รักนี้ต้องสู้หรือต้องเปลี่ยนกับ 6 นิสัยชายไทยที่ภรรยาต้องสตรอง!

ขึ้นชื่อว่าชีวิตคู่ สามี-ภรรยาก็ต้องรู้จักปรับตัว ปรับนิสัยเข้าหากัน เพื่อทำให้ความรักมั่นคงยืนยาวที่สุด แล้วยิ่งถ้าต้องมาเป็นภรรยาของชายที่มีนิสัยแบบสุดโต่งล่ะก็ศรีภรรยาคนดีก็จะต้องรับมือให้อยู่หมัด แพรวเวดดิ้งเลยรวบรวม 6 นิสัยชายไทย ที่สาวทุกชาติ (โดยเฉพาะสาวที่อยากเป็นสะใภ้ไทย) ต้องสตรองมาบอกกัน

1. ช้างเท้าหน้า

ยังมีชายไทยอีกจำนวนไม่น้อยที่ยึดติดว่าเรื่องใหญ่ๆ ในครอบครัวตัวเองต้องเป็นคนตัดสินใจ แต่ก็ไม่ได้ถึงกับไม่รับฟังความคิดเห็นของภรรยาเลย เพราะคนไทยมีความเชื่อกันว่าผู้ชายเป็นช้างเท้าหน้า ผู้หญิงเป็นช้างเท้าหลังมาแต่ไหนแต่ไร ก็เพื่อความสงบและความเป็นระเบียบเรียบร้อยของครอบครัวนั่นเอง

2. เห็นเพื่อนสำคัญกว่าแฟน

ถือเป็นปัญหาลำดับต้นๆ สำหรับผู้หญิงเลยก็ว่าได้ ด้วยความที่ผู้ชายเป็นเพศที่รักอิสระ และให้ความสำคัญกับเพื่อนก่อนเสมอ โดยมักจะให้เหตุผลว่าก็เพื่อเคยร่วมทุกข์ร่วมสุขกันมา ยังไงเพื่อนก็จะอยู่ข้างๆ เสมอ ซึงทำให้มีผู้ชายบางคนมีความคิดว่า ยอมที่จะเบี้ยวนัดแฟนได้ แต่จะไม่ยอมเบี้ยวนัดเพื่อนเด็ดขาด

3. ปากแข็ง

คุณต้องเข้าใจว่าผู้ชายเป็นเพศที่มีฐิติสูง รักศักดิ์ศรียิ่งกว่าชีวิต การที่เขาจะมาเปิดเผยมุมหวานๆ ออกมา ก็คงจะไม่ใช่เรื่องที่ง่ายนัก แต่คุณก็อย่าได้น้อยใจเพราะการที่เขาไม่ได้แสดงความรักออกมา ไม่ได้แปลว่าไม่ได้ไม่รักหรอกนะ

4. เจ้าชู้

จากผลการสำรวจของบริษัทดูเร็กซ์ ในปี 2011 พบว่าชายไทยเป็นชาติที่เจ้าชู้ที่สุดอันดับ 1 ของโลก โดยคิดเป็นร้อยละ58 (แต่นี่มันปี 2020 แล้วอาจจะมีลดๆ ลงไปบ้าง…อิอิ) ที่เป็นอย่างนี้เพราะส่วนใหญ่เกิดมาจากความรักสนุก บวกกับอาจเกิดจากการที่ฝ่ายหญิงไม่ใส่ใจ ไม่มีเวลาให้ จึงทำให้ผู้ชายต้องออกไปหาคนอื่นที่สามารถช่วยบรรเทาในสิ่งที่เขาต้องการ รู้แบบนี้แล้วสาวๆ ก็ต้องปรับปรุงตัวนะจ๊ะ

5. ใช้เงินไม่ค่อยเป็น เก็บเงินไม่ค่อยอยู่ หน้าใหญ่ใจโต

การใช้จ่ายของผู้ชายอาจทำให้คุณรู้สึกปวดหัวได้ตลอดเวลา เพราะความหน้าใหญ่ใจโต บวกกับการใช้เงินค่อยไม่เป็น ใช้เงินเกินตัวชอบสังสรรค์เลี้ยงเพื่อนฝูง เพื่อแสดงให้เห็นว่าเป็นคนใจถึง และจะไม่ยอมเสียหน้าเด็ดขาด เป็นผลทำให้คุณหนุ่มๆ เก็บเงินไม่อยู่นั่นเอง

6. อารมณ์ร้อน

ผู้ชายบางคนส่วนใหญ่มักจะมีอารมณ์ร้อนฉุนเฉียว ถึงกับมีสำนวนที่ว่า Men are from Mars, Women are from Venus. เพราะมีความเชื่อกันมาว่าผู้ชายเป็นลูกของดาวอังคาร ซึ่งเป็นเทพพระเจ้าแห่งการทำสงคราม แต่อาจเพราะประเทศไทยเป็นเมืองร้อนด้วยกระมัง เราจึงเห็นข่าวชายไทยลงมือทุบตีภรรยามากกว่าชายประเทศอื่นๆ

ทั้งหมดนี้คือ 6 นิสัยชายไทยที่ศรีภรรยาต้องสตรองให้ได้มากที่สุด เผลอๆ อาจมีนิสัยชายไทยที่ต้องรับมือให้ได้มากกว่านี้ด้วยซ้ำ แต่ถ้ายังอยากให้ชีวิตคู่ดำเนินไปได้อย่างราบลื่นก็ควรจะปรับจูนทีละเล็กทีละน้อยด้วยความเข้าใจกันนะจ๊ะ

ภาพ : www.theactkk.net

อ่านบทความเพิ่มเติม

ขอผู้ชายแต่งงาน ได้ไหม? แล้วขอยังไงไม่ให้น่าเกลียด?

จริงหรือมั่ว! ชัวร์หรือไม่? เช็คเลยกับ 7 สัญญาณบอกให้รู้ว่าเขาคนนี้คือคนที่ใช่

จะแต่งงานต้องอ่าน! 5 เรื่องอย่ามองข้ามเพื่อปีแรกของชีวิตคู่ดีงามอย่างฝัน

เช็คให้ชัวร์ก่อนคิดจะแต่งว่าอยากมี “ ชีวิตคู่ ” หรือเป็นแค่ “แฟน” กันแน่นะ?!

สาวๆ หลายคนที่คบกับหวานใจมานานปีอาจจะมีบางโมเมนท์ที่คนรอบตัวถามว่า “เห้ยแก! เมื่อไหร่จะแต่งงานซะที?” แหม…แบบนี้ก็ตอบไม่ถูกเนอะ เพราะสถานะแฟนตอนนี้ก็มีความสุขดี แต่บางครั้งในใจก็อยากขยับความสัมพันธ์ให้มันมากขึ้นไปอีกขั้น เอ้า! สับสนกับตัวเองไปอีกว่าอยากจะให้เขาเป็นแค่ “แฟน” หรืออยากเปลี่ยนให้เขาเป็น “สามี” กันแน่ เอาเป็นว่าไม่ต้องปรึกษาใคร ถามใจตัวเองก่อนดีกว่าว่า อยากจะขยับสถานะใช้ ชีวิตคู่ และพร้อมรับการเปลี่ยนแปลงเหล่านี้หรือยัง?

1. “สามี-ภรรยา” กับ “แฟน” ไม่เหมือนกัน!

สามคำนี้มีความรักเป็นตัวตั้งเหมือนกันแต่ว่าต่างกันมากมาย เพราะในขณะที่คุณอยู่ในสถานะแฟน การใช้ชีวิตยังเป็นแบบชีวิตใครชีวิตมัน นึกจะโกรธกัน ทะเลาะกัน แล้วหันหลังให้กันก็ย่อมได้ แต่เมื่อไหร่ที่คุณอยู่ในสถานะสามี-ภรรยา นั่นหมายความว่าคุณทั้งคู่คือส่วนหนึ่งของกันและกัน เป็นครอบครัวเดียวกัน มีปัญหาต้องช่วยกันแก้ไข ทะเลาะกันก็ต้องหันหน้ามาปรับความเข้าใจ ไม่สามารถหันหลังแล้วทางใครทางมันได้ง่ายๆ เหมือนตอนเป็นแฟนแล้วนะ

2. ความรับผิดชอบที่มากขึ้นกว่าเดิม!

ตอนเป็นแฟนก็รับผิดชอบตัวเองไป ต่างคนต่างอยู่คนละบ้าน เวลามีปัญหาที่อยากเก็บไว้คนเดียวจะคิดว่าเรื่องของฉันเรื่องของเธอไม่เกี่ยวกันก็ย่อมได้ อยู่คนเดียวจะถอดเสื้อผ้าวางไว้ตรงไหนก็ไม่ต้องเกรงใจใคร กินแล้ววางจานทิ้งไว้ก็สักสามวันไม่มีใครว่า แต่! แต่! แต่! เมื่อคุณแต่งงานแล้วต้องมาใช้ชีวิตอยู่ร่วมกันในบ้านหลังเดียวกัน ความรับผิดชอบระหว่างกันจะต้องมีมากขึ้นจะมา ถอดเสื้อผ้าทิ้งไว้แบบที่เคยทำไม่ได้แล้ว ถ้วยโถโอชามต้องเก็บล้างให้เป็นระเบียบ ซึ่งเรื่องนี้ไม่ใช่แค่ฝ่ายหญิงที่ต้องปรับนะคะ ฝ่ายชายก็เช่นกัน เพราะฉะนั้นถามใจตัวเองสิว่าพร้อมจะรับผิดชอบสิ่งต่างๆ ที่ต้องเปลี่ยนไปนี้ไหม?

3. พร้อมจะดูแลอีกคนหนึ่งหรือไม่?

ใครที่บอกว่าตอนเป็นแฟนกันฉันก็ดูแลเขานะ เวลาที่เขาเจ็บป่วยหรือไม่สบายฉันก็ยังหาหยูกหายาให้ อย่างนี้เรียกว่าดูแลกายค่ะ แต่ถ้าคุณคิดจะแต่งงานแค่ดูแลกายคงไม่พอ ต้องดูแลใจ ดูแลชีวิตและความเป็นอยู่ของเขาด้วย ทั้งในเรื่องอาหารการกิน เสื้อผ้า และการใช้ชีวิตในแง่อื่นๆ ไม่ได้หมายถึงการไปเป็นคนรับใช้ของเขานะคะ แต่หมายถึงการดูแลและเอาใจใส่ในรายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ ของกันและกัน แน่นอนว่าจะต้องเยอะกว่าตอนเป็นแฟนกัน แต่นั่นก็อยู่ที่คุณว่าพร้อมจะยุ่งยากเพื่อขยับความสัมพันธ์หรือเปล่า?

4. แชร์กันในทุกๆ เรื่องราว

บางครั้งคุณอาจจะมีเรื่องราวที่ไม่อยากบอกกล่าวให้เขาได้รู้ เรื่องไหนไม่ยากเล่าก็ไม่เล่า ถ้าคุณเป็นแฟนกันจะทำแบบนี้ต่อไปก็ยังได้ เพราะถือว่ายังไม่ได้ใช้ชีวิตร่วมกัน แต่เมื่อไหร่ที่คุณแต่งงานไปแล้ว เรื่องของคุณก็คือเรื่องของเขา ปัญหาของเขาคุณก็ควรจะรับรู้ ไม่ว่าจะเรื่องสุขหรือเรื่องทุกข์ก็ต้องรับรู้ร่วมกัน ดังนั้นคุณลองคิดใคร่ครวญดูสิว่า พร้อมไหมที่จะรับฟังทุกๆ เรื่องราวความรู้สึกของเขา และพร้อมไหมที่จะแบ่งปันเรื่องของคุณให้เขาฟัง

ชีวิตคู่

5. เป็นหลังบ้านที่ดี

การเป็นหลังบ้านที่ดีไม่ได้หมายความว่าต้องลาออกจากงานที่รักมาเป็นแม่บ้านแม่เรือนตามแบบฉบับหญิงไทยสมัยก่อนนะคะ แต่หมายถึง การสนับสนุนหน้าที่การงานของสามี แน่นอนว่าตอนเป็นแฟนคุณอาจไม่จำเป็นต้องออกไปสังสรรค์กับสังคมเพื่อนทำงานของเขา (ประมาณว่าไม่ชอบก็ไม่ไป) แต่ถ้าหากคุณแต่งงานไปแล้ว บ่อยครั้งที่ต้องออกงานคู่กันอย่างเลี่ยงไม่ได้ ยกตัวอย่างให้เห็นแบบชัดๆ คือ เหล่าภริยานายทหาร ตำรวจ หรือคุณนายผู้ว่าไปยันคุณนายกำนัน มีงานราษฏร์งานหลวงที่ไหนต้องไปอย่าได้ขาด แบบนี้คุณจะทำได้ไหมถามใจตัวเองดู!

6. มากกว่าคนรัก คือ ครอบครัวของเขา

ตอนเป็นแฟนกันคุณอาจจะไม่ได้สนิทหรือรู้จักกับคนในครอบครัวของเขาทุกคน รวมถึงครอบครัวเราเขาก็ไม่ได้คุ้นเคยมากนัก เรื่องนี้เป็นเรื่องธรรมดาในสถานะแฟน ไม่ต้องลงลึกกับครอบครัวฝ่ายตรงข้ามก็ได้ ต่างคนก็ต่างดูแลครอบครัวของตัวเองไป แต่เมื่อไหร่ที่ตัดสินใจจะแต่งงานจงรู้ไว้ว่า “ครอบครัวคุณก็คือครอบครัวเขา และครอบครัวเขาก็คือครอบครัวคุณ” เพราะฉะนั้นจากที่เคยดูแลแค่พ่อแม่ปู่ย่าตายายของตัวเอง คุณก็ต้องเข้าไปทำความสนิทสนม ฝากเนื้อฝากตัว ดูแลพ่อแม่และญาติผู้ใหญ่ฝ่ายสามีด้วย ใครที่คิดว่าเยอะไปไหม ฉันทำไม่ไหวหรอก แบบนี้คุณคงยังไม่พร้อมจะมีสามีแน่นอน เป็นแฟนกันต่อไปเถอะ!

