รักครั้งนี้ต้องจัดการยังไง? คิดให้รอบก่อนแต่งงานกับคู่รักต่างชาติ

แน่นอนว่าเมื่อคุณตกหลุมรักใครสักคน ความพยายามที่จะเข้าเป็นส่วนหนึ่งของเขาย่อมมีมากเป็นทวีคูณ  ดังนั้นจึงไม่แปลกที่หากคุณจะเห็นดีเห็นด้วยกับทุกอย่างที่ต่างกันและคิดว่าคงจะปรับตัวไม่ยาก เราขอบอกว่า คงไม่ใช่กับ คู่รักต่างชาติ อย่างแน่นอน เพราะรายละเอียดในชีวิตที่ต่างวัฒนธรรมกันนั้นมีมากกว่าที่คิด

เริ่มต้นกันที่สิ่งพึ่งรู้เบื้องต้นว่า อะไรบ้างที่ว่าต่าง เพราะแน่นอนว่าเชื้อชาติต่างกันไม่ใช่ ปัญหาใหญ่ แต่เป็นรายละเอียดของเชื้อชาติมากกว่าคือ

1. พื้นฐานครอบครัวและการเลี้ยงดูที่ต่างกัน ส่งผลให้การปลูกฝังทางความคิดการดำเนินชีวิตต่างกัน

2. ศาสนาที่ต่างกัน ส่งผลให้ความศรัทธาและวิถีการดำเนินชีวิตต่างกัน หลักคำสอนของบางศาสนามีไว้ให้นำไปเป็นหลักยึดเหนี่ยวจิตใจ ในขณะที่บางศาสนาคำสอนนั้นถือเป็นหลักในการดำเนินชีวิต

3. ธรรมเนียม  ประเพณีและความเชื่อที่ถือปฏิบัติต่างกัน คุณอาจจะเตรียมใจรับความต่างในเรื่องนี้อยู่แล้วแต่บางเรื่องเป็นสิ่งแปลกใหม่ คุณต้องเข้าไปสัมผัสเองจึงจะรู้

4. ฐานะต่างกัน ซึ่งรวมถึงฐานะทางสังคมและเงินทอง หากฝ่ายหนึ่งสูงศักดิ์รวยล้นฟ้า แต่อีกฝ่ายด้อยกว่าในทุกด้าน ก็อาจส่งผลให้ครอบครัวของทั้งสองฝ่ายรับกันไม่ได้ แถมเมื่อฐานะต่างกันมาก สิ่งแวดล้อมของครอบครัวก็จะต่างกันตามไป ก็ คุณจะยิ่งกดดัน เจอรักแบบนี้เข้าแค่คิดก็มึนแล้ว

5. ภาษาต่างกัน ถือเป็นความต่างที่สำคัญที่สุด  การพูดคนละภาษาเป็นอุปสรรคอันดับหนึ่งของการใช้ชีวิตร่วมกัน แม้บางคู่จะลงทุนผลัดกันไปเรียนภาษาของอีกฝ่าย ก็ไม่สามารถสื่อความนัยให้ตรงกับใจได้อย่างที่คิดทั้งหมดแน่นอน

4 ขั้นตอนก่อนผลีผลามรับแต่ง “ผัวเมียนานาชาติ”

ขั้นตอนที่ 1 :

เรียนรู้ความเป็นเขาทั้งหมดเสียก่อนในทุกๆ ด้าน ขณะเดียวกันคุณจะต้องเปิดเผยความเป็นตัวเองให้กับอีกฝ่ายได้เรียนรู้ เพื่อเปิดโอกาสให้ได้รู้จักและพิจารณาความต่างจากมุมมองของเขาเช่นกัน

ขั้นตอนที่ 2 :

เรียนรู้ใจตัวเอง นำสิ่งต่างๆ ที่ได้เรียนรู้จากเขามาไตร่ตรอง ประกอบกับท่าทีของเขาที่มีต่อความต่างของคุณ ยอมรับและพร้อมจะปรับความต่างของคุณและเขาให้อยู่ตรงกลางหรือไม่

ขั้นตอนที่ 3 :

ทดลองเผชิญความจริง ในที่นี้ไม่ได้หมายถึงการอยู่ก่อนแต่ง แต่หมายถึงการเข้าไปทำความรู้จักคุ้นเคยกับสังคมและครอบครัวของเขาลองดูซิว่ารูปแบบความสัมพันธ์และการปฏิบัติตัวต่อกันของคนในครอบครัวของเขา เพราะหากคุณเข้ามาเป็นหนึ่งในนั้น คุณก็จะต้องปรับตัว

ขั้นตอนที่ 4 :

เช็คความพร้อมครั้งสุดท้าย นำข้อมูลทั้งหมดมาร่วมพิจารณาอีกครั้ง โดยมีครอบครัวของคุณเองเป็นตัวช่วยสำคัญ

สุดท้ายอย่าลืมเรียนรู้ความต่างและลองเผชิญหน้ากับความจริงก่อนตัดสินใจเข้าเป็นส่วนหนึ่งของครอบครัวนานาชาตินะคะ

อ่านเรื่องราวเกี่ยวกับความรักและความสัมพันธ์เพิ่มเติมได้ที่นี่อีกเพียบ คลิกเลย!

ภาพ : thai.livingthai.org

เช็กด่วน! 8 สัญญาณปัญหาผิวหน้า ที่บ่าวสาวต้องแก้ก่อนวันวิวาห์จะมาถึง

ปัญหาผิวหน้า เป็นอีกหนึ่งสาเหตุสำคัญที่ทำให้บ่าวสาวนั้นทุกข์ไม่น้อย ยิ่งรักษาเท่าไหร่ก็ไม่หายแถมยังกลับมาเป็นปัญหากวนใจซ้ำๆ ก็แทบอยากจะเอาหน้าซุกหมอนร้องไห้กันเลยทีเดียว ถ้าอย่างนั้นจะดีกว่าไหมหากว่าที่ทั้งหลายลองมาเช็กตัวเองให้ดีอีกครั้ง ว่าปัญหาผิวเหล่านั้นแท้จริงเกิดจากอะไร แพรว wedding อยากให้ว่าที่บ่าวสาวทั้งหลายสวยหล่อสตรองแบบสุขภาพดี จึงจัดเช็กลิสต์ 10 ปัญหาผิวที่ส่งสัญญาณเป็นนัยว่าสุขภาพคุณกำลังมีปัญหามาฝาก จะมีปัญหาอะไร และคุณกำลังประสบสิ่งนั้นอยู่หรือไม่ ไปดูกันเลย

1. สิวผุดขึ้นมาเป็นดอกเห็ด

ปัจจัยที่ทำให้เกิดสิวของแต่ละคนนั้นแตกต่างกันไป ซึ่งมีงานวิจัยออกมาว่าการทานอาหารที่มีค่าดัชนีน้ำตาลต่ำจะช่วยลดสิวได้ เพราะฉะนั้นจึงควรลดหรืองดอาหารจำพวกแป้งขาว น้ำตาล หรืออาหารแปรรูปต่างๆ แล้วหันมาเพิ่มการกินผักและธัญพืชให้มากขึ้น นอกจากนี้นม ยังเป็นอีกหนึ่งสาเหตุที่อาจทำให้เกิดสิวด้วย เพราะขณะที่ระบบกำลังย่อยนมนั้นร่างกายจะผลิตฮอร์โมนที่ช่วยในการเจริญเติบโตออกมาด้วย ทำให้ฮอร์โมนเพศชายถูกผลิตเพิ่มขึ้นมาและไปกระตุ้นต่อมไขมันให้ทำงานมากขึ้น ทำให้หน้ามันและเกิดสิว อ๊ะแต่ช้าก่อนหากใครคิดที่จะเลี่ยงไปดื่มนมพร่องมันเนยแทน นั่นยิ่งหนักไปกว่านมวัวเสียอีก เพราะในนมพร่องมันเนยจะไม่มีไขมันหรือฮอร์โมนบางชนิดที่จะช่วยสร้างสมดุลสารที่ไปกระตุ้นต่อมไขมันได้เลย ทางที่ดีหันมาดื่มนมถั่วเหลือง หรือนมข้าวแทนจะดีกว่า

2. รอยหมองคล้ำใต้ดวงตาที่ผิกปกติ

การพักผ่อนน้อยหรือไม่เพียงพอไม่ได้เป็นตัวการเดียวที่ทำให้ผิวใต้ดวงตาของคุณหมองคล้ำ และไม่ว่าคุณจะบำรุงแค่ไหนก็ไม่หายสักทีล่ะก็ นั่นอาจเป็นเพราะคุณกำลังมีอาการ allergic shiners หรือโรคภูมิแพ้หวัดโดยไม่รู้ตัวอยู่ก็ได้ ซึ่งบางครั้งรอยคล้ำใต้ดวงตานี้ยังบ่งชี้ถึงการกินอาหารบางอย่างที่อาจเป็นพิษกับร่างกายด้วย เพราะฉะนั้นลองตัดสารก่อภูมิแพ้อย่างนมและเนยเป็นเวลาสัก 10 วันเพื่อดูว่ารอยคล้ำใต้ตานั้นจะลดลงหรือไม่ หากไม่ดีขึ้นแนะนำให้ไปทดสอบภูมิแพ้กับแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเพื่อดูว่าคุณมีความไวต่อสิ่งแวดล้อมใดบ้าง เช่น เชื้อรา สัตว์เลี้ยง หรือเกสรดอกไม้ ที่อาจทำให้เกิดรอยแดงหรือรอยคล้ำใต้ดวงตา

ปัญหาผิวหน้า

3. ผดเม็ดเล็กๆ คล้ายสิวแต่ไม่ใช่สิว

บางครั้งผดหรือตุ่มเม็ดเล็กๆ พวกนี้ก็มักถูกเข้าใจผิดว่าคือสิว แต่จริงๆ แล้วนั่นอาจเป็นปัญหาผิวหน้าที่กำลังจะก่อให้เกิดขนคุดก็ได้ หรืออาจเป็นเพราะการที่ร่างกายไม่ได้รับกรดไขมันที่จำเป็นอย่าง ซิงค์ หรือวิตามินเอที่เพียงพอ เพราะฉะนั้นเพื่อช่วยให้ผิวแข็งแรงขึ้น การทานโอเมก้า 3 ที่พบมากในปลาแซลมอน หรือเพิ่มแร่ธาตุซิงค์ให้กับร่างกายด้วย เมล็ดฟักทอง เมล็ดแฟลกซ์ เนื้อวัวที่เลี้ยงด้วยหญ้า (บนผลิตภัณฑ์จะแปะป้ายว่า Grass-Fed) หรือถั่วแดง ก็เป็นสิ่งสำคัญ ร่วมด้วยการกินวิตามินเออย่าง มันเทศ หรือผักใบเขียว ก็จะทำให้ผดหรือรอยแดงบนใบหน้าที่เกิดจากการอักเสบของผิวนั้นลดลงได้

4. ปากแห้งผากและลอกเป็นขุย

การที่ริมฝีปากของคุณแห้งผากจนปริแตกเลือดซิบๆ นั้นอาจจะไม่ได้เกิดจากการแพ้ลิปบาร์มเพียงอย่างเดียว แต่อาจเกิดจากอาหารที่คุณกินเข้าไปด้วย เพราะนั่นแปลว่าร่างกายของคุณกำลังขาดวิตามินบี 3 หรือซิงค์ก็ได้ ซึ่งโดยส่วนมากจะเกิดกับผู้ที่ทานมังสวิรัติหรือวีแกนได้มากกว่า เพราะวิตามินบี 3 และซิงค์จะพบมากในเนื้อสัตว์ เช่น ไก่ ตับ หรือปลา และอาหารที่มีซิงค์มากเป็นพิเศษก็อย่างเช่น ถั่วชิกพี (ถั่วลูกไก่หรือถั่วหัวช้าง) หรือเมล็ดฟักทอง ส่วนวิตามินบี 3 พบมากในถั่วลิสงและเห็ด

5. เกิดตุ่มน้ำใสๆ บริเวณริมฝีปาก

หาคุณเกิดอาการนี้ให้คาดเดาเลยว่าคุณกำลังขาดธาตุเหล็กและวิตามินบี โดยเฉพาะอย่างยิ่งวิตามินบี 2 และวิตามินบี 12 แต่ไม่ต้องตกใจค่ะ สามารถแก้ไขได้ด้วยการทานอาหารเสริมที่จำเป็นต่อการเพิ่มธาตุเหล็กและวิตามิน รวมถึงการกินผักใบเขียว ถั่ว เนื้อไก่ หรือเนื้อวัวแบบ Grass-Fed ให้มากขึ้น และเพื่อให้แน่ใจว่าร่างกายของคุณจะสามารถดูดซึมธาตุเหล็กและวิตามินได้อย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด ควรจับคู่การรับประทานกับอาหารที่มีเส้นใยสูง เช่น มะละกอ เป็นต้น

ปัญหาผิวหน้า

6. สีผิวซีดจาง ไม่มีเลือดฝาด

อาจเกิดจากอาการโลหิตจาง และการขาดวิตามินบี 12, วิตามินบี 6, โฟเลต หรือธาตุเหล็ก ซึ่งอาการเหล่านี้พบได้บ่อยในผู้ที่ทานมังสวิรัติ หรือผู้ที่รับประทานยาบางประเภท เช่น ยาลดกรดหรือยาเบาหวาน หรือผู้ที่มีการย่อยอาหารหรือการดูดซึมบกพร่อง โดยสามารถไปพบแพทย์เพื่อทดสอบภาวะโลหิตจางหรือภาวะขาดสารอาหารได้ ในขณะเดียวกันก็ต้องเพิ่มการกินผักใบเขียว ถั่วชิกพี เนื้อไก่ที่เลี้ยงแบบอินทรีย์ และเนื้อวัวแบบ Grass-Fed ด้วย

7. ผิวแห้งผิดปกติ

การดื่มน้ำเยอะๆ ไม่ใช่ทางแก้ที่ดีแค่ทางเดียวสำหรับผิวแห้ง แต่ผู้ที่มีผิวแห้งมากหรือแห้งจนกระทั่งเป็นผื่นภูมิแพ้อักเสบ ควรบริโภคไขมันไม่อิ่มตัวเชิงซ้อนอย่าง กรดไขมันโอเมก้า 3 หรือกรดไขมันโอเมก้า 6 ก็สามารถช่วยให้เซลล์ผิวกักเก็บความชุ่มชื้นไว้ได้มากขึ้น หรือหากใครอาการหนักผิวแห้งลอกเป็นขุยนั่นอาจเป็นเพราะคุณกำลังขาดวิตามินบี 3 อยู่ก็ได้

8. ริ้วรอยมาเยือนก่อนวัยอันควร

ถึงแม้ว่าเราจะไม่สามารถต่อสู้กับความชราทางผิวได้ แต่เราสามารถควบคุมหรือชะลอการเกิดริ้วรอยได้ จากการวิจัยพบว่าการขาดวิตามินซี อาจเป็นอีกหนึ่งสาเหตุที่ทำให้เกิดริ้วรอยก่อนวัยอันควร เพราะวิตามินซี ไม่ได้เป็นแค่สารอาหารที่ช่วยต้านอนุมูลอิสระเท่านั้น แต่ยังเกี่ยวข้องกับการผลิตคอลลาเจน และช่วยสร้างโปรตีนที่สำคัญต่อการซ่อมแซมส่วนสึกหรอของผิวหนังด้วย และจากการศึกษาเพิ่มเติมพบว่าการทานผลิตภัณฑ์อาหารเสริมคอลลาเจน จะช่วยเพิ่มความชุ่มชื้นให้ผิวและลดริ้วรอยได้ แต่ถึงอย่างนั้นการรับประทานวิตามินซีในระดับที่เหมาะสมก็เป็นส่วนสำคัญ เช่น มะละกอ พริกหวาน บล็อคโคลี่ สตรอว์เบอร์รี่ และสับปะรด

ภาพ : www.today.com, www.rd.com, www.wikihow.com

อ่านบทความเพิ่มเติม

6 เฉดสีเล็บเจ้าสาวทาแล้วรอดเข้ากับแหวนเพชรเม็ดงาม

ทรงผมเจ้าสาวงานเย็นแบบเกล้าหางม้า ได้ลุคเจ้าสาวสมัยใหม่สุดๆ

ว่าที่เจ้าสาวต้องรู้กับผมเจ้าสาวชุดไทยทรงไหนรอด? ทรงไหนร่วง?

6 พฤติกรรมเสี่ยงทำชีวิตคู่พังไม่เป็นท่า ไม่อยากล้มเหลวต้องอ่าน!

