สาวๆ หนุ่มๆ หลายคนต้องกังวลเรื่องการไป เจอพ่อแม่แฟนครั้งแรก แน่นอน ต่อให้แฟนเราจะปลอบใจขนาดไหนว่าพ่อแม่เขาใจดี ไม่ต้องกลัว แต่เชื่อเถอะว่า ลึกๆ แล้วคุณก็ตื่นเต้นและมีคำถามตามมาว่า ต้องทำอย่างไรให้ท่านประทับใจและเอ็นดู

ติวเข้ม! วิธีสร้างความประทับใจตอนไป เจอพ่อแม่แฟนครั้งแรก ทำแบบนี้รับรองท่านเอ็นดูแน่นอน

1. ลุคต้องดูดีและเรียบร้อย

เริ่มกันตั้งแต่การแต่งตัวเลยดีกว่า เพราะเสื้อผ้า หน้า ผม จะเป็น First Impression ที่คุณพ่อคุณแม่เห็น แต่ไม่ได้จะบอกว่าให้เปลี่ยนการแต่งกายจนไม่เหลือความเป็นตัวของตัวเองเลยซะทีเดียว แค่ต้องเลือกเสื้อผ้าให้เหมาะกับกาลเทศะ ชุดจำพวก สายเดี่ยว นุ่งสั้น ที่ชอบใส่เป็นประจำเก็บเข้าตู้ไปก่อนนะจ๊ะ ลองดูชุดที่ใส่แล้วสุภาพ เหมาะกับการเข้าพบผู้ใหญ่จะเริดมากกว่า พ่อแม่เห็นแต่ไกลๆ จะได้เปิดใจต้อนรับเราเลย

2. อย่าลืม มือไม้ต้องอ่อนช้อย หางเสียงต้องมี

เจอหน้าผู้ใหญ่ต้องไม่ลืมยกมือไหว้นะคะ ที่ต้องเตือนกันเรื่องนี้เพราะว่า หลายคนตื่นเต้นจนลืมไปว่าเจอผู้ใหญ่ต้องทำอย่างไร บางคนได้แต่ยืนยิ้มผงกหัว มือถือกระเป๋าจนเหงื่อชุ่ม บางคนประหม่าจนพูดอะไรไม่ออกก็มี เพราะฉะนั้น ก่อนเดินเข้าไปเจอผู้ใหญ่ต้องมีสติกันนิดนึง กระเป๋าจากที่ถือไว้ก็เปลี่ยนมาเป็นการสะพาย มือจะได้ว่างเตรียมพร้อมยกมือไหว้ หรือใครที่เคี้ยวหมากฝรั่งต้องคายทิ้ง เวลาเอ่ยคำสวัสดีจะได้ไม่ขัดหูขัดตาผู้ใหญ่ และทุกครั้งที่พูดกับผู้ใหญ่ต้องมีหางเสียงด้วย ค่ะ / ครับ อย่าให้ขาด ห้ามพูดห้วนๆ ให้ผู้ใหญ่ระคายหูเด็ดขาด

3. ทำการบ้านเรื่องพ่อแม่ของแฟนไว้ด้วย

จะไปเจอผู้ใหญ่ทั้งที ต้องรู้ว่าท่านเป็นใคร ชื่ออะไร ทำงานที่ไหน เรื่องนี้ให้ถามแฟนของเราไว้ตั้งแต่เนิ่นๆ ถือเป็นการเรียนรู้พื้นเพของครอบครัวแฟน รวมถึงถามเผื่อด้วยว่า คุณพ่อคุณแม่ท่านมีบุคลิกและลักษณะนิสัยแบบไหน เพราะข้อมูลเหล่านี้จะมีประโยชน์มากเวลาที่ต้องพูดคุยกับท่าน เราจะได้รู้ว่าเรื่องไหนควรชวนคุย เรื่องไหนไม่ควรพูดให้ผู้ใหญ่ผิดใจ (ประเด็นการเมืองเลี่ยงไปเลยนะจ๊ะ)