7. ค่าใช้จ่ายของสองเรา

เรื่องเงินทองนับเป็นเรื่องสำคัญอีกหนึ่งเรื่องระหว่างคนรัก เวลาที่ออกไปเที่ยวหรือไปทานข้าวตอนเป็นแฟนกันก็อาจจะจ่ายใครจ่ายมัน แยกกระเป๋าสตางค์กันชัดเจน แต่เมื่อเป็นสามีภรรยากันแล้วจะถือคติเงินใครเงินมันแบบเดิมคงจะลำบาก เพราะจะมีค่าใช้จ่ายส่วนกลางระหว่างคุณสองคนที่ต้องแชร์กัน เช่น ค่าบ้าน ค่าน้ำ ค่าไฟ และค่าอื่นๆ อีกจิปาถะ เพราะฉะนั้นการวางแผนการใช้เงินก็ควรจะรอบคอบมากขึ้น ไม่ใช่ว่าอยากจะซื้ออะไรก็ซื้อได้เหมือนตอนเป็นแฟนกันนะ รวมถึงเรื่องหนี้สินของแต่ละฝ่ายด้วย คิดไตร่ตรองให้ดีนะคะว่าเมื่อแต่งงานไปแล้วคุณจะต้องเข้าไปช่วยรับผิดชอบหนี้สินส่วนนั้นด้วยหรือไม่ ถ้าไม่อยากใช้หนี้ที่ตัวเองไม่ได้ก่อก็อย่าเพิ่งแต่งงานแล้วกัน!

8. อย่าลืมคิดเรื่องลูกด้วยล่ะ

ฝ่ายชายบางคนที่อยากมีลูกก็มักจะยื่นคำขอปั๊มลูกทันทีที่แต่งงาน นี่แหละค่ะเป็นอีกหนึ่งเหตุผลที่ทำให้เหล่าสาวๆ ตัดสินใจใช้ชีวิตอยู่ในสถานะแฟนและยังไม่ยอมเซย์เยสแต่งงานซะที เพราะการอุ้มท้องทารกหนึ่งคนก็ส่งผลต่อชีวิตในหลายๆ ด้าน ใครที่คิดแบบนี้อยู่ฮีบินขอฟันธงเลยว่าคุณยังไม่พร้อมจะแต่งงานแน่นอน เป็นแฟนกันต่อไปซะเถอะ แต่เมื่อไหร่ที่คุณทั้งสองคนมีความเห็นพ้องต้องกัน เช่น ไม่อยากมีลูกทั้งคู่ หรือ อยากมีลูกด้วยกันเร็วๆ แบบนี้ก็เตรียมเปลี่ยนสถานะจากนางสาวเป็นนาง พวงสถานะว่าที่คุณแม่ไปเลยก็ได้นะคะ

ข้อดีของสถานะแฟนก็คือ คุณและเขายังคงมีพื้นที่ส่วนตัวของกันและกันอยู่ แต่ในขณะเดียวกันความสัมพันธ์ก็ยังเปราะบาง เพราะจะตัดสินใจเดินจากกันไปเมื่อไหร่ก็ได้ แต่สถานะของสามีภรรยามันจะทำให้ความสัมพันธ์ของคุณมั่นคงมากขึ้น สายใยรักเข้มแข็งขึ้นตามสถานะที่เปลี่ยน เป็นครอบครัวที่ประคับประคองกันได้ดีกว่าเดิม แต่ทั้งหมดนี้ก็แลกมาด้วยพื้นที่ส่วนตัวที่ลดน้อยลงและหน้าที่ความรับผิดชอบที่มากขึ้นกว่าตอนเป็นแฟน ลองถามตัวเองดูสิว่า คุณสบายใจที่จะอยู่ในสถานะไหน แล้วคุณก็จะได้คำตอบว่าผู้ชายที่คบอยู่นั้น คุณจะให้เขาเป็นแค่ “แฟน” หรือพร้อมจะให้เขามาเป็น “สามี” ของคุณ

ภาพ unsplash.com

อ่านบทความเพิ่มเติม

6 วิธีง่ายๆ ที่จะช่วยศึกษาดูใจ ทำความรู้จักกับคนรักของคุณให้มากขึ้น

4 เคล็ดลับมัดใจครอบครัวแฟน รับรองเห็นผลผู้ใหญ่ปลื้ม

ปล่อยให้เป็นแค่เรื่องเก่าๆ…เลิกคิดมากเรื่อง แฟนเก่า ของเขาซักทีเถอะนะ

โปรดใช้วิจารณญาณในการชม!! กับ 8 ความเชื่อฤกษ์ยามห้ามแต่ง!

เรื่องความเชื่อกับคนไทยเป็นของคู่กันมาตั้งแต่โบราณกาล จะทำพิธีมงคลแต่ละครั้งก็ต้องเลือกวันให้มั่นเหมาะ สำหรับพิธีแต่งงานนอกจากจะดูฤกษ์ดูวันที่ดีแล้ว วันไหนที่ผู้ใหญ่ท่านว่าห้ามจัดงานแต่ง แต่งแล้วชีวิตคู่จะไม่มีความสุขก็ต้องเลี่ยง เราจึงรวบรวมมาให้ดูกัน ฤกษ์ยามห้ามแต่ง มีวันอะไรบ้างที่เขาไม่นิยมจัดงานวิวาห์กัน

ความเชื่อที่ 1 ห้ามแต่งงานวันพุธ

ในทางโหราศาสตร์ “ดาวพุธ” มีวงโคจรที่ไม่แน่นอน เปลี่ยนแปลงตลอดเวลา เดี๋ยวดีเดี๋ยวร้าย เดี๋ยวช้าเดี๋ยวเร็ว ทำให้คนสมัยโบราณเชื่อกันว่าถ้าแต่งงานวันพุธจะทำให้เจ้าบ่าวหรือเจ้าสาวเกิดอาการโลเล ไม่แน่นอน อาจนำไปสู่ปัญหาการนอกใจและหย่าร้างได้

ความเชื่อที่ 2 ห้ามแต่งงานวันเสาร์

คนโบราณเชื่อกันว่าวันเสาร์เป็นวันทุกข์โทษ เป็นวันแรง หากจัดงานมงคล เช่น งานวิวาห์หรือว่าขึ้นบ้านใหม่ จะทำให้ชีวิตพบแต่อุปสรรค ครอบครัวไม่มีความสุข

ความเชื่อที่ 3 ห้ามแต่งงานวันพฤหัสบดี

วันนี้เขาถือกันว่าเป็น “วันครู” จึงมีความเชื่อว่าหากแต่งงานวันพฤหัสบดีฝ่ายชายจะแพ้ทางฝ่ายหญิง อีกทั้งยังมีตำนานเกี่ยวกับเทพเจ้าว่า พระพฤหัสบดีจัดงานวิวาห์ให้กับบุตรสาวของตน ซึ่งก็คือพระจันทร์ในวันนี้ ต่อมาพระจันทร์ไปเป็นชู้กับพระอังคาร ดังนั้นจึงเกิดความเชื่อเพิ่มมาอีกหนึ่งอย่างคือ หากแต่งงานในวันพฤหัสบดี จะทำให้ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งนอกใจไปคบชู้

ความเชื่อที่ 4 ห้ามแต่งงานวันพระ

เนื่องจากในสมัยก่อนพระสงฆ์ต้องทำวัตรร่วมกับอุบาสก อุบาสิกาตั้งแต่เช้าจรดค่ำ จึงไม่ควรนิมนต์พระไปทำกิจอย่างอื่นอีก โดยเฉพาะในวันแต่งงานที่ถือว่าเป็นวันกิเลส มีการส่งตัวเข้าหอและหลับนอนของคู่บ่าวสาว ซึ่งไม่ถูกต้องตามหลักของคนโบราณ

ความเชื่อที่ 5 ห้ามแต่งงานวันอุบาทว์

เช่น วันโลกวินาศ ซึ่งในแต่ละปีจะไม่ตรงกัน ขึ้นอยู่กับการคำนวณวันตามหลักโหราศาสตร์

ความเชื่อที่ 6 ห้ามแต่งตามวันข้างขึ้น/ข้างแรม ดังนี้

  • วันอาทิตย์ ขึ้น/แรม 12 ค่ำ
  • วันจันทร์ ขึ้น/แรม 11 ค่ำ
  • วันอังคาร ขึ้น/แรม 7 ค่ำ
  • วันพุธ ขึ้น/แรม 3 ค่ำ
  • วันพฤหัสบดี ขึ้น/แรม 6 ค่ำ
  • วันศุกร์ ขึ้น/แรม 12 ค่ำ
  • วันเสาร์ ขึ้น/แรม 12 ค่ำ

ความเชื่อที่ 7 ห้ามแต่งตามเดือนข้างขึ้น/ข้างแรม ดังนี้

  • เดือน 1 ขึ้น/แรม 2 ค่ำ
  • เดือน 2 ขึ้น/แรม 12 ค่ำ
  • เดือน 3 ขึ้น/แรม 4 ค่ำ
  • เดือน 4 ขึ้น/แรม 2 ค่ำ
  • เดือน 5 ขึ้น/แรม 6 ค่ำ
  • เดือน 6 ขึ้น/แรม 4 ค่ำ
  • เดือน 7 ขึ้น/แรม 8 ค่ำ
  • เดือน 8 ขึ้น/แรม 6 ค่ำ
  • เดือน 9 ขึ้น/แรม 10 ค่ำ
  • เดือน 10 ขึ้น/แรม 8 ค่ำ
  • เดือน 11ขึ้น/แรม 12 ค่ำ
  • เดือน 12 ขึ้น/แรม 10 ค่ำ

ความเชื่อที่ 8  ห้ามแต่งงานในเดือน 12

คนในสมัยก่อนมีความเชื่อว่าเป็นช่วงเดือนที่สัตว์ส่วนใหญ่จะหาคู่และผสมพันธุ์ อีกทั้งยังเป็นช่วงฤดูฝน อาจเกิดน้ำป่าไหลหลาก จึงเชื่อกันว่าจะเกิดความลำบากในการเริ่มต้นชีวิตคู่ ซึ่งในปัจจุบันความเชื่อเช่นนี้ก็ค่อยๆ หายไปบ้างแล้ว

หรือว่าที่บ่าวสาวจะเลือก ฤกษ์แต่งงานแบบฤกษ์สะดวกถ้าเลือกให้ดีก็เป็นมงคลได้ เช่นกันนะคะ

ข้อมูล : www.horoscope.mthai.com
ภาพ : katescreativespace.com

5 วิธีให้กำลังใจคนรักง่ายๆ ไม่ว่าจะสถานะไหนก็ทำได้เหมือนกัน

แฟน คนรัก สามี-ภรรยาไม่ว่าคุณจะอยู่ในสถานะใดต่อกันก็ตาม ต่างก็มีหน้าที่เดียวกันคือการเป็นเพื่อนคู่คิด หากคนหนึ่งมีปัญหา อีกคนก็ต้องคอยช่วยเหลือ หรือทำสิ่งที่ง่ายที่สุดและควรทำเป็นอันดับแรกอย่างการให้กำลังใจ ซึ่งเราจะสามารถ ให้กำลังใจคนรัก ได้อย่างไรกันบ้าง เรามีวิธีมาบอกกันค่ะ

คำพูดดีๆ

การให้กำลังใจด้วยคำพูดดีๆ เป็นวิธีปลอบประโลมใจคนรักที่แสนจะง่ายดาย และอีกฝ่ายก็รับรู้ความตั้งใจของเราได้ง่ายด้วย แต่ทั้งนี้คุณต้องกลั่นกรองคำพูดให้ถ้วนถี่สักนิดก่อนที่จะเอื้อนเอ่ยออกไปต้องมั่นใจว่าคำพูดของคุณจะทำให้เขารู้สึกดีขึ้น โดยอาจเป็นการพูดชมเชยเพื่อสร้างกำลังใจ หรือพูดปนตลกเพื่อให้เขาผ่อนคลายก็ได้

สัมผัสแห่งกำลังใจ

หากคุณเป็นคนพูดไม่เก่ง หรือรู้ตัวว่าปากไม่ค่อยจะดีเท่าไหร่ ลองเปลี่ยนมาให้กำลังใจคนรักด้วยการสัมผัสร่างกายของเขาแทนก็ได้ ไม่ว่าจะเป็นการกอด การหอม การจูบหรือการจับมือ รับรองว่าสัมผัสเบาๆ พร้อมแววตาห่วงใยจะช่วยสร้างกำลังใจให้เขาได้มากเลยล่ะค่ะ

ช่วยเหลือ

อย่างที่บอกไปแล้วว่าคนรักกันต้องเป็นเพื่อนคู่คิดของกันและกัน ดังนั้นการให้กำลังใจที่ดีที่สุดในยามที่เขาเจอกับปัญหาหรืออุปสรรคคือการช่วยเหลือ ทั้งช่วยคิด ช่วยแก้ไข และช่วยประคับประคองจิตใจ ไม่ว่าคุณจะช่วยได้มากหรือน้อยก็เป็นไร เพียงแสดงออกถึงความตั้งใจที่จะช่วย แค่นี้ก็ทำให้เขาก็มีกำลังใจมากขึ้นแล้ว

ของขวัญแทนกำลังใจ

ใครว่าของขวัญจะต้องให้กันเฉพาะในวันพิเศษเท่านั้น เราสามารถให้ของขวัญแก่คนรักเพื่อแสดงถึงการให้กำลังได้เช่นกัน แต่ต้องมีเทคนิคในการเลือกสักหน่อย เพื่อให้ของขวัญสื่อความหมายได้ดี เช่น หากเขาท้อแท้กับการทำงาน เราก็ให้ของใช้ที่เกี่ยวกับการทำงานของเขาเป็นของขวัญ เป็นต้น

สร้างความผ่อนคลาย

การทำให้เขาผ่อนคลายเป็นอีกหนึ่งวิธีในช่วยสร้างกำลังใจให้กับคนรัก ทั้งนี้แต่ละคนก็มีกิจกรรมที่ชื่นชอบแตกต่างกันไป คุณต้องรู้ก่อนว่าอะไรที่ช่วยทำให้เขาผ่อนคลายได้ จากนั้นก็ลงมือทำสิ่งนั้นให้เขา เช่น หากเขาเป็นคนที่มีความสุขกับการได้กินของอร่อยๆ ก็ชวนกันไปกินแก้เครียด หากเขาเป็นคนชอบทำบุญก็จูงมือกันเข้าวัด หรือหากเขาเป็นคนชอบเที่ยวก็พากันไปเที่ยวเพื่อพักสมอง

เป็นอย่างไรบ้างค่ะกับ 5 วิธีให้กำลังใจคนรักที่ เรานำมาฝากกัน ลองเลือกไปใช้กันดูนะคะ แต่ทั้งนี้อย่าลืมว่าสิ่งสำคัญที่สุดที่จะสร้างกำลังใจให้คนรักของคุณได้คือ “ความรัก” หากคุณมีความรักที่ดีต่อกัน ไม่ว่าเจออุปสรรคใดๆ ก็จะก้าวผ่านไปพร้อมกันได้อย่างแน่นอน

>> อ่านเรื่องราวเกี่ยวกับความรัก ความสัมพันธ์ และการใช้ชีวิตคู่เพิ่มเติมได้ที่นี่ คลิกเลย <<

ภาพ : www.rd.com

6 พฤติกรรมเสี่ยงทำชีวิตคู่พังไม่เป็นท่า ไม่อยากล้มเหลวต้องอ่าน!

