมพันธ์และใช้เวลาสำหรับการเตรียมพร้อมสำหรับอนาคตที่ต้องการ

  • การพัฒนาในช่วงเวลาที่แตกต่าง

อะไรที่เราเมื่อครั้งเป็นวัยรุ่นย่อมแตกต่างจากเมื่อเราเติบโตจนถึงวัยเลข 3 เพราะเราเรียนรู้มากขึ้นสำหรับชีวิตและผลักดันตัวเองสำหรับประสบการณ์และการพบเจอคน สถานที่หรือไอเดียใหม่ๆ คนเราจะเปลี่ยนแปลงไปอย่างต่อเนื่อง รสนิยมเกี่ยวกับเพลง หนัง อาหารและเพื่อน และเมื่อเราไม่รู้จริงๆ ว่าเราคือใครและต้องการอะไร มันจะยากมากขึ้นเมื่อเราจะมีความเข้าใจกับการใช้ชีวิตกับใครสักคนตลอดไป มันสำคัญที่จะแน่ใจว่าใครสักคนที่เราจะแต่งงานด้วยจะพัฒนาเติบโตไปพร้อมๆ กันหรือไม่ขัดขวางการเติบโตของอีกฝ่ายและเวลาจะทำให้เรียนรู้สิ่งเหล่านี้ชัดเจนขึ้น

  • มีความมั่นใจในทักษะการตัดสินใจมากขึ้น

การเชื่อมั่นในตัวเองคือส่วนสำคัญของการเป็นมนุษย์ที่มีความสุข ดังนั้นคือข้อเท็จจริงที่ควรฟังตัวเองและรู้ว่าไม่ลงหลักปักฐานกับคนที่อาจมีปัญหาสำหรับกัน เราอาจจะต้องลองใช้เวลาพิสูจน์ใจกับหลายๆ คนก่อนจะเจอคนที่ใช่ที่แท้จริง แต่ในท้ายที่สุด เมื่อตัดสินใจจะตอบตกลงที่จะใช้ชีวิตกับใครสักคน มันจะจบลงด้วยความหวานเพราะจะมั่นใจได้ 100% ว่าเป็นคนที่ใช่แน่นอน

Cr. lover.ly

อ่านบทความเพิ่มเติม

9 วาจาสุดหวานหูที่ชายสุดที่รักมักทำให้สาวใจอ่อนแบบไม่รู้ตัว

“รักเราไม่เก่าเลย” 5 วิธีดูแลความรักให้สดใสอยู่เสมอ

คุณสมบัติแม่สามี & แม่ยาย แบบนี้แหละที่ลูกสะใภ้และลูกเขยอยากเจอ

สารพัดสิ่งที่บ่าวสาวต้องเตรียมตัวจัดงานแต่งให้ทันปลายปี 2020

เรื่องนี้ว่าด้วยสารพัดสิ่งที่บ่าวสาวที่มีแพลนแต่งงานปลายปี 2020 นี้ต้อง เตรียมตัวจัดงานแต่ง เพราะมีหัวข้อมากมายที่คุณต้องไม่มองข้ามเด็ดขาด เพราะถ้าคุณขาดไปสักเรื่อง งานแต่งในฝันของคุณจะไม่สมบูรณ์แบบอย่างแน่นอน

1. เตรียม “ฤกษ์ยาม”

ทันทีที่รู้ตัวว่าจะออกเรือน ขอให้ว่าที่ทั้งชายหญิงหันหน้าเข้าหาคนในครอบครัว สอบถามกันเลยว่า จะไปดูฤกษ์ยามวันแต่งงานที่ไหนดี ถ้าทางบ้านมีก็จะแนะนำต่อๆ กันมา แต่ถ้าไม่มีและคุณต้องหาเอง อย่างน้อยๆ คุณขึ้นชื่อว่าได้ถาม เป็นการให้เกียรติผู้ใหญ่ แบบนี้น่ารักใช่ไหมล่ะ

2. เตรียม “รูปแบบงาน”

0028

จริงๆ แล้วการเตรียมรูปแบบงานที่ว่านี้ จะมาก่อนฤกษ์ยามก็ไม่ถือว่าผิด หรือจะมาพร้อมๆ กันก็ไม่แปลก แต่พอเราบอกว่าให้มีรูปแบบก่อนหาสถานที่ อาจมีบางคนอาจคิดว่า ทำไมไม่คิดถึงสถานที่จัดงานก่อน เหตุผลที่เราขอให้ไว้ ณ จุดนี้คือ ถ้าคุณรู้รูปแบบงาน คุณจะได้หาสถานที่เหมาะๆ ได้ไงล่ะคะ แต่ขั้นตอนนี้ไม่ได้เข้มงวดถึงขนาดว่า ต้องสรุปรูปแบบงานอย่างละเอียดว่าตกแต่งแบบไหน เลือกอาหารเมนูใด แค่คุณควรสรุปให้ได้ว่า จะจัดงานแบบอินดอร์หรือเอาทดอร์ ริมทะเล ริมแม่น้ำ จัดที่บ้าน หรือร้านอาหาร จัดพิธีเช้าแล้วทานเลี้ยงต่อ หรือจัดพิธีเช้า เว้นช่วงแล้วเลี้ยงเย็นแบบนั้นหรือเปล่า ทั้งหมดนี้ก็เพื่อให้การหาสถานที่อยู่ภายใต้โจทย์ที่แคบลงมาหน่อยไงล่ะคะ

3. เตรียม “จำนวนแขก”

คุยกันให้ดีๆ ในเรื่องจำนวนแขกนะคะ เอาแค่เบื้องต้นก่อนก็ได้ แต่เวลานึกถึงปริมาณแขกที่จะมาจริงๆ ต้องบวกเพิ่มสัก 20-30 % ด้วยนะคะ เพราะอย่าลืมว่าการ์ดเชิญหนึ่งใบที่แจกไป ไม่สามารถกำหนดกับแขกไปเลยว่าคุณมาได้แค่คนเดียว ยกเว้นว่าคุณจัดงานแบบซิทดาวน์ดินเนอร์ที่ระบุที่นั่งให้แขกเลย

4. เตรียม “สถานที่”

0103

ต่อเนื่องจากการเตรียมรูปแบบงานและจำนวนแขกคร่าวๆ คือมุ่งหน้าหาสถานที่ๆ เหมาะกับงานได้เลยค่ะ เพราะอย่างที่เราบอกไปแล้วว่า เมื่อโจทย์เรื่องสถานที่แคบลง พอรู้จำนวนแขกในใจและคุณมีฤกษ์ดีที่จะจัดงานแล้ว ก็แค่นำสามสิ่งเป็นข้อมูลตั้งต้นในการเตรียมงานแต่งงาน แล้วมองหาสถานที่จัดงานที่ลงตัว เพราะคำถามสำคัญหรือเรียกว่าเป็นคำถามที่ทุกสถานที่จะถามคือ “แต่งงานวันไหน” “เชิญแขกกี่คน” นั่นเอง ส่วนถ้าคุณรู้ว่าอยากจัดงานแนวไหน ตัวคุณเองจะได้คัดสถานที่ไม่เข้าพวกทิ้งไปได้เร็วขึ้น แบบนี้ไม่วุ่นวาย ดูมีทิศทางและเตรียมงานง่ายขึ้นกว่ามีข้อมูลเป็นศูนย์นะคะ

5. เตรียม “อาหาร”

ถ้าคุณใช้บริการจัดงานที่โรงแรมหรือสถานที่รับจัดงานแต่งงานที่รวมเรื่องการจัดเลี้ยงเข้าไปอยู่แล้ว ข้อนี้อาจข้ามไปได้แบบสบายๆ แต่ในกรณีที่คุณจัดงานแต่งเองที่บ้านหรือเช่าแต่สถานที่อย่างเดียว สามารถเริ่มมองหาร้านที่จะเข้ามาดูแลเรื่องอาหารในวันงานได้หลังจากที่สรุปเรื่องสถานที่นะคะ จะได้จบไปเป็นเรื่องๆ อ้อ…แต่อย่าลืมหาอาหารให้ครอบคลุมทุกลำดับการจัดงานนะคะ ตั้งแต่อาหารเลี้ยงพระ อาหารถวายพระ อาหารว่างสำหรับแขกในพิธีเช้า อาหารกลางวัน และอาหารรองท้องสำหรับบ่าวสาว

6. เตรียม “เสื้อผ้าหน้าผม”

0120

อย่าได้ชะล่าใจเรื่องเสื้อผ้าหน้าผมที่ใช้ในงานเด็ดขาด เพราะเชื่อเถอะค่ะว่า ต่อให้คุณจัดงานแต่งเล็กแบบกันเองสุดๆ หรือใหญ่โตระดับเป็นทอร์คออฟเดอะทาวน์ได้ เรื่องเสื้อผ้าหน้าผมคือสิ่งที่สาวๆ ใช้เวลาในการตัดสินใจค่อนข้างนาน เราจึงแนะนำว่า ให้เวลาเผื่อๆ กับเรื่องพวกนี้สักหน่อย เพราะกว่าคุณจะสรุปได้ว่าจะใส่ชุดนี้ ทรงนี้ ต้องเทียบแล้วเทียบอีก พอสรุปได้แล้ว สิ่งที่ตามมาคือ ไปร้านไหนดี ราคาไหนเหมาะ ลูกไม้ลายไหนสวย นอกจากนี้ถ้าคุณเลือกแบบออกแบบใหม่และตัดให้เข้ากับรูปร่างของคุณ ก็ต้องให้เวลากับทางร้านเป็นหลักเดือน (ซึ่งถ้าร้านดังคิวอาจยาวเกิน 3 เดือนกว่าจะได้ลองโครงชุด!!)

ส่วนเรื่องหน้าผมนั้น เป็นเพราะฤกษ์งามยามดีมีไม่ได้มาก และช่างหน้าช่างผมมีหลายระดับราคา แต่ละคนที่คุณว่าที่เจ้าสาวเลือกใช้มักจะคิวทองทั้งนั้น ถ้าคุณแน่ชัด มั่นใจจะเลือกช่างท่านนั้นแน่ๆ ยกหูโทรฯ จองคิวไว้แต่เนื่องๆ ได้เลยก่อนจะชวดช่างฝีมือดีในดวงใจ

7. เตรียม “การจัดงาน”

ในหัวข้อนี้มีทางเลือกง่ายๆ ที่รู้ๆ กันอยู่คือ จะจัดงานเองหรือจะใช้เวดดิ้งแพลนเนอร์ ถ้าเลือกแบบจัดเองก็เริ่มเอาภาพสถานที่จัดงานมาออกแบบได้เลยว่าจุดไหนจะตกแต่งอะไร สถานที่ๆ เลือกใช้มีอะไรให้มาบ้าง และคุณต้องให้ใครมาดูแลจัดตกแต่งให้ในวันงาน เพราะแน่นอนว่าบ่าวสาวไม่สามารถลงมาตกแต่งเองได้แน่นอน หรือถ้าได้คงเหนื่อยหนักมากมาย แต่ไม่ว่าจะเป็นรูปแบบไหน ถ้าตัดสินใจจัดงานแต่งด้วยตัวเองแปลว่ายังต้องมีสิ่งที่ต้องทำอีกเพียบ แต่ไม่ถึงกับบีบคั้นชีวิตมากนัก เพราะคุณสามารถเลือกวิธีง่ายๆ อย่างการเช่าพร้อพมาวาง โดยคุมมู้ดแอนด์โทนเอง หรือให้เพื่อนๆ ช่วยก็ยังไหว ขอเพียงไม่โลเลเปลี่ยนไปมาจนวินาทีสุดท้ายก็พอ

0124

ถ้าเลือกแบบจัดงานแต่งงานโดยใช้เวดดิ้งแพลนเนอร์ สิ่งที่ต้องทำก็คงคล้ายๆ กับการเตรียมเรื่องชุดคือ เลือกรูปแบบงานในใจที่อยากได้ แล้วมองหาเจ้าที่มีผลงานตรงใจ ค่อยเข้าไปคุย ดูเรื่องราคาและจริตว่าตรงกันไหม และจะให้ทางเวดดิ้งแพลนเนอร์รันคิวงานให้ด้วยหรือว่าตกแต่งอย่างเดียว แต่เชื่อเถอะว่า เมื่อสรุปเรื่องนี้ได้แล้ว คุณจะสบายไปอีกเรื่อง เพราะพวกเขาเหล่านี้มืออาชีพ จะจัดการให้คุณได้ทั้งหมด ส่วนคุณก็แค่คอยเช็คงานให้เป็นไปตามแบบที่ตกลงกันไว้

8. เตรียม “คนทำงานในตำแหน่งสำคัญ”

untitled-22

คนทำงานในตำแหน่งสำคัญที่ว่านี้ นับตั้งแต่ในพิธีแต่งงานตามประเพณีจะมีประธานในพิธีจะเป็นใคร ไหนจะเถ้าแก่ที่พาขบวนผ่านประตูเงินประตูทอง คนถือพานขันหมากในขบวน เด็กน้อยผู้ถือพานรับขันหมาก ใครเป็นคนเชิญขบวนขันหมากเข้าบ้าน เพื่อนเจ้าบ่าวเจ้าสาวมีกี่คน ในวันนั้นมีหน้าที่พิเศษหรือเปล่า เจ้าพิธีหาได้จากไหน พิธีกรเป็นใคร (ทั้งงานพิธีและงานฉลองฯ) คนคุมงาน ซึ่งเป็นตัวแทนบ่าวสาว แม้แต่คนคุมกล่องใส่ซองก็ต้องมี ทั้งหมดนี้คุณต้องทาบทาบแต่เนิ่นๆ และชัดเจนไปตั้งแต่ตอนที่เชิญว่าจะให้เขาเหล่านี้มาทำอะไรบ้าง ในเวลาไหน

9. เตรียม “การ์ดเชิญ”

ที่ให้การเตรียมการ์ดเชิญมาอยู่ในลำดับนี้ ด้วยเหตุผลว่า การ์ดเชิญจะเป็นศูนย์รวมข้อมูลทุกอย่างที่ต้องมีข้อมูลพื้นฐานครบ เพราะการ์ดเชิญไม่เพียงแต่เป็นสิ่งที่แจ้งบอกแขกว่ามีการจัดงานในวันไหน ที่ไหน ใครเป็นประธาน แต่การ์ดเชิญจะบ่งบอกธีมงานได้ด้วย เพราะแขกหลายๆ คนดูการ์ดก็จะจัดชุดสวยหล่อมาให้เข้ากับธีมไงล่ะคะ