ชีวิตคู่ ไม่ใช่เรื่องง่าย แต่ก็ไม่ใช่เรื่องยาก เพียงแค่คุณต้องเรียนรู้ที่จะเข้าใจกัน อันดับแรกคือต้องรู้ว่าพฤติกรรมไหนที่จะกลายเป็นปัญหาสะสมและส่งผลให้ชีวิตคู่ของคุณพัง ซึ่งเราลิสต์มาให้สำรวจตัวเองและคนข้างๆ กันตรงนี้แล้ว

ไม่บอกความต้องการของตัวเองให้อีกฝ่ายรู้

ไม่มีใครสามารถรู้ใจคุณได้เสียทุกเรื่อง ถึงแม้จะสนิทสนมคุ้นชินกันมาเป็นสิบๆ ปีก็เถอะ หากคุณมีเรื่องอะไรในใจก็ควรบอกออกไปให้อีกฝ่ายรับรู้ การเก็บไว้คนเดียว นอกจากจะทำให้อีกฝ่ายไม่รับรู้และไม่สนองตอบในสิ่งที่คุณต้องการแล้ว ยังทำให้คุณอึดอัดใจเสียเปล่าๆ และที่สำคัญคือเป็นต้นเหตุของความเข้าใจที่ไม่ตรงกันนั่นเอง

ไม่รับฟัง

เมื่อมีฝ่ายที่บอกก็ต้องมีฝ่ายที่ฟัง การสื่อสารถึงจะสมบูรณ์ อย่าหนีหน้าหรือหนีปัญหาด้วยการไม่รับฟังเด็ดขาด เพราะสุดท้ายคนข้างๆ คุณเขาอาจเลือกที่จะไประบายเรื่องราวต่างๆ กับคนอื่นแทน ซึ่งนั่นยิ่งทำให้ปัญหาแย่หนักไปกว่าเดิม จำไว้ว่าความเข้าใจจะเกิดขึ้นได้ต้องประกอบจากผู้พูดและผู้ฟังที่ดี ถ้าคุณและคู่ของคุณเป็นทั้ง 2 อย่างได้ รับรองว่าปัญหาต่างๆ คลี่คลายแน่นอน

ไม่ใช้เวลาร่วมกัน

การไม่ใช้เวลาร่วมกันจัดเป็นปัญหาของคู่รักในยุคสังคมโซเชียลเลยก็ว่าได้ เพราะบางคนเลือกที่จะก้มหน้าก้มตาอยู่กับโทรศัพท์ แท็บเล็ต หรือคอมพิวเตอร์ จนลืมไปว่ายังมีคนข้างๆ อยู่ด้วย ซึ่งทำให้ความสัมพันธ์ของคุณห่างเหินกันโดยไม่รู้ตัว แบบนี้ล่ะค่ะที่เรียกว่า ตัวใกล้แต่ใจห่าง แล้วก็ร้างรากันไปในที่สุด

ไม่ทำให้อีกฝ่ายรู้สึกเป็นคนสำคัญ

อย่าคิดว่าการมอบสถานะสมรสจะเป็นการการันตีความรู้สึกเป็นคนสำคัญให้กับอีกฝ่ายได้เสมอไป บางคนละเลยคนข้างกายและลืมไปว่าคุณตัดสินใจเป็นคนๆ เดียวกันแล้ว จำไว้ว่าแค่เรื่องเล็กๆ น้อยๆ ก็สร้างความน้อยอกน้อยใจให้กับอีกฝ่ายได้ การทำให้เขารู้สึกเป็นคนสำคัญนั้นง่ายมาก เพียงแค่ถ้าคุณมีปัญหาก็ปรึกษาเขาเป็นคนแรก บอกเรื่องน่ายินดีกับเธอก่อนใครๆ หรืออยากให้เขาอยู่ใกล้ๆ เพื่อเป็นกำลังใจในช่วงเวลาสำคัญ

ไม่มองข้ามข้อเสียของกันและกัน

การยอมรับข้อเสียของอีกฝ่ายเป็นคติประจำใจที่คนมีคู่ทุกคนต้องมี เพราะไม่มีใครสมบูรณ์พร้อมให้คุณได้ทุกอย่าง หากมัวแต่เก็บข้อเสียเล็กๆ น้อยๆ ของอีกฝ่ายมาคิด รับรองว่าชีวิตคู่ของคุณคงหาความสุขได้ยากแน่นอน ถ้าข้อเสียนั้นไม่ร้ายแรงจนเกินไปก็มองข้ามไปเสียเถอะ มองข้อดีเป็นภาพใหญ่ให้ชีวิตรักสดใสดีกว่า

ไม่ซื่อสัตย์และไม่ไว้ใจ

อีกฝ่ายไม่ซื่อสัตย์ ส่วนอีกฝ่ายก็ไม่ไว้ใจ ถ้าเป็นอย่างนี้รับรองว่าชีวิตคู่มีแต่พังกับพัง คู่ไหนที่กำลังเผชิญกับสถานการณ์แบบนี้ เราขอแนะนำว่าหยุดเสียเถอะค่ะ ถ้ายังอยากจะครองรักกันต่อไป แต่ถ้าให้โอกาสแก้ตัวกันหลายครั้งหลายคราแล้ว ก็คงถึงเวลาที่ต้องเลือกระหว่างทนทุกข์ใจกับสันดานที่แก้ไม่หายต่อไป หรือเดินจากไปเพื่อเริ่มต้นใหม่ให้ดีกว่าเดิม

>> อ่านเรื่องราวเกี่ยวกับความรัก ความสัมพันธ์ และการใช้ชีวิตคู่เพิ่มเติมได้ที่นี่ คลิกเลย <<

ภาพ : www.therapytribe.com a a a  a

5 วิธีให้กำลังใจคนรักง่ายๆ ไม่ว่าจะสถานะไหนก็ทำได้เหมือนกัน

แฟน คนรัก สามี-ภรรยาไม่ว่าคุณจะอยู่ในสถานะใดต่อกันก็ตาม ต่างก็มีหน้าที่เดียวกันคือการเป็นเพื่อนคู่คิด หากคนหนึ่งมีปัญหา อีกคนก็ต้องคอยช่วยเหลือ หรือทำสิ่งที่ง่ายที่สุดและควรทำเป็นอันดับแรกอย่างการให้กำลังใจ ซึ่งเราจะสามารถ ให้กำลังใจคนรัก ได้อย่างไรกันบ้าง เรามีวิธีมาบอกกันค่ะ

คำพูดดีๆ

การให้กำลังใจด้วยคำพูดดีๆ เป็นวิธีปลอบประโลมใจคนรักที่แสนจะง่ายดาย และอีกฝ่ายก็รับรู้ความตั้งใจของเราได้ง่ายด้วย แต่ทั้งนี้คุณต้องกลั่นกรองคำพูดให้ถ้วนถี่สักนิดก่อนที่จะเอื้อนเอ่ยออกไปต้องมั่นใจว่าคำพูดของคุณจะทำให้เขารู้สึกดีขึ้น โดยอาจเป็นการพูดชมเชยเพื่อสร้างกำลังใจ หรือพูดปนตลกเพื่อให้เขาผ่อนคลายก็ได้

สัมผัสแห่งกำลังใจ

หากคุณเป็นคนพูดไม่เก่ง หรือรู้ตัวว่าปากไม่ค่อยจะดีเท่าไหร่ ลองเปลี่ยนมาให้กำลังใจคนรักด้วยการสัมผัสร่างกายของเขาแทนก็ได้ ไม่ว่าจะเป็นการกอด การหอม การจูบหรือการจับมือ รับรองว่าสัมผัสเบาๆ พร้อมแววตาห่วงใยจะช่วยสร้างกำลังใจให้เขาได้มากเลยล่ะค่ะ

ช่วยเหลือ

อย่างที่บอกไปแล้วว่าคนรักกันต้องเป็นเพื่อนคู่คิดของกันและกัน ดังนั้นการให้กำลังใจที่ดีที่สุดในยามที่เขาเจอกับปัญหาหรืออุปสรรคคือการช่วยเหลือ ทั้งช่วยคิด ช่วยแก้ไข และช่วยประคับประคองจิตใจ ไม่ว่าคุณจะช่วยได้มากหรือน้อยก็เป็นไร เพียงแสดงออกถึงความตั้งใจที่จะช่วย แค่นี้ก็ทำให้เขาก็มีกำลังใจมากขึ้นแล้ว

ของขวัญแทนกำลังใจ

ใครว่าของขวัญจะต้องให้กันเฉพาะในวันพิเศษเท่านั้น เราสามารถให้ของขวัญแก่คนรักเพื่อแสดงถึงการให้กำลังได้เช่นกัน แต่ต้องมีเทคนิคในการเลือกสักหน่อย เพื่อให้ของขวัญสื่อความหมายได้ดี เช่น หากเขาท้อแท้กับการทำงาน เราก็ให้ของใช้ที่เกี่ยวกับการทำงานของเขาเป็นของขวัญ เป็นต้น

สร้างความผ่อนคลาย

การทำให้เขาผ่อนคลายเป็นอีกหนึ่งวิธีในช่วยสร้างกำลังใจให้กับคนรัก ทั้งนี้แต่ละคนก็มีกิจกรรมที่ชื่นชอบแตกต่างกันไป คุณต้องรู้ก่อนว่าอะไรที่ช่วยทำให้เขาผ่อนคลายได้ จากนั้นก็ลงมือทำสิ่งนั้นให้เขา เช่น หากเขาเป็นคนที่มีความสุขกับการได้กินของอร่อยๆ ก็ชวนกันไปกินแก้เครียด หากเขาเป็นคนชอบทำบุญก็จูงมือกันเข้าวัด หรือหากเขาเป็นคนชอบเที่ยวก็พากันไปเที่ยวเพื่อพักสมอง

เป็นอย่างไรบ้างค่ะกับ 5 วิธีให้กำลังใจคนรักที่ เรานำมาฝากกัน ลองเลือกไปใช้กันดูนะคะ แต่ทั้งนี้อย่าลืมว่าสิ่งสำคัญที่สุดที่จะสร้างกำลังใจให้คนรักของคุณได้คือ “ความรัก” หากคุณมีความรักที่ดีต่อกัน ไม่ว่าเจออุปสรรคใดๆ ก็จะก้าวผ่านไปพร้อมกันได้อย่างแน่นอน

>> อ่านเรื่องราวเกี่ยวกับความรัก ความสัมพันธ์ และการใช้ชีวิตคู่เพิ่มเติมได้ที่นี่ คลิกเลย <<

ภาพ : www.rd.com

โปรดใช้วิจารณญาณในการชม!! กับ 8 ความเชื่อฤกษ์ยามห้ามแต่ง!

เรื่องความเชื่อกับคนไทยเป็นของคู่กันมาตั้งแต่โบราณกาล จะทำพิธีมงคลแต่ละครั้งก็ต้องเลือกวันให้มั่นเหมาะ สำหรับพิธีแต่งงานนอกจากจะดูฤกษ์ดูวันที่ดีแล้ว วันไหนที่ผู้ใหญ่ท่านว่าห้ามจัดงานแต่ง แต่งแล้วชีวิตคู่จะไม่มีความสุขก็ต้องเลี่ยง เราจึงรวบรวมมาให้ดูกัน ฤกษ์ยามห้ามแต่ง มีวันอะไรบ้างที่เขาไม่นิยมจัดงานวิวาห์กัน

ความเชื่อที่ 1 ห้ามแต่งงานวันพุธ

ในทางโหราศาสตร์ “ดาวพุธ” มีวงโคจรที่ไม่แน่นอน เปลี่ยนแปลงตลอดเวลา เดี๋ยวดีเดี๋ยวร้าย เดี๋ยวช้าเดี๋ยวเร็ว ทำให้คนสมัยโบราณเชื่อกันว่าถ้าแต่งงานวันพุธจะทำให้เจ้าบ่าวหรือเจ้าสาวเกิดอาการโลเล ไม่แน่นอน อาจนำไปสู่ปัญหาการนอกใจและหย่าร้างได้

ความเชื่อที่ 2 ห้ามแต่งงานวันเสาร์

คนโบราณเชื่อกันว่าวันเสาร์เป็นวันทุกข์โทษ เป็นวันแรง หากจัดงานมงคล เช่น งานวิวาห์หรือว่าขึ้นบ้านใหม่ จะทำให้ชีวิตพบแต่อุปสรรค ครอบครัวไม่มีความสุข

ความเชื่อที่ 3 ห้ามแต่งงานวันพฤหัสบดี

วันนี้เขาถือกันว่าเป็น “วันครู” จึงมีความเชื่อว่าหากแต่งงานวันพฤหัสบดีฝ่ายชายจะแพ้ทางฝ่ายหญิง อีกทั้งยังมีตำนานเกี่ยวกับเทพเจ้าว่า พระพฤหัสบดีจัดงานวิวาห์ให้กับบุตรสาวของตน ซึ่งก็คือพระจันทร์ในวันนี้ ต่อมาพระจันทร์ไปเป็นชู้กับพระอังคาร ดังนั้นจึงเกิดความเชื่อเพิ่มมาอีกหนึ่งอย่างคือ หากแต่งงานในวันพฤหัสบดี จะทำให้ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งนอกใจไปคบชู้

ความเชื่อที่ 4 ห้ามแต่งงานวันพระ

เนื่องจากในสมัยก่อนพระสงฆ์ต้องทำวัตรร่วมกับอุบาสก อุบาสิกาตั้งแต่เช้าจรดค่ำ จึงไม่ควรนิมนต์พระไปทำกิจอย่างอื่นอีก โดยเฉพาะในวันแต่งงานที่ถือว่าเป็นวันกิเลส มีการส่งตัวเข้าหอและหลับนอนของคู่บ่าวสาว ซึ่งไม่ถูกต้องตามหลักของคนโบราณ

ความเชื่อที่ 5 ห้ามแต่งงานวันอุบาทว์

เช่น วันโลกวินาศ ซึ่งในแต่ละปีจะไม่ตรงกัน ขึ้นอยู่กับการคำนวณวันตามหลักโหราศาสตร์

ความเชื่อที่ 6 ห้ามแต่งตามวันข้างขึ้น/ข้างแรม ดังนี้

  • วันอาทิตย์ ขึ้น/แรม 12 ค่ำ
  • วันจันทร์ ขึ้น/แรม 11 ค่ำ
  • วันอังคาร ขึ้น/แรม 7 ค่ำ
  • วันพุธ ขึ้น/แรม 3 ค่ำ
  • วันพฤหัสบดี ขึ้น/แรม 6 ค่ำ
  • วันศุกร์ ขึ้น/แรม 12 ค่ำ
  • วันเสาร์ ขึ้น/แรม 12 ค่ำ

ความเชื่อที่ 7 ห้ามแต่งตามเดือนข้างขึ้น/ข้างแรม ดังนี้

  • เดือน 1 ขึ้น/แรม 2 ค่ำ
  • เดือน 2 ขึ้น/แรม 12 ค่ำ
  • เดือน 3 ขึ้น/แรม 4 ค่ำ
  • เดือน 4 ขึ้น/แรม 2 ค่ำ
  • เดือน 5 ขึ้น/แรม 6 ค่ำ
  • เดือน 6 ขึ้น/แรม 4 ค่ำ
  • เดือน 7 ขึ้น/แรม 8 ค่ำ
  • เดือน 8 ขึ้น/แรม 6 ค่ำ
  • เดือน 9 ขึ้น/แรม 10 ค่ำ
  • เดือน 10 ขึ้น/แรม 8 ค่ำ
  • เดือน 11ขึ้น/แรม 12 ค่ำ
  • เดือน 12 ขึ้น/แรม 10 ค่ำ

ความเชื่อที่ 8  ห้ามแต่งงานในเดือน 12

คนในสมัยก่อนมีความเชื่อว่าเป็นช่วงเดือนที่สัตว์ส่วนใหญ่จะหาคู่และผสมพันธุ์ อีกทั้งยังเป็นช่วงฤดูฝน อาจเกิดน้ำป่าไหลหลาก จึงเชื่อกันว่าจะเกิดความลำบากในการเริ่มต้นชีวิตคู่ ซึ่งในปัจจุบันความเชื่อเช่นนี้ก็ค่อยๆ หายไปบ้างแล้ว

หรือว่าที่บ่าวสาวจะเลือก ฤกษ์แต่งงานแบบฤกษ์สะดวกถ้าเลือกให้ดีก็เป็นมงคลได้ เช่นกันนะคะ

ข้อมูล : www.horoscope.mthai.com
ภาพ : katescreativespace.com

เช็คให้ชัวร์ก่อนคิดจะแต่งว่าอยากมี “ ชีวิตคู่ ” หรือเป็นแค่ “แฟน” กันแน่นะ?!

สาวๆ หลายคนที่คบกับหวานใจมานานปีอาจจะมีบางโมเมนท์ที่คนรอบตัวถามว่า “เห้ยแก! เมื่อไหร่จะแต่งงานซะที?” แหม…แบบนี้ก็ตอบไม่ถูกเนอะ เพราะสถานะแฟนตอนนี้ก็มีความสุขดี แต่บางครั้งในใจก็อยากขยับความสัมพันธ์ให้มันมากขึ้นไปอีกขั้น เอ้า! สับสนกับตัวเองไปอีกว่าอยากจะให้เขาเป็นแค่ “แฟน” หรืออยากเปลี่ยนให้เขาเป็น “สามี” กันแน่ เอาเป็นว่าไม่ต้องปรึกษาใคร ถามใจตัวเองก่อนดีกว่าว่า อยากจะขยับสถานะใช้ ชีวิตคู่ และพร้อมรับการเปลี่ยนแปลงเหล่านี้หรือยัง?

1. “สามี-ภรรยา” กับ “แฟน” ไม่เหมือนกัน!

สามคำนี้มีความรักเป็นตัวตั้งเหมือนกันแต่ว่าต่างกันมากมาย เพราะในขณะที่คุณอยู่ในสถานะแฟน การใช้ชีวิตยังเป็นแบบชีวิตใครชีวิตมัน นึกจะโกรธกัน ทะเลาะกัน แล้วหันหลังให้กันก็ย่อมได้ แต่เมื่อไหร่ที่คุณอยู่ในสถานะสามี-ภรรยา นั่นหมายความว่าคุณทั้งคู่คือส่วนหนึ่งของกันและกัน เป็นครอบครัวเดียวกัน มีปัญหาต้องช่วยกันแก้ไข ทะเลาะกันก็ต้องหันหน้ามาปรับความเข้าใจ ไม่สามารถหันหลังแล้วทางใครทางมันได้ง่ายๆ เหมือนตอนเป็นแฟนแล้วนะ

2. ความรับผิดชอบที่มากขึ้นกว่าเดิม!

ตอนเป็นแฟนก็รับผิดชอบตัวเองไป ต่างคนต่างอยู่คนละบ้าน เวลามีปัญหาที่อยากเก็บไว้คนเดียวจะคิดว่าเรื่องของฉันเรื่องของเธอไม่เกี่ยวกันก็ย่อมได้ อยู่คนเดียวจะถอดเสื้อผ้าวางไว้ตรงไหนก็ไม่ต้องเกรงใจใคร กินแล้ววางจานทิ้งไว้ก็สักสามวันไม่มีใครว่า แต่! แต่! แต่! เมื่อคุณแต่งงานแล้วต้องมาใช้ชีวิตอยู่ร่วมกันในบ้านหลังเดียวกัน ความรับผิดชอบระหว่างกันจะต้องมีมากขึ้นจะมา ถอดเสื้อผ้าทิ้งไว้แบบที่เคยทำไม่ได้แล้ว ถ้วยโถโอชามต้องเก็บล้างให้เป็นระเบียบ ซึ่งเรื่องนี้ไม่ใช่แค่ฝ่ายหญิงที่ต้องปรับนะคะ ฝ่ายชายก็เช่นกัน เพราะฉะนั้นถามใจตัวเองสิว่าพร้อมจะรับผิดชอบสิ่งต่างๆ ที่ต้องเปลี่ยนไปนี้ไหม?

3. พร้อมจะดูแลอีกคนหนึ่งหรือไม่?

ใครที่บอกว่าตอนเป็นแฟนกันฉันก็ดูแลเขานะ เวลาที่เขาเจ็บป่วยหรือไม่สบายฉันก็ยังหาหยูกหายาให้ อย่างนี้เรียกว่าดูแลกายค่ะ แต่ถ้าคุณคิดจะแต่งงานแค่ดูแลกายคงไม่พอ ต้องดูแลใจ ดูแลชีวิตและความเป็นอยู่ของเขาด้วย ทั้งในเรื่องอาหารการกิน เสื้อผ้า และการใช้ชีวิตในแง่อื่นๆ ไม่ได้หมายถึงการไปเป็นคนรับใช้ของเขานะคะ แต่หมายถึงการดูแลและเอาใจใส่ในรายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ ของกันและกัน แน่นอนว่าจะต้องเยอะกว่าตอนเป็นแฟนกัน แต่นั่นก็อยู่ที่คุณว่าพร้อมจะยุ่งยากเพื่อขยับความสัมพันธ์หรือเปล่า?