ชีวิตคู่ ไม่ใช่เรื่องง่าย แต่ก็ไม่ใช่เรื่องยาก เพียงแค่คุณต้องเรียนรู้ที่จะเข้าใจกัน อันดับแรกคือต้องรู้ว่าพฤติกรรมไหนที่จะกลายเป็นปัญหาสะสมและส่งผลให้ชีวิตคู่ของคุณพัง ซึ่งเราลิสต์มาให้สำรวจตัวเองและคนข้างๆ กันตรงนี้แล้ว

ไม่บอกความต้องการของตัวเองให้อีกฝ่ายรู้

ไม่มีใครสามารถรู้ใจคุณได้เสียทุกเรื่อง ถึงแม้จะสนิทสนมคุ้นชินกันมาเป็นสิบๆ ปีก็เถอะ หากคุณมีเรื่องอะไรในใจก็ควรบอกออกไปให้อีกฝ่ายรับรู้ การเก็บไว้คนเดียว นอกจากจะทำให้อีกฝ่ายไม่รับรู้และไม่สนองตอบในสิ่งที่คุณต้องการแล้ว ยังทำให้คุณอึดอัดใจเสียเปล่าๆ และที่สำคัญคือเป็นต้นเหตุของความเข้าใจที่ไม่ตรงกันนั่นเอง

ไม่รับฟัง

เมื่อมีฝ่ายที่บอกก็ต้องมีฝ่ายที่ฟัง การสื่อสารถึงจะสมบูรณ์ อย่าหนีหน้าหรือหนีปัญหาด้วยการไม่รับฟังเด็ดขาด เพราะสุดท้ายคนข้างๆ คุณเขาอาจเลือกที่จะไประบายเรื่องราวต่างๆ กับคนอื่นแทน ซึ่งนั่นยิ่งทำให้ปัญหาแย่หนักไปกว่าเดิม จำไว้ว่าความเข้าใจจะเกิดขึ้นได้ต้องประกอบจากผู้พูดและผู้ฟังที่ดี ถ้าคุณและคู่ของคุณเป็นทั้ง 2 อย่างได้ รับรองว่าปัญหาต่างๆ คลี่คลายแน่นอน

ไม่ใช้เวลาร่วมกัน

การไม่ใช้เวลาร่วมกันจัดเป็นปัญหาของคู่รักในยุคสังคมโซเชียลเลยก็ว่าได้ เพราะบางคนเลือกที่จะก้มหน้าก้มตาอยู่กับโทรศัพท์ แท็บเล็ต หรือคอมพิวเตอร์ จนลืมไปว่ายังมีคนข้างๆ อยู่ด้วย ซึ่งทำให้ความสัมพันธ์ของคุณห่างเหินกันโดยไม่รู้ตัว แบบนี้ล่ะค่ะที่เรียกว่า ตัวใกล้แต่ใจห่าง แล้วก็ร้างรากันไปในที่สุด

ไม่ทำให้อีกฝ่ายรู้สึกเป็นคนสำคัญ

อย่าคิดว่าการมอบสถานะสมรสจะเป็นการการันตีความรู้สึกเป็นคนสำคัญให้กับอีกฝ่ายได้เสมอไป บางคนละเลยคนข้างกายและลืมไปว่าคุณตัดสินใจเป็นคนๆ เดียวกันแล้ว จำไว้ว่าแค่เรื่องเล็กๆ น้อยๆ ก็สร้างความน้อยอกน้อยใจให้กับอีกฝ่ายได้ การทำให้เขารู้สึกเป็นคนสำคัญนั้นง่ายมาก เพียงแค่ถ้าคุณมีปัญหาก็ปรึกษาเขาเป็นคนแรก บอกเรื่องน่ายินดีกับเธอก่อนใครๆ หรืออยากให้เขาอยู่ใกล้ๆ เพื่อเป็นกำลังใจในช่วงเวลาสำคัญ

ไม่มองข้ามข้อเสียของกันและกัน

การยอมรับข้อเสียของอีกฝ่ายเป็นคติประจำใจที่คนมีคู่ทุกคนต้องมี เพราะไม่มีใครสมบูรณ์พร้อมให้คุณได้ทุกอย่าง หากมัวแต่เก็บข้อเสียเล็กๆ น้อยๆ ของอีกฝ่ายมาคิด รับรองว่าชีวิตคู่ของคุณคงหาความสุขได้ยากแน่นอน ถ้าข้อเสียนั้นไม่ร้ายแรงจนเกินไปก็มองข้ามไปเสียเถอะ มองข้อดีเป็นภาพใหญ่ให้ชีวิตรักสดใสดีกว่า

ไม่ซื่อสัตย์และไม่ไว้ใจ

อีกฝ่ายไม่ซื่อสัตย์ ส่วนอีกฝ่ายก็ไม่ไว้ใจ ถ้าเป็นอย่างนี้รับรองว่าชีวิตคู่มีแต่พังกับพัง คู่ไหนที่กำลังเผชิญกับสถานการณ์แบบนี้ เราขอแนะนำว่าหยุดเสียเถอะค่ะ ถ้ายังอยากจะครองรักกันต่อไป แต่ถ้าให้โอกาสแก้ตัวกันหลายครั้งหลายคราแล้ว ก็คงถึงเวลาที่ต้องเลือกระหว่างทนทุกข์ใจกับสันดานที่แก้ไม่หายต่อไป หรือเดินจากไปเพื่อเริ่มต้นใหม่ให้ดีกว่าเดิม

>> อ่านเรื่องราวเกี่ยวกับความรัก ความสัมพันธ์ และการใช้ชีวิตคู่เพิ่มเติมได้ที่นี่ คลิกเลย <<

ภาพ : www.therapytribe.com a a a  a

เช็กด่วน! 8 สัญญาณปัญหาผิวหน้า ที่บ่าวสาวต้องแก้ก่อนวันวิวาห์จะมาถึง

ปัญหาผิวหน้า เป็นอีกหนึ่งสาเหตุสำคัญที่ทำให้บ่าวสาวนั้นทุกข์ไม่น้อย ยิ่งรักษาเท่าไหร่ก็ไม่หายแถมยังกลับมาเป็นปัญหากวนใจซ้ำๆ ก็แทบอยากจะเอาหน้าซุกหมอนร้องไห้กันเลยทีเดียว ถ้าอย่างนั้นจะดีกว่าไหมหากว่าที่ทั้งหลายลองมาเช็กตัวเองให้ดีอีกครั้ง ว่าปัญหาผิวเหล่านั้นแท้จริงเกิดจากอะไร แพรว wedding อยากให้ว่าที่บ่าวสาวทั้งหลายสวยหล่อสตรองแบบสุขภาพดี จึงจัดเช็กลิสต์ 10 ปัญหาผิวที่ส่งสัญญาณเป็นนัยว่าสุขภาพคุณกำลังมีปัญหามาฝาก จะมีปัญหาอะไร และคุณกำลังประสบสิ่งนั้นอยู่หรือไม่ ไปดูกันเลย

1. สิวผุดขึ้นมาเป็นดอกเห็ด

ปัจจัยที่ทำให้เกิดสิวของแต่ละคนนั้นแตกต่างกันไป ซึ่งมีงานวิจัยออกมาว่าการทานอาหารที่มีค่าดัชนีน้ำตาลต่ำจะช่วยลดสิวได้ เพราะฉะนั้นจึงควรลดหรืองดอาหารจำพวกแป้งขาว น้ำตาล หรืออาหารแปรรูปต่างๆ แล้วหันมาเพิ่มการกินผักและธัญพืชให้มากขึ้น นอกจากนี้นม ยังเป็นอีกหนึ่งสาเหตุที่อาจทำให้เกิดสิวด้วย เพราะขณะที่ระบบกำลังย่อยนมนั้นร่างกายจะผลิตฮอร์โมนที่ช่วยในการเจริญเติบโตออกมาด้วย ทำให้ฮอร์โมนเพศชายถูกผลิตเพิ่มขึ้นมาและไปกระตุ้นต่อมไขมันให้ทำงานมากขึ้น ทำให้หน้ามันและเกิดสิว อ๊ะแต่ช้าก่อนหากใครคิดที่จะเลี่ยงไปดื่มนมพร่องมันเนยแทน นั่นยิ่งหนักไปกว่านมวัวเสียอีก เพราะในนมพร่องมันเนยจะไม่มีไขมันหรือฮอร์โมนบางชนิดที่จะช่วยสร้างสมดุลสารที่ไปกระตุ้นต่อมไขมันได้เลย ทางที่ดีหันมาดื่มนมถั่วเหลือง หรือนมข้าวแทนจะดีกว่า

2. รอยหมองคล้ำใต้ดวงตาที่ผิกปกติ

การพักผ่อนน้อยหรือไม่เพียงพอไม่ได้เป็นตัวการเดียวที่ทำให้ผิวใต้ดวงตาของคุณหมองคล้ำ และไม่ว่าคุณจะบำรุงแค่ไหนก็ไม่หายสักทีล่ะก็ นั่นอาจเป็นเพราะคุณกำลังมีอาการ allergic shiners หรือโรคภูมิแพ้หวัดโดยไม่รู้ตัวอยู่ก็ได้ ซึ่งบางครั้งรอยคล้ำใต้ดวงตานี้ยังบ่งชี้ถึงการกินอาหารบางอย่างที่อาจเป็นพิษกับร่างกายด้วย เพราะฉะนั้นลองตัดสารก่อภูมิแพ้อย่างนมและเนยเป็นเวลาสัก 10 วันเพื่อดูว่ารอยคล้ำใต้ตานั้นจะลดลงหรือไม่ หากไม่ดีขึ้นแนะนำให้ไปทดสอบภูมิแพ้กับแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเพื่อดูว่าคุณมีความไวต่อสิ่งแวดล้อมใดบ้าง เช่น เชื้อรา สัตว์เลี้ยง หรือเกสรดอกไม้ ที่อาจทำให้เกิดรอยแดงหรือรอยคล้ำใต้ดวงตา

ปัญหาผิวหน้า

3. ผดเม็ดเล็กๆ คล้ายสิวแต่ไม่ใช่สิว

บางครั้งผดหรือตุ่มเม็ดเล็กๆ พวกนี้ก็มักถูกเข้าใจผิดว่าคือสิว แต่จริงๆ แล้วนั่นอาจเป็นปัญหาผิวหน้าที่กำลังจะก่อให้เกิดขนคุดก็ได้ หรืออาจเป็นเพราะการที่ร่างกายไม่ได้รับกรดไขมันที่จำเป็นอย่าง ซิงค์ หรือวิตามินเอที่เพียงพอ เพราะฉะนั้นเพื่อช่วยให้ผิวแข็งแรงขึ้น การทานโอเมก้า 3 ที่พบมากในปลาแซลมอน หรือเพิ่มแร่ธาตุซิงค์ให้กับร่างกายด้วย เมล็ดฟักทอง เมล็ดแฟลกซ์ เนื้อวัวที่เลี้ยงด้วยหญ้า (บนผลิตภัณฑ์จะแปะป้ายว่า Grass-Fed) หรือถั่วแดง ก็เป็นสิ่งสำคัญ ร่วมด้วยการกินวิตามินเออย่าง มันเทศ หรือผักใบเขียว ก็จะทำให้ผดหรือรอยแดงบนใบหน้าที่เกิดจากการอักเสบของผิวนั้นลดลงได้

4. ปากแห้งผากและลอกเป็นขุย

การที่ริมฝีปากของคุณแห้งผากจนปริแตกเลือดซิบๆ นั้นอาจจะไม่ได้เกิดจากการแพ้ลิปบาร์มเพียงอย่างเดียว แต่อาจเกิดจากอาหารที่คุณกินเข้าไปด้วย เพราะนั่นแปลว่าร่างกายของคุณกำลังขาดวิตามินบี 3 หรือซิงค์ก็ได้ ซึ่งโดยส่วนมากจะเกิดกับผู้ที่ทานมังสวิรัติหรือวีแกนได้มากกว่า เพราะวิตามินบี 3 และซิงค์จะพบมากในเนื้อสัตว์ เช่น ไก่ ตับ หรือปลา และอาหารที่มีซิงค์มากเป็นพิเศษก็อย่างเช่น ถั่วชิกพี (ถั่วลูกไก่หรือถั่วหัวช้าง) หรือเมล็ดฟักทอง ส่วนวิตามินบี 3 พบมากในถั่วลิสงและเห็ด

5. เกิดตุ่มน้ำใสๆ บริเวณริมฝีปาก

หาคุณเกิดอาการนี้ให้คาดเดาเลยว่าคุณกำลังขาดธาตุเหล็กและวิตามินบี โดยเฉพาะอย่างยิ่งวิตามินบี 2 และวิตามินบี 12 แต่ไม่ต้องตกใจค่ะ สามารถแก้ไขได้ด้วยการทานอาหารเสริมที่จำเป็นต่อการเพิ่มธาตุเหล็กและวิตามิน รวมถึงการกินผักใบเขียว ถั่ว เนื้อไก่ หรือเนื้อวัวแบบ Grass-Fed ให้มากขึ้น และเพื่อให้แน่ใจว่าร่างกายของคุณจะสามารถดูดซึมธาตุเหล็กและวิตามินได้อย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด ควรจับคู่การรับประทานกับอาหารที่มีเส้นใยสูง เช่น มะละกอ เป็นต้น

ปัญหาผิวหน้า

6. สีผิวซีดจาง ไม่มีเลือดฝาด

อาจเกิดจากอาการโลหิตจาง และการขาดวิตามินบี 12, วิตามินบี 6, โฟเลต หรือธาตุเหล็ก ซึ่งอาการเหล่านี้พบได้บ่อยในผู้ที่ทานมังสวิรัติ หรือผู้ที่รับประทานยาบางประเภท เช่น ยาลดกรดหรือยาเบาหวาน หรือผู้ที่มีการย่อยอาหารหรือการดูดซึมบกพร่อง โดยสามารถไปพบแพทย์เพื่อทดสอบภาวะโลหิตจางหรือภาวะขาดสารอาหารได้ ในขณะเดียวกันก็ต้องเพิ่มการกินผักใบเขียว ถั่วชิกพี เนื้อไก่ที่เลี้ยงแบบอินทรีย์ และเนื้อวัวแบบ Grass-Fed ด้วย

7. ผิวแห้งผิดปกติ

การดื่มน้ำเยอะๆ ไม่ใช่ทางแก้ที่ดีแค่ทางเดียวสำหรับผิวแห้ง แต่ผู้ที่มีผิวแห้งมากหรือแห้งจนกระทั่งเป็นผื่นภูมิแพ้อักเสบ ควรบริโภคไขมันไม่อิ่มตัวเชิงซ้อนอย่าง กรดไขมันโอเมก้า 3 หรือกรดไขมันโอเมก้า 6 ก็สามารถช่วยให้เซลล์ผิวกักเก็บความชุ่มชื้นไว้ได้มากขึ้น หรือหากใครอาการหนักผิวแห้งลอกเป็นขุยนั่นอาจเป็นเพราะคุณกำลังขาดวิตามินบี 3 อยู่ก็ได้