4. สรรพนามเรียกผู้ใหญ่ คิดเตรียมไว้เลย

ข้อนี้เป็นอีกหนึ่งเรื่องที่หลายคนชอบถาม เวลาไปเจอพ่อแม่แฟนจะต้องเรียกท่านว่าอะไร เรียกคุณพ่อคุณแม่เลยไหม หรือเลี่ยงไปใช้คำอื่นก่อน เรื่องนี้ถ้าจะให้ง่ายก็ถามแฟนคุณเลยว่า พ่อแม่เขาอยากให้คุณเรียกสรรพนามอย่างไร แต่ถ้าใครฉุกเฉินไม่ได้เตรียมคิดก่อนมาเจอ แนะนำให้เรียกคุณลุง คุณป้า คุณน้า คุณอา ไว้ก่อน ป้องกันบุพการีบางท่านที่อาจไม่สะดวกใจให้คุณเรียกเขาว่าพ่อแม่ตั้งแต่ครั้งแรกที่พบกัน

5. มีของติดไม้ติดมือไปฝาก

อีกหนึ่งเรื่องที่ควรทำการบ้านเผื่อไว้คือ ถามแฟนตัวเองสักหน่อยว่าพ่อแม่เขาชอบอะไร ผลไม้ ขนม อาหาร หรือเครื่องดื่มต่างๆ อาจต้องแอบถามเรื่องโรคประจำตัวด้วย เช่น ถ้าท่านเป็นโรคเบาหวาน ก็ไม่ควรซื้อขนมหรือของหวาน เลี่ยงไปเป็นใบชาหรือเครื่องดื่มสมุนไพรจะดีกว่า หรือใครมีไอเดียเลือกซื้อของฝากอื่นๆ ที่ไม่ใช่อาหารก็ได้ แต่แนะนำว่าไม่ต้องจัดชุดใหญ่ไฟกระพริบ เหล้า ไวน์ ขอให้พักก่อน เตรียมไปแบบพอดีๆ ตามกำลังทรัพย์ที่เรามีจะดีกว่า

6. ระวังกิริยาระหว่างเรากับแฟนด้วย

ท่องให้ขึ้นใจทั้งชายหญิงเลยว่า เราไปพบผู้ใหญ่ไม่ได้อยู่กันแค่สองคน คำสรรพนามจำพวกเบบี๋, หมูอ้วน, เตง ฯลฯ เก็บไว้ใช้ตอนอยู่กันสองต่อสองจะดีกว่า เวลาอยู่ต่อหน้าผู้ใหญ่ (โดยเฉพาะครั้งแรก) แนะนำให้เรียกกันแบบปกติ รวมถึงการกระทำ เช่น ดุ ว่า กระแซะ ซบไหล่ จิ๊จ๊ะ หรือแซวกันแรงๆ แบบนี้ก็ไม่ควรเช่นกัน

7. มีน้ำใจคอยช่วยเหลือ

ความมีน้ำใจ ช่วยผู้ใหญ่หยิบจับสิ่งของจะทำให้ท่านปลื้มและเอ็นดู เช่น หากคุณแม่ทำกับข้าวอยู่ในครัว ลองเสนอความช่วยเหลือเล็กๆ น้อยๆ เช่น ช่วยยกของ ช่วยรินน้ำ เป็นต้น แต่ถ้าเป็นการช่วยลงแรงกับอะไรใหญ่ๆ อย่างเช่น การเข้าครัวทำกับข้าว แนะนำให้ถามผู้ใหญ่ก่อน ถ้าท่านโอเค คุณก็เข้าไปช่วยตามความสามารถ แต่ถ้าผู้ใหญ่บอกว่าไม่เป็นไร ก็อย่าทู่ซี้หรือตามตื๊อให้ท่านเสียอารมณ์

8. เก็บโทรศัพท์มือถือไว้ในกระเป๋าสักวันนะ

ข้อนี้ฝากไปถึงหนุ่มสาวที่ติดเกมและโซเชียลฯ บนมือถือเลยนะคะว่า เวลาไปเจอพ่อแม่แฟนอย่าหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาเล่นโดยไม่จำเป็น คุณควรที่จะโฟกัสกับผู้ใหญ่และบทสนทนาตรงหน้า การหยิบมือถือมาดูหรือเล่นบ่อยๆ ก้มหน้าอยู่แต่กับโทรศัพท์จะดูเสียมารยาท และอาจทำให้ท่านไม่ปลื้มตั้งแต่ครั้งแรกที่พบกัน