4. แชร์กันในทุกๆ เรื่องราว

บางครั้งคุณอาจจะมีเรื่องราวที่ไม่อยากบอกกล่าวให้เขาได้รู้ เรื่องไหนไม่ยากเล่าก็ไม่เล่า ถ้าคุณเป็นแฟนกันจะทำแบบนี้ต่อไปก็ยังได้ เพราะถือว่ายังไม่ได้ใช้ชีวิตร่วมกัน แต่เมื่อไหร่ที่คุณแต่งงานไปแล้ว เรื่องของคุณก็คือเรื่องของเขา ปัญหาของเขาคุณก็ควรจะรับรู้ ไม่ว่าจะเรื่องสุขหรือเรื่องทุกข์ก็ต้องรับรู้ร่วมกัน ดังนั้นคุณลองคิดใคร่ครวญดูสิว่า พร้อมไหมที่จะรับฟังทุกๆ เรื่องราวความรู้สึกของเขา และพร้อมไหมที่จะแบ่งปันเรื่องของคุณให้เขาฟัง

ชีวิตคู่

5. เป็นหลังบ้านที่ดี

การเป็นหลังบ้านที่ดีไม่ได้หมายความว่าต้องลาออกจากงานที่รักมาเป็นแม่บ้านแม่เรือนตามแบบฉบับหญิงไทยสมัยก่อนนะคะ แต่หมายถึง การสนับสนุนหน้าที่การงานของสามี แน่นอนว่าตอนเป็นแฟนคุณอาจไม่จำเป็นต้องออกไปสังสรรค์กับสังคมเพื่อนทำงานของเขา (ประมาณว่าไม่ชอบก็ไม่ไป) แต่ถ้าหากคุณแต่งงานไปแล้ว บ่อยครั้งที่ต้องออกงานคู่กันอย่างเลี่ยงไม่ได้ ยกตัวอย่างให้เห็นแบบชัดๆ คือ เหล่าภริยานายทหาร ตำรวจ หรือคุณนายผู้ว่าไปยันคุณนายกำนัน มีงานราษฏร์งานหลวงที่ไหนต้องไปอย่าได้ขาด แบบนี้คุณจะทำได้ไหมถามใจตัวเองดู!

6. มากกว่าคนรัก คือ ครอบครัวของเขา

ตอนเป็นแฟนกันคุณอาจจะไม่ได้สนิทหรือรู้จักกับคนในครอบครัวของเขาทุกคน รวมถึงครอบครัวเราเขาก็ไม่ได้คุ้นเคยมากนัก เรื่องนี้เป็นเรื่องธรรมดาในสถานะแฟน ไม่ต้องลงลึกกับครอบครัวฝ่ายตรงข้ามก็ได้ ต่างคนก็ต่างดูแลครอบครัวของตัวเองไป แต่เมื่อไหร่ที่ตัดสินใจจะแต่งงานจงรู้ไว้ว่า “ครอบครัวคุณก็คือครอบครัวเขา และครอบครัวเขาก็คือครอบครัวคุณ” เพราะฉะนั้นจากที่เคยดูแลแค่พ่อแม่ปู่ย่าตายายของตัวเอง คุณก็ต้องเข้าไปทำความสนิทสนม ฝากเนื้อฝากตัว ดูแลพ่อแม่และญาติผู้ใหญ่ฝ่ายสามีด้วย ใครที่คิดว่าเยอะไปไหม ฉันทำไม่ไหวหรอก แบบนี้คุณคงยังไม่พร้อมจะมีสามีแน่นอน เป็นแฟนกันต่อไปเถอะ!

7. ค่าใช้จ่ายของสองเรา

เรื่องเงินทองนับเป็นเรื่องสำคัญอีกหนึ่งเรื่องระหว่างคนรัก เวลาที่ออกไปเที่ยวหรือไปทานข้าวตอนเป็นแฟนกันก็อาจจะจ่ายใครจ่ายมัน แยกกระเป๋าสตางค์กันชัดเจน แต่เมื่อเป็นสามีภรรยากันแล้วจะถือคติเงินใครเงินมันแบบเดิมคงจะลำบาก เพราะจะมีค่าใช้จ่ายส่วนกลางระหว่างคุณสองคนที่ต้องแชร์กัน เช่น ค่าบ้าน ค่าน้ำ ค่าไฟ และค่าอื่นๆ อีกจิปาถะ เพราะฉะนั้นการวางแผนการใช้เงินก็ควรจะรอบคอบมากขึ้น ไม่ใช่ว่าอยากจะซื้ออะไรก็ซื้อได้เหมือนตอนเป็นแฟนกันนะ รวมถึงเรื่องหนี้สินของแต่ละฝ่ายด้วย คิดไตร่ตรองให้ดีนะคะว่าเมื่อแต่งงานไปแล้วคุณจะต้องเข้าไปช่วยรับผิดชอบหนี้สินส่วนนั้นด้วยหรือไม่ ถ้าไม่อยากใช้หนี้ที่ตัวเองไม่ได้ก่อก็อย่าเพิ่งแต่งงานแล้วกัน!

8. อย่าลืมคิดเรื่องลูกด้วยล่ะ

ฝ่ายชายบางคนที่อยากมีลูกก็มักจะยื่นคำขอปั๊มลูกทันทีที่แต่งงาน นี่แหละค่ะเป็นอีกหนึ่งเหตุผลที่ทำให้เหล่าสาวๆ ตัดสินใจใช้ชีวิตอยู่ในสถานะแฟนและยังไม่ยอมเซย์เยสแต่งงานซะที เพราะการอุ้มท้องทารกหนึ่งคนก็ส่งผลต่อชีวิตในหลายๆ ด้าน ใครที่คิดแบบนี้อยู่ฮีบินขอฟันธงเลยว่าคุณยังไม่พร้อมจะแต่งงานแน่นอน เป็นแฟนกันต่อไปซะเถอะ แต่เมื่อไหร่ที่คุณทั้งสองคนมีความเห็นพ้องต้องกัน เช่น ไม่อยากมีลูกทั้งคู่ หรือ อยากมีลูกด้วยกันเร็วๆ แบบนี้ก็เตรียมเปลี่ยนสถานะจากนางสาวเป็นนาง พวงสถานะว่าที่คุณแม่ไปเลยก็ได้นะคะ

ข้อดีของสถานะแฟนก็คือ คุณและเขายังคงมีพื้นที่ส่วนตัวของกันและกันอยู่ แต่ในขณะเดียวกันความสัมพันธ์ก็ยังเปราะบาง เพราะจะตัดสินใจเดินจากกันไปเมื่อไหร่ก็ได้ แต่สถานะของสามีภรรยามันจะทำให้ความสัมพันธ์ของคุณมั่นคงมากขึ้น สายใยรักเข้มแข็งขึ้นตามสถานะที่เปลี่ยน เป็นครอบครัวที่ประคับประคองกันได้ดีกว่าเดิม แต่ทั้งหมดนี้ก็แลกมาด้วยพื้นที่ส่วนตัวที่ลดน้อยลงและหน้าที่ความรับผิดชอบที่มากขึ้นกว่าตอนเป็นแฟน ลองถามตัวเองดูสิว่า คุณสบายใจที่จะอยู่ในสถานะไหน แล้วคุณก็จะได้คำตอบว่าผู้ชายที่คบอยู่นั้น คุณจะให้เขาเป็นแค่ “แฟน” หรือพร้อมจะให้เขามาเป็น “สามี” ของคุณ

ภาพ unsplash.com

อ่านบทความเพิ่มเติม

6 วิธีง่ายๆ ที่จะช่วยศึกษาดูใจ ทำความรู้จักกับคนรักของคุณให้มากขึ้น

4 เคล็ดลับมัดใจครอบครัวแฟน รับรองเห็นผลผู้ใหญ่ปลื้ม

ปล่อยให้เป็นแค่เรื่องเก่าๆ…เลิกคิดมากเรื่อง แฟนเก่า ของเขาซักทีเถอะนะ

รักนี้ต้องสู้หรือต้องเปลี่ยนกับ 6 นิสัยชายไทยที่ภรรยาต้องสตรอง!

ขึ้นชื่อว่าชีวิตคู่ สามี-ภรรยาก็ต้องรู้จักปรับตัว ปรับนิสัยเข้าหากัน เพื่อทำให้ความรักมั่นคงยืนยาวที่สุด แล้วยิ่งถ้าต้องมาเป็นภรรยาของชายที่มีนิสัยแบบสุดโต่งล่ะก็ศรีภรรยาคนดีก็จะต้องรับมือให้อยู่หมัด แพรวเวดดิ้งเลยรวบรวม 6 นิสัยชายไทย ที่สาวทุกชาติ (โดยเฉพาะสาวที่อยากเป็นสะใภ้ไทย) ต้องสตรองมาบอกกัน

1. ช้างเท้าหน้า

ยังมีชายไทยอีกจำนวนไม่น้อยที่ยึดติดว่าเรื่องใหญ่ๆ ในครอบครัวตัวเองต้องเป็นคนตัดสินใจ แต่ก็ไม่ได้ถึงกับไม่รับฟังความคิดเห็นของภรรยาเลย เพราะคนไทยมีความเชื่อกันว่าผู้ชายเป็นช้างเท้าหน้า ผู้หญิงเป็นช้างเท้าหลังมาแต่ไหนแต่ไร ก็เพื่อความสงบและความเป็นระเบียบเรียบร้อยของครอบครัวนั่นเอง

2. เห็นเพื่อนสำคัญกว่าแฟน

ถือเป็นปัญหาลำดับต้นๆ สำหรับผู้หญิงเลยก็ว่าได้ ด้วยความที่ผู้ชายเป็นเพศที่รักอิสระ และให้ความสำคัญกับเพื่อนก่อนเสมอ โดยมักจะให้เหตุผลว่าก็เพื่อเคยร่วมทุกข์ร่วมสุขกันมา ยังไงเพื่อนก็จะอยู่ข้างๆ เสมอ ซึงทำให้มีผู้ชายบางคนมีความคิดว่า ยอมที่จะเบี้ยวนัดแฟนได้ แต่จะไม่ยอมเบี้ยวนัดเพื่อนเด็ดขาด

3. ปากแข็ง

คุณต้องเข้าใจว่าผู้ชายเป็นเพศที่มีฐิติสูง รักศักดิ์ศรียิ่งกว่าชีวิต การที่เขาจะมาเปิดเผยมุมหวานๆ ออกมา ก็คงจะไม่ใช่เรื่องที่ง่ายนัก แต่คุณก็อย่าได้น้อยใจเพราะการที่เขาไม่ได้แสดงความรักออกมา ไม่ได้แปลว่าไม่ได้ไม่รักหรอกนะ

4. เจ้าชู้

จากผลการสำรวจของบริษัทดูเร็กซ์ ในปี 2011 พบว่าชายไทยเป็นชาติที่เจ้าชู้ที่สุดอันดับ 1 ของโลก โดยคิดเป็นร้อยละ58 (แต่นี่มันปี 2020 แล้วอาจจะมีลดๆ ลงไปบ้าง…อิอิ) ที่เป็นอย่างนี้เพราะส่วนใหญ่เกิดมาจากความรักสนุก บวกกับอาจเกิดจากการที่ฝ่ายหญิงไม่ใส่ใจ ไม่มีเวลาให้ จึงทำให้ผู้ชายต้องออกไปหาคนอื่นที่สามารถช่วยบรรเทาในสิ่งที่เขาต้องการ รู้แบบนี้แล้วสาวๆ ก็ต้องปรับปรุงตัวนะจ๊ะ

5. ใช้เงินไม่ค่อยเป็น เก็บเงินไม่ค่อยอยู่ หน้าใหญ่ใจโต

การใช้จ่ายของผู้ชายอาจทำให้คุณรู้สึกปวดหัวได้ตลอดเวลา เพราะความหน้าใหญ่ใจโต บวกกับการใช้เงินค่อยไม่เป็น ใช้เงินเกินตัวชอบสังสรรค์เลี้ยงเพื่อนฝูง เพื่อแสดงให้เห็นว่าเป็นคนใจถึง และจะไม่ยอมเสียหน้าเด็ดขาด เป็นผลทำให้คุณหนุ่มๆ เก็บเงินไม่อยู่นั่นเอง

6. อารมณ์ร้อน

ผู้ชายบางคนส่วนใหญ่มักจะมีอารมณ์ร้อนฉุนเฉียว ถึงกับมีสำนวนที่ว่า Men are from Mars, Women are from Venus. เพราะมีความเชื่อกันมาว่าผู้ชายเป็นลูกของดาวอังคาร ซึ่งเป็นเทพพระเจ้าแห่งการทำสงคราม แต่อาจเพราะประเทศไทยเป็นเมืองร้อนด้วยกระมัง เราจึงเห็นข่าวชายไทยลงมือทุบตีภรรยามากกว่าชายประเทศอื่นๆ

ทั้งหมดนี้คือ 6 นิสัยชายไทยที่ศรีภรรยาต้องสตรองให้ได้มากที่สุด เผลอๆ อาจมีนิสัยชายไทยที่ต้องรับมือให้ได้มากกว่านี้ด้วยซ้ำ แต่ถ้ายังอยากให้ชีวิตคู่ดำเนินไปได้อย่างราบลื่นก็ควรจะปรับจูนทีละเล็กทีละน้อยด้วยความเข้าใจกันนะจ๊ะ

ภาพ : www.theactkk.net

อ่านบทความเพิ่มเติม

ขอผู้ชายแต่งงาน ได้ไหม? แล้วขอยังไงไม่ให้น่าเกลียด?

จริงหรือมั่ว! ชัวร์หรือไม่? เช็คเลยกับ 7 สัญญาณบอกให้รู้ว่าเขาคนนี้คือคนที่ใช่

จะแต่งงานต้องอ่าน! 5 เรื่องอย่ามองข้ามเพื่อปีแรกของชีวิตคู่ดีงามอย่างฝัน

แจกผังขบวนขันหมากจีนขนานแท้ฉบับเต็มรูปแบบ

มาแล้วววววว ตามคำเรียกร้องของบ่าวสาวลูกหลานชาวจีนที่อยากจะได้ความชัวร์ในการจัด ขบวนขันหมากจีน ขนานแท้ วันนี้เราออกสืบเสาะ สัมภาษณ์และวาดผังออกมาเป็นภาพที่เข้าใจง่ายๆ แค่จัดตาม ก็แห่เข้าบ้านว่าที่เจ้าสาวได้แล้วค่ะ

ก่อนที่ว่าที่บ่าวสาวจะเริ่มอ่านและทำความเข้าใจผังขบวนขันหมากจีนด้านล่างนี้ เราขอบอกก่อนว่า นี่คือการจัดผังขบวนขันหมากจีนขนานแท้ที่ไม่มีการนำรูปแบบขันหมากไทยเข้ามาประยุกต์นะคะ ฉะนั้นบางอย่างที่เคยคุ้นจากประเพณีแต่งงานไทยหรือไทย-จีนอาจมีการลดทอนหรือเพิ่มเติมค่ะ

นำขบวนด้วย “เถ้าแก่” ไม่ต่างจากประเพณีไทยที่ให้เถ้าแก่เป็นคนนำขบวนค่ะ แต่สำหรับเถ้าแก่งานแต่งจีนแท้ๆ ไม่ต้องมีการถือซองเพื่อผ่านด่านประตูเงินประตูทองแต่อย่างใด เนื่องจากคนจีนไม่ได้มีธรรมเนียมการกั้นประตูเงินประตูทองเป็นทิวแถวอย่างเช่นคนไทย แต่ก็สามารถกั้นได้ แค่ต้องรอจนกว่าจะเสร็จพิธีสวมแหวนหมั้นเสียก่อน ฉะนั้นเถ้าแก่สามารถเดินอย่างสง่างามพร้อมรอยยิ้มนำขบวนมาได้เลยค่ะ

ต่อด้วย “คุณพ่อและคุณแม่ฝ่ายชาย” เดินนำหน้าลูกชายคนดีที่กำลังจะเป็น “เจ้าบ่าว” ซึ่งเช่นกันกับเถ้าแก่คือ ไม่มีการถืออะไรในมือ แม้แต่ว่าที่เจ้าบ่าวก็ไม่ต้องถือพานธูปเทียนแพนะคะ หลังจากนี้ไปจะเป็นข้าวของในขบวนขันหมากที่จำเป็นต้องมีตามประเพณีจีนเป๊ะๆ ค่ะ

1. พานแหวน คู่ พานข้าวตอก แนะนำให้วางแหวนสำหรับเจ้าสาวและเจ้าบ่าวคู่กันในหนึ่งพานจะสวยงามและลงตัวกว่าแยกพานวางไว้แต่ละวงนะคะ โดยพานที่เดินเคียงข้างคือ พานข้าวตอกสำหรับให้แขกผู้ใหญ่โปรยอวยพรให้ทรัพย์สินเพิ่มพูนค่ะ

2. พานสินสอดสำหรับใส่เงิน คู่ พานสินสอดสำหรับใส่ทอง ตามความเชื่อคนจีนที่เวลายกขันหมากสู่ของสาวต้องมีสินสอดให้ครบทั้งเงินและทอง ฉะนั้นเพื่อความสวยงามอลังการ และบอกให้ครอบครัวฝ่ายหญิงได้รู้ชัดๆ ว่าจัดสินสอดมาให้อย่างไม่น้อยหน้าใครก็จัดแยกกันไปเลยอย่างละพานได้เลยค่ะ

3. พานใส่ซองรับขวัญให้พ่อตาแม่ยาย 2 ซอง คู่  พานใส่ซองรับขวัญให้พ่อตาแม่ยาย 4 ซอง ตามประเพณีแต่งงานของชาวจีนขนานแท้ ว่าที่ลูกเขยต้องไม่ลืมเตรียมซองรับขวัญ 6 ซองนี้อย่างเด็ดขาด ซึ่งแต่ละซองมีความสำคัญดังนี้

ซองที่ 1  คือ ซองค่าน้ำนมให้แม่ยาย ซองนี้ต้องใส่เงินมากกว่าซองอื่น เพราะอย่าลืมนะคะว่า ช่วงเวลาที่แม่ยายอุ้มท้องเจ้าสาวของคุณมายาวนานและเหนื่อยกายแค่ไหน ทั้งยังมีเลี้ยงดู อบรม ให้การศึกษาจนเติบใหญ่มีความสำคัญมาแค่ไหน ฉะนั้นซองนี้สำหรับแม่ยายจึงต้องพิเศษสุดๆ โดยวางคู่กับซองที่ 2 คือ ซองค่าขาหมูให้พ่อตา ส่วนซองที่ 3 คือ ซองค่าขนมที่ฝ่ายหญิงซื้อเตรียมไว้สำหรับใช้ในพิธี ซองที่ 4 คือ ซองค่าชุดไหว้เจ้า ซองที่ 5 คือ ซองค่าตัดเย็บชุดเจ้าสาว ซองที่ 6 คือ ซองเงินเบ็ดเตล็ด วางไว้ในพานเดียวกัน