8. ริ้วรอยมาเยือนก่อนวัยอันควร

ถึงแม้ว่าเราจะไม่สามารถต่อสู้กับความชราทางผิวได้ แต่เราสามารถควบคุมหรือชะลอการเกิดริ้วรอยได้ จากการวิจัยพบว่าการขาดวิตามินซี อาจเป็นอีกหนึ่งสาเหตุที่ทำให้เกิดริ้วรอยก่อนวัยอันควร เพราะวิตามินซี ไม่ได้เป็นแค่สารอาหารที่ช่วยต้านอนุมูลอิสระเท่านั้น แต่ยังเกี่ยวข้องกับการผลิตคอลลาเจน และช่วยสร้างโปรตีนที่สำคัญต่อการซ่อมแซมส่วนสึกหรอของผิวหนังด้วย และจากการศึกษาเพิ่มเติมพบว่าการทานผลิตภัณฑ์อาหารเสริมคอลลาเจน จะช่วยเพิ่มความชุ่มชื้นให้ผิวและลดริ้วรอยได้ แต่ถึงอย่างนั้นการรับประทานวิตามินซีในระดับที่เหมาะสมก็เป็นส่วนสำคัญ เช่น มะละกอ พริกหวาน บล็อคโคลี่ สตรอว์เบอร์รี่ และสับปะรด

ภาพ : www.today.com, www.rd.com, www.wikihow.com

อ่านบทความเพิ่มเติม

6 เฉดสีเล็บเจ้าสาวทาแล้วรอดเข้ากับแหวนเพชรเม็ดงาม

ทรงผมเจ้าสาวงานเย็นแบบเกล้าหางม้า ได้ลุคเจ้าสาวสมัยใหม่สุดๆ

ว่าที่เจ้าสาวต้องรู้กับผมเจ้าสาวชุดไทยทรงไหนรอด? ทรงไหนร่วง?

รักครั้งนี้ต้องจัดการยังไง? คิดให้รอบก่อนแต่งงานกับคู่รักต่างชาติ

แน่นอนว่าเมื่อคุณตกหลุมรักใครสักคน ความพยายามที่จะเข้าเป็นส่วนหนึ่งของเขาย่อมมีมากเป็นทวีคูณ  ดังนั้นจึงไม่แปลกที่หากคุณจะเห็นดีเห็นด้วยกับทุกอย่างที่ต่างกันและคิดว่าคงจะปรับตัวไม่ยาก เราขอบอกว่า คงไม่ใช่กับ คู่รักต่างชาติ อย่างแน่นอน เพราะรายละเอียดในชีวิตที่ต่างวัฒนธรรมกันนั้นมีมากกว่าที่คิด

เริ่มต้นกันที่สิ่งพึ่งรู้เบื้องต้นว่า อะไรบ้างที่ว่าต่าง เพราะแน่นอนว่าเชื้อชาติต่างกันไม่ใช่ ปัญหาใหญ่ แต่เป็นรายละเอียดของเชื้อชาติมากกว่าคือ

1. พื้นฐานครอบครัวและการเลี้ยงดูที่ต่างกัน ส่งผลให้การปลูกฝังทางความคิดการดำเนินชีวิตต่างกัน

2. ศาสนาที่ต่างกัน ส่งผลให้ความศรัทธาและวิถีการดำเนินชีวิตต่างกัน หลักคำสอนของบางศาสนามีไว้ให้นำไปเป็นหลักยึดเหนี่ยวจิตใจ ในขณะที่บางศาสนาคำสอนนั้นถือเป็นหลักในการดำเนินชีวิต

3. ธรรมเนียม  ประเพณีและความเชื่อที่ถือปฏิบัติต่างกัน คุณอาจจะเตรียมใจรับความต่างในเรื่องนี้อยู่แล้วแต่บางเรื่องเป็นสิ่งแปลกใหม่ คุณต้องเข้าไปสัมผัสเองจึงจะรู้

4. ฐานะต่างกัน ซึ่งรวมถึงฐานะทางสังคมและเงินทอง หากฝ่ายหนึ่งสูงศักดิ์รวยล้นฟ้า แต่อีกฝ่ายด้อยกว่าในทุกด้าน ก็อาจส่งผลให้ครอบครัวของทั้งสองฝ่ายรับกันไม่ได้ แถมเมื่อฐานะต่างกันมาก สิ่งแวดล้อมของครอบครัวก็จะต่างกันตามไป ก็ คุณจะยิ่งกดดัน เจอรักแบบนี้เข้าแค่คิดก็มึนแล้ว

5. ภาษาต่างกัน ถือเป็นความต่างที่สำคัญที่สุด  การพูดคนละภาษาเป็นอุปสรรคอันดับหนึ่งของการใช้ชีวิตร่วมกัน แม้บางคู่จะลงทุนผลัดกันไปเรียนภาษาของอีกฝ่าย ก็ไม่สามารถสื่อความนัยให้ตรงกับใจได้อย่างที่คิดทั้งหมดแน่นอน

4 ขั้นตอนก่อนผลีผลามรับแต่ง “ผัวเมียนานาชาติ”

ขั้นตอนที่ 1 :

เรียนรู้ความเป็นเขาทั้งหมดเสียก่อนในทุกๆ ด้าน ขณะเดียวกันคุณจะต้องเปิดเผยความเป็นตัวเองให้กับอีกฝ่ายได้เรียนรู้ เพื่อเปิดโอกาสให้ได้รู้จักและพิจารณาความต่างจากมุมมองของเขาเช่นกัน

ขั้นตอนที่ 2 :

เรียนรู้ใจตัวเอง นำสิ่งต่างๆ ที่ได้เรียนรู้จากเขามาไตร่ตรอง ประกอบกับท่าทีของเขาที่มีต่อความต่างของคุณ ยอมรับและพร้อมจะปรับความต่างของคุณและเขาให้อยู่ตรงกลางหรือไม่

ขั้นตอนที่ 3 :

ทดลองเผชิญความจริง ในที่นี้ไม่ได้หมายถึงการอยู่ก่อนแต่ง แต่หมายถึงการเข้าไปทำความรู้จักคุ้นเคยกับสังคมและครอบครัวของเขาลองดูซิว่ารูปแบบความสัมพันธ์และการปฏิบัติตัวต่อกันของคนในครอบครัวของเขา เพราะหากคุณเข้ามาเป็นหนึ่งในนั้น คุณก็จะต้องปรับตัว

ขั้นตอนที่ 4 :

เช็คความพร้อมครั้งสุดท้าย นำข้อมูลทั้งหมดมาร่วมพิจารณาอีกครั้ง โดยมีครอบครัวของคุณเองเป็นตัวช่วยสำคัญ

สุดท้ายอย่าลืมเรียนรู้ความต่างและลองเผชิญหน้ากับความจริงก่อนตัดสินใจเข้าเป็นส่วนหนึ่งของครอบครัวนานาชาตินะคะ

อ่านเรื่องราวเกี่ยวกับความรักและความสัมพันธ์เพิ่มเติมได้ที่นี่อีกเพียบ คลิกเลย!

ภาพ : thai.livingthai.org

ผิดไหม? ถ้าเจ้าสาวจะเซย์เยสกับ ชุดแต่งงาน ชุดแรกที่เจอ!!

เมื่อได้เวลาออกตามหาชุดเจ้าสาว แบบชุดแต่งงานก็มีประมาณร้อยรูป!! บวกกับลิสต์ร้าน ชุดแต่งงาน และดีไซเนอร์ที่ยาวเป็นหางว่าว!! และแน่นอนว่าช่วงเวลาวันหยุดว่าที่เจ้าสาวจะไม่ปล่อยเวลาให้ผ่านไปโดยเปล่าประโยชน์ เพราะพวกเธอจะตระเวน ลอง ลอง ลอง ลองชุดแต่งงานเป็นว่าเล่น แพรว wedding กลัวว่าเจ้าสาวจะเหนื่อยจนหมดแรงไปซะก่อน เลยมีทริคเด็ดมาแชร์ว่า ไม่ผิดหรอกนะหากเจ้าสาวจะตัดสินใจเลือกชุดแต่งงานชุดแรกที่เจอเพียงแค่เพิ่งเซอร์เวย์ไปได้แค่ร้านเดียวเท่านั้น เพราะเรามีเหตุผลมาหักล้างความรู้สึกนั้นของเจ้าสาว ทำไมน่ะเหรอ ไปหาคำตอบกัน

ก่อนอื่นควรตั้งเป้าหมายก่อนออกไปหาชุดแต่งงาน

ค้นหาสไตล์ ตั้งงบประมาณ และหาข้อมูลชุดแต่งงานของตัวเอง จะทำให้การเลือกชุดแต่งงานง่ายที่สุด หากเจ้าสาวสามารถระบุสไตล์ของตัวเองได้อย่างชัดเจน ว่าคุณเป็นคนแบบไหน เช่น เป็นเจ้าสาวสายหวาน เปรี้ยวสุดพลัง เป็นสาวโบโฮสุดชิล หรือเป็นเจ้าสาวที่ต้องอินเทรนด์สุดๆ การโฟกัสสิ่งนี้ดีกว่าที่เจ้าสาวจะมายืนมองตัวเองหน้ากระจกว่าคุณจะดูสวยที่สุดในชุดแบบไหน

จากนั้นก็แค่มองหาชุดแต่งงานที่ไม่เกินงบประมาณที่เจ้าสาวตั้งไว้ (เข้มแข็งเข้าไว้อย่าหวั่นไหวนะคะเจ้าสาว!!) ซึ่งก่อนที่เจ้าสาวจะเดินเข้าร้านชุดต้องแน่ใจก่อนนะคะว่า คุณได้ตั้งงบประมาณเอาไว้เรียบร้อยแล้ว

เพราะฉะนั้นการทำการบ้านก่อนเข้าร้านชุดจึงเป็นสิ่งสำคัญ ว่าที่เจ้าสาวอาจจะคิดภาพในใจว่าได้ชุดแต่งงานแบบไหน โดยอาจหาภาพชุดแต่งงานที่อยากได้จากอินเทอร์เน็ต หรือแม้แต่การมีรูปภาพรายละเอียดต่างๆ ที่เจ้าสาวชื่นชอบก็ยังได้ และที่สำคัญอาจรีเช็กสักนิดว่าร้านชุดแต่งงานที่เจ้าสาวจะเข้าไปนั้นมีดีไซน์อันเป็นเอกลักษณ์หรือมีจุดเด่นที่เจ้าสาวชื่นชอบหรือตรงกับสไตล์ที่เจ้าสาวอยากได้หรือไม่ รวมไปถึงเช็กราคาด้วยว่ามีชุดแต่งงานที่ไม่เกินงบที่คุณได้ตั้งไว้หรือเปล่า แต่ละร้านมีเรทราคาอยู่ที่ประมาณเท่าไหร่ เหมาะสมกับงบประมาณที่เจ้าสาวตั้งไว้หรือไม่ เพื่อที่คุณจะได้ไม่ต้องเข้าไปให้เสียเวลาและเสียใจว่าชุดแพงจัง

และไม่แนะนำให้เจ้าสาวรีบหาชุดแต่งงานก่อนที่จะได้วันและสถานที่นะคะ เพราะทั้งสองสิ่งล้วนมีความสัมพันธ์กับชุดเจ้าสาว อย่างเช่น วันแต่งงานจะเป็นตัวกำหนดการทำงานของร้านชุดหรือดีไซเนอร์ ส่วนสถานที่จัดงานแต่งงานจะเป็นตัวกำหนดรูปแบบหรือสไตล์ของชุดเจ้าสาวได้เช่นกัน

เพราะฉะนั้นหัวใจหลักสำคัญๆ ก่อนที่จะเลือกชุดแต่งงานก็คือ วันแต่งงาน สถานที่จัดงานแต่งงาน และงบประมาณที่มี

เข้าไปลองชุดแต่งงานตามร้านต่างๆ แบบพอดีๆ

1-2 ร้านเป็นจำนวนที่พอดีที่จะทำให้ว่าที่เจ้าสาวสามารถตัดสินใจเลือกชุดแต่งงานที่ถูกใจได้มากที่สุด  ซึ่งถ้าหากว่าที่เจ้าสาวหาข้อมูลและได้ลองเข้าไปเยี่ยมชมชุดแต่งงานของทางร้านแล้ว (ไม่ว่าจะเดินทางไปด้วยตัวเองหรือชมผ่านทางออนไลน์) และพบว่าร้านดังกล่าวมีชุดแต่งงานที่เจ้าสาวกำลังมองหาอยู่ เท่านี้ก็เพียงพอแล้วที่เจ้าสาวจะนำข้อมูลเหล่านั้นมาตัดสินใจว่าชุดไหนของร้านใดที่ใช่ตัวคุณมากที่สุด เพราะยิ่งเจ้าสาวเข้าร้านชุดมากเท่าไหร่ การตัดสินใจก็ยากขึ้นเท่านั้น

ชุดแต่งงาน

ถึงเวลาหยุดเดินสายลองชุดแต่งงานสักที

เมื่อเจ้าสาวได้เจอชุดแต่งงานที่คุณคิดว่า ไม่สามารถจะตัดทิ้งจากตัวเลือกได้ ซึ่งนี่แหละค่ะคือสัญญาณที่ดีว่าชุดนี้อาจจะเป็นชุดแต่งงานที่ใช่สำหรับคุณก็ได้ ซึ่งเจ้าสาวหลายคนมักจะคิดว่าไม่ควรจะรีบร้อนตัดสินใจเลือกชุดแต่งงานชุดแรกที่เจอ แต่ถ้าหากคุณได้ลองชุดแต่งงานชุดนั้นแล้วพบว่าทั้งรูปแบบของชุด, เนื้อผ้า และช่วงเนคไลน์ นั้นไม่ว่าจะหมุนซ้ายหมุนขวาคุณก็รู้สึกมั่นใจว่าฉันสวยเหลือเกินในชุดนี้ เท่านี้คุณก็สามารถจำกัดตัวเลือกลงได้แล้ว และนี่ก็ถือเป็นสัญญาณที่ดีว่าคุณสามารถที่จะเซย์เยสกับชุดแต่งงานชุดนี้ได้แม้จะเป็นชุดแรกที่คุณเพิ่งได้ลองก็ตาม

ซึ่งการทำการบ้านเกี่ยวกับดีไซเนอร์และร้านชุดแต่งงานสำหรับเจ้าสาวนั้นเป็นสิ่งสำคัญ เพราะจะช่วยให้คุณประหยัดเวลาในการพุ่งตัวไปหาชุดแต่งงานที่ใช่ได้อย่างรวดเร็วและไม่ไขว้เขว้ และสิ่งสำคัญอีกอย่างสำหรับเจ้าสาวคือการเปิดใจยอมรับฟังคำแนะนำจากมืออาชีพที่เขาพร้อมที่จะเลือกสิ่งที่ดีที่สุดให้กับคุณเสมอ

หรือนี่คือช่วงเวลาสุดพิเศษที่ได้พบกับชุดแต่งงานในฝันแล้ว!