สำหรับการไปเจอพ่อแม่แฟนครั้งแรกที่ใครๆ ก็บอกว่าให้เป็นตัวของตัวเอง มันก็ถูกนะคะ แต่ไม่ใช่ทั้งหมด บางครั้งต้องเอาความเป็นตัวเองบางอย่างไว้ที่บ้านบ้าง และต้องเตรียมตัวสักหน่อยเพื่อให้ผู้ใหญ่เอ็นดู และเปิดใจรับเราในฐานะคนสำคัญอีกหนึ่งคนของชีวิตลูกชายลูกสาวท่าน ถ้าครั้งแรกผ่านฉลุย ครั้งต่อๆ ไปก็จะง่ายขึ้นอีกเยอะ

ยังมีเคล็ดลับเด็ดๆ สำหรับการเอาชนะใจพ่อแม่แฟน อยากรู้รีบตามไปดู

• 5 เคล็ดลับเอาชนะใจพ่อแม่แฟนแบบขาดลอย
• ว่าที่ลูกสะใภ้รู้ไว้ก็ดีจะได้ทำตัวถูกกับ 4 นิสัยพื้นฐานของพ่อสามี

ภาพจาก : unsplash.com, pexels.com

สามีภรรยาหลายคู่วางแผนมีลูกกันตั้งแต่ก่อนแต่งงาน แต่พอเวลาผ่านไป 1 ปี 2 ปี 3 ปี พยายามเท่าไหร่เจ้าตัวน้อยก็ยังไม่มาสักที ถ้าลองวิธีธรรมชาติแล้วยังไม่สมหวัง เตรียมกะตังค์ไว้ให้พร้อม แล้วเริ่มปรึกษาคุณหมอเรื่องภาวะ มีลูกยาก และมองหาเทคโนโลยีสมัยใหม่กันค่ะ

มีลูกยาก อย่าเพิ่งถอดใจ ปรึกษาหมอและใช้เทคโนโลยีการแพทย์สมัยใหม่ช่วยได้

การมีเจ้าตัวน้อยเป็นอีกหนึ่งเรื่องที่คู่แต่งงานใฝ่ฝัน เพราะการมีลูกเป็นโซ่ทองคล้องใจช่วยให้ครอบครัวสมบูรณ์ พร้อมหน้าพ่อ แม่ ลูก แต่หลายๆ ปัจจัยอาจทำให้คู่รักประสบปัญหามีลูกยาก พยายามทำตามธรรมชาติก็ยังไม่สำเร็จ อีกทั้งอายุที่เพิ่มมากขึ้นทุกปีๆ ทำให้หลายคนตัดสินใจปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเรื่องการใช้เทคโนโลยีเจริญพันธุ์ ก่อนอายุจะมากเกินไปจนมีลูกลำบาก

เทคโนโลยีช่วยเหลือผู้มีบุตรยากที่เราได้ยินกันมาเนิ่นนานก็คือ การทำกิ๊ฟต์ (GIFT) แต่เดี๋ยวนี้มีวิธีใหม่ๆ  ทั้งการฉีดน้ำเชื้อ (IUI), การทำเด็กหลอดแก้ว (IVF) และ การใช้เทคนิคพิเศษอย่าง ICSI ทั้งหมดนี้ต่างกันอย่างไร และมีค่าใช้จ่ายเท่าไหร่ ตามไปดูกันเลยค่ะ

1. การทำกิ๊ฟต์ (Gamete Intra-Fallopian Transfer : GIFT)

วิธีนี้เป็นการกระตุ้นไข่เพื่อให้ผู้หญิงไข่ตกหลายๆ ใบ โดยคุณหมอจะให้ยาฮอร์โมนชนิดพ่นจมูกตั้งแต่ช่วง 7 วันก่อนมีประจำเดือน และจะเริ่มฉีดฮอร์โมนกระตุ้นไข่หลังจากมีประจำเดือนแล้ว 3 วัน โดยต้องฉีดประมาณ 8-12 วัน ขึ้นอยู่กับการตอบสนองของแต่ละคน แล้วอัลตราซาวด์เพื่อดูขนาดและจำนวนของถุงไข่ เจาะเก็บไข่ และเก็บน้ำเชื้อของสามี