4. ถาดส้ม 24 ผล คู่ ถาดส้ม 24 ผล โดยปกติแล้วจำนวนส้มจะอยู่ที่แต่ละบ้านกำหนด แต่ต้องเป็นเลขคู่เสมอ และนิยมเริ่มต้นที่ ถาดละ 24 ผลรวม 2 ถาด 48 ผล เดินเคียงกัน แต่ไม่นิยมรวมแล้วได้ 24 ผล หรือ ถาดละ 12 ผล นะคะ เพราะเลข 1 ถือเป็นเลขคี่ ส่วนว่าจะเพิ่มจำนวนส้มมากกว่า 48 ผลได้ไหม บอกเลยว่าได้ค่ะ แต่ต้องเป็นเลขคู่ จากนั้นเบิ้ลถาดเอา เช่น 96 ผล แบ่งเป็น 4 ถาดๆ ละ 24 ผล เดินเป็น 2 คู่ก็ได้ แต่อย่าลืมนะคะว่าทุกผลต้องติดตัวหนังสือ “ซังฮี้”แปลว่าคู่ยินดีเสมอ

5. ถาดขนมสี่สี 2 กล่อง คู่  ถาดขนมสี่สี 2 กล่อง ขนมแต่งงานของจีนที่ขาดไม่ได้ในขบวนขันหมาก ถูกจัดเป็นชุดๆ ไว้ในกล่องเรียบร้อยแล้ว ในหนึ่งกล่องประกอบด้วย ขนมเหนียว, ขนมเปี๊ยะ, ขนมถั่วตัดและขนมโก๋เคลือบงา ติดตัวหนังสือซังฮี้ เวลาเดินถือถือในขบวนขันหมาก นิยมให้ 1 คนถือ 2 กล่อง เคียงกันไปรวมเป็น 4 กล่อง

6. ถาดขนมจันอับ 1 ห่อ คู่ ถาดขนมจันอับ 1 ห่อ  ขนมจันอับถือว่าเป็นขนมที่ขาดไม่ได้ในงานแต่งงานของชาวจีน เพราะเชื่อว่าความหวานของขนมจันอับจะทำให้ชีวิตรักกันหวานชื่น เวลาเดินถือถือในขบวนขันหมาก จะต้องรวมแล้วมี 4 ห่อ แต่เพราะส่วนใหญ่ขนมจันอับจะเป็นห่อใหญ่ จึงนิยมให้ 1 คนถือ 1 ห่อ และจัดให้เดิน 2 คู่ รวม 4 ห่อ

7. ถาดหมี่เตี๊ยว คู่ ถาดหมี่เตี๊ยว สื่อถึงการอยู่ครองรักครองเรือนกันยาวนาน รักกันเหนียวแน่นยั่งยืน โดยส่วนใหญ่จัดวาง 1 ถาดต่อ 5 กิโลกรัม ห่อด้วยผ้าแดงอีกครั้งและ 1 คนถือ 1 ถาดค่ะ

8. เหล้าจีน 2 ขวด คู่ เทียนแดง 2 คู่ เหล้าจีนถือเป็นเหล้ามงคลที่แสดงว่าต่อไปนี้เราคือครอบครัวเดียวกัน จึงร่วมกันดื่มเหล้านี้นั่นเอง  เดินถือคู่ไปกับเทียนแดง 2 คู่ที่วางไว้บนถาดเดียวกัน

9. ขนมเปี๊ยะ คู่ ขนมเปี๊ยะ ถือเป็นขนมแห่งความศิริมงคลที่ไม่ว่าจะเป็นเทศกาลมงคลไหน ชาวจีนจะขาดไปเสียไม่ได้ เพราะความหมายของขนมนี้คือ การส่งความปรารถนาดีระหว่างผู้รับกับผู้ให้ และยังเป็นขนมที่แสดงถึงความสามัคคีกันอีกด้วยนะคะ

10. ขนมโก๋ปลาคู่เงินทอง คู่ ต้นเซียนเช่า 1 คู่ ขนมปลาโก๋คู่นี้สื่อถึงความั่งมีของว่าที่ครอบครัวใหม่ เดินคู่ไปกับคนถือต้นเซียนเช่า 1 คู่ ซึ่งหมายถึงการปัดเป่าความไม่ดีออกไป แต่พิเศษนิดนึงที่ว่าที่บ่าวสาวต้องจำให้มั่นคือ หลังเสร็จพิธีแล้ว ฝ่ายชายจะนำกลับไปปลูกที่บ้าน

จัดครบจบทั้งเซ็ตขบวนขันหมากจีนขนานแท้เรียบร้อยแล้ว ก็ดูฤกษ์ดีเวลาเป๊ะ เริ่มก้าวเท้าออกเดินเข้าบ้านเจ้าสาวทำการสู่ขอได้เลยค่ะ

ขอขอบคุณข้อมูลจาก ร้านศรีสมบูรณ์พาณิชย์ ถนนพลับพลาไชย โทร. 0-2222-3305, 09-4409-1595 ไลน์ : hoong1595 www.srisomboon.com

อ่านข้อมูลเพิ่มเติม >>> สคริปต์งานแต่งจีน ครบถ้วนแบบม้วนเดียวจบไม่มีตกหล่นแน่นอน

5 หัวใจหลักสานฝันวันวิวาห์ให้การจัดงานแต่งงานออกมาได้สมดั่งใจ

เชื่อว่าบ่าวสาวร้อยละร้อยมีภาพงานแต่งในฝันอยู่ในใจ และส่วนใหญ่ไม่รู้ว่าจะต้องทำอย่างไรให้การ จัดงานแต่งงาน “ภาพฝัน” นั้นกลายเป็น “ภาพจริง” แพรว wedding จึงรวบรวมเทคนิคเสก งานแต่งในฝัน จากกูรูวงการเวดดิ้งทั้งไทยและเทศ ยำรวมกับประสบการณ์จากเจ้าสาวรุ่นพี่มาเสิร์ฟให้คุณถึงที่กันเลยทีเดียว


ในการ จัดงานแต่งงาน มีสิ่งหลัก ๆ ที่คุณต้องจัดการให้อยู่หมัด
 ตามนี้

1. BUDGET

เป็นสิ่งสำคัญอันดับแรกในการบันดาลงานแต่งในฝันของคุณ แต่ก็ไม่ได้โหดร้ายถึงขนาดว่าถ้าไม่มีเงินถุงเงินถังจะจัดงานแต่งแบบที่ชอบไม่ได้ คุณยังจัดได้ เพียงแต่ต้องใช้แรงกาย + แรงสมองมากหน่อยเพื่อทดแทนแรงเงินที่ขาดไปเพื่อไม่ให้เกิดอาการงบบานปลายจนถึงขั้นกลายเป็นหนี้สิน แนะนำให้ตั้งงบประมาณรวมสำหรับงานแต่งขึ้นมาก่อน อย่าลืมเผื่อเหลือเผื่อขาดไว้ด้วยว่าจะเกินงบได้กี่เปอร์เซ็นต์ แล้วค่อยปรับ “งานในฝัน” กับ “งบจริง” ให้สัมพันธ์กัน เพราะถ้าความฝันสวนทางกับความจริงแบบสุดกู่ก็คงต้องฝันกันต่อไปนะจ๊ะ

เทคนิคง่ายๆ คือ

  • ตั้งงบขึ้นมาก้อนหนึ่งและมีตัวเลขไว้ในใจว่าจะเกินงบได้กี่เปอร์เซ็นต์
  • แบ่งค่าใช้จ่ายในการจัดงานออกเป็นส่วนต่าง ๆ เช่น ค่าสถานที่ ค่าอาหาร ค่าตกแต่ง ค่าชุด ค่าแหวน ค่าการ์ด ฯลฯ แล้วดูว่าอะไรคือสิ่งสำคัญที่สุดที่คุณจะเทงบให้ อะไรรองลงมา และอะไรที่คุณไม่ซีเรียส
  • เกลี่ยงบประมาณตามลำดับความสำคัญ เช่น บางคู่ไม่ขออะไรมาก แค่มีดอกไม้ฟูเต็มงานก็แฮ็ปปี้แล้ว ก็อาจต้องเทงบไปที่การตกแต่ง ขณะที่บางคู่เน้นอาหารจัดเต็ม อยากให้แขกอิ่มอร่อยก่อนกลับบ้านก็ต้องทุ่มงบไปที่อาหารแล้วไปลดทอนในส่วนของการตกแต่ง เป็นต้น

2. PEOPLE

อีกปัจจัยที่สำคัญพอ ๆ กับเรื่องเงินคือคน โดยเฉพาะถ้าความฝันของคุณไม่ถูกระเบียบงานแต่งมาตรฐานอย่างงานดอกไม้สวยหวาน งานหรูหราอลังการ ฯลฯ ก็มีแนวโน้มจะต้อง “เคลียร์” กับคนข้างตัวและบุพการีของทั้งสองฝ่ายให้เข้าใจ เตรียมใจไว้เลยว่าระดับความยากในการเคลียร์จะเพิ่มขึ้นตามระดับความแปลกของงานที่ต้องการจัด ซึ่งคนที่คุยด้วยยากที่สุดคือ “บุพการี”

จากการสัมภาษณ์คู่แต่งงานส่วนใหญ่มักเริ่มต้นด้วยการหา “แนวร่วม” เป็นญาติผู้ใหญ่หัวก้าวหน้า เมื่อท่านเห็นดีเห็นงามด้วยก็จะไปช่วยคุยกับคุณพ่อคุณแม่ให้ จากนั้นว่าที่บ่าวสาวค่อยเข้าไปคุยเชิงขออนุญาตและขอความเห็นใจว่า นี่เป็นงานแต่งครั้งเดียวในชีวิต อยากจัดแบบที่ชอบจริง ๆ (ไม่แนะนำให้เข้าไปแบบโต้แย้ง เพราะอาจวงแตกได้) และเมื่อท่านอนุญาตให้จัดในธีมที่เราชอบแล้วก็ควรตามใจท่านในเรื่องเล็กๆ น้อยๆ อย่างอื่นบ้าง จะได้แฮปปี้กันทุกฝ่าย เพราะถึงอย่างไรสำหรับวัฒนธรรมไทยงานแต่งก็คืองานของสองครอบครัว ไม่ใช่งานของคนสองคน

3. MANAGEMENT

เป็นหัวใจหลักในการแปลงความฝันให้เป็นความจริง ซึ่งคุณอาจเลือกใช้ตัวช่วยอย่างเวดดิ้งแพลนเนอร์ หรือลงมือเตรียมงานแต่งเองก็ได้ ถ้าเลือกใช้แพลนเนอร์ก็สบายหน่อยเพราะมีคนช่วยจัดการให้ แต่อย่างไรก็ต้องมีแผนการทำงานร่วมกันอยู่ดีเพื่อให้ทีมงานสามารถเข้าใจภาพฝันของคุณและทำออกมาได้ตรงใจ

ถ้าคุณเลือกจัดงานเองก็ไม่ต้องกังวลเรื่องภาพในใจไม่ตรงกัน แต่จะหนักหน่อยตรงที่ต้องลงมือแพลนงานและจัดการติดต่อซัปพลายเออร์เองทั้งหมด ซึ่งแม้จะดูเป็นเรื่องใหญ่และยุ่งยาก แต่เราเชื่อว่าไม่เกินความสามารถของผู้หญิงอินเลิฟอย่างแน่นอน… เรามีทิปส์ที่จะช่วยให้คุณจัดระเบียบชีวิตช่วงเตรียมงานแต่งได้ดีขึ้น ดังนี้

เทคนิคง่ายๆ คือ

  • การหาเรเฟอเรนซ์เป็นภาพจะช่วยให้ฝันของคุณชัดขึ้นว่า จริง ๆ แล้วอะไรคือสิ่งที่คุณต้องการ อะไรคือการทำตามๆ กันมาหรือตามกระแส และช่วยให้คุณตัดสิ่งที่ไม่ใช่ได้ง่ายขึ้น สามารถสรุปธีมงานได้อย่างมีเอกภาพ ไม่สะเปะสะปะ
  • การประเมินว่าอะไรเป็นไปได้หรือไม่ได้จากงบ และความสามารถของตัวเองว่า “เอาอยู่” แค่ไหน จะช่วยให้คุณไม่ล้มละลายและไม่กลายเป็น Bridezilla จากการวิตกว่าจะจัดงานออกมาได้ไม่ดี
  • การสรุปธีมงานที่ชัดเจน ตัดสิ่งที่ไม่ใช่และเป็นไปไม่ได้ออก จะช่วยให้คุณเตรียมงานได้อย่างมีทิศทาง งานออกมาดูดีมีคอนเซ็ปต์ ไม่เลอะเทอะ
  • การลิสต์สิ่งที่ต้องทำออกมาเป็นข้อๆ แล้วจัดลำดับความสำคัญว่าต้องทำอะไรก่อน – หลังให้แมตช์กับระยะเวลาที่มี จะช่วยให้คุณวางแผนการทำงานได้เหมาะสม ไม่เครียด ไม่นอยด์ และไม่ลนลานในช่วงท้ายๆ

4. GURU’S ADVICE

อย่างที่เกริ่นไปว่า แม้จะตัดสินใจจ้างเวดดิ้งแพลนเนอร์มาช่วยจัดงาน แต่คุณก็ยังต้องมีเทคนิคในการทำงานร่วมกัน เพื่อให้ทีมงานสามารถเนรมิตงานแต่งในฝันออกมาได้ตรงใจ และเราแนะนำว่าคุณต้องมี 3 ข้อนี้ในใจก่อนเดินเข้าไปหาแพลนเนอร์

เทคนิคง่ายๆ คือ

  • มีความชัดเจน ว่างานแต่งในฝันคุณเป็นอย่างไร ชอบสีไหนก็ต้องระบุให้เห็นภาพ เพราะแต่ละสีมีเป็นสิบเฉด เราแนะนำว่า ควรมีภาพเรเฟอเรนซ์ประกอบการคุย รับรองชัดชัวร์!
  • บ่าวสาวตกลงกันมาก่อน ไม่ใช่ต่างคนต่างมีความฝันของตัวเองและไม่มีใครยอมลงให้ใครเลย
  • บอกงบประมาณที่ตั้งไว้ เวดดิ้งแพลนเนอร์จะได้ปรับสเกลงานตามงบที่มี ไม่ต้องมาตัดส่วนโน้นส่วนนี้ออกทีหลังให้วุ่นวาย และคุณเองก็ไม่ต้องกระเป๋าฉีกด้วย บางคนอาจเขินว่างบน้อย ไม่กล้าพูดออกมา แนะนำให้คุยตรง ๆ ไปเลยว่ามีงบเท่านี้ อยากได้งานแบบนี้ คุณทำได้ไหม ถ้าทำได้ก็จบ แต่ถ้าไม่ได้ก็ไม่ต้องเสียเวลากันทั้งสองฝ่าย อีกกรณีคือสามารถทำได้แต่ต้องลดทอนบางส่วนลงเพื่อให้เหมาะกับงบ ถ้าคุณโอเคก็ค่อยไปคุยกันในรายละเอียดอีกครั้ง

5. THE OUTDOOR WEDDING GUIDE

นอกจากงานแต่งหรูหราราวกับเจ้าหญิงแล้ว งานเอ๊าต์ดอร์น่ารักๆ ไม่ว่าจะริมทะเลหรือในสวนก็เป็นอีกหนึ่งความฝันของสาวๆ ส่วนใหญ่ ถ้าคุณเป็นหนึ่งในนั้นอย่ามองข้ามสิ่งเหล่านี้

เทคนิคง่ายๆ คือ

  • มี Plan B รองรับเสมอ อย่าได้ไว้ใจสภาพอากาศเมืองไทยในภาวะโลกร้อนเด็ดขาด อาจเช่าเต็นท์โดมสีขาวแล้วจัดที่นั่งไว้ หรือจองสถานที่จัดงานเอ๊าต์ดอร์ที่มีฮอลล์หรือห้องประชุมเล็กๆ ในตัว เพราะถึงฝนไม่ตกแขกที่รู้สึกร้อนก็สามารถเข้ามานั่งพักได้
  • เลือกการตกแต่งให้เหมาะกับสถานที่และอากาศ ถ้าจะจัดดอกไม้สดต้องเลือกที่ทนร้อนทนลม หรือมีเทคนิคในการดูแลให้สดชื่นได้จนจบงาน หรืออาจใช้วัสดุอื่นมาผสมผสาน เช่น ต้นไม้จริง งานโครงสร้าง ดอกไม้ประดิษฐ์ริบบิ้น คริสตัล ฯลฯ
  • ไม่ควรดำเนินช่วงพิธีการยาวมากนัก เพราะด้วยสภาพอากาศที่ร้อนชื้นอย่างบ้านเรา แขกที่แต่งสวยมาเต็มพิกัดอาจรู้สึกไม่สบายตัวนัก ถ้าต้องอยู่กลางแจ้งตั้งแต่ช่วงเย็นจนดึกดื่น
  • ใส่ใจรายละเอียด หากคุณจัดงานเอ๊าต์ดอร์บนสนามหญ้าจริงหรือพื้นทราย ให้นึกถึงแขกผู้หญิงที่จะต้องเดินเขย่งตลอดงาน เพื่อไม่ให้ส้นรองเท้าจมดินหรือทราย เชื่อเถอะว่าแม้คุณจะระบุสถานที่ในการ์ดแล้ว ก็ยังจะมีบางนางที่ยอมสวยสู้ตาย ถ้าคุณแคร์พวกเธออยู่บ้างอาจหาวัสดุปูพื้นไว้สักโซนหนึ่งเพื่อให้แขกสาวๆ ได้ยืนสวยๆ กันแบบไม่ลำบากสังขารนัก นอกจากนี้ควรจัดให้มีร่ม เต็นท์ พัดลม และตู้แช่เครื่องดื่มเย็นจัดไว้บริการแขกตามจุดต่างๆ ด้วย
  • แจ้งให้ทีมแคเทอริ่งรู้ล่วงหน้า ว่าเราจะจัดงานเอ๊าต์ดอร์ในช่วงเวลากี่โมงถึงกี่โมง ทีมงานจะได้เซตเมนูที่เหมาะสม เพราะอาหารบางอย่างไม่เหมาะที่จะตั้งไว้กลางแจ้งนานๆ เช่น อาหารที่บูดง่าย ละลายง่าย หรือ น้ำหนักเบา (อาจปลิวได้)

cr : janawilliamsphotographyblog.com, serendipitygardenweddings.com

อ่านบทความเพิ่มเติม

รวมของที่ต้องมีในภาพพรีเวดดิ้ง อยากให้ภาพสวยงามมีสตอรี่ต้องทำตาม

30 ข้อผิดพลาดที่หนุ่มๆ พึงระวังเมื่อต้องอยู่ในสเตตัส “เจ้าบ่าว”