10. เตรียม “ของชำร่วย”

0176

บางคนคิดว่า การ์ดและของชำร่วยต้องมาพร้อมกัน ซึ่งนั่นก็ไม่ผิดค่ะ  ถ้าคุณไปเจอร้านทำการ์ดเชิญที่มีบริการเรื่องของชำร่วยด้วยก็เบ็ดเสร็จในครั้งเดียวสะดวกดี แต่ถ้าคุณอยากได้ของชำร่วยที่เจาะจงเป็นพิเศษ ก็ยังยืดเวลาในการหาแยกออกมาจากการทำการ์ดได้ค่ะ

11. เตรียม “ของใช้ในพิธี”

ไม่ว่าจะเป็นชุดขันหมากไทยหรือจีน ส่วนใหญ่แล้วจะเป็นการโทรศัพท์ไปสั่งหรือเดินทางไปที่ร้านเพื่อเลือกดูแพ็กเกจและสั่งให้จัดชุดมาส่งในวันงาน (หรือไปรับสินค้าเองแล้วแต่ตกลง) ซึ่งถือว่าเป็นหนทางที่สะดวกที่สุด แถมยังมั่นใจในเรื่องความถูกต้องและครบถ้วนตามประเพณีปฏิบัติด้วย ซึ่งระยะเวลาโดยเฉลี่ยอย่างช้าที่สุดสำหรับการสั่งชุดขันหมากที่เราเคยสืบรู้มาอยู่ที่ขั้นต่ำ 3-4 อาทิตย์ล่วงหน้า

0038

ของใช้ในพิธีในที่นี้ยังรวมไปถึงของขวัญสำหรับมอบให้แก่ผู้ใหญ่ในช่วงรับไหว้หรือยกน้ำชาด้วยนะคะ คุณสามารถเตรียมไปพร้อมๆ กันได้เลยค่ะ

รู้อย่างนี้แล้วก็รีบ เตรียมตัวจัดงานแต่ง กันตั้งแต่เนิ่นๆ เลยนะคะ

ภาพ unsplash.com

อ่านบทความเพิ่มเติม

Sweet Memory มาเติมความหวานให้กับ พิธีการแต่งงานเย็น กันเถอะ

ช่อบูเกต์เจ้าสาว 7 สไตล์ เลือกให้เข้ากับรูปร่าง พร้อมเทคนิคเลือกยังไงให้งบไม่บาน

เฉลิมฉลอง “วันจูบสากล” ด้วย ข้อดีของการจูบ ที่คู่รักอาจยังไม่รู้!!

10 วิธีตัดต้นทุนงานแต่งงานแบบได้ผลชะงัดจากปากคำบ่าวสาวตัวจริง

ตัดต้นทุนงานแต่ง ยังไงให้ได้ผล บ่าวสาวรุ่นพี่เขามีเคล็ดลับดีๆ มาบอก

10 วิธี ตัดต้นทุนงานแต่ง ต่อไปนี้แพรว wedding รวบรวมมาฝากจากบ่าวสาวตัวจริงที่ทำแล้วบอกว่าดี ได้ผลชะงักและช่วยว่าที่บ่าวสาวที่อยากประหยัดเงินในการจัดงานแต่งงานไปได้เยอะ ว่าแล้วก็ลองมาดูวิธีต่างๆ ไปพร้อมๆ กับเราเลยค่ะ

วิธีที่ 1 ตัดจำนวนแขก

เป็นวิธีตัดต้นทุนการจัดงานแต่งอันดับหนึ่งที่แทบทุกคู่เลือกใช้ เพราะด้วยความคิดที่ว่ายิ่งคนน้อยยิ่งประหยัด ไม่ว่าจะเป็นการคิดค่าอาหารที่กำหนดมาแบบคิดรายหัวตามจำนวนแขกที่เชิญ หรือการคำนวณที่นั่งในการเลี้ยงโต๊ะจีนที่จะช่วยระบุจำนวนโต๊ะที่จะออเดอร์ นอกจากนี้การตัดจำนวนแขกยังช่วยในการตัดสินใจว่าจะเชิญแขกด้วยวิธีไหนอีกด้วย จึงทำให้บรรดาว่าที่เจ้าสาวต่างเลือกใช้วิธีนี้ในการตัดต้นทุนก่อนวิธีอื่นเสมอ

วิธีที่ 2 งดการส่งการทางไปรษณีย์

การส่งการ์ดเชิญทางไปรษณีย์มีค่าใช้จ่ายเพิ่มขึ้นอย่างเลี่ยงไม่ได้ บ่าวสาวหลายคู่จึงเลือกใช้การเชิญด้วยวิธีอื่นๆ เช่น ตั้งงานแต่งเป็นอีเว้นแล้วเชิญทางออนไลน์ นัดแนะรวมตัวกับเพื่อนแล้วถือโอกาสเอาการ์ดเชิญไปส่งให้ถึงมือ ถ้าเป็นแขกผู้ใหญ่คนสำคัญก็นำการ์ดไปให้ถึงบ้าน

วิธีที่ 3 เลือกใช้การ์ดเชิญแบบสำเร็จรูป

การ์ดเชิญหนึ่งใบเดี๋ยวนี้ราคาแพงมาก ยิ่งถ้าใส่ลูกเล่นต่างๆ ลงไป เช่น การปั๊มนูน เติมฟอย ใส่ทอง แต่งลูกไม้ ฯลฯ ยิ่งเพิ่มมูลค่า แต่ถ้าอยากประหยัด เราขอแนะนำให้เลือกใช้การ์ดเชิญสำเร็จรูปที่เดี๋ยวนี้มีแบบให้เลือกมากมาย เพียงแค่เลือกสีให้ตรงกับธีมงานที่จัดและเปลี่ยนรายละเอียดในการ์ดก็ใช้งานได้แล้ว

วิธีที่ 4 เลือกใช้ช่างภาพเท่าที่จำเป็น

นับรวมตั้งแต่จำนวนของช่างภาพที่ควรสมดุลกับขนาดของงานแต่งงาน และชื่อเสียงของช่างภาพที่ลองชั่งน้ำหนักดูสักนิดว่า ด้วยงบประมาณที่มีและจุดประสงค์ที่ต้องการประหยัด มีความจำเป็นแค่ไหนที่ต้องใช้ช่างภาพระดับมือพระกาฬ

วิธีที่ 5 ใช้เค้กปลอม เสิร์ฟเค้กจริง

ถ้าคุณต้องการตัดต้นทุน ขอให้ตัดใจจากเค้กจริงทั้งก้อนที่ราคาแตะหมื่นหรือบางทีถึงขั้นทะลุหมื่น มาเป็นเค้กปลอมที่ปล่อยเช่าหรือทางสถานที่มีไว้ให้ก็น่าจะดี แล้วค่อยไปซื้อเค้กจริงจากเจ้าอร่อยมาเสิร์ฟแขกก็พอ แบบนั้นตันค่าใช้จ่ายไปได้โขเลยนะ

วิธีที่ 6 เลือกใช้สถานที่ให้เป็น

แม้คุณจะจัดงานแต่งงานขนาดใหญ่เบิ้มสุดอลังการ แต่ก็ควรเลือกสถานที่ที่มีข้อเสนอมาพร้อมสิ่งอำนวยความสะดวกที่จำเป็นต่อการจัดงานด้วยเช่น แถมมากับฉากถ่ายภาพหน้างาน แกลอรี่ภาพถ่าย เวที ฯลฯ ไม่อยากนั้นก็ควรเลือกสถานที่ที่มีความสวยงามในตัว มองดูแล้วตกแต่งเพิ่มอีกนิดหน่อยหรือไม่ต้องตกแต่งเพิ่มยิ่งดี

วิธีที่ 7 ตกแต่งไม่ต้องเยอะ

คงต้องถามใจคุณดูก่อนว่าอยากมีภาพงานแต่งในฝันแบบไหน เพราะถ้าคุณอยากได้งานแต่งงานมีรายละเอียดเยอะแยะ และทุกอย่างต้องใช้เงินจ่ายมาถึงจะได้มาวางในงาน วิธีตัดต้นทุนข้อนี้คงต้องตัดไป แต่ถ้าคุณเป็นบ่าวสาวยังไงก็ได้ ขอเพียงภาพงานน่ารักดูมินิมอลการตัดต้นทุนการจัดงานโดยให้มีการตกแต่งน้อยๆ เป็นวิธีที่ทำให้คุณไม่ต้องเสียเงินเกินจำเป็นได้ดี

วิธีที่ 8 ลดการใช้ดอกไม้จริง

ราคาดอกไม้ที่สั่งมาตกแต่งในงานผ่านคนกลางกับราคาที่คุณไปซื้อเองต่างกันแบบเท่าตัว ซึ่งถ้าคุณอยากตัดต้นทุกจริงๆ ขอให้ตัดหรือลดทอนเรื่องดอกไม้สดออกไป เพราะไหนจะค่าดอกไม้ ค่าขนส่ง และค่าฝีมือคนจัด บอกเลยว่ามากมายจริงๆแนะนำให้ใช้ดอกไม้สดให้น้อย หันมามองดอกไม้ปลอมบ้างก็ได้ รับรองเงินเหลือ

วิธีที่ 9 กำหนดปริมาณเครื่องดื่มแอลกอฮอล์

แนะนำให้สั่งเครื่องดื่มเหล่านี้เข้ามาไว้ในงานแต่งงานในปริมาณที่รู้สึกว่าจ่ายได้จ่ายไหว โดยตกลงกับทีมจัดเลี้ยงอย่างเป็นเรื่องเป็นราวได้เลยตั้งแต่แรกว่า สั่งเท่านั้นขวด หมดแล้วจบไม่มีสั่งเพิ่ม ทำแบบนี้ไม่มีงบงอกแน่นอน

วิธีที่ 10 เลือกใช้ช่างหน้าช่างผมที่ไม่แพง

เลือกช่างแต่งหน้าทำผมที่ราคาไม่แพงแต่ฝีมือโดนใจ แทนที่จะเลือกใช้ช่างเก่งๆ ที่ดาราใช้กันเยอะแยะ สู้เอาเงินไปเทสแต่งหน้ากับช่างที่ราคาดร๊อปลงมาหน่อย แต่ได้ลองแต่งจริงเพิ่มความมั่นใจก่อนถึงวันงาน และมีเงินเหลือไปใช้เตรียมงานด้านอื่นดีกว่า

แล้วคุณละคะ มีวิธีตัดต้นทุนสำหรับจัดงานแต่งงานแบบไหนบ้าง ถ้าทำแล้วดีมีความเวิร์ค บอกต่อมาที่แพรว wedding บ้างนะคะ สัญญาค่ะว่าจะบอกต่อให้ว่าที่เจ้าสาวคนอื่นๆ ได้ทำตามอย่างแน่นอน

เรื่อง : ดอกปีบ / ภาพ : unsplash.com, pinterest

อ่านบทความเพิ่มเติม

Checklist!! 22 ภาพที่บ่าวสาวต้องมีในอัลบั้มภาพงานแต่ง บอกช่างภาพให้จัดโลด

7 เรื่องไม่ควรมองข้าม! แล้วคุณจะหลงรักงานแต่งงานของตัวเอง

5 เทคนิคขั้นเทพ! จัดงานแต่งให้ดูแพงในงบจำกัดได้เองแบบไม่ยาก

ไอซ์ อามีนา กับแฟชั่นชุดไทยสวยหรู ได้ลุคเป็นเจ้าสาวสวยสง่าในวันแต่งงาน

ชุดไทย เรียกได้ว่าเป็นชุดที่เลือกยากไม่แพ้กับชุดแต่งงานสากล เพราะมีรูปแบบชุดที่หลากหลาย ทั้งไทยแท้ ไทยประยุกต์ ไหนจะเฉดสีที่มีอีกมากมาย จึงไม่แปลกใจที่เราจะได้เห็นเจ้าสาวบางคนใส่ชุดไทยถึง 1 ชุดในวันแต่งงาน และนี่คือแฟชั่นชุดไทยสวยๆ ที่ได้ “ไอซ์ อามีนา” มาเป็นนางแบบให้ ซึ่งแพรวเวดดิ้งคัดมาให้แล้วว่าสวยทุกชุดจริงๆ

เคล็ดลับ : เลือกชุดแต่งงานไทยให้เข้ากับสาว
อย่างแรกต้องดูก่อนว่าบุคลิกของเจ้าสาวเป็นลักษณะใด มีรูปร่างแบบไหน เช่น เป็นคนตัวผอม สมส่วน เจ้าเนื้อ สูง หรือเตี้ย ต่อมาก็ต้องมาดูที่สถานที่จัดงานแต่งงาน หรือธีมของงานแต่ง ว่ามีลักษณะแบบไหน สีอะไร เพื่อที่เวลาเจ้าสาวใส่ชุดแต่งงานไทยแล้วเข้าไปยืนถ่ายภาพในงานจะได้ไม่จมหายไปพร้อมกับสถานที่

 ชุดไทย

ชุดไทย

ชุดไทย

ดูแบบชุดแต่งงานร้าน Coco Chic Wedding เพิ่มเติม คลิกเลย 

เสื้อผ้า : Coco Chic Wedding
79/336 ถนนสาธุประดิษฐ์ แขวงช่องนนทรี
เขตยานนาวา กรุงเทพฯ
โทร. 0-2115-8500, 09-9635-8585
เฟซบุ๊ก : Coco Chic Wedding
ไอจี : @cocochicwedding

แต่งหน้า : ภูริตา นุนนทกานต์ (ไอจี : @oopaoo_makeup)
ทำผม : จิรวัฒน์ คงศรีทอง (ไอจี : @gee_jiwat)
สไตลิสต์ : Up_Kamphoo
ผู้ช่วยสไตลิสต์ : นิตินัย เพ็ชรทอง
ช่างภาพ : ดวงพร ใบพลูทอง
ผู้ช่วยช่างภาพ : ชโนดม แต้ไพสิฐพงษ์
พวงมาลัย : FLOWDESIGN โทร. 06-3391-4635 ไอจี : @flow_designed
สถานที่ : Knight Cottage Studio
สตูดิโอบ้านและสวนให้เช่าถ่ายภาพ
โทร. 08-1611-2796, 09-7171-7114
เฟซบุ๊ก : Knight Cottage Studio