หลังจากนั้นจะใช้วิธีการผ่าหน้าท้องของผู้หญิงด้วยวิธีส่องกล้องเพื่อนำไข่และอสุจิที่คัดเลือกแล้วใส่กลับเข้าไปในท่อนำไข่เพื่อให้เกิดการปฏิสนธิตามธรรมชาติ ซึ่งวิธีนี้เหมาะสำหรับผู้หญิงที่มีท่อนำไข่ข้างใดข้างหนึ่งสมบูรณ์ ไม่อุดตัน และยังมีข้อจำกันเรื่องการผ่าตัดหน้าท้องเพื่อใส่ไข่และอสุจิกลับเข้าไป ทำให้วิธีนี้ไม่ค่อยเป็นนิยมกันในปัจจุบัน และแพทย์หลายท่านก็แนะนำวิธีอื่นๆ ที่ทันสมัยมากกว่า ทำให้โรงพยาบาลหลายๆ แห่งไม่มีบริการการทำกิ๊ฟต์แล้วในปัจจุบัน

2. การทำเด็กหลอดแก้ว (In-vitro Fertilization : IVF)

วิธีนี้จะใช้การกระตุ้นไข่และเจาะเก็บไข่คล้ายกับการทำกิ๊ฟต์ แต่ต่างกันตรงที่การคัดเลือกไข่ใบที่สมบูรณ์ที่สุดมาผสมกับอสุจิที่ผ่านการเตรียมด้วยน้ำยา แล้วนำไปเพาะเลี้ยงในตู้เพาะตัวอ่อนที่ควบคุมอุณหภูมิ 37 องศาเซลเซียส หากมีการปฏิสนธิจะต้องเก็บไว้อีกประมาณ 3 วัน แล้วจึงนำใส่กลับเข้าไปในโพรงมดลูกผ่านทางช่องคลอด

วิธีนี้จะทำให้ผู้หญิงฟื้นตัวได้ง่ายกว่าการทำกิ๊ฟต์ โดยใช้เวลาพักฟื้นเพียงแค่ 1-2 ชั่วโมงก็สามารถกลับบ้านได้ เหมาะกับผู้หญิงที่มีปัญหาเรื่องท่อนำไข่ไม่สมบูรณ์ หรืออสุจิของผู้ชายมีน้อยกว่าปกติและเคลื่อนไหวช้า ส่วนราคาในการทำ IVF อยู่ที่ประมาณ 150,000 บาทขึ้นไป ขึ้นอยู่กับแพ็กเกจของแต่ละโรงพยาบาล

3. การทำอิ๊กซี่ (Intracytoplasmic Sperm Injection : ICSI)

วิธีนี้เหมาะกับผู้ที่มีปัญหาอสุจิไม่แข็งแรงและไม่สามารถเคลื่อนที่ไปผสมกับไข่ได้ โดยคุณหมอจะคัดเลือกอสุจิตัวที่แข็งแรงที่สุด และใช้เข็มขนาดเล็กมากดูดอสุจิเข้าไป แล้วเจาะฉีดเข้าไปในไข่เพื่อให้เกิดการปฏิสนธิ เพาะเลี้ยงไว้ในห้องปฏิบัติการ 3-5 วัน จากนั้นนำกลับเข้าสู่โพรงมดลูกเพื่อให้มีการตั้งครรภ์เกิดขึ้น

สำหรับการทำอิ๊กซี่มักจะใช้สำหรับกรณีที่คู่รักทำ IVF หรือวิธีอื่นๆ แล้วไม่สำเร็จ แพทย์จะแนะนำวิธีนี้ซึ่งมีโอกาสสำเร็จมากขึ้น อีกทั้งยังเป็นวิธีที่สามารถตรวจหาโรคทางพันธุกรรมของตัวอ่อนในระยะก่อนการฝังตัวได้โดยไม่ทำให้เกิดความผิดปกติ ราคาสำหรับการทำอิ๊กซี่อยู่ที่ประมาณ 150,000 – 170,000 บาทขึ้นไป คู่รักควรสอบถามเรื่องบริการตรวจหาโรคทางพันธุกรรมของตัวอ่อนด้วย ว่ารวมอยู่ในแพ็กเกจแล้วหรือมีค่าใช้จ่ายเพิ่มเติม