ไอเดียจัดงานแต่งตาม Pantone2020 สี Classic Blue ธีมงานแต่งงานสีกรมท่าสุดคลาสสิค

คู่ข้าวใหม่ปลามันต้องรู้ 8 เรื่องสำคัญบ่อนทำลายชีวิตหลังแต่งงาน

การแต่งงาน เป็นเพียงแค่การเริ่มต้น เพราะ ชีวิตหลังแต่งงาน นั้นมีอะไรที่คุณและคนรักยังต้องเรียนรู้กันอีก

ก่อนการแต่งงานหลายคู่วาดภาพการใช้ชีวิตคู่ซะสวยหรู แต่เอาเข้าจริงกลับไม่เป็นอย่างที่ฝัน กว่าจะรู้ตัวก็เรียกได้ว่า ครอบครัวเกือบพัง ซึ่งถ้าคุณกำลังจะแต่งงานและไม่อยากเจอสภาพแย่ๆ เหมือนคู่ที่ชีวิตคู่ไม่เป็นอย่างฝันละก็ แพรว wedding อยากให้ลองเช็คความสัมพันธ์ของคุณตอนนี้เลย ถ้ามีข้อใดเข้าข่ายละก็ มาลองปรับเปลี่ยนตัวเองกันดีกว่า เพื่อที่ ชีวิตหลังแต่งงาน ของคุณและคนรักจะได้ราบรื่นยืนยาว 

1. ไม่ให้ความสำคัญกับคู่ชีวิตเป็นอันดับต้นๆ

การแต่งงานไม่ใช่การเข้าคุกหรือโรงเรียนประจำ ดังนั้นคุณจึงยังคงมีอิสระในการใช้ชีวิตส่วนตัว เพียงแต่ว่าคุณควรต้องให้ความสำคัญกับคู่ชีวิตที่คุณเลือกมาเป็นอันดับต้นๆ จะไปไหนทำอะไรขอให้คิดถึงอีกคนเสมอว่า การตัดสินใจของคุณจะมีผลกระทบอะไรกับความรู้สึกของอีกฝ่ายไหม หรือทำอะไรไปแล้วอีกคนรู้เป็นคนหลังๆ ก็ไม่ค่อยเวิร์คนะคะ ซึ่งถ้าคุณนึกอยากจะทำอะไรก็ทำแบบนั้นละก็ ชีวิตแต่งงานไม่แคล้วมีปัญหาชัวร์

2. สื่อสารความในใจกันน้อยเกินไป

คู่ที่คุยกันน้อยเหลือเกินเป็นคู่ที่เสี่ยงชีวิตคู่พังค่ะ เพราะความคิดและความรู้สึกไม่ได้ถูกถ่ายทอดให้อีกฝ่ายได้รับรู้ ซึ่งถ้าคุณไม่พูด เอาแต่เก็บกดไว้ในใจ แล้วคิดว่าชินซะแล้ว ความในใจที่มี ความอึดอัดที่เกิดจะมีใครรู้แล้วจะช่วยกันแก้ปัญหาได้ยังไงล่ะจริงไหม

3. ไม่รู้จักรักษาความลับ

เรื่องในบ้านก็ควรอยู่แต่ในบ้าน เรื่องส่วนตัวระหว่างคุณกับเขาก็ไม่ควรนำออกไปเม้า ยิ่งเป็นเรื่องความลับที่คุณก็รู้อยู่แล้วว่าเขาเองคงไม่ชอบแน่นอนที่คนนอกจะรู้เรื่องนั้นๆ ยิ่งต้องเก็บให้มิด ไม่ใช่เที่ยวได้บ่นกับเพื่อนๆ เพราะคิดแค่ว่าต้องหาที่ระบาย ระวังเถอะ เขารู้ว่าคุณเอาไปเม้าเมื่อไหร่ คุณจะไม่ได้รู้อะไรจากเขาอีกเลย ซึ่งถ้าวันหนึ่งเขาไม่คิดจะพูดอะไรให้คุณรู้อีกเลย ครอบครัวของคุณจะยังเป็นครอบครัวอยู่ไหมล่ะ

4. ความสัมพันธ์ที่ไม่ดีระหว่างคุณกับครอบครัวของอีกฝ่าย

อย่างที่เคยบอกไปล้านๆ ครั้งแล้วว่า การแต่งงานไม่ใช่เรื่องของคนสองคนเท่านั้น โดยเฉพาะในสังคมไทยที่การแต่งงานคือการรวมความสัมพันธ์ 2 ครอบครัวเข้าไว้ด้วยกัน ฉะนั้นถ้าคุณมีความสัมพันธ์ที่ไม่ดีกับครอบครัวอีกฝ่าย แล้วคุณคิดหรือว่าชีวิตครอบครัวของคุณจะสมูทได้

5. ไม่เคยเอ่ยปากขอโทษและยอมรับความผิด

อย่าทำตัวปากหนักประเภทว่ารู้ว่าตัวเองผิดอยู่เต็มอกแต่ก็ไม่เอ่ยปากขอโทษเพื่อแสดงความรับผิดชอบ เพราะสำหรับชีวิตคู่ การยอมรับในสิ่งที่ตัวเองทำพลาดไป และรู้จักเอ่ยคำขอโทษออกมาจากใจ จะช่วยให้คุณได้รับความเข้าใจและให้อภัยได้มากกว่าการทำฟอร์มและปล่อยให้อีกฝ่ายคิดว่า ช่างเถอะ เขาก็เป็นแบบนี้

6. ไม่เคยพูดขอบคุณ

จะยากตรงไหนแค่เอ่ยปากขอบคุณในสิ่งที่อีกฝ่ายทำให้กัน ไม่ว่าจะเป็นเรื่องเล็กๆ น้อยๆ หรือเรื่องใหญ่โต เพราะอีกฝ่ายจะสัมผัสได้ถึงการรับรู้ต่อสิ่งที่เพียรดูแลและทำให้  แต่ถ้าคุณไม่เคยพูดออกจากปากว่า ‘ขอบคุณ’ คนที่ทำให้จะรู้สึกหมดแรง หมดกำลัง และอาจคิดไปไกลว่า สิ่งที่ทำให้มีคุณค่าอะไรบ้างไหมเนี่ย

7. หึงหวงเกินเหตุ

หึงได้หวงได้ แต่ขอให้อยู่ในความพอดี เพราะถ้ามากไปละก็ อีกฝ่ายจะรู้สึกได้ถึงคำว่า ไม่เชื่อใจกันเลยหรือไง ซึ่งจริงๆ แล้วอีกฝ่ายอาจไม่เคยทำอะไรผิดเลยสักนิด แต่คุณก็หึงหวงมากไปและพาลจับผิดสารพัดจนอีกฝ่ายอึดอัดและทำให้ความสัมพันธ์ระหว่างกันย่ำแย่โดยไม่รู้ตัว

8. ไม่แน่ใจว่าที่รู้สึกเรียกว่า รักหรือเปล่า

ข้อนี้ออกจะร้ายกาจรุนแรงอยู่สักหน่อย ถ้าอยู่ๆ คุณเกิดตอบตัวเองหรือแม้แต่คนอื่นไม่ได้ว่า ความรู้สึกของคุณที่มีกับอีกฝ่ายยังสามารถเรียกว่า ‘รัก’ ได้เหมือนเดิมไหม เพราะมีหลายคู่ที่อยู่ๆ แล้วรู้สึกเฉยๆ ให้อยู่ด้วยกันก็อยู่ได้อะไรแบบนั้น ซึ่งถ้าคุณได้คำตอบว่า ้ตัวนะว่า ยังคงใช้ตำว่า ัมผัสได้ถึงการกันไปแล้วความรู้สึกรักในตอนก่อนแต่งงานหายไปโดยไม่รู้ตัว ซึ่งถ้าค้นพบว่าคำๆ นี้ไม่อยู่แล้วจริงๆ ลองถามตัวเองค่ะว่า จะทำให้ความรู้สึกนั้นกลับมาได้ไหม และถ้าไม่ได้ ชีวิตคู่ที่ดำรงอยู่ตอนนี้จะไปในทิศทางไหน

ไม่ว่าคุณจะเผชิญกับเรื่องบ่อนทำลายชีวิตคู่หนักหนาสักแค่ไหน ถ้าคำว่า รัก ยังอยู่ เชื่อเถอะค่ะว่า อะไรๆ ก็จะผ่านไปได้ เชื่อแพรว wedding นะคะ

ภาพ : www.huffingtonpost.com

อ่านบทความเพิ่มเติม

เมื่อแฟนทะเลาะกับพ่อแม่ แล้วคนกลางอย่างเราจะวางตัวอย่างไร?

ว่าที่ลูกสะใภ้รู้ไว้ก็ดีจะได้ทำตัวถูกกับ 4 นิสัยพื้นฐานของพ่อสามี

เฉลิมฉลอง “วันจูบสากล” ด้วย ข้อดีของการจูบ ที่คู่รักอาจยังไม่รู้!!

4 วัตถุดิบสำคัญ สมูทตี้ไม่อ้วน เพื่อเจ้าสาวจะปั่นเมนูไหนรับรองอร่อยชัวร์

สมูทตี้ไม่อ้วน กับวัตถุดิบสำคัญ เพื่อเจ้าสาวที่อยากฟิตหุ่นได้เพิ่มความสดชื่นจากเครื่องดื่มปั่นเพื่อสุขภาพ

มาเติมความสดชื่นในวันธรรมดาให้สดชื่นด้วย สมูทตี้ไม่อ้วน ด้วยวัตถุดิบและส่วนผสมไม่ถึง 5 อย่าง ก็สามารถทำเมนูน้ำปั่นที่เต็มไปด้วยรสชาติที่กลมกล่อมได้ ไม่เพียงแค่อร่อยเท่านั้น แต่ยังช่วยเติมเต็มท้องให้อิ่ม พร้อมสารอาหารที่มีประโยชน์ต่อร่างกาย และถูกหลักสุขภาพด้วย แพรว wedding ขอแนะนำสูตรน้ำปั่นสมูทตี้ ที่มีแค่ 4 วัตถุดิบสำคัญ ได้แก่

  • นมอัลมอนด์ เพราะเป็นตัวเลือกที่ดี เพื่อแทนโยเกิร์ตที่มีส่วนผสมของนม และมีปริมาณน้ำตาลน้อยกว่า อีกทั้งนมอัลมอนด์ยังดีต่อสุขภาพอีกด้วย แล้วรสชาติยังกลมกล่อมกว่านมถั่วเหลืองด้วยนะ
  • น้ำผึ้ง เพราะมีรสชาติที่ให้ความหวาน เหมือนน้ำตาลหรือน้ำเชื่อม แต่ดีต่อสุขภาพมากกว่า ด้วยความหวานที่มาจากธรรมชาติ จึงไม่ทำให้อ้วนและให้ผลเสียต่อร่างกาย
  • กล้วยหอม เพราะเมื่อเทียบกับบรรดากล้วยแต่ละชนิดแล้ว กล้วยหอมเป็นตัวเลือกที่ดีที่สุดในการควบคุมน้ำหนัก ด้วยปริมาณน้ำตาลที่น้อยกว่า และยังช่วยให้อิ่มท้องด้วย
  • มะนาว เพราะรสชาติเปรี้ยวของมะนาว เมื่อปั่นเครื่องดื่มแล้ว จะช่วยตัดรสฝาดให้มีรสชาติที่ดีขึ้น และเป็นอีกทางเลือกที่ดีเพื่อทดแทนผลไม้ที่มีรสเปรี้ยวอย่าง ผลไม้ตระกูลเบอร์รี่

ว่าแล้วก็มาปั่นสมูทตี้ไม่อ้วนกันเลย

1. สมูทตี้สีเหลือง-ส้ม ที่อุดมไปด้วยสารเบต้าแคโรทีน ฟลาโวนอยด์ และลูทีน ช่วยบำรุงสายตา และระบบการหมุนเวียนโลหิตและหัวใจ รวมทั้งช่วยเรื่องระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายด้วย

  • นมอัลมอนด์+น้ำผึ้ง+กล้วย+กีวี่
  • น้ำผึ้ง+กล้วย+แอปเปิ้ล+ส้ม
  • กล้วย+แอปเปิ้ล+ส้ม+แครอท

สมูทตี้

2. สมูทตี้สีแดง อุดมไปด้วยสารไลโคพีน ซึ่งเป็นสารต้านอนุมูลอิสระได้ดีกว่าวิตามินอีและกลูต้าไธโอนมากกว่า 100 เท่า จึงช่วยทำให้ผิวพรรรเปล่งปลั่ง และอ่อนเยาว์

  • มะนาว+แอปเปิ้ล+ส้ม+สตรอเบอร์รี่
  • นมอัลมอนด์+น้ำผึ้ง+มะเขือเทศ+สตรอเบอร์รี่
  • กล้วย+มะนาว+แตงโม

สมูทตี้

3. สมูทตี้สีเขียว อุดมด้วยสารคลอโรฟิลล์ ช่วยต้านอนุมูลอิสระ และยังซ่อมแซมเซลล์เพื่อป้องกันเซลล์ไม่ให้ถูกทำลาย

  • กล้วย+น้ำผึ้ง+กีวี่+แอปเปิ้ลเขียว
  • กล้วย+แอปเปิ้ลเขียว+แตงกวา
  • นมอัลมอนด์+มะนาว+แตงกวา+สับปะรด

สมูทตี้

4. สมูทตี้สีม่วง อุดมด้วยสารแอนโทไซยานิน มีส่วนช่วยในการชะลอการเสื่อมของเซลล์ ซ่อมแซมระบบหมุนเวียนเลือดที่มีผลต่ออัตราเสี่ยงในการเกิดโรคหัวใจและเส้นเลือดอุดตันในสมอง

  • มะนาว+แอปเปิ้ล+บีทรูท+แครอท
  • นมอัลมอนด์+กล้วย+บลูเบอร์รี่
  • กล้วย+แอปเปิ้ล+บลูเบอร์รี่+สตรอเบอร์รี่

สมูทตี้ไม่อ้วน

5. สมูทตี้สีขาว ช่วยซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอในร่างกาย เพื่อให้เซลล์แข็งแรง ลดระดับน้ำตาลและไขมันในเลือด เพื่อป้องกันเส้นเลือดอุดตัน

  • นมอัลมอนด์+น้ำผึ้ง+กล้วย
  • นมอัลมอนด์+น้ำผึ้ง+งาขาว+ลูกเดือย
  • นมอัลมอนด์+กล้วย+แอปเปิ้ล

สมูทตี้ไม่อ้วน

ข้อมูลประกอบอ้างอิงจาก thaihealth / ภาพจาก Pixabay/ Pinterest

อ่านบทความเพิ่มเติม

มิกซ์ให้แมทช์ทรงผมเจ้าสาวกับชุดแต่งงานในฝัน สวยเป๊ะทุกองศา

รวม 20 แบบ ผมเจ้าสาว เกล้ามวย สำหรับเจ้าสาวทุกลุคแบบจัดเต็ม!

5 เคล็ดลับสวยจากภายในเปล่งประกายสู่ภายนอกในวันแต่งงาน

เริดให้สุดแล้วหยุดที่ปลายเท้า กับการจับคู่รองเท้าชุดไทยสุดเป๊ะ

ใส่ชุดไทยทั้งทีก็ต้องงามตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้า และถึงแม้ว่าชุดไทยของคุณจะยาวจนลากพื้น แต่ รองเท้าเจ้าสาว ที่จะใส่ก็ต้องเลือกกันแบบพิถีพิถันสักนิด ใครที่ไม่รู้ว่าจะเลือกอย่างไรให้เข้ากับชุด แพรว wedding มีเทคนิคการจับคู่ รองเท้าชุดไทย มาฝากจ้า

1. เลือกสีรองเท้าให้เข้ากับสีชุด

สิ่งแรกที่คุณว่าที่เจ้าสาวจะต้องทำคือ ดูว่าคุณเลือกใส่ชุดไทยสีอะไร เช่น ถ้าชุดเป็นสีทอง สีน้ำตาล หรือสีโทนอ่อน อาจเลือกสีรองเท้าสีเดียวกันกับชุด หรือรองเท้าสีทองที่เป็นสีกลางๆ ก็ยังเข้ากันได้ แต่ถ้าคุณเลือกใส่ชุดสีโทนเย็น เราแนะนำให้คุณเลือกรองเท้าที่สีเดียวกับชุดเลยจะดีที่สุด ถ้าหาไม่ได้แนะนำให้สแตนบายด์รองเท้าสีกลางๆ อย่าง สีเงิน สีขาว สีเบจ สีครีม หรือสีเนื้ออ่อนไว้ก่อนก็ได้นะคะ

ชุดแต่งงานจากร้าน Vanus Couture

2. ปิดปลายเท้าจะดีกว่า

ใครที่เลือกชุดไทยที่ผ้านุ่งยาวแค่ข้อเท้าหรือหน้าเท้า ไม่ได้กรอมพื้นปิดไปทั้งหมด เราแนะนำว่าให้เลือกรองเท้าที่ปิดหน้าเท้าจะดูสวยและสุภาพมากกว่า โดยสามารถเลือกได้ทั้งแบบหัวแหลมหรือหัวมน ลองดูว่าคุณใส่แบบไหนแล้วไม่เจ็บนิ้วเท้า เดินสบาย ไม่ทรมาน ก็จัดไปเลยค่ะ หรือหากสวมชุดแบบโจงกระเบนก็ควรเลือกรองเท้าแบบหัวปิดเพราะดูสวยและเป็นทางการเข้ากับชุดมากกว่า

หรือหากเจ้าสาวคนไหนที่สวมผ้านุ่งแล้วกังวลในเรื่องรูปร่างกลัวว่าตัวจะดูตันเพราะปิดไปหมด ก็อาจจะเลือกเป็นรองเท้าแบบหัวเปิดก็ได้เพื่อช่วยให้เจ้าสาวดูโปร่งและสง่าขึ้น

3. รองเท้าสีขาว/สีทองกับชุดไทยสมัย ร.5

ชุดไทยสไตล์แขนหมูแฮมพองๆ นุ่งคู่กับโจงกระเบนหลากสี เห็นทีรองเท้าที่จะเข้ากับชุดมากที่สุดคงหนีไม่พ้นรองเท้าส้นสูงสีขาว จะเป็นแบบรัดข้อเท้า คัทชู หัวแหลม หัวมน หรือจะใส่แบบเปิดปลายเท้าให้นิ้วเท้าได้หายใจก็ยังได้ แต่แนะนำว่าอย่าลืมของสำคัญอย่างถุงน่องสีขาวนำมาใส่คู่กันให้ดูสวยเพอร์เฟ็กต์ให้สมกับความเป็นแม่หญิงในยุคนั้นด้วยนะคะ

ชุดจาก Finale Wedding Studio

4. อย่าให้รองเท้าเด่นเกิน

ว่าที่เจ้าสาวต้องตระหนักไว้เสมอว่า ชุดไทยของบ้านเรานั้นมีความเลื่อมลายวิบวับมากอยู่แล้ว ไหนจะดิ้นเงินดิ้นทองที่กระหน่ำปักลงไป ไหนจะลูกไม้ลายพร้อย และเครื่องประดับทองเต็มตัว ฉะนั้นคุณควรเลือกรองเท้าแบบเรียบๆ ไม่ต้องตกแต่งคริสตัลหรือโรยกากเพชรจนเด่นขึ้นมา มิเช่นนั้นคุณจะกลายเป็นเจ้าสาวที่ดูเยอะไปทุกสัดส่วน ระวังคนจะทักว่าไปเล่นลิเกที่ไหนจ๊ะน้องสาว!