รับมือ 5 ปัญหาแม่สามี vs ลูกสะใภ้ ทำตามนี้รับรองอยู่กันแบบสงบสุข

ปัญหาแม่สามีลูกสะใภ้ นี่ถือว่าเป็นปัญหาระดับชาติเลยทีเดียวนะคะ หลายคู่ก็รักล่มไปไม่รอดต้องจอดเพราะรับมือกับแม่สามีไม่ไหว หรือบางคนที่เคยเห็นแต่ในละครเมื่อต้องมาเจอกันชีวิตจริงก็ถึงกับอึ้งไปไม่เป็นก็มีให้เห็นอยู่หลายคู่ แพรวเวดดิ้ง เลยขออาสามาเป็นคนกลางจัดการปัญหาสุดคลาสสิคนี้ให้กับบรรดาว่าที่ทั้งหลาย โดยงานนี้เราคัด 5 นิสัยสุดแสบของแม่สามีพร้อมวิธีรับมือมาฝาก รับรองหากปฏิบัติตามคำแนะนำนี้ได้คุณกับสามีอยู่กันได้ยาวๆ ชัวร์

1. คุณแม่จอมเฝ้าทรัพย์

หากว่าที่คนไหนที่เจอแม่สามีที่คล้ายๆ เป็นนักการบัญชีคอยตรวจสอบรายจ่ายอยู่ตลอดเวลาแล้วล่ะก็ รับรองว่าปวดหัวลามไปถึงสมองแน่นอน และยิ่งหากแม่สามีคนไหนที่คิดเล็กคิดน้อยหาว่าเรามาดูดทรัพย์ลูกชายสุดที่รักของเขาแล้วด้วย โอโห ไปกันใหญ่!! หรือบางรายอาการหนักคอยเก็บเงินทุกบาทของลูกชายก็มี หากคุณเจอแบบนี้ก็เตรียมรับมือตามนี้ได้เลย

“ก่อนอื่นคุณต้องแน่ใจก่อนว่าเงินที่คุณใช้จ่ายอยู่ทุกบาททุกสตางค์นั้นมาจากน้ำพักน้ำแรงของตัวเอง หากมั่นใจชัวร์ ก็จงกล้าแกร่งที่จะเอ่ยปากยามถูกเหน็บแหนมไปเลยว่า ‘คุณแม่คะ เงินที่หนูใช้คือเงินของหนูที่หามาเอง เพราะหนูกับสามีแยกกระเป๋ากันใช้ค่ะ’ และแน่นอนแค่คำพูดปากเปล่าใครก็พูดได้จริงไหมคะ เพราะฉะนั้นทำเลยค่ะ บัญชีรายรับ-รายจ่าย หากแม่สามีบ่นเมื่อไหร่ก็กางให้ท่านดู รับรองว่างานนี้จบสวยแม่ผัวไม่มีมาบ่นอีกแน่นอน”

2. คุณแม่จอมเผด็จการ

เอาแต่ใจ ไร้เหตุผล เจ้ากี้เจ้าการ ไม่ฟังความเห็น คิดว่าตัวเองถูกเสมอ ชอบออกคำสั่ง กดขี่ข่มเหง และอีกสารพัด เรียกได้ว่าเป็นคนที่มีข้อเสียมากกว่าข้อดีนั่นแหละค่ะ และถ้าลูกชายตัวดีดันเป็นคนหัวอ่อนที่ยอมคุณแม่ไปซะทุกเรื่องด้วยแล้ว งานนี้ลูกสะใภ้อย่างเราต้องตั้งหลักให้ดีๆ แล้วทำตามนี้เลยจ๊ะ

“อันดับแรก จงฝึกจิตให้กล้าแข็งไม่หวั่นแม้ทุกการกระทำและคำพูด จงมั่นคงและเด็ดขาดเข้าไว้ หากต้องเถียงเพื่อเอาชนะด้วยเหตุผลก็อาจจะต้องทำ (แต่ต้องมั่นใจว่ายังไงคุณก็ถูกนะคะ) เพราะหากคุณเผลอโอนอ่อนผ่อนตามตั้งแต่ครั้งแรกแล้วล่ะก็ บอกเลยว่ามาถึงจุดเปลี่ยนของชีวิตทันที เพราะถ้าคุณทนไม่ได้แล้วออกฤทธิ์ขึ้นมาเมื่อไหร่ นอกจากความโอนอ่อนที่สร้างมาตั้งแต่จะพังแล้ว ความสัมพันธ์ของคนในครอบครัวก็พาลจะสั่นคลอนไปด้วย”

3. คุณแม่ขี้หวง

ขี้หวงในที่นี้ไม่ใช่หวงสมบัตินะจ๊ะ แต่หวงลูกชายดั่งไข่ในหินต่างหาก ถ้าคิดในทางที่ดีลูกใครใครก็รัก แต่หากรักปานไข่ไม่ให้แตกขนาดนี้ ทั้งหวงทั้งห่วง เข้าขั้นโอ๋ลูกชายที่ไม่รู้จักโตสักที แถมสามีก็ดันทำอะไรไม่เป็นต้องคอยให้แม่ชี้นำอีกต่างหาก งานนี้ลูกสะใภ้อย่างเราต้องปวดใจปวดตับกันแน่นอน แล้วถ้าคุณแม่เกิดอาการหวงขั้นสุด จนถึงขั้นอิจฉาว่าลูกชายตัวเองดันรักภรรยามากกว่าแม่ด้วยแล้วล่ะก็ รับรองว่าคุณได้เจองานหินเข้าแล้ว หากยังไม่ได้แต่งก็อาจจะร้อนๆ หนาวๆ ว่าชาตินี้เราจะได้ดองกับลูกชายเขาไหม แต่ถ้าแต่งไปแล้วก็ต้องมาปวดหัวเพราะการเรียกร้องความสนใจจากแม่ผัวอีก ทำยังไงล่ะที่นี้!!

“การรับมือไม่ยากค่ะ สิ่งแรกที่ต้องทำคือคุยกับคนรักของคุณตรงๆ ว่าสถานการณ์แบบนี้ทำให้คุณอึดอัดขนาดไหน แล้วค่อยๆ ละลายพฤติกรรมด้วยการปลูกฝั่งภาวะผู้นำให้กับเขา รับรองว่าหากคุณทำสำเร็จงานนี้แม่สามีจะค่อยๆ ถอยทัพออกไปเองโดยที่คุณไม่ต้องเหนื่อยแรงเลยล่ะค่ะ”

4. คุณแม่สายไฮโซ

ไม่ว่าจะไฮโซด้วยฐานะหรือศักดิ์ศรีก็รับมือยากพอกัน เพราะมนุษย์แม่สามีแบบนี้มักจะมีความหยิ่งทะนง ถือตัว เจ้ายศเจ้าอย่าง ซ้ำร้ายไปกว่านั้นหากเจอแม่ผัวสุดเนี้ยบที่คาดหวังว่าลูกสะใภ้จะต้องโปรไฟล์ดีเป็นศรีให้กับวงศ์ตระกูลแบบเอาไปอวดใครต่อใครได้ แต่โปรไฟล์คุณดันผิดไปซะทุกอย่างก็เตรียมรับมือศึกหนักนี้ได้เลย

“หากคุณโชคดีเจอแม่สามีที่คาดหวังเพียงแค่หน้าที่การงานที่มั่นคง ก็อาจจะไม่ยากเท่าไหร่เพราะคงแค่ใช้ความพยายาม ความสามารถ และความตั้งใจไปให้ถึงจุดนั้น แต่ถ้าโชคร้ายเจอแม่สามีที่หวังเรื่องฐานะหรือชาติตระกูลงานนี้อาจจะลำบากหน่อย เพราะฉะนั้นการแสดงความสามารถทางด้านอื่นให้ท่านได้เห็น เช่น เอาความดีเข้าสู้ เชื่อเถอะว่าวันหนึ่งความดีจะทำให้คุณพบแสงสว่างที่ปลายอุโมงค์แน่นอน สู้ๆ นะคะ”

5. คุณแม่ที่เกลียดเรา!

เกลียดในที่นี่คือการเกลียดอย่างไม่มีเหตุผลซะด้วย ทำอะไรก็ไม่เคยดีในสายตา หากคุณเป็นสะใภ้บุญน้อยที่ต้องมาเจอเหตุการณ์แบบนี้ ก็จงปาดน้ำตาแล้วลุกขึ้นสู้ตามนี้ค่ะ

“ถ้าเขาร้อนเราต้องเย็น แถมต้องเย็นให้เหมือนใส่น้ำแข็งไว้เป็นลังอีกด้วย ไม่ว่าท่านจะแรงมาขนาดไหน จงแข็งดั่งหินเข้าไว้แล้วทุกอย่างจะดีเอง เพราะคุณแม่แบบนี้ไม่มีอะไรจะสามารถเอาชนะได้ นอกจากความดีที่คุณเพียรปฏิบัติ รับรองว่าวันหนึ่งท่านจะเห็นแน่นอน”

เป็นยังไงบ้างคะกับปัญหาแม่ผัวลูกสะใภที่เรานำมาฝาก เอาเป็นว่า หากลูกสะใภ้คนไหนที่มีทางแก้ที่เริดกว่านี้ และปฏิบัติได้ผลมาแล้ว ก็อย่าลืมนำมาแชร์กับว่าที่ที่กำลังประสบปัญหาด้วยนะคะ

CR. thespruce.com

อ่านบทความเพิ่มเติม 

บอกลาคานกับ 8 วิธี จีบเขาก่อนยังไงไม่ให้น่าเกลียดเนียนๆ แบบไม่นก

ข้อดีของสาวๆ ที่ แต่งงานอายุ 30+ ช่วงชีวิตดีๆ ที่สาววัยเอ๊าะมีแต่จะอิจฉา

รู้ทันผู้ชาย กับหลากหลายเล่ห์เหลี่ยม และลูกเล่นเอาตัวรอดสุดแพรวพราว

เทคนิค เติมความหวาน ง่ายๆ แบบน้ำตาลเรียกแม่ที่คู่รักต้องทำ

รักกันไปนานๆ บางครั้งก็อาจจะละเลยกันไปแบบไม่รู้ตัว ซึ่งถ้าเป็นแบบนั้นไม่ดีแน่จริงไหมคะ แพรวเวดดิ้งเลยขอเป็นกาวใจ นำเทคนิคการ เติมความหวาน ให้กับความรักมาให้กับบ่าวสาว รับรองว่าหากปฏิบัติแบบนี้ต่อกันทุกวันแบบสม่ำเสมอ ความรักของคุณจะเหมือนวันแรกที่จีบกันใหม่ๆ ในทุกๆ วันแน่นอน

1. หวานให้เป็นกิจวัตร

หมั่นแสดงความรักต่อกันให้เป็นกิจวัตรประจำวัน เช่น บอกรักก่อนนอน หอมสักฟอดก่อนไปทำงาน ที่สำคัญอย่าลืมกอดกันในทุกๆ วันด้วยนะคะ หรือจะเลือกใช้สรรพนามเรียนแทนชื่อกันแบบน่ารักๆ ก็ช่วยกระชับความรักให้แน่นขึ้น

2. ของขวัญสุดซึ้ง

เติมความหวานด้วยของขวัญ เป็นไอเดียบอกรักสุดคลาสสิคที่ได้รับความนิยมในหมู่คู่รักมานาน เพราะฉะนั้นจงจดจำวันพิเศษต่างๆ ใน 1 ปีให้ได้ ไม่ว่าจะเป็นวันสำคัญทางปฏิทิน หรือวันสำคัญทางใจ ก็ต้องอย่าให้ขาดตกบกพร่องนะจ๊ะ

3. รักออนไลน์

ปฏิเสธไม่ได้ว่าทุกวันนี้กระแสโซเชียลกำลังครองโลก เพราะฉะนั้นเราต้องใช้มันให้เป็นประโยชน์ค่ะ ด้วยการแสดงความรักผ่านทุกโซเชียลที่คุณมีอยู่ ไม่ว่าจะเป็นการตั้งสเตตัสหวานๆ (อย่าลืมแท็กเขาให้รู้ตัว) หรือโพสต์รูปอวดชาวโซเชียลไปเลยก็ได้ รับรองว่าสิ่งนี้จะช่วยให้คุณและคนรักกระชุ่มกระชวยหัวใจและแอบยิ้มเบาๆ เมื่อเห็นเขาโพสต์ถึงคุณแน่นอน แต่ข้อนี้อาจจะต้องทำแต่พอดีๆ หน่อยนะ ไม่อย่างนั้นจากที่เพื่อนจะอิจฉาอาจจะกลายเป็นหมั่นไส้แทน!

4. จัดดินเนอร์สุดโรแมนติก

กินข้าวที่บ้านหรือร้านประจำหน้าปากซอยทุกวันมันก็จะเบื่อๆ หน่อยจริงไหมคะ ถ้าอย่างนั้นลองชวนกันไปเปลี่ยนบรรยากาศโดยไม่ต้องรอวันสำคัญใดๆ ให้มาถึง เพราะมื้อพิเศษที่มีแค่คุณและคนรักท่ามกลางบรรยากาศสุดโรแมนติกจะทำให้คุณทั้งสองดื่มด่ำความรักที่มีต่อกันได้อย่างเต็มที่อีกครั้ง ให้อารมณ์เหมือนเดทแรกของคุณทั้งสองก็ว่าได้

5. เพราะรักหรอกจึงยอมให้

ถึงแม้จะรักกันแค่ไหนแต่บางครั้งเราก็ไม่ได้ชอบอะไรเหมือนกันไปหมดซะทุกอย่างหรอกจริงไหม แต่บางครั้งเพื่อความรักที่หวานชื่น คุณอาจจะต้องยอมลดและตามใจอีกฝั่งในบางเรื่องบ้าง เพราะเรื่องเล็กๆ น้อยๆ แบบนี้ถ้าคุณลุกขึ้นมาทำอะไรเพื่อคนรัก แบบที่เขาคาดไม่ถึงว่าเขาจะทำ รับรองว่าเขาจะแอบฟินแบบมีพลุระเบิดอยู่ในใจแน่นอน ซึ่งงานนี้หากอีกฝั่งยอมตามใจคุณแล้วล่ะก็ ก็อย่าลืมตามใจเขากลับด้วยนะจ๊ะ

6. ไปเที่ยวกันเถอะ

การเดินทางท่องเที่ยวทำให้คู่รักได้ใช้เวลาร่วมกันอย่างเต็มที่ ไม่ว่าจะเป็น ทริปรักแสนโรแมนติกท่ามกลางบรรยากาศสายลม แสงแดด เสียงคลื่น หรือวิวภูเขาสวยงามท่ามกลางไอหมอกหนาวเย็น ก็ช่วยกระชับสัมพันธ์ให้หัวใจได้ใกล้กันทั้งนั้น แต่ถ้าอยากจะพิสูจน์รักแท้ก็ต้องลองไปบุกป่าฝ่าดงด้วยกันสักหน่อย เพราะความยากลำบากจะเผยให้เห็นถึงหัวใจที่แท้จริงของกันและกัน ความเอื้ออาทรระหว่างการเดินทางนั่นแหละคือสัญญาณของรักแท้

7. ชวนกันรำลึกความหวาน

เรื่องรักแสนหวานในวันวานจะทำให้หัวใจได้เบ่งบานอีกครั้ง ลองนึกย้อนดูว่าแรกกันกันใหม่ๆ คุณทำอะไรให้กันบ้าง อาจชวนกันไปรำลึกอดีตรักยังสถานที่ที่พบกันครั้งแรกหรือออกเดทกันครั้งแรก เปิดเพลงรักเพลงเก่าที่เคยให้กันสมัยวัยรุ่น พูดคุยถึงเรื่องราวในวันวานให้ได้อมยิ้มกันเบาๆ เปิดดูภาพเก่าๆ ให้หวนคิดถึงความทรงจำสุดสวีท

8. เซอร์ไพรส์!!!