ถ้าเจ้าสาวสวมชุดแต่งงานชุดดังกล่าวแล้วรู้สึกมั่นใจ และเห็นภาพตัวเองในชุดนั้นยืนอยู่ในงานแต่งงานและอยู่ในภาพถ่าย และมีความรู้สึกเสียดายหากจะไม่ได้ใส่ชุดนี้ นั่นแหละคือความรู้สึกว่าคุณอาจจะต้องการชุดนี้จริงๆ ซึ่งแน่นอนว่าการตัดสินใจเลือกชุดแต่งงานชุดแรกที่เจอเป็นการตัดสินใจที่ยิ่งใหญ่ แต่ยิ่งหามากเท่าไหร่ความสับสนและตัดสินใจยากก็มากขึ้นเท่านั้น เพราะการสวมชุดแต่งงานที่มากเกินไปจะเริ่มทำให้ว่าที่เจ้าสาวแยกแยะหรือจดจำดีเทลที่สำคัญของแต่ละชุดไม่ได้

และอย่าตัดสินใจเลือกจากรูปถ่ายหากคุณไม่ได้ไปลองชุดนั้นด้วยตัวเอง เพราะชุดแต่งงานที่สวยสมบูรณ์แบบนั้นจะต้องพอดีกับรูปร่างเจ้าสาว และแน่นอนจะต้องเข้ากับเมคอัพและทรงผมที่เจ้าสาวจะทำในวันแต่งงานด้วย แต่ๆ..เราไม่ได้ให้คุณแต่งหน้าทำผมจัดเต็มไปลองชุดแต่งงานนะคะ เพียงแค่ลองแต่งหน้าอ่อนๆ เติมลิปสติกเฉดสีที่ใกล้เคียงกับเฉดสีที่คุณจะเลือกใช้ในวันแต่งงาน และเกล้าผมหลวมๆ ไปลองชุดแต่งงานก็พอ

สุดท้ายการตามหาชุดแต่งงานก็เหมือนการที่คุณตัดสินใจเลือกผู้ชายสักคนมาเป็นคู่ชีวิตนั่นแหละค่ะ เพราะอาจจะมีสิ่งที่น่าสนใจอีกมากมาย แต่ถ้าหากคุณถูกใจสิ่งหนึ่งสิ่งใดเข้าแล้วก็ไม่จำเป็นที่จะมองหาสิ่งอื่นอีก จริงไหมคะ ทำตามหัวใจเรียกร้องนั่นแหละดีที่สุด

Read More : 4 ข้อเจ้าสาวห้ามหลุดเมื่อถึงเวลาลองชุดแต่งงาน!

Cr. foreverbride.com, brides.com

5 ทริคเลือกเรือนหอให้ล้อไปกับเงินในกระเป๋าแบบภาระนี้ไม่เจ็บตัว

ปัญหาใหญ่สำหรับคู่รักที่กำลังจะซื้อบ้านคือ กลัวว่าซื้อมาแล้วเกิดปัญหาผ่อนต่อไม่ไหวบ้างล่ะ หรือกลัวหมุนเงินไม่ทันบ้างล่ะ เพระถ้าปัญหาเหล่านี้เกิดนอกจากจะโดนยึดบ้านไปอย่างน่าเสียดายแล้ว ยังโดนขึ้นบัญชีดำอีกต่างหาก ถ้าใครที่ไม่อยากประสบปัญหาเหล่านี้ แพรวเวดดิ้งมีทริคง่ายๆ สำหรับวางแผนซื้อ เรือนหอ มาฝาก รับรองว่าได้บ้านสวยแบบที่ยังคุมเงินในกระเป๋าได้

1. ตรวจเช็ครายรับรวมของสองคน

1

สิ่งแรกที่คุณทั้งคู่ควรคำนึงถึงเป็นอันดับแรกคือรายรับทั้งหมดของคุณสองคน มีอยู่เท่าไหร่และตกลงกันให้ลงตัวว่าค่าผ่อนบ้านจะจ่ายยังไง ใครเป็นคนดูแลอาจจะเอาเงินของทั้งคู่มารวมกันแล้วช่วยกันผ่อนบ้าน หรือถ้าคุณตกลงกันว่าจะให้รับผิดชอบค่าบ้านเพียงคนเดียว อีกคนก็ควรช่วยดูแลค่าใช้จ่ายอื่นๆ ด้วยนะ จะได้ช่วยกันแบ่งเบา

2. ตั้งงบประมาณในการผ่อนชำระ

2

เมื่อคุณรู้รายรับทั้งหมดของครอบครัวแล้วลำดับต่อไปคือ ดูว่าในแต่ละเดือนมีค่าใช้จ่ายเท่าไหร่ เมื่อชำระทุกสิ่งแล้วมีเงินเหลือเท่าไหร่ โดยคุณอาจจะตั้งเงินที่เหลือมาเป็นงบสำหรับผ่อนบ้านทั้งหมดเลยหรือจะแบ่งส่วนออกมาก็แล้วแต่คุณจะตกลงกับคู่ของคุณเลยจ้า

3. จับคู่บ้านกับงบประมาณให้เหมาะ

3

อย่างที่รู้ๆ กันว่าบ้านเป็นสิ่งที่มีราคาสูง สำหรับคู่ไหนที่มีงบประมาณจำกัด การเลือกที่อยู่อาศัยประเภททั้งแบบ บ้านเดี่ยว ทาวน์เฮ้าส์ ทาวน์โฮม หรือแม้แต่คอนโดมิเนียม ในโครงการที่ราคาไม่สูง ก็นับว่าเป็นทางเลือกที่น่าสนใจ ทั้งนี้บ้านในแต่ละแบบก็มีราคาที่ไม่เท่ากัน โดยปกติแล้วบ้านเดี่ยวจะมีราคาสูงกว่าบ้านแบบอื่นๆ อยู่แล้ว เนื่องจากมีพื้นที่มากกว่า อีกทั้งขนาดของบ้านและชื่อเสียงของโครงการก็เป็นสิ่งที่ทำให้บ้านมีราคาแพงได้เหมือนกัน คุณควรจะดูว่างบฯ ที่คุณมีนั้น สามารถจ่ายค่าบ้านในระดับไหนได้

4. ทำเลที่ตั้ง…มีผลต่อการคุมงบ

เรือนหอ

นอกจากชนิดของบ้านแล้ว ทำเลก็เป็นอีกหนึ่งองค์ประกอบที่มีผลกับราคาบ้าน ซึ่งแน่นอนว่าที่ดินใจกลางเมืองยังไงก็ต้องแพงกว่าที่ดินนอกเมือง คุณอาจจะเลือกหมู่บ้านแถวชานเมืองที่มีราคาถูกกว่าแทนก็สามารถช่วยประหยัดงบได้ไม่น้อยนะจ๊ะ แต่ทั้งนี้คุณจะต้องเลือกทำเลที่สามารถตอบโจทย์ความต้องการและวิถีชีวิตของคนในครอบครัวคุณด้วย โดยอาจจะยึดจากการเดินทางไปทำงานและระบบคมนาคมเป็นหลัก ซึ่งตรงนี้จะช่วยให้คุณสามารถประหยัดค่าเดินทางและค่าใช้จ่ายอื่นๆ ที่จะตามมาได้

5. ประหยัดงบอีกทางด้วยการเลือกบ้านที่พร้อมให้เข้าอยู่

5

สำหรับทริคสุดท้าย แพรวเวดดิ้งขอแนะนำว่าการเลือกซื้อบ้านแบบพร้อมเข้าอยู่ ก็เป็นอีกวิธีที่จะทำให้คุณประหยัดเงินได้ไม่น้อย เนื่องจากบ้านแบบนี้มักจะมาพร้อมกับเฟอร์นิเจอร์แต่งบ้านบางส่วน เช่น มีแอร์ให้ 2 ตัว มีเฟอร์นิเจอร์แถมบ้าง ทำให้คุณสามารถลดค่าใช้จ่ายสำหรับส่วนตรงนี้ลงไปได้

สำหรับใครที่ต้องกู้ธนาคาร แพรวเวดดิ้งขอแนะนำว่าควรจะมีเงินสำรองสำหรับใช้ดาวน์บ้านอย่างน้อย 10% ของราคาบ้าน รวบไปถึงการเลือกระยะเวลาผ่อนชำระก็มีผลต่อค่างวดที่ต้องจ่าย แน่นอนว่าใครอยากหมดเร็วก็ต้องยอมที่จะจ่ายทีละมากๆ กลับกันใครที่เลือกจ่ายทีละน้อยๆ ก็จะต้องแลกกับระยะเวลาที่นานขึ้น อีกทั้งคุณจะต้องไม่ลืมที่จะเก็บเงินสำรองฉุกเฉินสำหรับอนาคตไว้ด้วยล่ะ ไม่ใช่มีเงินเท่าไหร่ทุ่มจ่ายค่าบ้านหมด แบบนั้นเราว่ามันไม่โอเคนะจ๊ะ

นี่คือ 5 ทริคง่ายๆ ที่แพรวเวดดิ้งขอแนะนำให้ลองทำตามกันดูนะจ๊ะ เผื่อว่าจะสามารถช่วยให้คุณได้เรือนหอในราคาที่พอใจ ไม่ทำให้กระเป๋าฉีกและไม่เจอปัญหาโดนยึดบ้านเนื่องจากหมุนเงินไม่ทันอย่างแน่นอน

อ่านเรื่องราวเกี่ยวกับความรักและความสัมพันธ์เพิ่มเติมได้ที่นี่อีกเพียบ คลิกเลย!

ภาพ : www.chicagotribune.com, chinnlaw.com, ghanahouseplans.com, www.slate.com, fegelia.com, c1styourvoiceblog.com

คำถามชวนปวดหัวจะจัดงานแต่งงานรอบสองเลี่ยงไม่ได้ ควรเตรียมตัวอย่างไรดี

เมื่อพูดถึงงานแต่งงาน บ่าวสาวก็หมายมั่นอยากจะให้เป็นงานสำคัญครั้งเดียวในชีวิต แต่ชีวิตมันก็ไม่แน่ไม่นอนจริงไหมคะ เพราะบางครั้งโชคชะตาก็เล่นตลกให้เราต้องแต่งงานอีกครั้งก็ได้ ซึ่งหากเกิดเหตุการณ์นั้นขึ้นมา เชื่อว่าหลายคนก็จะมีคำถามที่ว่า แต่งงานรอบสอง จะต้องเตรียมตัวยังไงดี แน่ๆ แถมยังเลี่ยงไม่แต่งไม่ได้ซะด้วย แถมยังมีคำถามตามมาอีกเป็นกระบุงโกยว่า จะสร้างความแตกต่างยังไง? หรือแม้กระทั้งควรวางตัวอย่างไรดี? อ่ะ เอาเป็นว่า แพรว wedding มีคำตอบมาฝากค่ะ รับรองว่าตอบคำถามทั้งหมดทั้งมวลที่หลายคนสงสัยและติดค้างในใจได้แน่นอน

 

1. ระยะเวลาในการจัดงาน ห่างกันมากแค่ไหน

แน่นอนการจัดการแต่งอย่างใหญ่โต มีการเชิญแขกหลายคน ก็เป็นเหมือนการรบกวนแขกให้มางานเรา (อีกรอบ) ยิ่งถือซองเงินมาหนักๆ นี่ยิ่งควรเกรงใจค่ะ เพราะโดยปกติแล้วการแต่งงานควรจัดครั้งเดียว แต่ถ้าเลี่ยงไม่ได้จริงๆ ต้องดูระยะเวลาว่าจัดรอบสองห่างกับรอบแรกมากแค่ไหน ถ้าต่ำกว่า 5 ปี แนะนำให้จัดเป็นงานเล็กๆ จะดีกว่า เพื่อไม่รบกวนแขกให้มางานของเราเร็วเกินไป หรือจะเลือกไม่รับซองไปเลยก็ได้นะคะ

 

2. รายชื่อแขกที่จะเชิญ

อันนี้ขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของบ่าวสาวเลยค่ะ ว่าอยากจะเชิญใคร ถ้าอยากจะจัดจริงๆ แล้วลังเลว่าเชิญใครมาดี แขกเก่าๆ ญาติ หรือใครก็ตาม ซึ่งแน่นอนว่าสาเหตุที่ต้องจัดงานแต่งงานครั้งที่สองก็อาจจะมีด้วยหลายเหตุผล ไม่ว่าจะแยกทางกับรักเก่าเพราะไปต่อไม่ได้ หรือคู่รักเสียชีวิต ซึ่งถ้าเป็นอย่างหลังก็อาจจะสามารถเชิญญาติของคู่รักมาได้ แต่ถ้าเป็นข้อแรกที่ดูแล้วอาจจะลำบากใจทั้งคนเชิญและคนมาแล้วล่ะก็ เราว่าก็อาจจะแค่บอกกล่าวกันเพื่อเป็นการให้เกียรติอีกฝ่ายว่าเรายังเคารพและนึกถึงเขาอยู่ ซึ่งน่าจะเป็นผลดีมากกว่าผลเสียนะคะ

3. วางตัวอย่างไรให้เหมาะสมภายในงาน

ต้องบอกเลยว่า ถ้าตัดสินใจจัดงานแต่งรอบสองแล้ว ก็ทำตัวให้เป็นปกติค่ะ เชิญแขกมา จัดงานให้ดี อย่าสนใจว่าจะมีฟีดแบคออกมายังไง หรือคนจะมองเราในแง่ลบไหมที่แต่งงานบ่อยๆ ปล่อยไปค่ะ เพราะเราไม่สามารถจะทำให้ทุกๆ คนเข้าใจตรงกับเราได้ ขอแค่มีความสุขอยู่กับสิ่งที่อยู่ข้างหน้าก็พอแล้วเนอะ