5. ส้นเข็มหรือส้นหนา

ลำพังการใส่กระโปรงแล้วเดินบนรองเท้าส้นสูงก็ไม่ใช่เรื่องง่าย (สำหรับใครที่ไม่ได้ใส่ทุกวัน) แล้วนี่ยังจะต้องมานุ่งผ้าถุงแคบๆ พอดีตัวยิ่งเดินยากเข้าไปใหญ่ เราขอแนะนำให้คุณเลือกส้นรองเท้าที่คุณเดินสะดวก ช่วยให้ทรงตัวได้ดี อาจจะดูเป็นรองเท้าส้นหน้า (แบบรองเท้ารับปริญญา) ก็จะช่วยให้เดินง่ายมากขึ้น แต่ถ้าใครอยากใส่ส้นเข็มแล้วมั่นใจว่าเดินได้ เราก็แนะนำให้ซ้อมเดินซ้อมก้าวให้ชิน ส่วนใครที่คิดจะใส่ส้นตึกคงต้องยอมรับสักหน่อยว่ามันไม่ค่อยจะเข้ากับชุดไทยเท่าไหร่นัก แต่ถ้าผ้านุ่งของคุณยาวจนกร่อมพื้นปิดเท้าทั้งหมดก็อนุโลมให้ใส่ได้

6. เช็คพื้นรองเท้าสักนิด

พิธีไทยในตอนเช้าคุณจะต้องยืน เดิน ลุก และที่สำคัญคือ นั่งพับเพียบ ซึ่งจะทำให้คุณเผยพื้นรองเท้าแบบไม่รู้ตัว เพราะฉะนั้นเราแนะนำให้คุณตรวจสอบพื้นรองเท้าเสียก่อนว่า เรียบไหม ขรุขระดูไม่งามหรือเปล่า พื้นเปิดหรือชำรุดตรงไหน หรือแม้แต่ป้ายราคายังโชว์หราอยู่ไหม อย่าลืมเอาออกแล้วแก้ไขให้เสร็จก่อนวันงานนะจ๊ะ ไม่อย่างนั้นมาตกม้าตายตอนจบก็หมดสวยกันพอดี

7. เลือกรองเท้าที่ใช้ต่อได้

เราเชื่อว่าจะซื้อรองเท้าทั้งทีคงไม่มีใครอยากซื้อมาใช้ครั้งเดียวแล้วทิ้งให้เสียดายเงินหรอกใช่ไหมคะ ถ้าอย่างนั้นเราแนะนำให้เลือกรองเท้าสีกลางๆ ที่นอกจากจะแมทช์เข้ากับชุดไทยได้แล้ว หลังเสร็จงานคุณยังสามารถนำไปแมทช์ใส่เข้ากับชุดอื่นๆ ได้ด้วย แบบนี้ก็ถือว่าประหยัดและคุ้มค่าสุดๆ ยิงปืนนัดเดียวได้นกหลายตัวไปอีก

7 เทคนิคข้างต้นเราแนะนำมาไว้ให้สำหรับเจ้าสาวคนไหนที่กำลังตัดสินใจเลือกรองเท้าที่จะใส่คู่กับชุดไทย ก็อย่าลืมลองดูด้วยนะคะว่าชุดไทยที่คุณเลือกเป็นชุดสไตล์ไหน สีอะไร และความยาวของผ้านุ่งอยู่ที่ระดับไหน แล้วค่อยออกไปช้อปเลือกคู่ที่ใส่แล้วสวย ใส่แล้วสบาย นิ้วเท้าจะได้ไม่ชาเนอะ แต่ๆ…งานนี้ไม่ได้สงวนไว้แค่เจ้าสาวน้า สำหรับแก๊งเพื่อนเจ้าสาวที่ใส่ชุดไทยก็สามารถนำไปทำตามได้ด้วย

ภาพเปิด : ชุดแต่งงานจากร้านบางแสนมายเลิฟ เวดดิ้งสตูดิโอ จ.ชลบุรี

อ่านบทความเพิ่มเติม

ไอซ์ อามีนา กับแฟชั่นชุดไทยสวยหรู ได้ลุคเป็นเจ้าสาวสวยสง่าในวันแต่งงาน

มาทำความรู้จัก 14 ช่วงบนของชุดเจ้าสาวก่อนตัดสินใจเลือกกันดีกว่า

10 จุดว่าที่เจ้าสาวต้องเช็คชุดแต่งงานให้ชัวร์ก่อนรับมาใส่ในวันแต่งงาน

Do & Don’t ฮาวทูเดทให้แฮปปี้ ถ้าเริ่มต้นดีรับรองรักนี้ยาวนาน

ความรักคือเรื่องระหว่างคนสองคน แต่จะ เดทให้แฮปปี้ มันมีอะไรมากกว่านั้น

แล้วคนเราจะชอบหรือรักกันได้นั้นต้องทำอย่างไรล่ะ? แค่จ้องตาก็เป็นไปได้แล้วเหรอ? เราว่าคงไม่ใช่อย่างนั้นแน่นอน แต่การจะเข้าใจและรักกันได้ ต้องเกิดจากการพูดคุยต่างหากที่จะสามารถสื่อสารความรู้สึกจากใจเราให้เขารับรู้ได้ ซึ่งการพูดคุยกันระหว่างออกเดทจึงเป็นเหมือนการเปิดโลกของเราให้เขาเข้ามาร่วมแบ่งปัน แลกเปลี่ยนประสบการณ์ เพื่อให้ต่างฝ่ายได้เรียนรู้ซึ่งกันและกัน หาความเหมือนความแตกต่างเพื่อที่จะได้เข้าใจกันได้มากขึ้นจนเกิดเป็นความรักที่อยากจะอยู่เคียงข้างกันตลอดไป แต่ในการพูดคุยนั้นก็มีทั้งสิ่งที่เราควรถามเพื่อที่จะได้รู้จักเขาให้มากขึ้น และสิ่งที่ไม่ควรถามเพราะอาจจะไปก้าวก่ายเรื่องส่วนตัวเบื้องหลังที่ทั้งเราอาจจะไม่แฮปปี้ และเขาเองก็คงไม่รู้สึกดีเท่าไหร่ แพรว wedding เลยขอมาเป็นเทรนเนอร์หัวใจแบบเฉพาะกิจ กับสิ่งที่ควรและไม่ควรถามขณะออกเดทเพื่อการ เดทให้แฮปปี้ รู้ไว้จะได้ไม่นกเนอะ

DO

1. เขามีความสัมพันธ์กับคนสนิทเป็นอย่างไร?

คนสนิทในที่นี้คือ พ่อ แม่ พี่น้อง และเพื่อนๆ ของเขา เพราะบุคคลเหล่านี้ เป็นคนที่ใกล้ชิดกับเขามาก่อนเรา ทั้งผ่านเรื่องราวและเหตุการณ์ต่างๆ ด้วยกันมาทั้งสุขและทุกข์ เพราะฉะนั้นการพูดคุยถึงเหตุการณ์เก่าๆ หรือปัญหาที่เคยประสบพบมากับบุคคลกลุ่มนี้ ก็จะทำให้คุณได้เรียนรู้ว่าเขาเป็นคนแบบไหน หรือเมื่อเกิดความขัดแย้งเขาเคยจัดการและแก้ไขปัญหาอย่างไร ซึ่งทั้งหมดทั้งมวลนี้ก็เหมือนเป็นการเรียนรู้ภูมิหลังของเขา เพื่อให้เราได้เขยิบเข้าใกล้เขาอีกก้าวหนึ่ง ได้รู้จักตัวตน และได้เรียนรู้ถึงการดูแลเอาใจใส่ความสัมพันธ์ของเขาต่อคนใกล้ตัว และยังเป็นแนวโน้มที่เขาอาจจะปฏิบัติต่อเราด้วย

เดทให้แฮปปี้

2. ถ้าเขายังติดต่อกับแฟนเก่าล่ะ?

เมื่อถึงจุดจบของทุกความสัมพันธ์ ซึ่งมีทั้งจุดจบที่ดีและไม่ดีจนต้องตัดขาดกันไป หากแฟนของคุณยังติดต่อกับแฟนเก่า อาจจะทำให้คุณไม่ชอบใจนัก แต่การที่เขาพูดคุยกับคนเก่า ก็ไม่ได้หมายความว่าเขาจะนอกใจคุณ เพราะหลังจากการเลิกลากันไปแล้ว บางคู่ก็สามารถแปรเปลี่ยนเป็นเพื่อนที่ช่วยเหลือและสนับสนุนกันได้ ซึ่งสิ่งสำคัญของข้อนี้คือ ความเข้าใจระหว่างกันและกัน การที่เขาสม่ำเสมอกับเรา และแยกแยะเรื่องราวในอดีตกับปัจจุบันได้ แบบนี้การันตีได้เลยว่าเขาเป็นคนรักที่ดีได้แน่นอน

เดทให้แฮปปี้

3. แล้วความสัมพันธ์ของเราจะเป็นอย่างไรต่อไป?

อย่างที่ได้พูดไปแล้วว่าการเดท คือ การดูใจระหว่างชายและหญิง เป็นการพัฒนาความสัมพันธ์ไปสู่คู่รัก และการแต่งงานต่อไป และแน่นอนว่ากว่าจะถึงขั้นนั้นได้ มันต้องเป็นความสัมพันธ์ที่มากกว่าความรู้สึกชอบเพียงอย่างเดียว เพราะความชอบ คือความสุขที่ได้อยู่กับเขาและเป็นช่วงเวลาที่พิเศษ แตกต่างจากความรักที่มาจากความรู้สึกก้นบึ้งของหัวใจ เป็นความรู้สึกที่ควบคุมไม่ได้ และแสดงออกมาอย่างเป็นธรรมชาติ ดังนั้น ความสัมพันธ์ของเราทั้งสองจะเป็นอย่างไรต่อไป อย่ารีบร้อนนะ ค่อยๆ ใช้เวลาเรียนรู้กันไป ว่าเขาคือคนที่ใช่สำหรับคุณจริงหรือเปล่า?

เดทให้แฮปปี้

DON’T

1. วันนี้คุณใช้เงินซื้ออะไรไปบ้าง?

ได้โปรดอย่าลืมว่าความสัมพันธ์ระหว่างคุณทั้งสองคนยังไม่ถึงขั้นแต่งงานกันเลย เพราะนั่นยังเป็นชีวิตส่วนตัวของเขาที่เราควรให้ความเคารพและให้พื้นที่ระหว่างกัน คุณจึงไม่ควรถามถึงรายจ่ายในแต่ละวันของเขานะจ๊ะ ก็แหม ยังแยกกระเป๋าตังค์กันใช้อยู่เลย จริงไหม? … แต่ถึงอย่างนั้นเราก็มีเคล็ดลับการถามแบบอ้อมๆ เพื่อประเมินการใช้จ่ายของเขาได้ เช่น อาจจะพูดคุยถึงรสนิยม ไลฟ์สไตล์ หรือการแต่งตัวของเขา เท่านี้ก็ช่วยให้เรารู้รายจ่ายคร่าวๆ ของเขาได้แล้วว่ามีพฤติกรรมในการเปย์แบบไหน

เดทให้แฮปปี้

2. แฟนเก่าของคุณ เธอ/ เขาเป็นอย่างไรเหรอ?

เราเชื่อว่าใครๆ ก็อยากหาความเหมือนและความแตกต่างระหว่างคุณกับแฟนเก่าของเขา แต่ว่าการพูดถึงอดีตจะทำให้เกิดความอึดอัดทั้งสองฝ่าย และอาจส่งผลเสียต่อความสัมพันธ์ด้วย นอกจากว่าเขาจะเต็มใจพูดโดยปราศจากความกดดัน เป็นการพูดแบบเล่าสู่กันฟัง หรือเป็นบทเรียนในชีวิตมากกว่า แต่ยังไงก็ตาม ปัจจุบันสำคัญกว่าอดีตนะจ๊ะ ความสุขในวันนี้เป็นความทรงจำที่สวยงาม เพราะฉะนั้นจงคิดไว้เสมอว่าคุณคือปัจจุบันของกันและกันดีกว่านะ

3. ทำไมเขาถึงติดตามเธอคนนั้นในโซเชียลมีเดีย?

โซเชียลมีเดีย เป็นสังคมที่เชื่อมโยงผู้คนให้เข้าหาและติดต่อกันได้อย่างสะดวก แต่บางครั้งก็สามารถสร้างความขัดแย้งให้กับความสัมพันธ์ได้เช่นกัน ซึ่งนอกจากเพื่อนของเขาแล้ว เราไม่รู้เลยว่าคนที่เขาติดตามนั้นเป็นใครบ้าง เขาจะแอบชอบใครคนอื่นอีกหรือเปล่า? นี่เขาหักหลังเราจริงๆ เหรอ!! เพราะเราไม่สามารถอ่านใจเขาหรือเธอออกได้ว่าทำไปแบบจริงจัง หรือเผลอไผลโดยไม่รู้ตัว ดังนั้นเพื่อหลีกเลี่ยงความเข้าใจผิดและลดความเครียดดราม่าที่ทำให้เสียสุขภาพจิต เราอยากแนะนำให้พูด-ถามเขาและเธอไปตรงๆ จะได้เป็นการปรับความเข้าใจที่ชัดเจน

Inspiration : marthastewartweddings.com

อ่านบทความเพิ่มเติม

ครอบครัวเธอใหญ่ ครอบครัวฉันเล็ก ปัญหาชีวิตคู่ ทำยังไงให้ลงตัว

5 พฤติกรรมชวนยี้ที่คุณอาจต้องเจอหลังแต่งงานแบบไม่ทันตั้งตัว

5 นิสัยคนมีคู่ต้องรู้และต้องเปลี่ยนเมื่อคิดจะย้ายเข้าบ้านอีกฝ่าย

6 เฉดสีเล็บเจ้าสาวทาแล้วรอดเข้ากับแหวนเพชรเม็ดงาม

ถ้าจะสวยแล้วต้องสวยให้หมดทุกมุมครบทุกองศานะคะคุณเจ้าสาว เพราะฉะนั้นเรื่อง เล็บเจ้าสาว สวยๆ ก็ไม่ควรละเลยหรือมองข้าม เพราะอย่าลืมนะคะว่าในพิธีสวมแหวนนอกจากช่างภาพจะเก็บภาพบ่าวสาวแล้ว ช็อตจังหวะสวมแหวนช่างภาพจะต้องซูมให้เห็นแค่มือและแหวนเท่านั้น หากเล็บไม่สวยมือไม่งามก็เป็นอันจบกัน แม้กระทั่งในช่วงงานฉลองเล็บสวยๆ ก็จะช่วยเสริมลุคของเจ้าสาวให้ดูดีได้ด้วย แพรว wedding เลยมีสีเล็บสวยๆ 6 เฉดสีสุดปังทาแล้วรอดมาฝาก ไปดูกันว่ามีสีไหนที่เจ้าสาวเลิฟบ้าง

1. Pale Pink สีชมพูนู้ดสุดอ่อนหวาน

เฉดสีที่ดูยังไงก็เจ้าส๊าวเจ้าสาว ที่ไม่ว่าจะทาทั่วทั้งเล็บหรือจะเลือกเป็นให้เป็นลวดลายก็สวยหวานได้ไม่ต่างกัน แถมยังเป็นสีที่เข้ากันได้ดีกับทั้งชุดแต่งงานไทยและสากล เพราะทาแล้วดูเป็นธรรมชาติเหมือนเล็บชมพูดูสุขภาพดี เฉดสีนี้เหมาะกับเจ้าสาวผิวขาวอมชมพู หรือผิวขาวอมเหลือง ถือว่าเป็นอีกหนึ่งเฉดสีทางเลือกที่ทาแล้วรอดแน่นอน

เล็บเจ้าสาว

เล็บเจ้าสาว

เล็บเจ้าสาว

2. Nude สวยหรูดูดีในเฉดสีนู้ด

เป็นเฉดสีที่ได้รับความนิยมจากเจ้าสาวอยู่เสมอเพราะให้ลุคที่คลาสสิคและทันสมัยในเวลาเดียวกัน และถ้าเจ้าสาวเป็นสาวผิวขาวอมเหลืองด้วยแล้วล่ะก็ บอกเลยว่าทาเล็บเฉดสีนี้แล้วรอดสุดๆ เพราะจะช่วยขับผิวของเจ้าสาวให้โดดเด่นขึ้น แต่ต้องเลือกในโทนเฉดสีนู้ดอมน้ำตาล, นู้ดอมเทา หรือนู้ดอมส้มนะจ๊ะ

เล็บเจ้าสาว

เล็บเจ้าสาว

3. Vibrant Red สีแดงร้อนแรงสุดเซ็กซี่

เจ้าสาวสายเปรี้ยวอยากเฉี่ยวเกินใครต้องไม่พลาด กับสีแดงสุดร้อนแรงที่ทาปุ๊บให้ลุคดูเป็นสาวทัยสมัยเจือกลิ่นอายความเซ็กซี่นิดๆ แถมยังช่วยเสริมลุคให้เจ้าสาวดูโดดเด่นสุดๆ ในชุดแต่งงานสีขาวอีกด้วย และงานนี้ไม่ใช่ว่าเป็นสีแดงแล้วจะทารอดแค่สาวผิวขาวอมชมพูนะจ๊ะ เพราะสาวผิวสีน้ำผึ้งก็ทาได้ แถมทาแล้วรับรองว่าสวยเกิดบรรเจิดสุดๆ แน่นอนคอนเฟิร์ม