การเซอร์ไพรส์ยังคงเป็นมุกรักที่ใช้มัดใจได้ตลอดกาล แต่บอกเลยว่าไม่จำเป็นต้องทำเซอร์ไพรส์กันแบบเวอร์วังเสมอไป แต่ความพิเศษเล็กน้อยที่ทำให้กันก็ช่วยเติมเต็มชีวิตรักสดใสได้ แอบส่งดอกไม้ให้กันบ้าง หรือให้ของขวัญที่คาดไม่ถึง เพียงเท่านี้ก็น่าประทับใจแล้ว

9. เสน่ห์ปลายจวัก

อาหารจานไหนก็ไม่ตราตรึงเท่ากับจานที่ปรุงด้วยฝีมือและหัวใจของคุณเอง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในยุคสะดวกซื้อที่การทำอาหารกินเองถือเป็นความยุ่งยากระดับสิบ การทำอาหารจานโปรดให้คนรักกินสักมื้อจึงกลายเป็นความพิเศษที่ช่วยสานรักให้แนบแน่น และจะยิ่งสวีทขึ้นไปอีกถ้าได้ช่วยกันทำช่วยกันกิน รับรองว่ารสชาติความรักของคุณจะหวานชนิดที่ไม่ต้องปรุงน้ำตาลเพิ่มเลย

10. ให้หนังรักเป็นสื่อกลาง

แรงบันดาลใจจากฉากกุ๊กกิ๊กในหนังรักโรแมนติกอาจทำให้คุณอยากมีโมเม้นต์หวานๆ แบบนั้นบ้างก็ได้ ถ้าไม่เชื่อ วันหยุดนี้ลองเกี่ยวก้อยคล้องแขนไปดูหนังรักกันสิ รับรองว่าได้ไอเดียหวานๆ มาสานสัมพันธ์รักให้แน่นปึ้กกว่าเดิมแน่นอน

11. มีช่วงเวลาดีๆ ร่วมกัน

จูงมือกันไปทำกิจกรรมที่คุณและคนรักชื่นชอบ หรือจะเปลี่ยนแนวไปทำกิจกรรมใหม่ๆ ที่คุณและคนรักไม่เคยทำร่วมกันมาก่อนก็ช่วยเพิ่มความกระชุ่มกระชวยให้หัวใจไปอีกแบบ หรือหากคุณเป็นคู่รักนักชิมก็อาจจะชวนกันไปเดินสายกินไปเลย

12. ทำบุญร่วมชาติ ตักบาตรร่วมขัน

กุศลผลบุญทางธรรมก็ช่วยหนุนนำให้ความรักหวานชื่นราบรื่นได้เหมือนกันนะคะ หาเวลาชักชวนกันไปทำบุญ ไม่ว่าจะเป็น ที่วัด หรือตามสถานที่ต่างๆ ก็ได้แล้วแต่ความสะดวก เพราะเมื่อได้ทำบุญแล้วจิตใจจะได้สบาย ก็ส่งผลให้เรื่องราวรอบกายดีขึ้นไปด้วย แถมทำบุญร่วมกันเผื่อชาติหน้าจะได้เกิดมาคู่กันอีกไงคะ

13. ชูรัก ชูรส

กิจกรรมบนเตียงคือเรื่องสำคัญที่ทำให้ชีวิตรักหวานชื่นนะคะ เพราะเราเห็นมานักต่อนักแล้วว่าการที่คู่รักห่างหายจากการทำการบ้านก็ส่งผลให้ความรักนั้นจืดจางลงไปได้เหมือนกัน เพราะฉะนั้นจัดสรรตารางเวลากันให้ดีๆ คุณผู้ชายก็ต้องออกกำลังกายฟิตเครื่องกันหน่อย ส่วนคุณผู้หญิงเมื่อถึงเวลาก็รู้จักการเอาอกเอาใจเข้าไว้นะคะ ไม่ต้องเขินอายไปเพราะแต่งงานเป็นสามีภรรยากันแล้ว เรื่องแบบนี้เป็นเรื่องธรรมชาติ

14. โซ่ทองคล้องใจ

หากใช้ชีวิตอยู่ด้วยกันสองคนจนรู้สึกเต็มอิ่ม ก็ถึงเวลาที่จะหาอีกหนึ่งชีวิตมาร่วมเติมเต็มแล้วนะคะ เพราะฉะนั้นวางแผนผลิตทายาทตัวน้อยๆ มาเป็นโซ่ทองคล้องใจกันดีกว่า เพราะสิ่งนี้จะเป็นอีกหนึ่งประสบการณ์ใหม่ให้คุณทั้งคู่ได้เรียนรู้ไปพร้อมๆ กัน รับรองว่าเสียงหัวเราะและรอยยิ้มจากเบ๋บี๋ตัวน้อย จะช่วยเติมรักของบ่าวสาวที่มีให้ยืนยาวมั่นคงขึ้นแน่นอน

15. คติรักประจำใจติดไว้ประจำตัว

การจะครองรักให้หวานชื่นยั่งยืนตลอดไปนั้น นอกจากเรื่องรักแสนหวานที่มอบให้กันแล้ว ทัศนคติด้านความรักที่ควรถือปฏิบัติก็สำคัญมากเช่นกัน ความรัก ความเข้าใจ ความซื่อสัตย์ และการให้อภัยถือเป็นคติรักประจำใจที่คนมีคู่ทั้งหลายควรยึดไว้ให้มั่น ถ้าปฏิบัติได้ตามนี้ รับรองว่าชีวิตรักแฮปปี้ชัวร์

ภาพ pinterest.com, http://hdwallpapersrocks.com

อ่านบทความเพิ่มเติม

ว่าที่เจ้าสาวจงทำตาม 7 วิธีนี้รับรองเพื่อนเจ้าสาวไม่มีน้อยอกน้อยใจ

ไม่ไหวอย่าฝืน! กับ 8 สัญญาณเตือนภัยปัญหาชีวิตคู่ เกิดขึ้นเมื่อไหร่อย่าไปต่อ

5 เรื่องก่อนแต่งงานที่คู่รักควรตกลงก่อนย้ายมาอยู่ด้วยกันให้เสร็จ

6 เฉดสีเล็บเจ้าสาวทาแล้วรอดเข้ากับแหวนเพชรเม็ดงาม

ถ้าจะสวยแล้วต้องสวยให้หมดทุกมุมครบทุกองศานะคะคุณเจ้าสาว เพราะฉะนั้นเรื่อง เล็บเจ้าสาว สวยๆ ก็ไม่ควรละเลยหรือมองข้าม เพราะอย่าลืมนะคะว่าในพิธีสวมแหวนนอกจากช่างภาพจะเก็บภาพบ่าวสาวแล้ว ช็อตจังหวะสวมแหวนช่างภาพจะต้องซูมให้เห็นแค่มือและแหวนเท่านั้น หากเล็บไม่สวยมือไม่งามก็เป็นอันจบกัน แม้กระทั่งในช่วงงานฉลองเล็บสวยๆ ก็จะช่วยเสริมลุคของเจ้าสาวให้ดูดีได้ด้วย แพรว wedding เลยมีสีเล็บสวยๆ 6 เฉดสีสุดปังทาแล้วรอดมาฝาก ไปดูกันว่ามีสีไหนที่เจ้าสาวเลิฟบ้าง

1. Pale Pink สีชมพูนู้ดสุดอ่อนหวาน

เฉดสีที่ดูยังไงก็เจ้าส๊าวเจ้าสาว ที่ไม่ว่าจะทาทั่วทั้งเล็บหรือจะเลือกเป็นให้เป็นลวดลายก็สวยหวานได้ไม่ต่างกัน แถมยังเป็นสีที่เข้ากันได้ดีกับทั้งชุดแต่งงานไทยและสากล เพราะทาแล้วดูเป็นธรรมชาติเหมือนเล็บชมพูดูสุขภาพดี เฉดสีนี้เหมาะกับเจ้าสาวผิวขาวอมชมพู หรือผิวขาวอมเหลือง ถือว่าเป็นอีกหนึ่งเฉดสีทางเลือกที่ทาแล้วรอดแน่นอน

เล็บเจ้าสาว

เล็บเจ้าสาว

เล็บเจ้าสาว

2. Nude สวยหรูดูดีในเฉดสีนู้ด

เป็นเฉดสีที่ได้รับความนิยมจากเจ้าสาวอยู่เสมอเพราะให้ลุคที่คลาสสิคและทันสมัยในเวลาเดียวกัน และถ้าเจ้าสาวเป็นสาวผิวขาวอมเหลืองด้วยแล้วล่ะก็ บอกเลยว่าทาเล็บเฉดสีนี้แล้วรอดสุดๆ เพราะจะช่วยขับผิวของเจ้าสาวให้โดดเด่นขึ้น แต่ต้องเลือกในโทนเฉดสีนู้ดอมน้ำตาล, นู้ดอมเทา หรือนู้ดอมส้มนะจ๊ะ

เล็บเจ้าสาว

เล็บเจ้าสาว

3. Vibrant Red สีแดงร้อนแรงสุดเซ็กซี่

เจ้าสาวสายเปรี้ยวอยากเฉี่ยวเกินใครต้องไม่พลาด กับสีแดงสุดร้อนแรงที่ทาปุ๊บให้ลุคดูเป็นสาวทัยสมัยเจือกลิ่นอายความเซ็กซี่นิดๆ แถมยังช่วยเสริมลุคให้เจ้าสาวดูโดดเด่นสุดๆ ในชุดแต่งงานสีขาวอีกด้วย และงานนี้ไม่ใช่ว่าเป็นสีแดงแล้วจะทารอดแค่สาวผิวขาวอมชมพูนะจ๊ะ เพราะสาวผิวสีน้ำผึ้งก็ทาได้ แถมทาแล้วรับรองว่าสวยเกิดบรรเจิดสุดๆ แน่นอนคอนเฟิร์ม

4. Clear Nail เผยสีเล็บธรรมชาติแบบสาวสุขภาพดี

หากเจ้าสาวไม่ชอบทาเล็บและอยากได้ความเป็นธรรมชาติสุดๆ การทาเพียงท้อปโค้ดเพื่อช่วยเพิ่มความแวววาวให้กับเล็บนั้นก็เพียงพอแล้ว แถมลุคนี้ยังโชว์แหวนเพชรเม็ดงามได้แบบเต็มๆ อีกด้วย แต่ถ้าเลือกที่จะสวยแบบธรรมชาติในลุคนี้ การดูแลและรักษาสุขภาพเล็บเป็นสิ่งสำคัญ เจ้าสาวอาจจะต้องขยันไปร้านทำเล็บเพื่อตัดแต่งหนัง ทำเล็บให้โค้งมนได้ทรงสวยงาม หรือจะต่อเล็บเจลเพื่อให้มือดูเรียวสวย แล้วอย่าลืมหมั่นบำรุงมือและเล็บด้วยโลชั่นอย่างสม่ำเสมอด้วยนะคะ

5. A Little Sparkle น่ารักระยิบระยับ

เจ้าสาวสายปาร์ตี้ที่รักในความเป็นกลิตเตอร์เราขอแนะนำให้ทาเล็บระยิบระยับรอไว้ได้เลยค่ะ เพราะนอกจากจะดูเป็นลุคปาร์ตี้สุดๆ แล้ว ยังเข้ากันได้ดีกับชุดแต่งงานทั้งไทยและสากลอีกด้วย และถ้าหากอยากวิบวับให้สุดก็ทาไปเลยทั้ง 10 นิ้วแต่อาจจะเลือกกลิตเตอร์ที่ละเอียดๆ สักหน่อยเพื่อไม่ให้ขโมยซีนแหวนแต่งงาน หรือหากมั่นไม่พอก็อาจจะเลือกทาแค่ 1 เล็บจาก 5 เล็บ อย่างเช่นเล็บที่นิ้วนางข้างซ้ายเพื่อให้แมตช์กับแหวนเพชรเม็ดงามก็ได้เหมือนกัน

6. Metallic เจ้าสาวทันสมัยสายแฟชั่น

เป็นสาวทันสมัยและรักความเป็นแฟชั่นทั้งทีงานนี้เมทัลลิคต้องมาค่ะ เพราะนอกจากที่จะให้ลุคโมเดิร์นแล้วยังมีกลิ่นอายของความคลาสสิคอีกด้วย แต่อาจจะต้องใช้เซ้นต์เลือกเฉดสีเมทัลลิคที่ไม่หนักหน่วงมากนักนะคะ ไม่อย่างนั้นอาจจะสูญเสียลุคของความเป็นเจ้าสาวเอาได้ โดยอาจเลือกเป็นเฉดสีโรสโกลด์ที่ให้หรูหราดูดีและยังคงความเป็นเจ้าสาวไว้ได้แบบไม่หลุดธีม

เล็บเจ้าสาว

เล็บเจ้าสาว

เล็บเจ้าสาว

ภาพ : www.diys.com, best-cool.com, www.chaseamie.com, www.independent.co.uk, www.prepbeautyparlour.com, www.brit.co, www.shamelessfripperies.com, www.pinterest.com

อ่านบทความเพิ่มเติม

บ่าวสาวแค่เปลี่ยนพฤติกรรมการกินวิธีลดน้ำหนักง่ายๆ ให้ทันวันวิวาห์

มาดูการเตรียมตัวเพื่อ ความงามเจ้าสาว ช่วง 5-2 เดือนก่อนแต่งงาน!