4. ศึกษาเกี่ยวกับพิธีกรรมทางศาสนา

ควรศึกษาก่อนนะคะ ว่าแต่ละศาสนามีข้อห้ามเกี่ยวกับการจัดงานแต่งงานรอบสองหรือไม่ เช่น ศาสนาคริสต์นิกายคาทอลิก สามารถจัดงานแต่งในโบสถ์ได้เพียงครั้งเดียวเท่านั้น เพราะบ่าวสาวจะได้รับศีลสมรส ซึ่งเป็นศีลศักดิ์สิทธิ์ห้ามหย่าร้าง แต่ถ้าหย่าร้างก็ห้ามจัดงานแต่งในโบสถ์อีก เพราะคนที่แต่งไปนั้นเป็นเสมือนบุคคลที่พระเจ้าคัดสรรมาให้แล้วนั่นเองค่ะ

 

5. ควรวางตัวกับครอบครัวแฟนใหม่อย่างไรดี

น่าจะเป็นปัญหาใหญ่อยู่พอสมควรสำหรับบ่าวสาวที่จะแต่งงานรอบสอง ที่อาจจะทำไม่รู้ว่าควรจะวางตัวกับพ่อแม่ หรือญาติๆ แฟนใหม่อย่างไรดี คำตอบคือ ทำคะแนนดีๆ ไปเลยค่ะ เพราะเราเดาความคิดใครไม่ได้เลย ว่าเขาจะมองเราอย่างไร จะต้อนรับเราไหม ดังนั้นควรใช้ความดีและการวางตัวดีเข้าสู้ค่ะ ซึ่งจริงๆ แล้วการแต่งงานมาแล้วครั้งหนึ่ง ไม่ได้หมายความว่าเราเป็นคนไม่ดี เพียงแต่ด้วยเหตุผลหลายๆ ประการที่ทำให้ต้องแยกทางกัน เพราะฉะนั้นเราต้องแสดงให้เขาเห็นค่ะ ว่าเราพร้อมจะเริ่มต้นใหม่ แล้วนับหนึ่งใหม่แบบเพอร์เฟ็กต์ ถ้าผ่านจุดนี้ไปได้ รับรองว่าเจ้าบ่าวเจ้าสาวจะรักกันแบบไร้อุปสรรคใดๆ มาขวางกั้นการแต่งงานครั้งนี้แน่นอนค่ะ

อ่านจบครบ 5 ข้อแล้ว ก็ลองวางแผนกันดีๆ นะจ๊ะบ่าวสาว ว่าจะเตรียมตัวจัดงานแต่งกันอย่างไร ถ้าเลี่ยงได้ก็ควรเลี่ยงการจัดงานแต่งธีมเดิม หรือมีดีเทลแบบเดิมๆ เพราะถึงแม้การตัดสินใจของบ่าวสาวจะลงเอยด้วยดีแล้ว แต่ก็ยังเป็นเรื่องเซนซิทีฟต่อจิตใจอยู่ดีนะจ๊ะ กันไว้ดีก่อนจะดีกว่า ไม่อย่างนั้นอาจจะเกิดคำถามตามมาว่า “ยังลืมคนเก่าไม่ได้เหรอ” และที่สำคัญปล่อยอดีตให้ผ่านไปแล้วทำปัจจุบันให้ดีก็พอค่ะ

Read More : คิดสักนิดก่อนแต่งงานกับพ่อแม่เรือพ่วง

ภาพจาก : Pinterest.com

3 ทริคไม่ลับหากเจ้าสาวอยากสวยเฉิดฉายและได้ความสะดวกสบายในชุดแต่งงาน

อยากได้ ชุดแต่งงาน ที่ทั้งสวย และสะดวกสบาย ไม่ใช่เรื่องยาก!

ไม่ว่าจะเป็น ชุดแต่งงานแบบคอลึก คว้านหลัง หรือชุดแต่งงานแบบสายเดี่ยว ก็ล้วนให้ลุคที่ดูสง่างามเมื่อเจ้าสาวปรากฏตัว และแน่นอนนอกจากดีไซน์ชุดที่จะต้องดูดีแล้ว สิ่งที่เจ้าสาวหลายคนต้องการอีกอย่างในชุดแต่งงานก็คือ ความสะดวกสบายในการสวมใส่ เพราะเจ้าสาวจะต้องอยู่ในชุดนั้นเป็นเวลานาน แต่ความสะดวกสบายนั้นก็ต้องมาพร้อมกับดีไซน์ที่สวยงามหรูหราดูเป็นตัวเองด้วย โอโห ยากอะไรเบอร์นี้ ที่จะควบรวมทั้งสองสิ่งเอาไว้ในชุดเดียวกัน แต่…แพรว wedding ทำได้ค่ะ เพราะเรามีเทคนิคการผสานสองสิ่งนี้ไว้ใน ชุดแต่งงาน ชุดเดียวได้มาฝาก

ชุดแต่งงาน

เลือกผ้ามุ้งโปรงบางที่ประดับลูกไม้แบบ appliques

ผ้ามุ้งโปรงบางที่ประดับลูกไม้แบบ appliques ที่ให้ได้ทั้งความสวยงามและความสะดวกสบายเนื่องจากตัวเนื้อผ้าที่บางเบา แถมยังมีให้เลือกหลากหลายเฉดสี แถมผ้ามุ้งแบบโปร่งบางยังให้เท็กซ์เจอร์ที่เป็นธรรมชาติสุดๆ ไม่ว่าจะอยู่ในแสงแบบเอ้าท์ดอร์แบบธรรมชาติก็ให้อารมณ์สวยหวาน หรืออยู่ในงานแต่งงานแบบอินดอร์ก็ให้ความสวยหรู

เลือกรายละเอียดที่สะดวกสบายในสไตล์ของคุณ

หากคุณกำลังตามหาชุดแต่งงานที่เต็มไปด้วยแรงบันดาลใจจากพินเทอเรสต์ ไม่ว่าจะเป็น ชุดแต่งงานคอปีน, รูปแบบแขนเสื้อที่ดูแตกต่าง หรือเท็กซ์เจอร์ของเนื้อผ้าแบบต่างๆ ก็อย่าลืมมองหาชุดแต่งงานที่จะมอบความสะดวกสบายให้กับตัวคุณด้วย เช่น หากเจ้าสาวอยากใส่ชุดแต่งงานแบบคอปีน แต่สถานที่จัดงานแต่งงานเป็นแบบเอ้าท์ดอร์กลางสวน ก็อาจจะต้องปรับให้ช่วงเนคไลน์มีความสะดวกสบายแต่ยังไม่ทิ้งดีไซน์ที่สวยงาม โดยอาจจะเสิรมด้วยผ้าโปร่งบางที่ช่วงหน้าอกเพื่อช่วยให้ระบายอากาศได้ดีขึ้น เป็นต้น

หรืออีกหนึ่งรูปแบบชุดแต่งงานที่สวยงามและสะดวกสบายก็อาจจะเป็นการเลือกชุดแต่งงานแบบโชว์ผิวสักหน่อย อย่างเช่น ชุดแต่งงานจากแบรนด์ Hayley Paige หรือ Monique Lhuillier ที่ผสมผสานทั้งดีไซน์ที่ทันสมัย และความสะดวกสบายในการสวมใส่ได้อย่างลงตัว และแน่นอนมีดีเทลของการเผยผิวนิดๆ ที่ช่วยให้เจ้าสาวเซ็กซี่แต่ไม่โป๊จนน่าเกลียด

เปลี่ยนชุดในช่วงพิธีการ

เปลี่ยนสไตล์ชุดแต่งงานที่ทันสมัยและสะดวกสบายมากขึ้นสำหรับช่วงพิธีการ อย่างเช่น หากงานแต่งของคุณเป็นแบบค็อกเทลปาร์ตี้ ก็ไม่ผิดที่เจ้าสาวจะสวมใส่ชุดแต่งงานแบบสั้นที่ดูเข้ากับงานและยังแดนซ์ได้สะดวกมากขึ้นในช่วงอาฟเตอร์ปาร์ตี้ แต่สำหรับเจ้าสาวที่ต้องการความเป็นแฟชั่น ก็อาจจะเลือกเป็นชุดแต่งงานแบบจัมพ์สูทสีขาวไปเลย เพื่อหลุดจากกรอบของเจ้าสาวแบบเดิมๆ ซึ่งปัจจุบันนี้หลากหลายแบรนด์ก็ทำชุดแต่งงานแบบสูท แบบกางเกง หรือแบบจัมพ์สูทออกมาเสิร์ฟว่าที่เจ้าสาวเป็นจำนวนมาก ซึ่งแน่นอนว่าแต่ละแบรนด์ก็ดีไซน์แต่ละแบบมาพร้อมเสิร์ฟกับว่าที่เจ้าสาวหลากสไตล์ หรือถ้ากลัวว่าในช่วงพิธีการจะดูไม่เป็นเจ้าสาว ก็เลือกสวมในช่วงอาฟเตอร์ปาร์ตี้โลด

นอกจากชุดแต่งงานที่ทั้งสวยและใส่สบายแล้ว หากว่าที่เจ้าสาวอยากประหยัดงบต้องไม่พลาด ชุดแต่งงานดีไซน์เก๋ แบบ 1 ชุด 2 สไตล์ ให้เจ้าสาวสวยได้ไม่ซ้ำ

ภาพ Pinterest

8 อาหารมหัศจรรย์ช่วยให้เจ้าสาวหน้าท้องแบนราบในชุดแต่งงาน

การกินอาหารแบบตามใจปากจนเป็นเหตุให้เกิดไขมันสะสมอยู่ตามหน้าท้องสำหรับสาวๆ นั้นเป็นเรื่องน่าปวดใจสุดๆ ยิ่งบรรดาว่าที่เจ้าสาวที่วันสำคัญใกล้เข้ามาทุกทีก็ยิ่งเครียดหนัก… แต่อย่ากังวลจนเกินไปเลยค่ะ เครียดมากๆ ระบบย่อยอาหารยิ่งทำงานแย่เข้าไปอีก ทุกอย่างมีทางแก้ เพราะอันที่จริงแล้วไขมันส่วนเกินเหล่านี้สามารถขจัดออกไปได้ ด้วยการทานอาหารค่ะ ใช่ค่ะ! คุณอ่านไม่ผิด แพรว wedding มาแนะนำให้คุณแก้ปัญหาห่วงยางน้อยๆ นั้นด้วยการทานอาหารจริงๆ ค่ะ แต่เป็นอาหารที่สามารถช่วยสลายไขมันหน้าท้อง ทำให้ หน้าท้องแบนราบ ขึ้นได้ ว้าววว!!! ใครอยากรู้ว่ามีอะไรบ้างมาดูกันเลยค่า

 

  • ไข่ขาว

ไข่ขาวเต็มไปด้วยโปรตีนที่ร่างกายสามารถดูดซึมไปใช้ได้ดี มีไขมันน้อย เหมาะอย่างยิ่งสำหรับผู้ที่ต้องการลดพุง และยังหารับประทานง่าย ราคาไม่แพง หากทานไขขาวทุกวันวันละ 1 ฟอง จะช่วยลดไขมันสะสมที่หน้าท้องได้ดี และยังช่วยกระตุ้นการเผาผลาญพลังงานในร่างกายอีกด้วย แต่อย่างไรก็ตามไม่ควรทานไข่ขาวมากเกินไป เพราะอาจส่งผลเสียต่อสุขภาพได้เช่นกัน

  • หน่อไม้ฝรั่ง

หน่อไม้ฝรั่งเป็นผักที่มีสารต้านอนุมูลอิสระ เป็นยาบำรุงกำลัง และยังช่วยให้ผอมลงได้ เพราะมีไฟเบอร์ทั้งแบบที่ละลายน้ำและไม่ละลายน้ำ ทำให้การย่อยอาหารช้าลง อิ่มนาน นอกจากนี้หน่อไม้ฝรั่งยังช่วยขจัดน้ำส่วนเกินที่ทำให้ท้องบวม รวมทั้งยังมีพรีไบโอติก ที่มีประโยชน์ต่อแบคทีเรียในลำไส้อีกด้วย

  • วอลนัท

ในวอลนัทมีสารต้านอนุมอิสระที่ช่วยต้านทานการอักเสบ และลดโอกาสในการอ้วนลงพุง นอกจากนี้วอลนัทยังมีโปรตีนสูง     จึงช่วยให้อิ่มท้องได้นาน และทำให้ทานอาหารลดลง ง่ายต่อการควบคุมอาหาร หากทานบ่อยๆจะช่วยลดหน้าท้องได้ง่ายขึ้น ซึ่งต้องบอกเลยว่าวอลนัท เป็นตัวช่วยในการลดหน้าท้องที่ดีที่สุดเลยทีเดียว

  • ยี่หร่า

ยี่หร่าเป็นสมุนไพรที่มีประโยชน์ในการช่วยลดหน้าท้อง ช่วยกระตุ้นการทำงานของระบบการย่อยอาหาร ทำให้หน้าท้องเพรียวสวย ไม่บวม

  • พริกหวานสีแดง

พริกหวานสีแดงเป็นอาหารอีกหนึ่งชนิดที่สามารถช่วยให้หน้าท้องลดลงได้ เนื่องจากในพริกหวานเต็มไปด้วยสารไลโคปีน เบต้าแคโรทีน ซึ่งเป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่จำเป็นต่อร่างกาย มีคุณสมบัติในการช่วยกำจัดไขมันชนิดเลวที่สะสมอยู่บริเวณช่องท้อง นอกจากนี้แล้วในพริกหวานยังมีวิตามินซี ที่ช่วยไล่ไขมันออกจากร่างกายได้เป็นอย่างดี

  • อโวคาโด

อโวคาโดนับว่าเป็นสุดยอดผลไม้ เพราะมีไฟเบอร์ถึง 2 กรัม และไขมันอิ่มตัวเชิงเดี่ยวอีก 4 กรัม ซึ่งดีต่อทั้งหัวใจและหน้าท้อง มีงานวิจัยพบว่า ผู้ที่รับประทานอโวคาโดเป็นประจำมีเอวเล็กกว่าผู้ที่ไม่รับประทาน นอกจากนี้อโวคาโดยังดีต่อลำไส้ และช่วยให้ย่อยอาหารได้ง่าย ทำให้ร่างกายดูดซับอาหารที่มีประโยชน์ได้ดี

  • ชาเขียว

ชาเขียวเป็นเครื่องดื่มที่มีสารต้านอนุมูลอิสระ ต่อต้านการอักเสบ ช่วยเพิ่มพลังงาน และเผาผลาญไขมัน นักวิทยาศาสตร์กล่าวว่า ชาเขียว มีความเกี่ยวพันธ์กับการลดน้ำหนัก ผู้ที่ดื่มชาเขียว มีโอกาสที่จะลดน้ำหนักลงได้มากกว่าผู้ที่ไม่ดื่ม

  • ขิง

ขิงเป็นสมุนไพรที่ทำให้ท้องสบาย และทำให้ หน้าท้องแบนราบ โดยในปี 2012 มีงานวิจัยจากมหาวิทยาลัยโคลอมเบีย แห่งสหรัฐอเมริกาว่า ผู้ที่ดื่มน้ำขิงร้อน หรือชาขิงหลังอาหาร ช่วยในเรื่องของการลดหน้าท้องได้ดี