4. การผสมเทียมโดยการฉีดอสุจิเข้าสู่โพรงมดลูก (Intrauterine Insemination : IUI)

การทำ IUI เรียกได้ว่าเป็นการช่วยย่นระยะทางระหว่างอสุจิกับมดลูก โดยใช้การกระตุ้นฮอร์โมนให้ฝ่ายหญิงตกไข่หลายๆ ใบ จากนั้นอัลตราซาวด์ดูขนาดของไข่และความหนาของเยื่อบุโพรงมดลูก เมื่อมีขนาดพอเหมาะจะฉีดยากระตุ้นการตกไข่ และนัดคู่รักมาฉีดเชื้ออสุจิเข้าโพรงมดลูก ซึ่งทั้งนี้ฝ่ายชายจะต้องงดเพศสัมพันธ์ 2-7 เพื่อเก็บน้ำเชื้อในวัดนัด โดยคุณหมอจะคัดกรองอสุจิที่แข็งแรงดูดใส่ท่อพลาสติกขนาดเล็ก สอดผ่านปากมดลูกแล้วฉีดอสุจิเข้าโพรงมดลูกโดยตรง เพิ่มโอกาสให้อสุจิผสมกับไข่ได้ดียิ่งขึ้น โดยราคาของการทำ IUI อยู่ที่ประมาณ 5,000 – 30,000 บาท ขึ้นอยู่กับแพ็กเกจของแต่ละโรคพยาบาล

สำหรับคู่รักที่พยายามแล้วพยายามอีก แต่เจ้าตัวน้อยก็ยังไม่มาให้ชื่นใจสักที หากอยากพึ่งพาคุณหมอและเทคโนโลยีสำหรับผู้มีบุตรยาก สามารถติดต่อโรงพยาบาลเพื่อขอคำปรึกษาและตรวจสุขภาพเบื้องต้น โดยอัตราความสำเร็จของการตั้งครรภ์ ขึ้นอยู่กับสภาพร่างกายและอายุของฝ่ายหญิง รวมถึงระดับความรุนแรงของภาวะมีบุตรยากของแต่ละคนด้วย ที่สำคัญคือ ต้องไม่เครียดและกดดันตัวเองจนเกินไป เพราะจะส่งผลต่อความสำเร็จในการตั้งครรภ์

สำหรับสามีภรรยาคู่ไหนขอลองวิธีธรรมชาติและสายมูเพื่อการมีลูกต้องอ่านข้อมูลข้างล่างนี้เลย

• ห้ามพลาด! เคล็ดลับลูกดกของสะใภ้อาหมวยที่แฝงไว้ในงานแต่ง
• 5 สถานที่ขอลูก ขึ้นชื่อเรื่องความศักดิ์สิทธิ์ ได้ลูกสมดั่งใจ
• อยากให้เบบี๋มาไวทันใจต้องทำการบ้าน ท่าไหนท้องง่ายสุด

ภาพจาก : inovifertility.com, unsplash.com, pexels.com

คืนเข้าหอ ของคู่ข้าวใหม่ปลามัน บอกเลยว่าไม่ได้มีแต่สาวๆ ที่ตื่นเต้นนะคะ แต่หนุ่มๆ เขาก็ตั้งตารอและมีหลายสิ่งหลายอย่างที่ใฝ่ฝันว่าอยากทำสักครั้งในคืนสำคัญ บางคนถึงกับจดเป็นลิสต์ไว้เลยทีเดียว ฮ่าๆ