ทรงผมเจ้าสาวสไตล์ Bun แบบมินิมอล จะแต่งปีไหนก็ทำได้ไม่มีเอ๊าต์

Do & Don’t ฮาวทูเดทให้แฮปปี้ ถ้าเริ่มต้นดีรับรองรักนี้ยาวนาน

ความรักคือเรื่องระหว่างคนสองคน แต่จะ เดทให้แฮปปี้ มันมีอะไรมากกว่านั้น

แล้วคนเราจะชอบหรือรักกันได้นั้นต้องทำอย่างไรล่ะ? แค่จ้องตาก็เป็นไปได้แล้วเหรอ? เราว่าคงไม่ใช่อย่างนั้นแน่นอน แต่การจะเข้าใจและรักกันได้ ต้องเกิดจากการพูดคุยต่างหากที่จะสามารถสื่อสารความรู้สึกจากใจเราให้เขารับรู้ได้ ซึ่งการพูดคุยกันระหว่างออกเดทจึงเป็นเหมือนการเปิดโลกของเราให้เขาเข้ามาร่วมแบ่งปัน แลกเปลี่ยนประสบการณ์ เพื่อให้ต่างฝ่ายได้เรียนรู้ซึ่งกันและกัน หาความเหมือนความแตกต่างเพื่อที่จะได้เข้าใจกันได้มากขึ้นจนเกิดเป็นความรักที่อยากจะอยู่เคียงข้างกันตลอดไป แต่ในการพูดคุยนั้นก็มีทั้งสิ่งที่เราควรถามเพื่อที่จะได้รู้จักเขาให้มากขึ้น และสิ่งที่ไม่ควรถามเพราะอาจจะไปก้าวก่ายเรื่องส่วนตัวเบื้องหลังที่ทั้งเราอาจจะไม่แฮปปี้ และเขาเองก็คงไม่รู้สึกดีเท่าไหร่ แพรว wedding เลยขอมาเป็นเทรนเนอร์หัวใจแบบเฉพาะกิจ กับสิ่งที่ควรและไม่ควรถามขณะออกเดทเพื่อการ เดทให้แฮปปี้ รู้ไว้จะได้ไม่นกเนอะ

DO

1. เขามีความสัมพันธ์กับคนสนิทเป็นอย่างไร?

คนสนิทในที่นี้คือ พ่อ แม่ พี่น้อง และเพื่อนๆ ของเขา เพราะบุคคลเหล่านี้ เป็นคนที่ใกล้ชิดกับเขามาก่อนเรา ทั้งผ่านเรื่องราวและเหตุการณ์ต่างๆ ด้วยกันมาทั้งสุขและทุกข์ เพราะฉะนั้นการพูดคุยถึงเหตุการณ์เก่าๆ หรือปัญหาที่เคยประสบพบมากับบุคคลกลุ่มนี้ ก็จะทำให้คุณได้เรียนรู้ว่าเขาเป็นคนแบบไหน หรือเมื่อเกิดความขัดแย้งเขาเคยจัดการและแก้ไขปัญหาอย่างไร ซึ่งทั้งหมดทั้งมวลนี้ก็เหมือนเป็นการเรียนรู้ภูมิหลังของเขา เพื่อให้เราได้เขยิบเข้าใกล้เขาอีกก้าวหนึ่ง ได้รู้จักตัวตน และได้เรียนรู้ถึงการดูแลเอาใจใส่ความสัมพันธ์ของเขาต่อคนใกล้ตัว และยังเป็นแนวโน้มที่เขาอาจจะปฏิบัติต่อเราด้วย

เดทให้แฮปปี้

2. ถ้าเขายังติดต่อกับแฟนเก่าล่ะ?

เมื่อถึงจุดจบของทุกความสัมพันธ์ ซึ่งมีทั้งจุดจบที่ดีและไม่ดีจนต้องตัดขาดกันไป หากแฟนของคุณยังติดต่อกับแฟนเก่า อาจจะทำให้คุณไม่ชอบใจนัก แต่การที่เขาพูดคุยกับคนเก่า ก็ไม่ได้หมายความว่าเขาจะนอกใจคุณ เพราะหลังจากการเลิกลากันไปแล้ว บางคู่ก็สามารถแปรเปลี่ยนเป็นเพื่อนที่ช่วยเหลือและสนับสนุนกันได้ ซึ่งสิ่งสำคัญของข้อนี้คือ ความเข้าใจระหว่างกันและกัน การที่เขาสม่ำเสมอกับเรา และแยกแยะเรื่องราวในอดีตกับปัจจุบันได้ แบบนี้การันตีได้เลยว่าเขาเป็นคนรักที่ดีได้แน่นอน

เดทให้แฮปปี้

3. แล้วความสัมพันธ์ของเราจะเป็นอย่างไรต่อไป?

อย่างที่ได้พูดไปแล้วว่าการเดท คือ การดูใจระหว่างชายและหญิง เป็นการพัฒนาความสัมพันธ์ไปสู่คู่รัก และการแต่งงานต่อไป และแน่นอนว่ากว่าจะถึงขั้นนั้นได้ มันต้องเป็นความสัมพันธ์ที่มากกว่าความรู้สึกชอบเพียงอย่างเดียว เพราะความชอบ คือความสุขที่ได้อยู่กับเขาและเป็นช่วงเวลาที่พิเศษ แตกต่างจากความรักที่มาจากความรู้สึกก้นบึ้งของหัวใจ เป็นความรู้สึกที่ควบคุมไม่ได้ และแสดงออกมาอย่างเป็นธรรมชาติ ดังนั้น ความสัมพันธ์ของเราทั้งสองจะเป็นอย่างไรต่อไป อย่ารีบร้อนนะ ค่อยๆ ใช้เวลาเรียนรู้กันไป ว่าเขาคือคนที่ใช่สำหรับคุณจริงหรือเปล่า?

เดทให้แฮปปี้

DON’T

1. วันนี้คุณใช้เงินซื้ออะไรไปบ้าง?

ได้โปรดอย่าลืมว่าความสัมพันธ์ระหว่างคุณทั้งสองคนยังไม่ถึงขั้นแต่งงานกันเลย เพราะนั่นยังเป็นชีวิตส่วนตัวของเขาที่เราควรให้ความเคารพและให้พื้นที่ระหว่างกัน คุณจึงไม่ควรถามถึงรายจ่ายในแต่ละวันของเขานะจ๊ะ ก็แหม ยังแยกกระเป๋าตังค์กันใช้อยู่เลย จริงไหม? … แต่ถึงอย่างนั้นเราก็มีเคล็ดลับการถามแบบอ้อมๆ เพื่อประเมินการใช้จ่ายของเขาได้ เช่น อาจจะพูดคุยถึงรสนิยม ไลฟ์สไตล์ หรือการแต่งตัวของเขา เท่านี้ก็ช่วยให้เรารู้รายจ่ายคร่าวๆ ของเขาได้แล้วว่ามีพฤติกรรมในการเปย์แบบไหน

เดทให้แฮปปี้

2. แฟนเก่าของคุณ เธอ/ เขาเป็นอย่างไรเหรอ?

เราเชื่อว่าใครๆ ก็อยากหาความเหมือนและความแตกต่างระหว่างคุณกับแฟนเก่าของเขา แต่ว่าการพูดถึงอดีตจะทำให้เกิดความอึดอัดทั้งสองฝ่าย และอาจส่งผลเสียต่อความสัมพันธ์ด้วย นอกจากว่าเขาจะเต็มใจพูดโดยปราศจากความกดดัน เป็นการพูดแบบเล่าสู่กันฟัง หรือเป็นบทเรียนในชีวิตมากกว่า แต่ยังไงก็ตาม ปัจจุบันสำคัญกว่าอดีตนะจ๊ะ ความสุขในวันนี้เป็นความทรงจำที่สวยงาม เพราะฉะนั้นจงคิดไว้เสมอว่าคุณคือปัจจุบันของกันและกันดีกว่านะ

3. ทำไมเขาถึงติดตามเธอคนนั้นในโซเชียลมีเดีย?

โซเชียลมีเดีย เป็นสังคมที่เชื่อมโยงผู้คนให้เข้าหาและติดต่อกันได้อย่างสะดวก แต่บางครั้งก็สามารถสร้างความขัดแย้งให้กับความสัมพันธ์ได้เช่นกัน ซึ่งนอกจากเพื่อนของเขาแล้ว เราไม่รู้เลยว่าคนที่เขาติดตามนั้นเป็นใครบ้าง เขาจะแอบชอบใครคนอื่นอีกหรือเปล่า? นี่เขาหักหลังเราจริงๆ เหรอ!! เพราะเราไม่สามารถอ่านใจเขาหรือเธอออกได้ว่าทำไปแบบจริงจัง หรือเผลอไผลโดยไม่รู้ตัว ดังนั้นเพื่อหลีกเลี่ยงความเข้าใจผิดและลดความเครียดดราม่าที่ทำให้เสียสุขภาพจิต เราอยากแนะนำให้พูด-ถามเขาและเธอไปตรงๆ จะได้เป็นการปรับความเข้าใจที่ชัดเจน

Inspiration : marthastewartweddings.com

อ่านบทความเพิ่มเติม

ครอบครัวเธอใหญ่ ครอบครัวฉันเล็ก ปัญหาชีวิตคู่ ทำยังไงให้ลงตัว

5 พฤติกรรมชวนยี้ที่คุณอาจต้องเจอหลังแต่งงานแบบไม่ทันตั้งตัว

5 นิสัยคนมีคู่ต้องรู้และต้องเปลี่ยนเมื่อคิดจะย้ายเข้าบ้านอีกฝ่าย

เริดให้สุดแล้วหยุดที่ปลายเท้า กับการจับคู่รองเท้าชุดไทยสุดเป๊ะ

ใส่ชุดไทยทั้งทีก็ต้องงามตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้า และถึงแม้ว่าชุดไทยของคุณจะยาวจนลากพื้น แต่ รองเท้าเจ้าสาว ที่จะใส่ก็ต้องเลือกกันแบบพิถีพิถันสักนิด ใครที่ไม่รู้ว่าจะเลือกอย่างไรให้เข้ากับชุด แพรว wedding มีเทคนิคการจับคู่ รองเท้าชุดไทย มาฝากจ้า

1. เลือกสีรองเท้าให้เข้ากับสีชุด

สิ่งแรกที่คุณว่าที่เจ้าสาวจะต้องทำคือ ดูว่าคุณเลือกใส่ชุดไทยสีอะไร เช่น ถ้าชุดเป็นสีทอง สีน้ำตาล หรือสีโทนอ่อน อาจเลือกสีรองเท้าสีเดียวกันกับชุด หรือรองเท้าสีทองที่เป็นสีกลางๆ ก็ยังเข้ากันได้ แต่ถ้าคุณเลือกใส่ชุดสีโทนเย็น เราแนะนำให้คุณเลือกรองเท้าที่สีเดียวกับชุดเลยจะดีที่สุด ถ้าหาไม่ได้แนะนำให้สแตนบายด์รองเท้าสีกลางๆ อย่าง สีเงิน สีขาว สีเบจ สีครีม หรือสีเนื้ออ่อนไว้ก่อนก็ได้นะคะ

ชุดแต่งงานจากร้าน Vanus Couture

2. ปิดปลายเท้าจะดีกว่า

ใครที่เลือกชุดไทยที่ผ้านุ่งยาวแค่ข้อเท้าหรือหน้าเท้า ไม่ได้กรอมพื้นปิดไปทั้งหมด เราแนะนำว่าให้เลือกรองเท้าที่ปิดหน้าเท้าจะดูสวยและสุภาพมากกว่า โดยสามารถเลือกได้ทั้งแบบหัวแหลมหรือหัวมน ลองดูว่าคุณใส่แบบไหนแล้วไม่เจ็บนิ้วเท้า เดินสบาย ไม่ทรมาน ก็จัดไปเลยค่ะ หรือหากสวมชุดแบบโจงกระเบนก็ควรเลือกรองเท้าแบบหัวปิดเพราะดูสวยและเป็นทางการเข้ากับชุดมากกว่า

หรือหากเจ้าสาวคนไหนที่สวมผ้านุ่งแล้วกังวลในเรื่องรูปร่างกลัวว่าตัวจะดูตันเพราะปิดไปหมด ก็อาจจะเลือกเป็นรองเท้าแบบหัวเปิดก็ได้เพื่อช่วยให้เจ้าสาวดูโปร่งและสง่าขึ้น

3. รองเท้าสีขาว/สีทองกับชุดไทยสมัย ร.5

ชุดไทยสไตล์แขนหมูแฮมพองๆ นุ่งคู่กับโจงกระเบนหลากสี เห็นทีรองเท้าที่จะเข้ากับชุดมากที่สุดคงหนีไม่พ้นรองเท้าส้นสูงสีขาว จะเป็นแบบรัดข้อเท้า คัทชู หัวแหลม หัวมน หรือจะใส่แบบเปิดปลายเท้าให้นิ้วเท้าได้หายใจก็ยังได้ แต่แนะนำว่าอย่าลืมของสำคัญอย่างถุงน่องสีขาวนำมาใส่คู่กันให้ดูสวยเพอร์เฟ็กต์ให้สมกับความเป็นแม่หญิงในยุคนั้นด้วยนะคะ

ชุดจาก Finale Wedding Studio

4. อย่าให้รองเท้าเด่นเกิน

ว่าที่เจ้าสาวต้องตระหนักไว้เสมอว่า ชุดไทยของบ้านเรานั้นมีความเลื่อมลายวิบวับมากอยู่แล้ว ไหนจะดิ้นเงินดิ้นทองที่กระหน่ำปักลงไป ไหนจะลูกไม้ลายพร้อย และเครื่องประดับทองเต็มตัว ฉะนั้นคุณควรเลือกรองเท้าแบบเรียบๆ ไม่ต้องตกแต่งคริสตัลหรือโรยกากเพชรจนเด่นขึ้นมา มิเช่นนั้นคุณจะกลายเป็นเจ้าสาวที่ดูเยอะไปทุกสัดส่วน ระวังคนจะทักว่าไปเล่นลิเกที่ไหนจ๊ะน้องสาว!