ลองทานอาหารลดไขมันหน้าท้องเหล่านี้ดูกันนะคะ รับรองว่าจะช่วยให้ไขมันสะสมที่บริเวณพุงลดลงได้อย่างแน่นอน แถมสัดส่วนก็ดูกระชับและสวยเป๊ะมากขึ้นอีกด้วย ใครที่อยากมีหุ่นสวยไร้ไขมันหน้าท้องมากวนใจ ต้องจัดเลยนะคะ แต่ถ้าอยากจัดเต็มเครื่องดื่มดูแลรูปร่างสวยไปให้ครบ ต้องไม่พลาดหลากเมนูผักผลไม้ปั่นเลยนะคะ 😉

cr : archanaskitchen.com, medicaldaily.com, cookstr.com, scoopoflives.com, allrecipes.com

3 ความเชื่อเรื่องเนื้อคู่ ทำตามนี้รับรองสละโสดบอกเลิกคานชัวร์

สาวโสดที่กำลังจะหมดหวัง หรือใครที่กำลังนั่งรอเนื้อคู่ อย่าเพียงแค่นั่งเฉยๆ นะคะ เพราะ แพรว wedding มีเคล็ดลับ ความเชื่อเรื่องเนื้อคู่ มาฝาก เขาว่ากันว่าหากทำตามนี้เนื้อคู่จะมาแน่นอน

สำหรับสาวๆ ที่ได้รับเค้กแต่งงาน ให้กินตามลำพัง ห้ามแบ่งให้คนอื่นเด็ดขาด เพราะเนื้อคู่ที่รอคอยจะได้พุ่งตรงมาที่คุณคนเดียว เคล็ดลับที่ 2 คือ

หลังจากที่บ่าวสาวตัดเค้กไปแจกเสร็จแล้ว ให้สาวโสดเดินไปที่โต๊ะวางเค้กแล้วหยิบเศษเค้กมาเล็กน้อย จากนั้นถอดแหวนที่สวมประจำออกมา โดยนำเศษเค้กนั้นมาลอดแหวน 9 ครั้ง แล้วอธิฐานขอให้พบเนื้อคู่ ขั้นตอนนี้ ขอแนะนำว่าต้องตั้งใจอย่างจริงจัง เชื่อกันว่าจะทำให้ได้พบเนื้อคู่และจะได้แต่งงานภายใน 1 ปี!

แต่หากงานนั้นไม่มีแจกเค้ก แนะนำให้สาวๆ เด็ดดอกไม้ภายในงานซักช่อไปใส่โถปากกว้างๆ จากนั้นให้เติมน้ำลงไปครึ่งโหล ตามด้วยน้ำตาล 2 ช้อนโต๊ะและลูกปัดสีแดง 9 เม็ด แล้วนำไปวางใกล้ๆ ที่นอนเป็นเวลา 3-5 วัน เชื่อว่าจะทำให้สาวโสดเช่นคุณได้พบกับรักแท้อย่างแน่นอน

สาวโสดคนไหนที่นำวิธีที่เราบอกไปใช้แล้วได้ผลอย่างไรหรือเจอเนื้อคู่ที่ตามหาหรือเปล่าก็มาบอกกันบ้างนะจ๊ะ ขอให้โชคดีได้เป็นเจ้าสาวคนต่อไปกันทั่วหน้าจ้าาาา

หรือถ้ากลัวว่าทำตามนี้แล้วยังลงจากคานไม่ได้ ก็ตามไปเช็คอินกันได้ที่ ขอได้ไม่นก! แชร์พิกัด ขอพรเรื่องความรัก วัดดังทั่วเอเชีย

6 ขั้นตอนส่งสัญญาณว่า อยากแต่งงาน แล้วนะ มาขอได้แล้วว่าที่เจ้าบ่าว

เชื่อว่าสาวๆ หลายคน ติดอยู่ในปัญหาความสัมพันธ์แบบเดียวกันคือ อยากแต่งงาน  แต่คุณหนุ่มๆ ทั้งหลายก็ยังไม่เก็ท ไม่ยอมขอแต่งงานสักที จะให้ผู้หญิงเป็นฝ่ายออกปากเองก็จะเขินไป เราจึงส่ง 6 ขั้นตอนส่งสัญญาณให้หนุ่มๆ รู้ว่า เราพร้อมแล้วนะเธอ

ขั้นตอนที่ 1. ถามตัวเองให้แน่ใจ

ก่อนจะส่งสัญญาณบอกคนรักให้รู้ คุณต้องถามตัวเองให้แน่ใจเสียก่อนว่าอยากแต่งงานเพราะตัวคุณเองจริงๆ ไม่ใช่การกดดันจากครอบครัว หรือสังคม แต่คุณต้องมั่นใจ และพร้อมจะมีกันและกันในทุกช่วงเวลา ไม่ว่าจะสุขหรือเศร้า พร้อมที่จะเติบโตสร้างครอบครัวไปด้วยกัน เพราะการแต่งงานเป็นสามีภรรยามันแตกต่างจากการเป็นคนรักกันอย่างแน่นอน

ขั้นตอนที่ 2. อย่าเพิ่งคิดไปเอง

อย่าเพิ่งเป็นสตรีขี้มโน ไม่ว่าจะเป็นทางบวก หรือลบ แต่ให้ดูบริบทรอบๆ ของคุณแฟนว่า เขาเองก็พร้อมที่จะแต่งงานแล้วหรือยัง หรือว่ายังมีอะไรบางอย่างเป็นอุปสรรคที่ทำให้เขายังไม่พร้อม  ซึ่งคุณสาวๆ ก็ต้องมองอย่างปราศจากอคติจริงๆ นะ

ขั้นตอนที่ 3. พูดเป็นนัยๆ

ถึงแม้ว่าผู้หญิงเราจะรู้สึกเขินๆ ถ้าจะเป็นฝ่ายขอผู้ชายแต่งงาน แต่เราก็ต้องพูดเป็นนัยๆ ให้ผู้ชายเขารู้บ้างนะ ว่า เออ! เราพร้อมจะแต่งงานกับเขาแล้ว อาจจะเริ่มต้นด้วยการพูดแบบอ้อมโลกไปเลย เอาแบบนุ่มนวลสักหน่อยว่า “ฉันอยากอยู่กับคุณแบบนี้ไปตลอด” หรือไม่ก็ “ถ้าเราได้ตื่นมาเจอกันทุกเช้าก็ดีสิเนอะ” อะไรแบบนี้ แต่ห้ามเปิดประโยคด้วยความน้อยใจ เปรียบเทียบกับคู่อื่นๆ หรือพูดด้วยความเกรี้ยวกราดเด็ดขาด

ขั้นตอนที่ 4. พูดถึงช่วงเวลากว้างๆ

หลังจากที่พูดเป็นนัยๆ เกริ่นๆ ไว้แล้ว ก็ตามด้วยหมัดฮุคเข้าตรงๆ เกี่ยวกับเรื่องเวลาในใจเราให้เขารู้อย่าง “ถ้าแต่งงานก่อน 35 ก็ดีสิ” หรือจะเป็น “ถ้ามีลูกก่อน 35 ก็ดีสิเนอะ ลูกจะได้โตทันใช้” เป็นการบอกระยะเวลาของเราให้เขารู้ว่า เราเองก็แพลนชีวิตเอาไว้แบบนี้เหมือนกันนะ

ขั้นตอนที่ 5. เปิดใจและรับฟัง

หลังจากที่เริ่มเกริ่นๆ ไปแล้ว ก็ถึงคราวที่ผู้หญิงต้องเปิดใจรับฟัง และรอดูท่าทีของคุณผู้ชายบ้างแล้ว ว่าจะเป็นยังไง แต่ไม่ว่าบทสนทนาจะออกมาเป็นยังไง ห้ามชักสีหน้าใส่กันเด็ดขาดเลยนะ

ขั้นตอนที่ 6. ไม่กล่าวถึงอีก

การส่งสัญญาณว่าพร้อมที่จะแต่งงานแล้ว ไม่ได้พูดกันได้บ่อยๆ เพราะหลังจากที่พูดออกไป ก็ควรทิ้งระยะห่าง เพื่อให้อีกฝ่ายคิดให้รอบคอบ เพื่อเตรียมการต่างๆ เพราะฉะนั้นก่อนจะส่งสัญญาณ คุณสาวๆ ก็ต้องคิดให้ดีว่า คุณพร้อมและเขาก็พร้อม ถ้าใช่ ก็ลุยเลย

หลังจากที่ตกลงขอแต่งงานกันแล้ว แต่เรื่องราวยังไม่จบ เพราะนี้เป็นเพียงแค่จุดเริ่มต้นเท่านั้น เพราะนับจากนี้ยังมีอะไรให้ทำอีกเพียบเลยล่ะ ถ้านึกไม่ออกว่ามีอะไรบ้าง ก็คลิกเลย

ภาพ unsplash.com

อยู่ก่อนแต่งให้สบายใจกับ 6 เรื่องสำคัญที่คู่รักต้องเคลียร์ให้ชัด

คงต้องยอมรับว่า ในยุคนี้รูปแบบการลองใช้ชีวิตคู่แบบ อยู่ก่อนแต่ง ในบ้านเรามีเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ นะคะ ซึ่งบางคู่ที่ลองแล้วดีก็นำไปสู่การแต่งงานและสร้างครอบครัวร่วมกันอย่างจริงจัง แต่บางคู่ที่ลองแล้วไม่เวิร์คก็แยกย้ายกลายเป็นเพื่อน ซึ่งแปลว่าไม่ดันทุรังแต่งงานกันให้กลายเป็นครอบครัวมีปัญหา ดังนั้นเพื่อความสบายใจของคุณทั้งคู่ แพรวเวดดิ้งขอให้คุณคุยกันให้เคลียร์ใน 6 เรื่องต่อไปนี้ก่อนจะแพ็กกระเป๋ามาอยู่ร่วมชายคา

เคลียร์ใจเรื่องพ่อแม่

แจ้งบอกกับพ่อแม่ผู้ปกครองที่คุณเคารพถึงการตัดสินใจของคุณในการที่จะลองอยู่ก่อนแต่งกับคนที่คุณเลือกเป็นอย่างแรก อย่างน้อยแม้ท่านจะไม่เห็นด้วยแต่การแจ้งบอกคือแสดงความเคารพ ไม่ใช่อยู่ๆ นึกจะไปอยู่ก็ไป ซึ่งการบอกนี้ควรมีเหตุผลในการตัดสินใจและรายละเอียดที่อยู่สักนิด ไม่ใช่แค่แจ้งให้ทราบว่าจะย้ายไปอยู่นะแล้วจบ นอกจากนี้ถ้าเป็นไปได้ควรพาท่านไปดูที่อยู่ใหม่ของคุณสักหน่อย เพื่อความสบายใจว่าอย่างน้อยสภาพที่อยู่อาศัยก็โอเคและรู้ว่าอยู่หนใดไม่ใช่เมืองลับแล

เคลียร์ใจเรื่องเงินทองค่าใช้จ่าย

จะเป็นการย้ายเข้าไปอยู่บ้านใหม่เพิ่งซื้อหรือบ้านเก่าของใครก็ตาม อย่าลืมเคลียร์ความสบายใจเรื่องค่าใช้จ่ายในบ้านให้ชัดเจน ไม่เกี่ยงว่าคุณคือฝ่ายชายหรือฝ่ายหญิง เปิดประเด็นนี้ก่อนได้เลย ไม่มีใครว่าผิดหรืองกแน่นอน เพราะเมื่อมาอยู่ร่วมกันแล้วก็ต้องช่วยกันดูแลรับผิดชอบ อย่าเข้าใจไปเองว่าบ้านเธอ งั้นเธอต้องจ่ายสิ หรือเธอคือคนอาศัยต้องจ่ายมา ถ้ารักกันจริงและอยากสบายใจอย่าคิดเอาเอง ถามให้ชัด ตกลงให้ชัวร์ มีปัญหาติดขัดต้องบอก รวมถึงจ่ายได้มากน้อยแค่ไหนอย่ากั๊ก ทำตามนี้รับรองสบายใจทั้งสองฝ่าย

เคลียร์ใจเรื่องอาหารการกิน

ก่อนจะย้ายมาอยู่ด้วยกันคุณอาจไม่เคยรู้มาก่อนว่า อีกฝ่ายคิดยังไงกับบรรยากาศการทำกับข้าวที่มีควันมีกลิ่นอาหารลอยในบ้านหรือไม่ชอบทำอาหารเพราะไม่ชอบล้างจานหรือเปล่า อะไรแบบนั้น ซึ่งถ้าไลฟ์สไตล์ในเรื่องนี้ต่างกันก็ต้องคุยกันแล้วล่ะ เพราะถ้าคนนึงชอบกินแต่อาหารฟู้ดคอร์ทง่ายๆ จ่ายตังค์นั่งกินให้พ้นเป็นมื้อๆ แต่อีกคนฝันถึงความเป็นคู่รักกระหนุงกระหนิงในห้องครัว ก็ต้องหาจุดตรงกลางที่ลงตัว หรือถ้าวันไหนเราอยู่บ้านด้วยกันทั้งวัน จะเอายังไงกับอาหารทั้งสามมื้อดี ถ้าทำอาหารเธอจะทำหรือเราจะช่วยกันดี

เคลียร์ใจเรื่องการสื่อสารระหว่างกัน

ก่อนจะอยู่ด้วยกันคุณอาจสื่อสารกันทางมือถือเช่นโทรฯ หาหรือไลน์หาตลอดๆ เพื่อบอกเล่าเรื่องราวต่างๆ ที่ไปเจอมาในแต่ละวันให้กันฟัง แต่พออยู่ด้วยกันตลอดเวลา เรื่องเหล่านี้อาจต้องลดลงหรือเปล่า และเมื่อลดลงไปแล้ว จะแทนที่ด้วยอะไรเพื่อให้ความสัมพันธ์ยังกระชับแน่นไม่เปลี่ยน ลองตกลงกันให้เคลียร์ว่ารูปแบบเดิมๆ ที่เคยทำ ยังคงมีไหม และอะไรบ้างที่อาจมาแทนที่ คุณจะได้ไม่รู้สึกว่า ความสัมพันธ์เปลี่ยนไปไม่เหมือนเมื่อตอนต่างคนต่างอยู่คนละบ้าน