5 เรื่องที่เจ้าบ่าวฝันไว้ว่าจะได้ทำใน คืนเข้าหอ วานเจ้าสาวช่วยสานฝันให้เป็นจริง

1. จัดเลยในชุดเจ้าสาว

Top ฮิตความในใจของคุณเจ้าบ่าว เรียกว่าเป็นอีกหนึ่งอย่างที่สร้างความสุขสมในคืนแรกได้ดีทีเดียว กับความสวยงามของผู้หญิงในชุดเจ้าสาวที่ทำให้เจ้าบ่าวอยากสัมผัสประสบการณ์มีอะไรกันโดยไม่ต้องถอดชุด ครั้งแรกและครั้งเดียวในชีวิต แต่ขอเตือนไว้เลยว่าให้นุ่มนวล อย่าทำให้ชุดเจ้าสาวเลอะเทอะหรือเป็นรอยเด็ดขาด

2. โมเมนต์ค่อยๆ ช่วยกันเปลื้องผ้า

เจ้าบ่าวหลายคนรู้ดีว่าชุดเจ้าสาวอาจไม่ได้ถอดกันง่ายๆ แต่เชื่อไหมคะว่า ยังมีผู้ชายหลายคนอยากได้โมเมนต์ค่อยๆ รูดซิบให้เจ้าสาว หรือปลดสายเดี่ยวบนหัวไหล่นวลเนียน พรมจูบไปตามแผ่นหลังและไหล่ยามที่ชุดร่นไปกองอยู่ที่พื้น ยิ่งถ้าชุดเจ้าสาวเป็นสไตล์คอเซ็ทหรือเลือกใส่ชุดชั้นในตัวสวย หนุ่มๆ หลายคนเขารู้สึกตื่นเต้นกับการค่อยๆ ดึงสายเชือกออกทีละนิด ปลดตะขอที่ละข้อ บอกเลยว่าทั้งตื่นเต้นและเรียกเลือดลมได้เป็นอย่างดี

3. อาบน้ำด้วยกัน

บ่าวสาวคู่ไหนที่จัดงานและเลือกใช้ห้องของโรงแรมเป็นห้องหอ ลองสำรวจเลยว่าในห้องน้ำมีอ่างอาบน้ำหรือไม่ ถ้ามีก็เตรียมตัวให้พร้อมเลย เพราะเจ้าบ่าวเขาลิสต์ไว้ในใจแล้วว่า ต้องได้เล่นสนุกในอ่างอาบน้ำกันบ้าง อาจเสียเวลาตอนรองน้ำใส่อ่างและตีฟองสบู่สักหน่อย แต่รับรองว่าฟินสมกับการรอคอย

4. อยากเห็นเซอร์ไพรส์เด็ดๆ

เชื่อว่าเจ้าบ่าวหลายคนแอบคิดอยู่ในใจแต่ไม่กล้าพูดออกไปตรงๆ ว่าเขารอที่จะเห็นเซอร์ไพรส์เด็ดๆ จากคุณภรรยาอยู่เหมือนกัน หลักๆ ที่หลายคนวาดฝันไว้คือ ความเซ็กซี่ของเจ้าสาวในชุดนอนวาบหวิวกับท่าทางเย้ายวนใจและการออดอ้อน แต่ขอบอกไว้สักนิดว่า ถ้าเจ้าสาวคนไหนไม่กล้าก็ไม่ต้องฝืนนะคะ ผู้ชายเขาเข้าใจดี

5. ปั๊มลูกเลยทันที!

ผู้ชายหลายคนอดทนอดกลั้นป้องกันตัวเองและคนรักด้วยการใส่ถุงยางมาตลอด พอมาถึงคืนวันแต่งงานก็เลยมีความฝันว่าอยากทำการบ้านแบบเนื้อแนบเนื้อ ไร้ยางสังเคราะห์มากั้นกลางความรัก และเนื่องจากว่าได้สถานะเป็นสามีภรรยาถูกต้องตามธรรมเนียมและกฎหมายทุกอย่าง เลยขอจัดใหญ่ไฟกระพริบ เตรียมพร้อมปั๊มลูกน้อยอย่างเต็มที่ในคืนนี้ เรียกได้ว่า จะไม่ปล่อยให้เสียเวลาเปล่า อยากมีลูกต้องรีบทำ เจ้าตัวน้อยจะได้มาไวทันใจ