5. ส้นเข็มหรือส้นหนา

ลำพังการใส่กระโปรงแล้วเดินบนรองเท้าส้นสูงก็ไม่ใช่เรื่องง่าย (สำหรับใครที่ไม่ได้ใส่ทุกวัน) แล้วนี่ยังจะต้องมานุ่งผ้าถุงแคบๆ พอดีตัวยิ่งเดินยากเข้าไปใหญ่ เราขอแนะนำให้คุณเลือกส้นรองเท้าที่คุณเดินสะดวก ช่วยให้ทรงตัวได้ดี อาจจะดูเป็นรองเท้าส้นหน้า (แบบรองเท้ารับปริญญา) ก็จะช่วยให้เดินง่ายมากขึ้น แต่ถ้าใครอยากใส่ส้นเข็มแล้วมั่นใจว่าเดินได้ เราก็แนะนำให้ซ้อมเดินซ้อมก้าวให้ชิน ส่วนใครที่คิดจะใส่ส้นตึกคงต้องยอมรับสักหน่อยว่ามันไม่ค่อยจะเข้ากับชุดไทยเท่าไหร่นัก แต่ถ้าผ้านุ่งของคุณยาวจนกร่อมพื้นปิดเท้าทั้งหมดก็อนุโลมให้ใส่ได้

6. เช็คพื้นรองเท้าสักนิด

พิธีไทยในตอนเช้าคุณจะต้องยืน เดิน ลุก และที่สำคัญคือ นั่งพับเพียบ ซึ่งจะทำให้คุณเผยพื้นรองเท้าแบบไม่รู้ตัว เพราะฉะนั้นเราแนะนำให้คุณตรวจสอบพื้นรองเท้าเสียก่อนว่า เรียบไหม ขรุขระดูไม่งามหรือเปล่า พื้นเปิดหรือชำรุดตรงไหน หรือแม้แต่ป้ายราคายังโชว์หราอยู่ไหม อย่าลืมเอาออกแล้วแก้ไขให้เสร็จก่อนวันงานนะจ๊ะ ไม่อย่างนั้นมาตกม้าตายตอนจบก็หมดสวยกันพอดี

7. เลือกรองเท้าที่ใช้ต่อได้

เราเชื่อว่าจะซื้อรองเท้าทั้งทีคงไม่มีใครอยากซื้อมาใช้ครั้งเดียวแล้วทิ้งให้เสียดายเงินหรอกใช่ไหมคะ ถ้าอย่างนั้นเราแนะนำให้เลือกรองเท้าสีกลางๆ ที่นอกจากจะแมทช์เข้ากับชุดไทยได้แล้ว หลังเสร็จงานคุณยังสามารถนำไปแมทช์ใส่เข้ากับชุดอื่นๆ ได้ด้วย แบบนี้ก็ถือว่าประหยัดและคุ้มค่าสุดๆ ยิงปืนนัดเดียวได้นกหลายตัวไปอีก

7 เทคนิคข้างต้นเราแนะนำมาไว้ให้สำหรับเจ้าสาวคนไหนที่กำลังตัดสินใจเลือกรองเท้าที่จะใส่คู่กับชุดไทย ก็อย่าลืมลองดูด้วยนะคะว่าชุดไทยที่คุณเลือกเป็นชุดสไตล์ไหน สีอะไร และความยาวของผ้านุ่งอยู่ที่ระดับไหน แล้วค่อยออกไปช้อปเลือกคู่ที่ใส่แล้วสวย ใส่แล้วสบาย นิ้วเท้าจะได้ไม่ชาเนอะ แต่ๆ…งานนี้ไม่ได้สงวนไว้แค่เจ้าสาวน้า สำหรับแก๊งเพื่อนเจ้าสาวที่ใส่ชุดไทยก็สามารถนำไปทำตามได้ด้วย

ภาพเปิด : ชุดแต่งงานจากร้านบางแสนมายเลิฟ เวดดิ้งสตูดิโอ จ.ชลบุรี

อ่านบทความเพิ่มเติม

ไอซ์ อามีนา กับแฟชั่นชุดไทยสวยหรู ได้ลุคเป็นเจ้าสาวสวยสง่าในวันแต่งงาน

มาทำความรู้จัก 14 ช่วงบนของชุดเจ้าสาวก่อนตัดสินใจเลือกกันดีกว่า

10 จุดว่าที่เจ้าสาวต้องเช็คชุดแต่งงานให้ชัวร์ก่อนรับมาใส่ในวันแต่งงาน

4 วัตถุดิบสำคัญ สมูทตี้ไม่อ้วน เพื่อเจ้าสาวจะปั่นเมนูไหนรับรองอร่อยชัวร์

สมูทตี้ไม่อ้วน กับวัตถุดิบสำคัญ เพื่อเจ้าสาวที่อยากฟิตหุ่นได้เพิ่มความสดชื่นจากเครื่องดื่มปั่นเพื่อสุขภาพ

มาเติมความสดชื่นในวันธรรมดาให้สดชื่นด้วย สมูทตี้ไม่อ้วน ด้วยวัตถุดิบและส่วนผสมไม่ถึง 5 อย่าง ก็สามารถทำเมนูน้ำปั่นที่เต็มไปด้วยรสชาติที่กลมกล่อมได้ ไม่เพียงแค่อร่อยเท่านั้น แต่ยังช่วยเติมเต็มท้องให้อิ่ม พร้อมสารอาหารที่มีประโยชน์ต่อร่างกาย และถูกหลักสุขภาพด้วย แพรว wedding ขอแนะนำสูตรน้ำปั่นสมูทตี้ ที่มีแค่ 4 วัตถุดิบสำคัญ ได้แก่

  • นมอัลมอนด์ เพราะเป็นตัวเลือกที่ดี เพื่อแทนโยเกิร์ตที่มีส่วนผสมของนม และมีปริมาณน้ำตาลน้อยกว่า อีกทั้งนมอัลมอนด์ยังดีต่อสุขภาพอีกด้วย แล้วรสชาติยังกลมกล่อมกว่านมถั่วเหลืองด้วยนะ
  • น้ำผึ้ง เพราะมีรสชาติที่ให้ความหวาน เหมือนน้ำตาลหรือน้ำเชื่อม แต่ดีต่อสุขภาพมากกว่า ด้วยความหวานที่มาจากธรรมชาติ จึงไม่ทำให้อ้วนและให้ผลเสียต่อร่างกาย
  • กล้วยหอม เพราะเมื่อเทียบกับบรรดากล้วยแต่ละชนิดแล้ว กล้วยหอมเป็นตัวเลือกที่ดีที่สุดในการควบคุมน้ำหนัก ด้วยปริมาณน้ำตาลที่น้อยกว่า และยังช่วยให้อิ่มท้องด้วย
  • มะนาว เพราะรสชาติเปรี้ยวของมะนาว เมื่อปั่นเครื่องดื่มแล้ว จะช่วยตัดรสฝาดให้มีรสชาติที่ดีขึ้น และเป็นอีกทางเลือกที่ดีเพื่อทดแทนผลไม้ที่มีรสเปรี้ยวอย่าง ผลไม้ตระกูลเบอร์รี่

ว่าแล้วก็มาปั่นสมูทตี้ไม่อ้วนกันเลย

1. สมูทตี้สีเหลือง-ส้ม ที่อุดมไปด้วยสารเบต้าแคโรทีน ฟลาโวนอยด์ และลูทีน ช่วยบำรุงสายตา และระบบการหมุนเวียนโลหิตและหัวใจ รวมทั้งช่วยเรื่องระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายด้วย

  • นมอัลมอนด์+น้ำผึ้ง+กล้วย+กีวี่
  • น้ำผึ้ง+กล้วย+แอปเปิ้ล+ส้ม
  • กล้วย+แอปเปิ้ล+ส้ม+แครอท

สมูทตี้

2. สมูทตี้สีแดง อุดมไปด้วยสารไลโคพีน ซึ่งเป็นสารต้านอนุมูลอิสระได้ดีกว่าวิตามินอีและกลูต้าไธโอนมากกว่า 100 เท่า จึงช่วยทำให้ผิวพรรรเปล่งปลั่ง และอ่อนเยาว์

  • มะนาว+แอปเปิ้ล+ส้ม+สตรอเบอร์รี่
  • นมอัลมอนด์+น้ำผึ้ง+มะเขือเทศ+สตรอเบอร์รี่
  • กล้วย+มะนาว+แตงโม

สมูทตี้

3. สมูทตี้สีเขียว อุดมด้วยสารคลอโรฟิลล์ ช่วยต้านอนุมูลอิสระ และยังซ่อมแซมเซลล์เพื่อป้องกันเซลล์ไม่ให้ถูกทำลาย

  • กล้วย+น้ำผึ้ง+กีวี่+แอปเปิ้ลเขียว
  • กล้วย+แอปเปิ้ลเขียว+แตงกวา
  • นมอัลมอนด์+มะนาว+แตงกวา+สับปะรด

สมูทตี้

4. สมูทตี้สีม่วง อุดมด้วยสารแอนโทไซยานิน มีส่วนช่วยในการชะลอการเสื่อมของเซลล์ ซ่อมแซมระบบหมุนเวียนเลือดที่มีผลต่ออัตราเสี่ยงในการเกิดโรคหัวใจและเส้นเลือดอุดตันในสมอง

  • มะนาว+แอปเปิ้ล+บีทรูท+แครอท
  • นมอัลมอนด์+กล้วย+บลูเบอร์รี่
  • กล้วย+แอปเปิ้ล+บลูเบอร์รี่+สตรอเบอร์รี่

สมูทตี้ไม่อ้วน

5. สมูทตี้สีขาว ช่วยซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอในร่างกาย เพื่อให้เซลล์แข็งแรง ลดระดับน้ำตาลและไขมันในเลือด เพื่อป้องกันเส้นเลือดอุดตัน

  • นมอัลมอนด์+น้ำผึ้ง+กล้วย
  • นมอัลมอนด์+น้ำผึ้ง+งาขาว+ลูกเดือย
  • นมอัลมอนด์+กล้วย+แอปเปิ้ล

สมูทตี้ไม่อ้วน

ข้อมูลประกอบอ้างอิงจาก thaihealth / ภาพจาก Pixabay/ Pinterest

อ่านบทความเพิ่มเติม

มิกซ์ให้แมทช์ทรงผมเจ้าสาวกับชุดแต่งงานในฝัน สวยเป๊ะทุกองศา

รวม 20 แบบ ผมเจ้าสาว เกล้ามวย สำหรับเจ้าสาวทุกลุคแบบจัดเต็ม!

5 เคล็ดลับสวยจากภายในเปล่งประกายสู่ภายนอกในวันแต่งงาน

คู่ข้าวใหม่ปลามันต้องรู้ 8 เรื่องสำคัญบ่อนทำลายชีวิตหลังแต่งงาน

การแต่งงาน เป็นเพียงแค่การเริ่มต้น เพราะ ชีวิตหลังแต่งงาน นั้นมีอะไรที่คุณและคนรักยังต้องเรียนรู้กันอีก

ก่อนการแต่งงานหลายคู่วาดภาพการใช้ชีวิตคู่ซะสวยหรู แต่เอาเข้าจริงกลับไม่เป็นอย่างที่ฝัน กว่าจะรู้ตัวก็เรียกได้ว่า ครอบครัวเกือบพัง ซึ่งถ้าคุณกำลังจะแต่งงานและไม่อยากเจอสภาพแย่ๆ เหมือนคู่ที่ชีวิตคู่ไม่เป็นอย่างฝันละก็ แพรว wedding อยากให้ลองเช็คความสัมพันธ์ของคุณตอนนี้เลย ถ้ามีข้อใดเข้าข่ายละก็ มาลองปรับเปลี่ยนตัวเองกันดีกว่า เพื่อที่ ชีวิตหลังแต่งงาน ของคุณและคนรักจะได้ราบรื่นยืนยาว 

1. ไม่ให้ความสำคัญกับคู่ชีวิตเป็นอันดับต้นๆ

การแต่งงานไม่ใช่การเข้าคุกหรือโรงเรียนประจำ ดังนั้นคุณจึงยังคงมีอิสระในการใช้ชีวิตส่วนตัว เพียงแต่ว่าคุณควรต้องให้ความสำคัญกับคู่ชีวิตที่คุณเลือกมาเป็นอันดับต้นๆ จะไปไหนทำอะไรขอให้คิดถึงอีกคนเสมอว่า การตัดสินใจของคุณจะมีผลกระทบอะไรกับความรู้สึกของอีกฝ่ายไหม หรือทำอะไรไปแล้วอีกคนรู้เป็นคนหลังๆ ก็ไม่ค่อยเวิร์คนะคะ ซึ่งถ้าคุณนึกอยากจะทำอะไรก็ทำแบบนั้นละก็ ชีวิตแต่งงานไม่แคล้วมีปัญหาชัวร์

2. สื่อสารความในใจกันน้อยเกินไป

คู่ที่คุยกันน้อยเหลือเกินเป็นคู่ที่เสี่ยงชีวิตคู่พังค่ะ เพราะความคิดและความรู้สึกไม่ได้ถูกถ่ายทอดให้อีกฝ่ายได้รับรู้ ซึ่งถ้าคุณไม่พูด เอาแต่เก็บกดไว้ในใจ แล้วคิดว่าชินซะแล้ว ความในใจที่มี ความอึดอัดที่เกิดจะมีใครรู้แล้วจะช่วยกันแก้ปัญหาได้ยังไงล่ะจริงไหม

3. ไม่รู้จักรักษาความลับ

เรื่องในบ้านก็ควรอยู่แต่ในบ้าน เรื่องส่วนตัวระหว่างคุณกับเขาก็ไม่ควรนำออกไปเม้า ยิ่งเป็นเรื่องความลับที่คุณก็รู้อยู่แล้วว่าเขาเองคงไม่ชอบแน่นอนที่คนนอกจะรู้เรื่องนั้นๆ ยิ่งต้องเก็บให้มิด ไม่ใช่เที่ยวได้บ่นกับเพื่อนๆ เพราะคิดแค่ว่าต้องหาที่ระบาย ระวังเถอะ เขารู้ว่าคุณเอาไปเม้าเมื่อไหร่ คุณจะไม่ได้รู้อะไรจากเขาอีกเลย ซึ่งถ้าวันหนึ่งเขาไม่คิดจะพูดอะไรให้คุณรู้อีกเลย ครอบครัวของคุณจะยังเป็นครอบครัวอยู่ไหมล่ะ