เคลียร์ใจเรื่องการใช้พื้นที่ร่วมกัน

ในการอยู่ร่วมกัน ไม่ว่าจะเป็นบ้านเดี่ยว คอนโดหรืออะไรก็ตาม เลี่ยงไม่ได้ที่จะต้องมีการใช้พื้นที่บางจุดร่วมกัน ไม่ว่าจะเป็นห้องน้ำ ห้องนั่งเล่นและห้องนอน ดังนั้นคุณจึงควรคุยกันให้ชัดเจนถึงรูปแบบการใช้พื้นที่ส่วนกลางตรงนั้นให้ชัดเจน และตกลงแบ่งสรรปันพื้นที่อย่างแฟร์ๆ และสมเหตุสมผล เช่นว่าในห้องน้ำจะมีพื้นที่ตรงไหนวางของใช้ส่วนตัวของคุณบ้าง และพื้นที่ตรงไหนคือของอีกฝ่าย ซึ่งฝ่ายหญิงอาจต้องการพื้นที่มากหน่อยเพราะเครื่องประทินผิวเยอะแยะ  ก็เจรจากันไปตรงๆ ส่วนคุณฝ่ายชายก็อาจจะขอมุมออกกำลังกายของตัวเองมาหน่อยอะไรแบบนั้น

เคลียร์ใจในเรื่องเวลาส่วนตัวบนพื้นที่ส่วนรวม

ข้อสุดท้ายที่ควรเคลียร์กันให้ใจสบายคือ เวลาส่วนตัวในพื้นที่ส่วนรวม ซึ่งเรื่องนี้อาจจะดูโหดไปสักหน่อยถ้าจะบอกออกไปว่า อยากได้เวลาตอนนี้ถึงตอนนี้ในการอยู่กับตัวเอง ดังนั้นประเด็นนี้จึงเป็นประเด็นที่คุณควรค่อยๆ สังเกตและทำความเข้าใจนิสัยของอีกฝ่ายให้ดี แล้วให้ความคุ้นชินนั้นช่วยเคลียร์ใจคุณเองว่า อาการแบบนี้หรือช่วงเวลาแบบนี้แหละที่อีกฝ่ายต้องการความสงบโดยไม่ต้องเอ่ยปากถามเลยก็เป็นได้­­­­­

>> อ่านเรื่องราวเกี่ยวกับความรัก ความสันพันธ์ และการใช้ชีวิตคู่เพิ่มเติมได้ที่นี่อีกเพียบ คลิกเลย <<

เรื่อง : Hoyamemoria
ภาพ : relateinstitute.com, blogs.webmd.com/

10 แบบปกคอเสื้อคุณผู้ชายกับการแมตช์แอคเซสซอรี่ยังไงให้ลงตัว

จะแมตช์ ปกคอเสื้อ ยังไงให้เข้ากับแอคเซสซอรี่

ใครว่าเจ้าบ่าวจะแค่แต่งสูทผูกไทแล้วก็จบ โนค่ะ เพราะหากแต่งให้ดีคุณจะทั้งหล่อ ทั้งเป๊ะ แถมยังดูเป็นเจ้าบ่าวที่มีภูมิความรู้ด้านแฟชั่นสุดๆ เพราะฉะนั้นเรามาทำความรู้จักกับ ปกคอเสื้อ แบบต่างๆ กันดีกว่าว่ามีแบบไหนบ้าง แล้วจะต้องแมตช์กับแอคเซสซอรี่แบบไหนถึงจะเข้ากัน อ่อ งานนี้ไม่ได้สงวนไว้ให้แค่เฉพาะคุณเจ้าบ่าวนะคะ แต่เหล่าเพื่อนชายก็สามารถนำไปใช้ได้ ไม่หวงค่า

1. ปกเสื้อแบบ Classic

ปกเสื้อสุดอัศจรรย์ที่รับกับโครงหน้าทุกแบบได้เป็นอย่างดี และเป็นปกเสื้อสุดคลาสสิคที่หนุ่มๆ นิยมใส่กันมากที่สุด ปกเสื้อแบบนี้จะมีความยาวประมาณ 4-5 เซนติเมตร ส่วนแอคเซสซอรี่ที่ช่วยเสริมลุคนี้ให้ดูภูมิฐานก็ไม่พ้นเนคไทที่สามารถเลือกแมตช์ได้หลากหลายแบบ แต่ถ้าอยากลดความเป็นทางการลงมาหน่อย ขอเสนอ bolo tie หรือเนคไทแบบคาวบอย รับรองว่าโดดเด่นแน่นอน

ปกคอเสื้อ

ปกคอเสื้อ

2. ปกเสื้อแบบ Semi Spread

หากคุณเป็นชายใบหน้าผอมเรียวหรือมีช่วงคอที่ยาวก็สามารถใส่ได้แบบผ่านฉลุย จะจับคู่กับเนคไทสุดเท่ หรือจะเลือกเป็น ascot tie การนำผ้าพันคอมาพันในสไตล์แบบผู้ดีอังกฤษก็ช่วยเสริมลุคนี้ให้ดูเนี้ยบใช่เล่น และลักษณะพิเศษของปกเสื้อแบบนี้คือ ยิ่งปกเสื้อมีขนาดใหญ่เท่าไหร่ ความกว้างส่วนปลายก็จะขยายใหญ่ขึ้นตามไปด้วย เพราะฉะนั้นชายชาตรีใบหน้าอวบอิ่มจงหลีกให้ห่างนะจ๊ะ

3. ปกเสื้อแบบ Spread

จุดเด่นของปกเสื้อแบบนี้คือ ปกเสื้อจะค่อนข้างกว้างกว่าแบบอื่นๆ เพราะฉะนั้นชายหนุ่มที่จะสวมเสื้อสไตล์นี้ต้องมั่นหน้ามากๆ นะคะว่าเรามีใบหน้ารูปไข่สุดเพอร์เฟกต์ ซึ่งถ้าจะให้ดีจับคู่ปกเสื้อแบบนี้เข้ากับเนคไท หรือโบไทเก๋ๆ สักอัน รับรองหล่อวัวตายควายยังล้มเลยจ้า

4. ปกเสื้อแบบ Button Down

เป็นปกเสื้ออีกหนึ่งแบบที่ไม่ว่าชายหนุ่มคนไหนใส่ก็รอด จุดสังเกตคือที่บริเวณปลายปกเสื้อจะมีกระดุมอยู่ข้างละหนึ่งเม็ด ซึ่งติดปุ๊บเท่ปั๊บได้ลุคเป็นสุภาพบุรุษสุดเนี้ยบขึ้นมาทันที แล้วอย่าลืมหาเนคไทมาเสริมหล่อสักนิด เท่านี้ก็พร้อมออกงานได้แล้ว

5. ปกเสื้อแบบ Eyelet

หากคุณผู้ชายคนไหนคอยาวราวกับยีราฟ เราขอแนะนำให้คุณหาปกเสื้อสไตล์นี้มาใส่ด่วนๆ เพราะจะช่วยพรางคอที่ยาวของคุณได้เป็นอย่างดี เสริมด้วยเนคไท หรือผ้าพันคอสไตล์ ascot tie ก็ดูมีสไตล์ไม่หยอก แถมปกเสื้อสไตล์นี้ยังรองรับความเป็นแฟชั่นของชายหนุ่มสุดๆ เพราะมาพร้อมรูสำหรับใส่หมุดเท่ๆ บริเวณปกคอเสื้อให้ด้วย

5 ประเด็น ที่บ่าวสาวต้องตกลงกันก่อนแต่งงาน เพื่อให้รักนี้ยาวนาน

มีหลายคู่ที่กำลังจะแต่งงานกัน แต่ในใจเกิดความลังเลสับสน เพราะมีปัญหาคาใจ จะชวนคุยก็กลัวทะเลาะ แต่ถ้าจะปล่อยไปก็กลัวชีวิตคู่จะไม่ราบiื่น เราเลยขอกระซิบ 5 ประเด็นที่บ่าวสาว ต้องทำ ข้อตกลงก่อนแต่งงาน เพื่อรักนี้ยืนยาว

1. มีลูกไหม

เป็นปัญหาใหญ่ของหลายๆ บ้าน เมื่อความต้องการในเรื่องนี้ไม่ตรงกัน สำหรับประเด็นนี้เราว่าต้องเป็นการคุยกันด้วยเหตุผลแบบหนักแน่น ใครคิดว่าอย่างไร เพราะอะไร และไม่ใช่ว่าแค่จะมีไหม แต่ยังรวมไปถึงว่า ถ้าจะมีลูก จะมีสักกี่คนดี ซึ่งก็เป็นเรื่องที่ต้องมองเผื่อไปในอนาคตอีกยาวๆ ด้วยนะ เพราะอย่างที่รู้ “มีลูกมากจะยากจน” ไม่ใช่แค่คำขู่นะจ๊ะ

2. เลี้ยงลูกยังไง

เมื่อคิดจะมีลูกแล้ว อีกประเด็นที่ต้องตกลงกันตามมาก็คือ แนวทางการเลี้ยงลูก เพราะแต่ละคนโตมาในการเลี้ยงดูที่แตกต่างกัน ย่อมได้เห็นทั้งข้อดีและข้อเสียที่หลากหลาย หากเอามาแลกเปลี่ยนกัน ก็จะเจอวิธีการเลี้ยงที่เหมาะสมกับแต่ละครอบครัว

3. อยู่ที่ไหนดี

เป็นปัญหาใหญ่อีกเรื่องที่ต้องคุยกันให้ชัดเจนว่าหลังแต่งงานเราจะอยู่ที่ไหน ไม่ใช่แค่จังหวัดหรืออำเภอ แต่ยังรวมไปถึงว่าบ้านของใคร และจะมีใครอยู่ในบ้านบ้าง เพราะหากไม่ตกลงกันให้ดีปัญหานี้ก็อาจนำไปสู่การหย่าร้างได้เลยทีเดียวนะ ไม่ว่าจะเป็นปัญหาการอยู่กันคนละที่ หรือการที่มีบุคคลที่ 3 4 5 มาอยู่ในบ้าน

4. การเงินในบ้าน

อ่า… นี้คือปัญหาใหญ่ อาจจะเรียกได้ว่าเป็นหัวใจสำคัญของชีวิตคู่ที่เพิ่งเริ่มต้นเลยก็ได้ สำหรับการจัดระเบียบทางการเงิน ไม่ว่าจะเป็นเรื่อง แยกกระเป๋ากันไหมหรือจะใช้ร่วมกัน ค่าใช้จ่ายในบ้านจะทำอย่างไร ใครจะเป็นคนออกค่าอะไรบ้าง หรือเราควรมีเงินกองกลาง และที่สำคัญคือ เงินออมจะเก็บอย่างไร

5. ห้ามพูดคำว่า “เลิก”

เป็นข้อตกลงที่จำเป็นต้องมี เพราะคำเดียวสั้นๆ คำนี้ ที่เผลอ “ลั่น” ออกมาแบบไม่ตั้งใจ อาจเป็นประตูสู่การหย่าร้างก็เป็นได้ หากว่าอีกฝ่ายอยู่ในอารมณ์ร้อนๆ ทางที่ดีควรทำเป็นข้อตกลงไปเลยว่า ทะเลาะกันห้ามท้าเลิกนะ หรือบางคู่ก็มีอาจจะมีเทคนิคที่แตกต่างกันไปเช่น ห้ามทะเลากันเกิน 1 วัน  ทะเลาะกันเมื่อไหร่ต้องทิ้งเวลา 1 ชั่วโมงเพื่อให้ใจเย็นก่อนกลับมาคุยกันนะ แต่ประเด็นสำคัญคือ ห้ามชวนกันเลิกเด็ดขาด!!!

ทั้งหมดนี้คือ 5 ประเด็นสำคัญที่บ่าวสาวต้องทำ ข้อตกลงก่อนแต่งงาน ให้ชัดเจน แล้วความรักจะได้ยืนยาว ส่วนใครที่ยังไม่แน่ใจกับการครองชีวิตคู่ เราก็มีเทคนิคดีๆ มาให้อีกเพียบ รับรองว่าทำแล้วดีแน่นอน คลิกอ่านเลย

ภาพ unsplash.com

ชุดเจ้าสาว มิลา The Face สวยเก๋ดูดีมีระดับจากแบรนด์ Mirror Mirror

ชุดเจ้าสาว มิลา The face กับชุดพิธีในโบสถ์ สวยงามหรูหราด้วยผ้าพิมพ์ลายลูกไม้ที่สั่งทำขึ้นพิเศษจากแบรนด์กูตูร์

ชุดเจ้าสาว

หลังจากที่ได้คบหาดูใจกันมานานหลายปีในที่สุด มิลา The Face Thailand ซีซั่น 1 และ ปันปัน หนุ่มนักบินสุดหล่อ ก็ได้ตัดสินใจเข้าพิธีวิวาห์ ตามหลักศาสนาคริสต์เป็นที่เรียบร้อยเเล้ว โดยเจ้าสาวป้ายแดงสวยสง่ามาในแบรนด์ ชุดเจ้าสาว สายแฟชั่นระดับกูตูร์ mirror mirror bangkok ที่สาวมิลา ตั้งใจเลือกชุดที่สวย เก๋ ทันสมัย และเข้ากับบุคลิคของมิลา โดยใช้ผ้าพิมพ์ลายลูกไม้ที่สั่งพิมพ์ขึ้นมาพิเศษโดยเฉพาะเป็นโครงชุดแต่งงาน แล้ววางตกแต่งชุดแต่งงานด้วยผ้าลูกไม้ทอมือแสนหวาน ขึ้นหุ่นในซิลูเอทชุดแต่งงานแบบเข้ารูปทรงแขนยาว คอปิด ดูเรียบร้อยเป็นทางการตามธรรมเนียมแบบคริสต์ แต่ยังซ่อนความเก๋ และทันสมัย พร้อมซ่อนดีเทลด้วยงานปักเลื่อมลาย คริสตัล พร้อมเพชร SWAROVSKI และงานปักพิเศษด้วยการปักดอกไม้ 3 มิติลงไปในตัวชุด เพื่อเพิ่มความสวยงามและความมีมิติของชุดแต่งงาน ไล่ระดับเห็นเป็นแสงประกายระยิบตา พร้อมคลุมด้วยเวลเจ้าสาวปล่อยชายยาวลากพื้นที่ตกแต่งด้วยการปักเลื่อม คริสตัล เพชรจาก swarovski แบบไล่ระดับ ที่ทั้งสวยงามและอ่อนหวาน สะท้อนถึงตัวตนและความฝันของเจ้าสาวคนสวยได้เป็นอย่างดี

ชุดเจ้าสาว

ชุดเจ้าสาว

ชุดเจ้าสาว

ชุดเจ้าสาว

ชุดเจ้าสาว

ชุดเจ้าสาว

>> ดูแบบชุดแต่งงาน Mirror Mirror Bangkok เพิ่มเติม คลิกเลย <<

Mirror Mirror Bangkok
โทร. 09-7086-5512
เฟซบุ๊ก ชุดแต่งงาน By MIRRORMIRROR