ถึงแม้ว่าเจ้าบ่าวหลายคนจะมีบักเก็ตลิสต์สำหรับคืนเข้าหอ ปักหมุดไว้ว่าต้องทำมิชชั่นตามใจอยากให้สำเร็จ แต่เชื่อไหมคะว่า พอถึงเวลานั้นก็ทั้งเหนื่อยทั้งเพลีย จนต้องพับโครงการเก็บไว้ใต้หมอน แล้วนอนหลับเอาแรงเพื่อที่จะได้จัดเต็มในคืนถัดไป แต่เจ้าบ่าวคนไหนฟิตมาก แพรวเวดดิ้งก็ไม่อยากขัดศรัทธา เอาเป็นว่าดูอาการเจ้าสาวด้วยว่าเธอพร้อมไหม จะได้ฟินสมใจทั้งคืน

ตามไปอ่านเรื่องราวของคืนวันแต่งงานและกลเม็ดสร้างความประทับใจในคืนแรกกันต่อได้เลย

• 9 กลเม็ดเพื่อเซ็กส์ส์คืนเข้าหอ วันนี้แหละเหมาะจะ “มีอะไรกัน” มากที่สุด
• Top 5 กิจกรรมยอดฮิตในคืนวันแต่งงาน อยากรู้ป่ะว่าบ่าวสาวเขาทำอะไรกัน?

ภาพจาก : Unsplash.com, Pexels.com

ข้อดีของการแต่งงานมีมากมายหลายอย่างเลยนะคะ ไม่ว่าจะเป็น แต่งงานแล้วมีความสุข สุขภาพดี ช่วยกันสร้างเนื้อสร้างตัว มีคู่ชีวิตไว้คอยปรึกษา และอีกหนึ่งประโยชน์ล่าสุดของการ แต่งงาน คือ สิทธิลดหย่อนภาษี คู่สมรส คำนวณกันให้ดีๆ ลดได้ถึง 120,000 บาท!

แต่งงาน กันทั้งทีได้ สิทธิลดหย่อนภาษี คู่สมรสเพียบ

ในปัจจุบันนี้ คู่สมรสที่แต่งงานและจดทะเบียนกันอย่างถูกกฎหมาย สามารถใช้สิทธิลดหย่อนภาษีคู่สมรสได้ โดยมีรายละเอียดการยื่นภาษีและข้อกำหนดสำหรับการลดหย่อนหลักๆ ดังนี้

1. กรณีสามีหรือภรรยา คนใดคนหนึ่งไม่มีรายได้

สำหรับข้อนี้ใครที่เป็นแม่บ้าน ไม่ได้มีเงินได้จากการทำงานประจำ เมื่อถึงเวลายื่นแบบภาษี สามีจะนำค่าเลี้ยงดูภรรยามาคำนวณลดหย่อนภาษีได้ถึง 60,000 บาท / ปี ถึงแม้ว่าสามีจะให้เงินภรรยาใช้จ่ายเป็นรายเดือน แต่ในทางกฎหมายก็ยังถือว่าภรรยาเป็นผู้ไม่มีเงินได้

สำหรับภรรยาที่เป็นผู้มีเงินได้ แต่สามีไม่มีเงินได้ กรณีนี้ ภรรยาสามารถหักลดภาษีในฐานะผู้มีเงินได้ 60,000 บาท และหักลดในส่วนของสามีได้อีก 60,000 บาท รวมเป็น 120,000 บาท โดยการยื่นแบบภาษีให้แจ้งสถานะคู่สมรสไม่มีรายได้

ในข้อนี้ยังครอบคลุมไปถึงเงินในรูปแบบดอกเบี้ยเงินฝากและเงินปันผล ซึ่งถูกหักภาษี ณ ที่จ่ายไว้แล้ว 15% และ 10% ตามลำดับ โดยไม่มีการนำเงินที่ได้จากดอกเบี้ยและเงินปันผลดังกล่าวมาคำนวณรวมกับเงินได้อื่นๆ กรณีนี้สามารถใช้สิทธิลดหย่อนภาษีได้ 60,000 บาท เช่นกัน

2. ลดหย่อนภาษีของบิดามารดาคู่สมรส

ข้อนี้หลายคนคงทราบดีอยู่แล้วว่า สามารถลดหย่อนภาษีจากการเลี้ยงดูบิดา-มารดาของตนเองได้ (ลดหย่อนได้คนละ 30,000 บาท) แต่รู้หรือไม่ว่า ค่าเลี้ยงดูบิดา-มารดาของคู่สมรส (พ่อตาแม่ยาย) ก็สามารถนำมาลดหย่อนภาษีได้เช่นกัน