4. ความสัมพันธ์ที่ไม่ดีระหว่างคุณกับครอบครัวของอีกฝ่าย

อย่างที่เคยบอกไปล้านๆ ครั้งแล้วว่า การแต่งงานไม่ใช่เรื่องของคนสองคนเท่านั้น โดยเฉพาะในสังคมไทยที่การแต่งงานคือการรวมความสัมพันธ์ 2 ครอบครัวเข้าไว้ด้วยกัน ฉะนั้นถ้าคุณมีความสัมพันธ์ที่ไม่ดีกับครอบครัวอีกฝ่าย แล้วคุณคิดหรือว่าชีวิตครอบครัวของคุณจะสมูทได้

5. ไม่เคยเอ่ยปากขอโทษและยอมรับความผิด

อย่าทำตัวปากหนักประเภทว่ารู้ว่าตัวเองผิดอยู่เต็มอกแต่ก็ไม่เอ่ยปากขอโทษเพื่อแสดงความรับผิดชอบ เพราะสำหรับชีวิตคู่ การยอมรับในสิ่งที่ตัวเองทำพลาดไป และรู้จักเอ่ยคำขอโทษออกมาจากใจ จะช่วยให้คุณได้รับความเข้าใจและให้อภัยได้มากกว่าการทำฟอร์มและปล่อยให้อีกฝ่ายคิดว่า ช่างเถอะ เขาก็เป็นแบบนี้

6. ไม่เคยพูดขอบคุณ

จะยากตรงไหนแค่เอ่ยปากขอบคุณในสิ่งที่อีกฝ่ายทำให้กัน ไม่ว่าจะเป็นเรื่องเล็กๆ น้อยๆ หรือเรื่องใหญ่โต เพราะอีกฝ่ายจะสัมผัสได้ถึงการรับรู้ต่อสิ่งที่เพียรดูแลและทำให้  แต่ถ้าคุณไม่เคยพูดออกจากปากว่า ‘ขอบคุณ’ คนที่ทำให้จะรู้สึกหมดแรง หมดกำลัง และอาจคิดไปไกลว่า สิ่งที่ทำให้มีคุณค่าอะไรบ้างไหมเนี่ย

7. หึงหวงเกินเหตุ

หึงได้หวงได้ แต่ขอให้อยู่ในความพอดี เพราะถ้ามากไปละก็ อีกฝ่ายจะรู้สึกได้ถึงคำว่า ไม่เชื่อใจกันเลยหรือไง ซึ่งจริงๆ แล้วอีกฝ่ายอาจไม่เคยทำอะไรผิดเลยสักนิด แต่คุณก็หึงหวงมากไปและพาลจับผิดสารพัดจนอีกฝ่ายอึดอัดและทำให้ความสัมพันธ์ระหว่างกันย่ำแย่โดยไม่รู้ตัว

8. ไม่แน่ใจว่าที่รู้สึกเรียกว่า รักหรือเปล่า

ข้อนี้ออกจะร้ายกาจรุนแรงอยู่สักหน่อย ถ้าอยู่ๆ คุณเกิดตอบตัวเองหรือแม้แต่คนอื่นไม่ได้ว่า ความรู้สึกของคุณที่มีกับอีกฝ่ายยังสามารถเรียกว่า ‘รัก’ ได้เหมือนเดิมไหม เพราะมีหลายคู่ที่อยู่ๆ แล้วรู้สึกเฉยๆ ให้อยู่ด้วยกันก็อยู่ได้อะไรแบบนั้น ซึ่งถ้าคุณได้คำตอบว่า ้ตัวนะว่า ยังคงใช้ตำว่า ัมผัสได้ถึงการกันไปแล้วความรู้สึกรักในตอนก่อนแต่งงานหายไปโดยไม่รู้ตัว ซึ่งถ้าค้นพบว่าคำๆ นี้ไม่อยู่แล้วจริงๆ ลองถามตัวเองค่ะว่า จะทำให้ความรู้สึกนั้นกลับมาได้ไหม และถ้าไม่ได้ ชีวิตคู่ที่ดำรงอยู่ตอนนี้จะไปในทิศทางไหน

ไม่ว่าคุณจะเผชิญกับเรื่องบ่อนทำลายชีวิตคู่หนักหนาสักแค่ไหน ถ้าคำว่า รัก ยังอยู่ เชื่อเถอะค่ะว่า อะไรๆ ก็จะผ่านไปได้ เชื่อแพรว wedding นะคะ

ภาพ : www.huffingtonpost.com

อ่านบทความเพิ่มเติม

เมื่อแฟนทะเลาะกับพ่อแม่ แล้วคนกลางอย่างเราจะวางตัวอย่างไร?

ว่าที่ลูกสะใภ้รู้ไว้ก็ดีจะได้ทำตัวถูกกับ 4 นิสัยพื้นฐานของพ่อสามี

เฉลิมฉลอง “วันจูบสากล” ด้วย ข้อดีของการจูบ ที่คู่รักอาจยังไม่รู้!!

5 หัวใจหลักสานฝันวันวิวาห์ให้การจัดงานแต่งงานออกมาได้สมดั่งใจ

เชื่อว่าบ่าวสาวร้อยละร้อยมีภาพงานแต่งในฝันอยู่ในใจ และส่วนใหญ่ไม่รู้ว่าจะต้องทำอย่างไรให้การ จัดงานแต่งงาน “ภาพฝัน” นั้นกลายเป็น “ภาพจริง” แพรว wedding จึงรวบรวมเทคนิคเสก งานแต่งในฝัน จากกูรูวงการเวดดิ้งทั้งไทยและเทศ ยำรวมกับประสบการณ์จากเจ้าสาวรุ่นพี่มาเสิร์ฟให้คุณถึงที่กันเลยทีเดียว


ในการ จัดงานแต่งงาน มีสิ่งหลัก ๆ ที่คุณต้องจัดการให้อยู่หมัด
 ตามนี้

1. BUDGET

เป็นสิ่งสำคัญอันดับแรกในการบันดาลงานแต่งในฝันของคุณ แต่ก็ไม่ได้โหดร้ายถึงขนาดว่าถ้าไม่มีเงินถุงเงินถังจะจัดงานแต่งแบบที่ชอบไม่ได้ คุณยังจัดได้ เพียงแต่ต้องใช้แรงกาย + แรงสมองมากหน่อยเพื่อทดแทนแรงเงินที่ขาดไปเพื่อไม่ให้เกิดอาการงบบานปลายจนถึงขั้นกลายเป็นหนี้สิน แนะนำให้ตั้งงบประมาณรวมสำหรับงานแต่งขึ้นมาก่อน อย่าลืมเผื่อเหลือเผื่อขาดไว้ด้วยว่าจะเกินงบได้กี่เปอร์เซ็นต์ แล้วค่อยปรับ “งานในฝัน” กับ “งบจริง” ให้สัมพันธ์กัน เพราะถ้าความฝันสวนทางกับความจริงแบบสุดกู่ก็คงต้องฝันกันต่อไปนะจ๊ะ

เทคนิคง่ายๆ คือ

  • ตั้งงบขึ้นมาก้อนหนึ่งและมีตัวเลขไว้ในใจว่าจะเกินงบได้กี่เปอร์เซ็นต์
  • แบ่งค่าใช้จ่ายในการจัดงานออกเป็นส่วนต่าง ๆ เช่น ค่าสถานที่ ค่าอาหาร ค่าตกแต่ง ค่าชุด ค่าแหวน ค่าการ์ด ฯลฯ แล้วดูว่าอะไรคือสิ่งสำคัญที่สุดที่คุณจะเทงบให้ อะไรรองลงมา และอะไรที่คุณไม่ซีเรียส
  • เกลี่ยงบประมาณตามลำดับความสำคัญ เช่น บางคู่ไม่ขออะไรมาก แค่มีดอกไม้ฟูเต็มงานก็แฮ็ปปี้แล้ว ก็อาจต้องเทงบไปที่การตกแต่ง ขณะที่บางคู่เน้นอาหารจัดเต็ม อยากให้แขกอิ่มอร่อยก่อนกลับบ้านก็ต้องทุ่มงบไปที่อาหารแล้วไปลดทอนในส่วนของการตกแต่ง เป็นต้น

2. PEOPLE

อีกปัจจัยที่สำคัญพอ ๆ กับเรื่องเงินคือคน โดยเฉพาะถ้าความฝันของคุณไม่ถูกระเบียบงานแต่งมาตรฐานอย่างงานดอกไม้สวยหวาน งานหรูหราอลังการ ฯลฯ ก็มีแนวโน้มจะต้อง “เคลียร์” กับคนข้างตัวและบุพการีของทั้งสองฝ่ายให้เข้าใจ เตรียมใจไว้เลยว่าระดับความยากในการเคลียร์จะเพิ่มขึ้นตามระดับความแปลกของงานที่ต้องการจัด ซึ่งคนที่คุยด้วยยากที่สุดคือ “บุพการี”

จากการสัมภาษณ์คู่แต่งงานส่วนใหญ่มักเริ่มต้นด้วยการหา “แนวร่วม” เป็นญาติผู้ใหญ่หัวก้าวหน้า เมื่อท่านเห็นดีเห็นงามด้วยก็จะไปช่วยคุยกับคุณพ่อคุณแม่ให้ จากนั้นว่าที่บ่าวสาวค่อยเข้าไปคุยเชิงขออนุญาตและขอความเห็นใจว่า นี่เป็นงานแต่งครั้งเดียวในชีวิต อยากจัดแบบที่ชอบจริง ๆ (ไม่แนะนำให้เข้าไปแบบโต้แย้ง เพราะอาจวงแตกได้) และเมื่อท่านอนุญาตให้จัดในธีมที่เราชอบแล้วก็ควรตามใจท่านในเรื่องเล็กๆ น้อยๆ อย่างอื่นบ้าง จะได้แฮปปี้กันทุกฝ่าย เพราะถึงอย่างไรสำหรับวัฒนธรรมไทยงานแต่งก็คืองานของสองครอบครัว ไม่ใช่งานของคนสองคน

3. MANAGEMENT

เป็นหัวใจหลักในการแปลงความฝันให้เป็นความจริง ซึ่งคุณอาจเลือกใช้ตัวช่วยอย่างเวดดิ้งแพลนเนอร์ หรือลงมือเตรียมงานแต่งเองก็ได้ ถ้าเลือกใช้แพลนเนอร์ก็สบายหน่อยเพราะมีคนช่วยจัดการให้ แต่อย่างไรก็ต้องมีแผนการทำงานร่วมกันอยู่ดีเพื่อให้ทีมงานสามารถเข้าใจภาพฝันของคุณและทำออกมาได้ตรงใจ

ถ้าคุณเลือกจัดงานเองก็ไม่ต้องกังวลเรื่องภาพในใจไม่ตรงกัน แต่จะหนักหน่อยตรงที่ต้องลงมือแพลนงานและจัดการติดต่อซัปพลายเออร์เองทั้งหมด ซึ่งแม้จะดูเป็นเรื่องใหญ่และยุ่งยาก แต่เราเชื่อว่าไม่เกินความสามารถของผู้หญิงอินเลิฟอย่างแน่นอน… เรามีทิปส์ที่จะช่วยให้คุณจัดระเบียบชีวิตช่วงเตรียมงานแต่งได้ดีขึ้น ดังนี้

เทคนิคง่ายๆ คือ

  • การหาเรเฟอเรนซ์เป็นภาพจะช่วยให้ฝันของคุณชัดขึ้นว่า จริง ๆ แล้วอะไรคือสิ่งที่คุณต้องการ อะไรคือการทำตามๆ กันมาหรือตามกระแส และช่วยให้คุณตัดสิ่งที่ไม่ใช่ได้ง่ายขึ้น สามารถสรุปธีมงานได้อย่างมีเอกภาพ ไม่สะเปะสะปะ
  • การประเมินว่าอะไรเป็นไปได้หรือไม่ได้จากงบ และความสามารถของตัวเองว่า “เอาอยู่” แค่ไหน จะช่วยให้คุณไม่ล้มละลายและไม่กลายเป็น Bridezilla จากการวิตกว่าจะจัดงานออกมาได้ไม่ดี
  • การสรุปธีมงานที่ชัดเจน ตัดสิ่งที่ไม่ใช่และเป็นไปไม่ได้ออก จะช่วยให้คุณเตรียมงานได้อย่างมีทิศทาง งานออกมาดูดีมีคอนเซ็ปต์ ไม่เลอะเทอะ
  • การลิสต์สิ่งที่ต้องทำออกมาเป็นข้อๆ แล้วจัดลำดับความสำคัญว่าต้องทำอะไรก่อน – หลังให้แมตช์กับระยะเวลาที่มี จะช่วยให้คุณวางแผนการทำงานได้เหมาะสม ไม่เครียด ไม่นอยด์ และไม่ลนลานในช่วงท้ายๆ

4. GURU’S ADVICE

อย่างที่เกริ่นไปว่า แม้จะตัดสินใจจ้างเวดดิ้งแพลนเนอร์มาช่วยจัดงาน แต่คุณก็ยังต้องมีเทคนิคในการทำงานร่วมกัน เพื่อให้ทีมงานสามารถเนรมิตงานแต่งในฝันออกมาได้ตรงใจ และเราแนะนำว่าคุณต้องมี 3 ข้อนี้ในใจก่อนเดินเข้าไปหาแพลนเนอร์

เทคนิคง่ายๆ คือ

  • มีความชัดเจน ว่างานแต่งในฝันคุณเป็นอย่างไร ชอบสีไหนก็ต้องระบุให้เห็นภาพ เพราะแต่ละสีมีเป็นสิบเฉด เราแนะนำว่า ควรมีภาพเรเฟอเรนซ์ประกอบการคุย รับรองชัดชัวร์!
  • บ่าวสาวตกลงกันมาก่อน ไม่ใช่ต่างคนต่างมีความฝันของตัวเองและไม่มีใครยอมลงให้ใครเลย
  • บอกงบประมาณที่ตั้งไว้ เวดดิ้งแพลนเนอร์จะได้ปรับสเกลงานตามงบที่มี ไม่ต้องมาตัดส่วนโน้นส่วนนี้ออกทีหลังให้วุ่นวาย และคุณเองก็ไม่ต้องกระเป๋าฉีกด้วย บางคนอาจเขินว่างบน้อย ไม่กล้าพูดออกมา แนะนำให้คุยตรง ๆ ไปเลยว่ามีงบเท่านี้ อยากได้งานแบบนี้ คุณทำได้ไหม ถ้าทำได้ก็จบ แต่ถ้าไม่ได้ก็ไม่ต้องเสียเวลากันทั้งสองฝ่าย อีกกรณีคือสามารถทำได้แต่ต้องลดทอนบางส่วนลงเพื่อให้เหมาะกับงบ ถ้าคุณโอเคก็ค่อยไปคุยกันในรายละเอียดอีกครั้ง