4. Clear Nail เผยสีเล็บธรรมชาติแบบสาวสุขภาพดี

หากเจ้าสาวไม่ชอบทาเล็บและอยากได้ความเป็นธรรมชาติสุดๆ การทาเพียงท้อปโค้ดเพื่อช่วยเพิ่มความแวววาวให้กับเล็บนั้นก็เพียงพอแล้ว แถมลุคนี้ยังโชว์แหวนเพชรเม็ดงามได้แบบเต็มๆ อีกด้วย แต่ถ้าเลือกที่จะสวยแบบธรรมชาติในลุคนี้ การดูแลและรักษาสุขภาพเล็บเป็นสิ่งสำคัญ เจ้าสาวอาจจะต้องขยันไปร้านทำเล็บเพื่อตัดแต่งหนัง ทำเล็บให้โค้งมนได้ทรงสวยงาม หรือจะต่อเล็บเจลเพื่อให้มือดูเรียวสวย แล้วอย่าลืมหมั่นบำรุงมือและเล็บด้วยโลชั่นอย่างสม่ำเสมอด้วยนะคะ

5. A Little Sparkle น่ารักระยิบระยับ

เจ้าสาวสายปาร์ตี้ที่รักในความเป็นกลิตเตอร์เราขอแนะนำให้ทาเล็บระยิบระยับรอไว้ได้เลยค่ะ เพราะนอกจากจะดูเป็นลุคปาร์ตี้สุดๆ แล้ว ยังเข้ากันได้ดีกับชุดแต่งงานทั้งไทยและสากลอีกด้วย และถ้าหากอยากวิบวับให้สุดก็ทาไปเลยทั้ง 10 นิ้วแต่อาจจะเลือกกลิตเตอร์ที่ละเอียดๆ สักหน่อยเพื่อไม่ให้ขโมยซีนแหวนแต่งงาน หรือหากมั่นไม่พอก็อาจจะเลือกทาแค่ 1 เล็บจาก 5 เล็บ อย่างเช่นเล็บที่นิ้วนางข้างซ้ายเพื่อให้แมตช์กับแหวนเพชรเม็ดงามก็ได้เหมือนกัน

6. Metallic เจ้าสาวทันสมัยสายแฟชั่น

เป็นสาวทันสมัยและรักความเป็นแฟชั่นทั้งทีงานนี้เมทัลลิคต้องมาค่ะ เพราะนอกจากที่จะให้ลุคโมเดิร์นแล้วยังมีกลิ่นอายของความคลาสสิคอีกด้วย แต่อาจจะต้องใช้เซ้นต์เลือกเฉดสีเมทัลลิคที่ไม่หนักหน่วงมากนักนะคะ ไม่อย่างนั้นอาจจะสูญเสียลุคของความเป็นเจ้าสาวเอาได้ โดยอาจเลือกเป็นเฉดสีโรสโกลด์ที่ให้หรูหราดูดีและยังคงความเป็นเจ้าสาวไว้ได้แบบไม่หลุดธีม

เล็บเจ้าสาว

เล็บเจ้าสาว

เล็บเจ้าสาว

ภาพ : www.diys.com, best-cool.com, www.chaseamie.com, www.independent.co.uk, www.prepbeautyparlour.com, www.brit.co, www.shamelessfripperies.com, www.pinterest.com

อ่านบทความเพิ่มเติม

บ่าวสาวแค่เปลี่ยนพฤติกรรมการกินวิธีลดน้ำหนักง่ายๆ ให้ทันวันวิวาห์

มาดูการเตรียมตัวเพื่อ ความงามเจ้าสาว ช่วง 5-2 เดือนก่อนแต่งงาน!

ทรงผมเจ้าสาวสไตล์ Bun แบบมินิมอล จะแต่งปีไหนก็ทำได้ไม่มีเอ๊าต์

เทคนิค เติมความหวาน ง่ายๆ แบบน้ำตาลเรียกแม่ที่คู่รักต้องทำ

รักกันไปนานๆ บางครั้งก็อาจจะละเลยกันไปแบบไม่รู้ตัว ซึ่งถ้าเป็นแบบนั้นไม่ดีแน่จริงไหมคะ แพรวเวดดิ้งเลยขอเป็นกาวใจ นำเทคนิคการ เติมความหวาน ให้กับความรักมาให้กับบ่าวสาว รับรองว่าหากปฏิบัติแบบนี้ต่อกันทุกวันแบบสม่ำเสมอ ความรักของคุณจะเหมือนวันแรกที่จีบกันใหม่ๆ ในทุกๆ วันแน่นอน

1. หวานให้เป็นกิจวัตร

หมั่นแสดงความรักต่อกันให้เป็นกิจวัตรประจำวัน เช่น บอกรักก่อนนอน หอมสักฟอดก่อนไปทำงาน ที่สำคัญอย่าลืมกอดกันในทุกๆ วันด้วยนะคะ หรือจะเลือกใช้สรรพนามเรียนแทนชื่อกันแบบน่ารักๆ ก็ช่วยกระชับความรักให้แน่นขึ้น

2. ของขวัญสุดซึ้ง

เติมความหวานด้วยของขวัญ เป็นไอเดียบอกรักสุดคลาสสิคที่ได้รับความนิยมในหมู่คู่รักมานาน เพราะฉะนั้นจงจดจำวันพิเศษต่างๆ ใน 1 ปีให้ได้ ไม่ว่าจะเป็นวันสำคัญทางปฏิทิน หรือวันสำคัญทางใจ ก็ต้องอย่าให้ขาดตกบกพร่องนะจ๊ะ

3. รักออนไลน์

ปฏิเสธไม่ได้ว่าทุกวันนี้กระแสโซเชียลกำลังครองโลก เพราะฉะนั้นเราต้องใช้มันให้เป็นประโยชน์ค่ะ ด้วยการแสดงความรักผ่านทุกโซเชียลที่คุณมีอยู่ ไม่ว่าจะเป็นการตั้งสเตตัสหวานๆ (อย่าลืมแท็กเขาให้รู้ตัว) หรือโพสต์รูปอวดชาวโซเชียลไปเลยก็ได้ รับรองว่าสิ่งนี้จะช่วยให้คุณและคนรักกระชุ่มกระชวยหัวใจและแอบยิ้มเบาๆ เมื่อเห็นเขาโพสต์ถึงคุณแน่นอน แต่ข้อนี้อาจจะต้องทำแต่พอดีๆ หน่อยนะ ไม่อย่างนั้นจากที่เพื่อนจะอิจฉาอาจจะกลายเป็นหมั่นไส้แทน!

4. จัดดินเนอร์สุดโรแมนติก

กินข้าวที่บ้านหรือร้านประจำหน้าปากซอยทุกวันมันก็จะเบื่อๆ หน่อยจริงไหมคะ ถ้าอย่างนั้นลองชวนกันไปเปลี่ยนบรรยากาศโดยไม่ต้องรอวันสำคัญใดๆ ให้มาถึง เพราะมื้อพิเศษที่มีแค่คุณและคนรักท่ามกลางบรรยากาศสุดโรแมนติกจะทำให้คุณทั้งสองดื่มด่ำความรักที่มีต่อกันได้อย่างเต็มที่อีกครั้ง ให้อารมณ์เหมือนเดทแรกของคุณทั้งสองก็ว่าได้

5. เพราะรักหรอกจึงยอมให้

ถึงแม้จะรักกันแค่ไหนแต่บางครั้งเราก็ไม่ได้ชอบอะไรเหมือนกันไปหมดซะทุกอย่างหรอกจริงไหม แต่บางครั้งเพื่อความรักที่หวานชื่น คุณอาจจะต้องยอมลดและตามใจอีกฝั่งในบางเรื่องบ้าง เพราะเรื่องเล็กๆ น้อยๆ แบบนี้ถ้าคุณลุกขึ้นมาทำอะไรเพื่อคนรัก แบบที่เขาคาดไม่ถึงว่าเขาจะทำ รับรองว่าเขาจะแอบฟินแบบมีพลุระเบิดอยู่ในใจแน่นอน ซึ่งงานนี้หากอีกฝั่งยอมตามใจคุณแล้วล่ะก็ ก็อย่าลืมตามใจเขากลับด้วยนะจ๊ะ

6. ไปเที่ยวกันเถอะ

การเดินทางท่องเที่ยวทำให้คู่รักได้ใช้เวลาร่วมกันอย่างเต็มที่ ไม่ว่าจะเป็น ทริปรักแสนโรแมนติกท่ามกลางบรรยากาศสายลม แสงแดด เสียงคลื่น หรือวิวภูเขาสวยงามท่ามกลางไอหมอกหนาวเย็น ก็ช่วยกระชับสัมพันธ์ให้หัวใจได้ใกล้กันทั้งนั้น แต่ถ้าอยากจะพิสูจน์รักแท้ก็ต้องลองไปบุกป่าฝ่าดงด้วยกันสักหน่อย เพราะความยากลำบากจะเผยให้เห็นถึงหัวใจที่แท้จริงของกันและกัน ความเอื้ออาทรระหว่างการเดินทางนั่นแหละคือสัญญาณของรักแท้

7. ชวนกันรำลึกความหวาน

เรื่องรักแสนหวานในวันวานจะทำให้หัวใจได้เบ่งบานอีกครั้ง ลองนึกย้อนดูว่าแรกกันกันใหม่ๆ คุณทำอะไรให้กันบ้าง อาจชวนกันไปรำลึกอดีตรักยังสถานที่ที่พบกันครั้งแรกหรือออกเดทกันครั้งแรก เปิดเพลงรักเพลงเก่าที่เคยให้กันสมัยวัยรุ่น พูดคุยถึงเรื่องราวในวันวานให้ได้อมยิ้มกันเบาๆ เปิดดูภาพเก่าๆ ให้หวนคิดถึงความทรงจำสุดสวีท

8. เซอร์ไพรส์!!!

การเซอร์ไพรส์ยังคงเป็นมุกรักที่ใช้มัดใจได้ตลอดกาล แต่บอกเลยว่าไม่จำเป็นต้องทำเซอร์ไพรส์กันแบบเวอร์วังเสมอไป แต่ความพิเศษเล็กน้อยที่ทำให้กันก็ช่วยเติมเต็มชีวิตรักสดใสได้ แอบส่งดอกไม้ให้กันบ้าง หรือให้ของขวัญที่คาดไม่ถึง เพียงเท่านี้ก็น่าประทับใจแล้ว

9. เสน่ห์ปลายจวัก

อาหารจานไหนก็ไม่ตราตรึงเท่ากับจานที่ปรุงด้วยฝีมือและหัวใจของคุณเอง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในยุคสะดวกซื้อที่การทำอาหารกินเองถือเป็นความยุ่งยากระดับสิบ การทำอาหารจานโปรดให้คนรักกินสักมื้อจึงกลายเป็นความพิเศษที่ช่วยสานรักให้แนบแน่น และจะยิ่งสวีทขึ้นไปอีกถ้าได้ช่วยกันทำช่วยกันกิน รับรองว่ารสชาติความรักของคุณจะหวานชนิดที่ไม่ต้องปรุงน้ำตาลเพิ่มเลย

10. ให้หนังรักเป็นสื่อกลาง

แรงบันดาลใจจากฉากกุ๊กกิ๊กในหนังรักโรแมนติกอาจทำให้คุณอยากมีโมเม้นต์หวานๆ แบบนั้นบ้างก็ได้ ถ้าไม่เชื่อ วันหยุดนี้ลองเกี่ยวก้อยคล้องแขนไปดูหนังรักกันสิ รับรองว่าได้ไอเดียหวานๆ มาสานสัมพันธ์รักให้แน่นปึ้กกว่าเดิมแน่นอน

11. มีช่วงเวลาดีๆ ร่วมกัน

จูงมือกันไปทำกิจกรรมที่คุณและคนรักชื่นชอบ หรือจะเปลี่ยนแนวไปทำกิจกรรมใหม่ๆ ที่คุณและคนรักไม่เคยทำร่วมกันมาก่อนก็ช่วยเพิ่มความกระชุ่มกระชวยให้หัวใจไปอีกแบบ หรือหากคุณเป็นคู่รักนักชิมก็อาจจะชวนกันไปเดินสายกินไปเลย

12. ทำบุญร่วมชาติ ตักบาตรร่วมขัน

กุศลผลบุญทางธรรมก็ช่วยหนุนนำให้ความรักหวานชื่นราบรื่นได้เหมือนกันนะคะ หาเวลาชักชวนกันไปทำบุญ ไม่ว่าจะเป็น ที่วัด หรือตามสถานที่ต่างๆ ก็ได้แล้วแต่ความสะดวก เพราะเมื่อได้ทำบุญแล้วจิตใจจะได้สบาย ก็ส่งผลให้เรื่องราวรอบกายดีขึ้นไปด้วย แถมทำบุญร่วมกันเผื่อชาติหน้าจะได้เกิดมาคู่กันอีกไงคะ

13. ชูรัก ชูรส

กิจกรรมบนเตียงคือเรื่องสำคัญที่ทำให้ชีวิตรักหวานชื่นนะคะ เพราะเราเห็นมานักต่อนักแล้วว่าการที่คู่รักห่างหายจากการทำการบ้านก็ส่งผลให้ความรักนั้นจืดจางลงไปได้เหมือนกัน เพราะฉะนั้นจัดสรรตารางเวลากันให้ดีๆ คุณผู้ชายก็ต้องออกกำลังกายฟิตเครื่องกันหน่อย ส่วนคุณผู้หญิงเมื่อถึงเวลาก็รู้จักการเอาอกเอาใจเข้าไว้นะคะ ไม่ต้องเขินอายไปเพราะแต่งงานเป็นสามีภรรยากันแล้ว เรื่องแบบนี้เป็นเรื่องธรรมชาติ

14. โซ่ทองคล้องใจ

หากใช้ชีวิตอยู่ด้วยกันสองคนจนรู้สึกเต็มอิ่ม ก็ถึงเวลาที่จะหาอีกหนึ่งชีวิตมาร่วมเติมเต็มแล้วนะคะ เพราะฉะนั้นวางแผนผลิตทายาทตัวน้อยๆ มาเป็นโซ่ทองคล้องใจกันดีกว่า เพราะสิ่งนี้จะเป็นอีกหนึ่งประสบการณ์ใหม่ให้คุณทั้งคู่ได้เรียนรู้ไปพร้อมๆ กัน รับรองว่าเสียงหัวเราะและรอยยิ้มจากเบ๋บี๋ตัวน้อย จะช่วยเติมรักของบ่าวสาวที่มีให้ยืนยาวมั่นคงขึ้นแน่นอน

15. คติรักประจำใจติดไว้ประจำตัว

การจะครองรักให้หวานชื่นยั่งยืนตลอดไปนั้น นอกจากเรื่องรักแสนหวานที่มอบให้กันแล้ว ทัศนคติด้านความรักที่ควรถือปฏิบัติก็สำคัญมากเช่นกัน ความรัก ความเข้าใจ ความซื่อสัตย์ และการให้อภัยถือเป็นคติรักประจำใจที่คนมีคู่ทั้งหลายควรยึดไว้ให้มั่น ถ้าปฏิบัติได้ตามนี้ รับรองว่าชีวิตรักแฮปปี้ชัวร์

ภาพ pinterest.com, http://hdwallpapersrocks.com

อ่านบทความเพิ่มเติม

ว่าที่เจ้าสาวจงทำตาม 7 วิธีนี้รับรองเพื่อนเจ้าสาวไม่มีน้อยอกน้อยใจ

ไม่ไหวอย่าฝืน! กับ 8 สัญญาณเตือนภัยปัญหาชีวิตคู่ เกิดขึ้นเมื่อไหร่อย่าไปต่อ

5 เรื่องก่อนแต่งงานที่คู่รักควรตกลงก่อนย้ายมาอยู่ด้วยกันให้เสร็จ

รับมือ 5 ปัญหาแม่สามี vs ลูกสะใภ้ ทำตามนี้รับรองอยู่กันแบบสงบสุข

ปัญหาแม่สามีลูกสะใภ้ นี่ถือว่าเป็นปัญหาระดับชาติเลยทีเดียวนะคะ หลายคู่ก็รักล่มไปไม่รอดต้องจอดเพราะรับมือกับแม่สามีไม่ไหว หรือบางคนที่เคยเห็นแต่ในละครเมื่อต้องมาเจอกันชีวิตจริงก็ถึงกับอึ้งไปไม่เป็นก็มีให้เห็นอยู่หลายคู่ แพรวเวดดิ้ง เลยขออาสามาเป็นคนกลางจัดการปัญหาสุดคลาสสิคนี้ให้กับบรรดาว่าที่ทั้งหลาย โดยงานนี้เราคัด 5 นิสัยสุดแสบของแม่สามีพร้อมวิธีรับมือมาฝาก รับรองหากปฏิบัติตามคำแนะนำนี้ได้คุณกับสามีอยู่กันได้ยาวๆ ชัวร์

1. คุณแม่จอมเฝ้าทรัพย์

หากว่าที่คนไหนที่เจอแม่สามีที่คล้ายๆ เป็นนักการบัญชีคอยตรวจสอบรายจ่ายอยู่ตลอดเวลาแล้วล่ะก็ รับรองว่าปวดหัวลามไปถึงสมองแน่นอน และยิ่งหากแม่สามีคนไหนที่คิดเล็กคิดน้อยหาว่าเรามาดูดทรัพย์ลูกชายสุดที่รักของเขาแล้วด้วย โอโห ไปกันใหญ่!! หรือบางรายอาการหนักคอยเก็บเงินทุกบาทของลูกชายก็มี หากคุณเจอแบบนี้ก็เตรียมรับมือตามนี้ได้เลย

“ก่อนอื่นคุณต้องแน่ใจก่อนว่าเงินที่คุณใช้จ่ายอยู่ทุกบาททุกสตางค์นั้นมาจากน้ำพักน้ำแรงของตัวเอง หากมั่นใจชัวร์ ก็จงกล้าแกร่งที่จะเอ่ยปากยามถูกเหน็บแหนมไปเลยว่า ‘คุณแม่คะ เงินที่หนูใช้คือเงินของหนูที่หามาเอง เพราะหนูกับสามีแยกกระเป๋ากันใช้ค่ะ’ และแน่นอนแค่คำพูดปากเปล่าใครก็พูดได้จริงไหมคะ เพราะฉะนั้นทำเลยค่ะ บัญชีรายรับ-รายจ่าย หากแม่สามีบ่นเมื่อไหร่ก็กางให้ท่านดู รับรองว่างานนี้จบสวยแม่ผัวไม่มีมาบ่นอีกแน่นอน”