5. THE OUTDOOR WEDDING GUIDE

นอกจากงานแต่งหรูหราราวกับเจ้าหญิงแล้ว งานเอ๊าต์ดอร์น่ารักๆ ไม่ว่าจะริมทะเลหรือในสวนก็เป็นอีกหนึ่งความฝันของสาวๆ ส่วนใหญ่ ถ้าคุณเป็นหนึ่งในนั้นอย่ามองข้ามสิ่งเหล่านี้

เทคนิคง่ายๆ คือ

  • มี Plan B รองรับเสมอ อย่าได้ไว้ใจสภาพอากาศเมืองไทยในภาวะโลกร้อนเด็ดขาด อาจเช่าเต็นท์โดมสีขาวแล้วจัดที่นั่งไว้ หรือจองสถานที่จัดงานเอ๊าต์ดอร์ที่มีฮอลล์หรือห้องประชุมเล็กๆ ในตัว เพราะถึงฝนไม่ตกแขกที่รู้สึกร้อนก็สามารถเข้ามานั่งพักได้
  • เลือกการตกแต่งให้เหมาะกับสถานที่และอากาศ ถ้าจะจัดดอกไม้สดต้องเลือกที่ทนร้อนทนลม หรือมีเทคนิคในการดูแลให้สดชื่นได้จนจบงาน หรืออาจใช้วัสดุอื่นมาผสมผสาน เช่น ต้นไม้จริง งานโครงสร้าง ดอกไม้ประดิษฐ์ริบบิ้น คริสตัล ฯลฯ
  • ไม่ควรดำเนินช่วงพิธีการยาวมากนัก เพราะด้วยสภาพอากาศที่ร้อนชื้นอย่างบ้านเรา แขกที่แต่งสวยมาเต็มพิกัดอาจรู้สึกไม่สบายตัวนัก ถ้าต้องอยู่กลางแจ้งตั้งแต่ช่วงเย็นจนดึกดื่น
  • ใส่ใจรายละเอียด หากคุณจัดงานเอ๊าต์ดอร์บนสนามหญ้าจริงหรือพื้นทราย ให้นึกถึงแขกผู้หญิงที่จะต้องเดินเขย่งตลอดงาน เพื่อไม่ให้ส้นรองเท้าจมดินหรือทราย เชื่อเถอะว่าแม้คุณจะระบุสถานที่ในการ์ดแล้ว ก็ยังจะมีบางนางที่ยอมสวยสู้ตาย ถ้าคุณแคร์พวกเธออยู่บ้างอาจหาวัสดุปูพื้นไว้สักโซนหนึ่งเพื่อให้แขกสาวๆ ได้ยืนสวยๆ กันแบบไม่ลำบากสังขารนัก นอกจากนี้ควรจัดให้มีร่ม เต็นท์ พัดลม และตู้แช่เครื่องดื่มเย็นจัดไว้บริการแขกตามจุดต่างๆ ด้วย
  • แจ้งให้ทีมแคเทอริ่งรู้ล่วงหน้า ว่าเราจะจัดงานเอ๊าต์ดอร์ในช่วงเวลากี่โมงถึงกี่โมง ทีมงานจะได้เซตเมนูที่เหมาะสม เพราะอาหารบางอย่างไม่เหมาะที่จะตั้งไว้กลางแจ้งนานๆ เช่น อาหารที่บูดง่าย ละลายง่าย หรือ น้ำหนักเบา (อาจปลิวได้)

cr : janawilliamsphotographyblog.com, serendipitygardenweddings.com

อ่านบทความเพิ่มเติม

รวมของที่ต้องมีในภาพพรีเวดดิ้ง อยากให้ภาพสวยงามมีสตอรี่ต้องทำตาม

30 ข้อผิดพลาดที่หนุ่มๆ พึงระวังเมื่อต้องอยู่ในสเตตัส “เจ้าบ่าว”

ไอเดียจัดงานแต่งตาม Pantone2020 สี Classic Blue ธีมงานแต่งงานสีกรมท่าสุดคลาสสิค

แจกผังขบวนขันหมากจีนขนานแท้ฉบับเต็มรูปแบบ

มาแล้วววววว ตามคำเรียกร้องของบ่าวสาวลูกหลานชาวจีนที่อยากจะได้ความชัวร์ในการจัด ขบวนขันหมากจีน ขนานแท้ วันนี้เราออกสืบเสาะ สัมภาษณ์และวาดผังออกมาเป็นภาพที่เข้าใจง่ายๆ แค่จัดตาม ก็แห่เข้าบ้านว่าที่เจ้าสาวได้แล้วค่ะ

ก่อนที่ว่าที่บ่าวสาวจะเริ่มอ่านและทำความเข้าใจผังขบวนขันหมากจีนด้านล่างนี้ เราขอบอกก่อนว่า นี่คือการจัดผังขบวนขันหมากจีนขนานแท้ที่ไม่มีการนำรูปแบบขันหมากไทยเข้ามาประยุกต์นะคะ ฉะนั้นบางอย่างที่เคยคุ้นจากประเพณีแต่งงานไทยหรือไทย-จีนอาจมีการลดทอนหรือเพิ่มเติมค่ะ

นำขบวนด้วย “เถ้าแก่” ไม่ต่างจากประเพณีไทยที่ให้เถ้าแก่เป็นคนนำขบวนค่ะ แต่สำหรับเถ้าแก่งานแต่งจีนแท้ๆ ไม่ต้องมีการถือซองเพื่อผ่านด่านประตูเงินประตูทองแต่อย่างใด เนื่องจากคนจีนไม่ได้มีธรรมเนียมการกั้นประตูเงินประตูทองเป็นทิวแถวอย่างเช่นคนไทย แต่ก็สามารถกั้นได้ แค่ต้องรอจนกว่าจะเสร็จพิธีสวมแหวนหมั้นเสียก่อน ฉะนั้นเถ้าแก่สามารถเดินอย่างสง่างามพร้อมรอยยิ้มนำขบวนมาได้เลยค่ะ

ต่อด้วย “คุณพ่อและคุณแม่ฝ่ายชาย” เดินนำหน้าลูกชายคนดีที่กำลังจะเป็น “เจ้าบ่าว” ซึ่งเช่นกันกับเถ้าแก่คือ ไม่มีการถืออะไรในมือ แม้แต่ว่าที่เจ้าบ่าวก็ไม่ต้องถือพานธูปเทียนแพนะคะ หลังจากนี้ไปจะเป็นข้าวของในขบวนขันหมากที่จำเป็นต้องมีตามประเพณีจีนเป๊ะๆ ค่ะ

1. พานแหวน คู่ พานข้าวตอก แนะนำให้วางแหวนสำหรับเจ้าสาวและเจ้าบ่าวคู่กันในหนึ่งพานจะสวยงามและลงตัวกว่าแยกพานวางไว้แต่ละวงนะคะ โดยพานที่เดินเคียงข้างคือ พานข้าวตอกสำหรับให้แขกผู้ใหญ่โปรยอวยพรให้ทรัพย์สินเพิ่มพูนค่ะ

2. พานสินสอดสำหรับใส่เงิน คู่ พานสินสอดสำหรับใส่ทอง ตามความเชื่อคนจีนที่เวลายกขันหมากสู่ของสาวต้องมีสินสอดให้ครบทั้งเงินและทอง ฉะนั้นเพื่อความสวยงามอลังการ และบอกให้ครอบครัวฝ่ายหญิงได้รู้ชัดๆ ว่าจัดสินสอดมาให้อย่างไม่น้อยหน้าใครก็จัดแยกกันไปเลยอย่างละพานได้เลยค่ะ

3. พานใส่ซองรับขวัญให้พ่อตาแม่ยาย 2 ซอง คู่  พานใส่ซองรับขวัญให้พ่อตาแม่ยาย 4 ซอง ตามประเพณีแต่งงานของชาวจีนขนานแท้ ว่าที่ลูกเขยต้องไม่ลืมเตรียมซองรับขวัญ 6 ซองนี้อย่างเด็ดขาด ซึ่งแต่ละซองมีความสำคัญดังนี้

ซองที่ 1  คือ ซองค่าน้ำนมให้แม่ยาย ซองนี้ต้องใส่เงินมากกว่าซองอื่น เพราะอย่าลืมนะคะว่า ช่วงเวลาที่แม่ยายอุ้มท้องเจ้าสาวของคุณมายาวนานและเหนื่อยกายแค่ไหน ทั้งยังมีเลี้ยงดู อบรม ให้การศึกษาจนเติบใหญ่มีความสำคัญมาแค่ไหน ฉะนั้นซองนี้สำหรับแม่ยายจึงต้องพิเศษสุดๆ โดยวางคู่กับซองที่ 2 คือ ซองค่าขาหมูให้พ่อตา ส่วนซองที่ 3 คือ ซองค่าขนมที่ฝ่ายหญิงซื้อเตรียมไว้สำหรับใช้ในพิธี ซองที่ 4 คือ ซองค่าชุดไหว้เจ้า ซองที่ 5 คือ ซองค่าตัดเย็บชุดเจ้าสาว ซองที่ 6 คือ ซองเงินเบ็ดเตล็ด วางไว้ในพานเดียวกัน

4. ถาดส้ม 24 ผล คู่ ถาดส้ม 24 ผล โดยปกติแล้วจำนวนส้มจะอยู่ที่แต่ละบ้านกำหนด แต่ต้องเป็นเลขคู่เสมอ และนิยมเริ่มต้นที่ ถาดละ 24 ผลรวม 2 ถาด 48 ผล เดินเคียงกัน แต่ไม่นิยมรวมแล้วได้ 24 ผล หรือ ถาดละ 12 ผล นะคะ เพราะเลข 1 ถือเป็นเลขคี่ ส่วนว่าจะเพิ่มจำนวนส้มมากกว่า 48 ผลได้ไหม บอกเลยว่าได้ค่ะ แต่ต้องเป็นเลขคู่ จากนั้นเบิ้ลถาดเอา เช่น 96 ผล แบ่งเป็น 4 ถาดๆ ละ 24 ผล เดินเป็น 2 คู่ก็ได้ แต่อย่าลืมนะคะว่าทุกผลต้องติดตัวหนังสือ “ซังฮี้”แปลว่าคู่ยินดีเสมอ

5. ถาดขนมสี่สี 2 กล่อง คู่  ถาดขนมสี่สี 2 กล่อง ขนมแต่งงานของจีนที่ขาดไม่ได้ในขบวนขันหมาก ถูกจัดเป็นชุดๆ ไว้ในกล่องเรียบร้อยแล้ว ในหนึ่งกล่องประกอบด้วย ขนมเหนียว, ขนมเปี๊ยะ, ขนมถั่วตัดและขนมโก๋เคลือบงา ติดตัวหนังสือซังฮี้ เวลาเดินถือถือในขบวนขันหมาก นิยมให้ 1 คนถือ 2 กล่อง เคียงกันไปรวมเป็น 4 กล่อง

6. ถาดขนมจันอับ 1 ห่อ คู่ ถาดขนมจันอับ 1 ห่อ  ขนมจันอับถือว่าเป็นขนมที่ขาดไม่ได้ในงานแต่งงานของชาวจีน เพราะเชื่อว่าความหวานของขนมจันอับจะทำให้ชีวิตรักกันหวานชื่น เวลาเดินถือถือในขบวนขันหมาก จะต้องรวมแล้วมี 4 ห่อ แต่เพราะส่วนใหญ่ขนมจันอับจะเป็นห่อใหญ่ จึงนิยมให้ 1 คนถือ 1 ห่อ และจัดให้เดิน 2 คู่ รวม 4 ห่อ

7. ถาดหมี่เตี๊ยว คู่ ถาดหมี่เตี๊ยว สื่อถึงการอยู่ครองรักครองเรือนกันยาวนาน รักกันเหนียวแน่นยั่งยืน โดยส่วนใหญ่จัดวาง 1 ถาดต่อ 5 กิโลกรัม ห่อด้วยผ้าแดงอีกครั้งและ 1 คนถือ 1 ถาดค่ะ

8. เหล้าจีน 2 ขวด คู่ เทียนแดง 2 คู่ เหล้าจีนถือเป็นเหล้ามงคลที่แสดงว่าต่อไปนี้เราคือครอบครัวเดียวกัน จึงร่วมกันดื่มเหล้านี้นั่นเอง  เดินถือคู่ไปกับเทียนแดง 2 คู่ที่วางไว้บนถาดเดียวกัน

9. ขนมเปี๊ยะ คู่ ขนมเปี๊ยะ ถือเป็นขนมแห่งความศิริมงคลที่ไม่ว่าจะเป็นเทศกาลมงคลไหน ชาวจีนจะขาดไปเสียไม่ได้ เพราะความหมายของขนมนี้คือ การส่งความปรารถนาดีระหว่างผู้รับกับผู้ให้ และยังเป็นขนมที่แสดงถึงความสามัคคีกันอีกด้วยนะคะ

10. ขนมโก๋ปลาคู่เงินทอง คู่ ต้นเซียนเช่า 1 คู่ ขนมปลาโก๋คู่นี้สื่อถึงความั่งมีของว่าที่ครอบครัวใหม่ เดินคู่ไปกับคนถือต้นเซียนเช่า 1 คู่ ซึ่งหมายถึงการปัดเป่าความไม่ดีออกไป แต่พิเศษนิดนึงที่ว่าที่บ่าวสาวต้องจำให้มั่นคือ หลังเสร็จพิธีแล้ว ฝ่ายชายจะนำกลับไปปลูกที่บ้าน

จัดครบจบทั้งเซ็ตขบวนขันหมากจีนขนานแท้เรียบร้อยแล้ว ก็ดูฤกษ์ดีเวลาเป๊ะ เริ่มก้าวเท้าออกเดินเข้าบ้านเจ้าสาวทำการสู่ขอได้เลยค่ะ

ขอขอบคุณข้อมูลจาก ร้านศรีสมบูรณ์พาณิชย์ ถนนพลับพลาไชย โทร. 0-2222-3305, 09-4409-1595 ไลน์ : hoong1595 www.srisomboon.com

อ่านข้อมูลเพิ่มเติม >>> สคริปต์งานแต่งจีน ครบถ้วนแบบม้วนเดียวจบไม่มีตกหล่นแน่นอน