2. คุณแม่จอมเผด็จการ

เอาแต่ใจ ไร้เหตุผล เจ้ากี้เจ้าการ ไม่ฟังความเห็น คิดว่าตัวเองถูกเสมอ ชอบออกคำสั่ง กดขี่ข่มเหง และอีกสารพัด เรียกได้ว่าเป็นคนที่มีข้อเสียมากกว่าข้อดีนั่นแหละค่ะ และถ้าลูกชายตัวดีดันเป็นคนหัวอ่อนที่ยอมคุณแม่ไปซะทุกเรื่องด้วยแล้ว งานนี้ลูกสะใภ้อย่างเราต้องตั้งหลักให้ดีๆ แล้วทำตามนี้เลยจ๊ะ

“อันดับแรก จงฝึกจิตให้กล้าแข็งไม่หวั่นแม้ทุกการกระทำและคำพูด จงมั่นคงและเด็ดขาดเข้าไว้ หากต้องเถียงเพื่อเอาชนะด้วยเหตุผลก็อาจจะต้องทำ (แต่ต้องมั่นใจว่ายังไงคุณก็ถูกนะคะ) เพราะหากคุณเผลอโอนอ่อนผ่อนตามตั้งแต่ครั้งแรกแล้วล่ะก็ บอกเลยว่ามาถึงจุดเปลี่ยนของชีวิตทันที เพราะถ้าคุณทนไม่ได้แล้วออกฤทธิ์ขึ้นมาเมื่อไหร่ นอกจากความโอนอ่อนที่สร้างมาตั้งแต่จะพังแล้ว ความสัมพันธ์ของคนในครอบครัวก็พาลจะสั่นคลอนไปด้วย”

3. คุณแม่ขี้หวง

ขี้หวงในที่นี้ไม่ใช่หวงสมบัตินะจ๊ะ แต่หวงลูกชายดั่งไข่ในหินต่างหาก ถ้าคิดในทางที่ดีลูกใครใครก็รัก แต่หากรักปานไข่ไม่ให้แตกขนาดนี้ ทั้งหวงทั้งห่วง เข้าขั้นโอ๋ลูกชายที่ไม่รู้จักโตสักที แถมสามีก็ดันทำอะไรไม่เป็นต้องคอยให้แม่ชี้นำอีกต่างหาก งานนี้ลูกสะใภ้อย่างเราต้องปวดใจปวดตับกันแน่นอน แล้วถ้าคุณแม่เกิดอาการหวงขั้นสุด จนถึงขั้นอิจฉาว่าลูกชายตัวเองดันรักภรรยามากกว่าแม่ด้วยแล้วล่ะก็ รับรองว่าคุณได้เจองานหินเข้าแล้ว หากยังไม่ได้แต่งก็อาจจะร้อนๆ หนาวๆ ว่าชาตินี้เราจะได้ดองกับลูกชายเขาไหม แต่ถ้าแต่งไปแล้วก็ต้องมาปวดหัวเพราะการเรียกร้องความสนใจจากแม่ผัวอีก ทำยังไงล่ะที่นี้!!

“การรับมือไม่ยากค่ะ สิ่งแรกที่ต้องทำคือคุยกับคนรักของคุณตรงๆ ว่าสถานการณ์แบบนี้ทำให้คุณอึดอัดขนาดไหน แล้วค่อยๆ ละลายพฤติกรรมด้วยการปลูกฝั่งภาวะผู้นำให้กับเขา รับรองว่าหากคุณทำสำเร็จงานนี้แม่สามีจะค่อยๆ ถอยทัพออกไปเองโดยที่คุณไม่ต้องเหนื่อยแรงเลยล่ะค่ะ”

4. คุณแม่สายไฮโซ

ไม่ว่าจะไฮโซด้วยฐานะหรือศักดิ์ศรีก็รับมือยากพอกัน เพราะมนุษย์แม่สามีแบบนี้มักจะมีความหยิ่งทะนง ถือตัว เจ้ายศเจ้าอย่าง ซ้ำร้ายไปกว่านั้นหากเจอแม่ผัวสุดเนี้ยบที่คาดหวังว่าลูกสะใภ้จะต้องโปรไฟล์ดีเป็นศรีให้กับวงศ์ตระกูลแบบเอาไปอวดใครต่อใครได้ แต่โปรไฟล์คุณดันผิดไปซะทุกอย่างก็เตรียมรับมือศึกหนักนี้ได้เลย

“หากคุณโชคดีเจอแม่สามีที่คาดหวังเพียงแค่หน้าที่การงานที่มั่นคง ก็อาจจะไม่ยากเท่าไหร่เพราะคงแค่ใช้ความพยายาม ความสามารถ และความตั้งใจไปให้ถึงจุดนั้น แต่ถ้าโชคร้ายเจอแม่สามีที่หวังเรื่องฐานะหรือชาติตระกูลงานนี้อาจจะลำบากหน่อย เพราะฉะนั้นการแสดงความสามารถทางด้านอื่นให้ท่านได้เห็น เช่น เอาความดีเข้าสู้ เชื่อเถอะว่าวันหนึ่งความดีจะทำให้คุณพบแสงสว่างที่ปลายอุโมงค์แน่นอน สู้ๆ นะคะ”

5. คุณแม่ที่เกลียดเรา!

เกลียดในที่นี่คือการเกลียดอย่างไม่มีเหตุผลซะด้วย ทำอะไรก็ไม่เคยดีในสายตา หากคุณเป็นสะใภ้บุญน้อยที่ต้องมาเจอเหตุการณ์แบบนี้ ก็จงปาดน้ำตาแล้วลุกขึ้นสู้ตามนี้ค่ะ

“ถ้าเขาร้อนเราต้องเย็น แถมต้องเย็นให้เหมือนใส่น้ำแข็งไว้เป็นลังอีกด้วย ไม่ว่าท่านจะแรงมาขนาดไหน จงแข็งดั่งหินเข้าไว้แล้วทุกอย่างจะดีเอง เพราะคุณแม่แบบนี้ไม่มีอะไรจะสามารถเอาชนะได้ นอกจากความดีที่คุณเพียรปฏิบัติ รับรองว่าวันหนึ่งท่านจะเห็นแน่นอน”

เป็นยังไงบ้างคะกับปัญหาแม่ผัวลูกสะใภที่เรานำมาฝาก เอาเป็นว่า หากลูกสะใภ้คนไหนที่มีทางแก้ที่เริดกว่านี้ และปฏิบัติได้ผลมาแล้ว ก็อย่าลืมนำมาแชร์กับว่าที่ที่กำลังประสบปัญหาด้วยนะคะ

CR. thespruce.com

อ่านบทความเพิ่มเติม 

บอกลาคานกับ 8 วิธี จีบเขาก่อนยังไงไม่ให้น่าเกลียดเนียนๆ แบบไม่นก

ข้อดีของสาวๆ ที่ แต่งงานอายุ 30+ ช่วงชีวิตดีๆ ที่สาววัยเอ๊าะมีแต่จะอิจฉา

รู้ทันผู้ชาย กับหลากหลายเล่ห์เหลี่ยม และลูกเล่นเอาตัวรอดสุดแพรวพราว

ไอซ์ อามีนา กับแฟชั่นชุดไทยสวยหรู ได้ลุคเป็นเจ้าสาวสวยสง่าในวันแต่งงาน

ชุดไทย เรียกได้ว่าเป็นชุดที่เลือกยากไม่แพ้กับชุดแต่งงานสากล เพราะมีรูปแบบชุดที่หลากหลาย ทั้งไทยแท้ ไทยประยุกต์ ไหนจะเฉดสีที่มีอีกมากมาย จึงไม่แปลกใจที่เราจะได้เห็นเจ้าสาวบางคนใส่ชุดไทยถึง 1 ชุดในวันแต่งงาน และนี่คือแฟชั่นชุดไทยสวยๆ ที่ได้ “ไอซ์ อามีนา” มาเป็นนางแบบให้ ซึ่งแพรวเวดดิ้งคัดมาให้แล้วว่าสวยทุกชุดจริงๆ

เคล็ดลับ : เลือกชุดแต่งงานไทยให้เข้ากับสาว
อย่างแรกต้องดูก่อนว่าบุคลิกของเจ้าสาวเป็นลักษณะใด มีรูปร่างแบบไหน เช่น เป็นคนตัวผอม สมส่วน เจ้าเนื้อ สูง หรือเตี้ย ต่อมาก็ต้องมาดูที่สถานที่จัดงานแต่งงาน หรือธีมของงานแต่ง ว่ามีลักษณะแบบไหน สีอะไร เพื่อที่เวลาเจ้าสาวใส่ชุดแต่งงานไทยแล้วเข้าไปยืนถ่ายภาพในงานจะได้ไม่จมหายไปพร้อมกับสถานที่

 ชุดไทย

ชุดไทย

ชุดไทย

ดูแบบชุดแต่งงานร้าน Coco Chic Wedding เพิ่มเติม คลิกเลย 

เสื้อผ้า : Coco Chic Wedding
79/336 ถนนสาธุประดิษฐ์ แขวงช่องนนทรี
เขตยานนาวา กรุงเทพฯ
โทร. 0-2115-8500, 09-9635-8585
เฟซบุ๊ก : Coco Chic Wedding
ไอจี : @cocochicwedding

แต่งหน้า : ภูริตา นุนนทกานต์ (ไอจี : @oopaoo_makeup)
ทำผม : จิรวัฒน์ คงศรีทอง (ไอจี : @gee_jiwat)
สไตลิสต์ : Up_Kamphoo
ผู้ช่วยสไตลิสต์ : นิตินัย เพ็ชรทอง
ช่างภาพ : ดวงพร ใบพลูทอง
ผู้ช่วยช่างภาพ : ชโนดม แต้ไพสิฐพงษ์
พวงมาลัย : FLOWDESIGN โทร. 06-3391-4635 ไอจี : @flow_designed
สถานที่ : Knight Cottage Studio
สตูดิโอบ้านและสวนให้เช่าถ่ายภาพ
โทร. 08-1611-2796, 09-7171-7114
เฟซบุ๊ก : Knight Cottage Studio

10 วิธีตัดต้นทุนงานแต่งงานแบบได้ผลชะงัดจากปากคำบ่าวสาวตัวจริง

ตัดต้นทุนงานแต่ง ยังไงให้ได้ผล บ่าวสาวรุ่นพี่เขามีเคล็ดลับดีๆ มาบอก

10 วิธี ตัดต้นทุนงานแต่ง ต่อไปนี้แพรว wedding รวบรวมมาฝากจากบ่าวสาวตัวจริงที่ทำแล้วบอกว่าดี ได้ผลชะงักและช่วยว่าที่บ่าวสาวที่อยากประหยัดเงินในการจัดงานแต่งงานไปได้เยอะ ว่าแล้วก็ลองมาดูวิธีต่างๆ ไปพร้อมๆ กับเราเลยค่ะ

วิธีที่ 1 ตัดจำนวนแขก

เป็นวิธีตัดต้นทุนการจัดงานแต่งอันดับหนึ่งที่แทบทุกคู่เลือกใช้ เพราะด้วยความคิดที่ว่ายิ่งคนน้อยยิ่งประหยัด ไม่ว่าจะเป็นการคิดค่าอาหารที่กำหนดมาแบบคิดรายหัวตามจำนวนแขกที่เชิญ หรือการคำนวณที่นั่งในการเลี้ยงโต๊ะจีนที่จะช่วยระบุจำนวนโต๊ะที่จะออเดอร์ นอกจากนี้การตัดจำนวนแขกยังช่วยในการตัดสินใจว่าจะเชิญแขกด้วยวิธีไหนอีกด้วย จึงทำให้บรรดาว่าที่เจ้าสาวต่างเลือกใช้วิธีนี้ในการตัดต้นทุนก่อนวิธีอื่นเสมอ

วิธีที่ 2 งดการส่งการทางไปรษณีย์

การส่งการ์ดเชิญทางไปรษณีย์มีค่าใช้จ่ายเพิ่มขึ้นอย่างเลี่ยงไม่ได้ บ่าวสาวหลายคู่จึงเลือกใช้การเชิญด้วยวิธีอื่นๆ เช่น ตั้งงานแต่งเป็นอีเว้นแล้วเชิญทางออนไลน์ นัดแนะรวมตัวกับเพื่อนแล้วถือโอกาสเอาการ์ดเชิญไปส่งให้ถึงมือ ถ้าเป็นแขกผู้ใหญ่คนสำคัญก็นำการ์ดไปให้ถึงบ้าน

วิธีที่ 3 เลือกใช้การ์ดเชิญแบบสำเร็จรูป

การ์ดเชิญหนึ่งใบเดี๋ยวนี้ราคาแพงมาก ยิ่งถ้าใส่ลูกเล่นต่างๆ ลงไป เช่น การปั๊มนูน เติมฟอย ใส่ทอง แต่งลูกไม้ ฯลฯ ยิ่งเพิ่มมูลค่า แต่ถ้าอยากประหยัด เราขอแนะนำให้เลือกใช้การ์ดเชิญสำเร็จรูปที่เดี๋ยวนี้มีแบบให้เลือกมากมาย เพียงแค่เลือกสีให้ตรงกับธีมงานที่จัดและเปลี่ยนรายละเอียดในการ์ดก็ใช้งานได้แล้ว

วิธีที่ 4 เลือกใช้ช่างภาพเท่าที่จำเป็น

นับรวมตั้งแต่จำนวนของช่างภาพที่ควรสมดุลกับขนาดของงานแต่งงาน และชื่อเสียงของช่างภาพที่ลองชั่งน้ำหนักดูสักนิดว่า ด้วยงบประมาณที่มีและจุดประสงค์ที่ต้องการประหยัด มีความจำเป็นแค่ไหนที่ต้องใช้ช่างภาพระดับมือพระกาฬ

วิธีที่ 5 ใช้เค้กปลอม เสิร์ฟเค้กจริง

ถ้าคุณต้องการตัดต้นทุน ขอให้ตัดใจจากเค้กจริงทั้งก้อนที่ราคาแตะหมื่นหรือบางทีถึงขั้นทะลุหมื่น มาเป็นเค้กปลอมที่ปล่อยเช่าหรือทางสถานที่มีไว้ให้ก็น่าจะดี แล้วค่อยไปซื้อเค้กจริงจากเจ้าอร่อยมาเสิร์ฟแขกก็พอ แบบนั้นตันค่าใช้จ่ายไปได้โขเลยนะ

วิธีที่ 6 เลือกใช้สถานที่ให้เป็น

แม้คุณจะจัดงานแต่งงานขนาดใหญ่เบิ้มสุดอลังการ แต่ก็ควรเลือกสถานที่ที่มีข้อเสนอมาพร้อมสิ่งอำนวยความสะดวกที่จำเป็นต่อการจัดงานด้วยเช่น แถมมากับฉากถ่ายภาพหน้างาน แกลอรี่ภาพถ่าย เวที ฯลฯ ไม่อยากนั้นก็ควรเลือกสถานที่ที่มีความสวยงามในตัว มองดูแล้วตกแต่งเพิ่มอีกนิดหน่อยหรือไม่ต้องตกแต่งเพิ่มยิ่งดี

วิธีที่ 7 ตกแต่งไม่ต้องเยอะ

คงต้องถามใจคุณดูก่อนว่าอยากมีภาพงานแต่งในฝันแบบไหน เพราะถ้าคุณอยากได้งานแต่งงานมีรายละเอียดเยอะแยะ และทุกอย่างต้องใช้เงินจ่ายมาถึงจะได้มาวางในงาน วิธีตัดต้นทุนข้อนี้คงต้องตัดไป แต่ถ้าคุณเป็นบ่าวสาวยังไงก็ได้ ขอเพียงภาพงานน่ารักดูมินิมอลการตัดต้นทุนการจัดงานโดยให้มีการตกแต่งน้อยๆ เป็นวิธีที่ทำให้คุณไม่ต้องเสียเงินเกินจำเป็นได้ดี

วิธีที่ 8 ลดการใช้ดอกไม้จริง

ราคาดอกไม้ที่สั่งมาตกแต่งในงานผ่านคนกลางกับราคาที่คุณไปซื้อเองต่างกันแบบเท่าตัว ซึ่งถ้าคุณอยากตัดต้นทุกจริงๆ ขอให้ตัดหรือลดทอนเรื่องดอกไม้สดออกไป เพราะไหนจะค่าดอกไม้ ค่าขนส่ง และค่าฝีมือคนจัด บอกเลยว่ามากมายจริงๆแนะนำให้ใช้ดอกไม้สดให้น้อย หันมามองดอกไม้ปลอมบ้างก็ได้ รับรองเงินเหลือ

วิธีที่ 9 กำหนดปริมาณเครื่องดื่มแอลกอฮอล์

แนะนำให้สั่งเครื่องดื่มเหล่านี้เข้ามาไว้ในงานแต่งงานในปริมาณที่รู้สึกว่าจ่ายได้จ่ายไหว โดยตกลงกับทีมจัดเลี้ยงอย่างเป็นเรื่องเป็นราวได้เลยตั้งแต่แรกว่า สั่งเท่านั้นขวด หมดแล้วจบไม่มีสั่งเพิ่ม ทำแบบนี้ไม่มีงบงอกแน่นอน

วิธีที่ 10 เลือกใช้ช่างหน้าช่างผมที่ไม่แพง

เลือกช่างแต่งหน้าทำผมที่ราคาไม่แพงแต่ฝีมือโดนใจ แทนที่จะเลือกใช้ช่างเก่งๆ ที่ดาราใช้กันเยอะแยะ สู้เอาเงินไปเทสแต่งหน้ากับช่างที่ราคาดร๊อปลงมาหน่อย แต่ได้ลองแต่งจริงเพิ่มความมั่นใจก่อนถึงวันงาน และมีเงินเหลือไปใช้เตรียมงานด้านอื่นดีกว่า

แล้วคุณละคะ มีวิธีตัดต้นทุนสำหรับจัดงานแต่งงานแบบไหนบ้าง ถ้าทำแล้วดีมีความเวิร์ค บอกต่อมาที่แพรว wedding บ้างนะคะ สัญญาค่ะว่าจะบอกต่อให้ว่าที่เจ้าสาวคนอื่นๆ ได้ทำตามอย่างแน่นอน

เรื่อง : ดอกปีบ / ภาพ : unsplash.com, pinterest

อ่านบทความเพิ่มเติม

Checklist!! 22 ภาพที่บ่าวสาวต้องมีในอัลบั้มภาพงานแต่ง บอกช่างภาพให้จัดโลด

7 เรื่องไม่ควรมองข้าม! แล้วคุณจะหลงรักงานแต่งงานของตัวเอง

5 เทคนิคขั้นเทพ! จัดงานแต่งให้ดูแพงในงบจำกัดได้เองแบบไม่ยาก