ในกรณีต้องการใช้สิทธิลดหย่อนภาษีบิดามารดาคู่สมรส มีเงื่อนไขดังนี้

• คู่สมรสไม่มีรายได้เลยในปีภาษีนั้น
• คู่สมรสเป็นลูกแท้ๆ ตามกฎหมายของบิดา-มารดา
• บิดา-มารดาของคู่สมรสต้องมีอายุครบ 60 ปีแล้วในปีภาษีนั้น (ไม่ใช่ปีที่ยื่นแบบภาษี)
• บิดา-มารดาของคู่สมรสอยู่ในความดูแลของเราเอง
• บิดา-มารดาของคู่สมรสมีรายได้ทั้งปีภาษีไม่เกิน 30,000 บาท (รวมถึงเงินบำนาญ, ดอกเบี้ยเงินฝาก และเงินจากการขายหุ้น)
• บิดาหรือมารดาต้องอยู่ในประเทศไทยอย่างน้อย 180 วันในปีภาษีนั้น

สำหรับใครที่ต้องการยื่นขอลดหย่อนภาษีทั้งพ่อแม่ของเราเอง และพ่อตาแม่ยาย ในกรณีนี้ก็สามารถทำได้เช่นกัน โดยสามารถลดหย่อนภาษีได้ท่านละ 30,000 บาท ถ้าเราใช้สิทธิลดหย่อนของทุกคน ก็จะลดได้ถึง 120,000 บาท แต่มีข้อควรระวังอย่างหนึ่ง คือ ถ้าคุณมีพี่น้องพ่อแม่เดียวกัน ต้องแบ่งค่าลดหย่อนกันให้ลงตัว เพราะบิดาและมารดาจะคิดเป็น 1 คน 1 สิทธิ และสามารถนำไปใช้สิทธิได้แค่ครั้งเดียวเท่านั้น เช่น ในปีภาษีนี้น้องสาวของคุณใช้สิทธิลดหย่อนภาษีของพ่อ คุณจะสามารถใช้สิทธิลดหย่อนภาษีของแม่ได้เท่านั้น โดยใช้หลักการเดียวกันนี้กับบิดา-มารดาของคู่สมรสด้วย ระวังอย่าให้มีการใช้สิทธิซ้ำกัน เพราะจะไม่มีใครได้สิทธิลดหย่อนภาษีเลย

3. ลดหย่อนค่าประกันสุขภาพของบิดา-มารดาคู่สมรส

นอกจากจะสามารถลดหย่อนค่าประกันสุขภาพของพ่อแม่ตัวเองได้แล้ว หากคุณซื้อประกันสุขภาพให้พ่อตาแม่ยาย ก็สามารถนำมาใช้ลดหย่อนภาษีได้เช่นกัน โดยสามารถลดได้ตามที่จ่ายจริง และไม่เกิน 15,000 บาท รวมถึงใช้เงื่อนไขเดียวกันกับการลดหย่อนค่าเลี้ยงดูบิดา-มารดาตามในข้อ 2

4. ลดหย่อนภาษีของบุตร

ข้อนี้เฉพาะเจาะจงสำหรับคู่สมรสที่มีลูก สามารถยื่นขอลดหย่อนภาษีบุตรได้คนละ 30,000 บาท หากบุตรคนที่สองเป็นต้นไปเกิดในปีพ.ศ. 2561 หรือหลังจากนั้น จะได้สิทธิลดหย่อนคนละ 60,000 บาท / ปี

ในกรณีมีบุตรบุญธรรมที่เซ็นรับรองตามกฎหมาย สามารถนำมาใช้ขอสิทธิลดหย่อนทางภาษีได้เช่นกัน ซึ่งลดได้คนละ 30,000 บาท อย่างไรก็ตาม ถ้าคู่สมรสมีทั้งลูกแท้ๆ และลูกบุญธรรม จะสามารถขอลดหย่อนภาษีบุตรได้ไม่เกิน 3 คน และจะต้องนับลูกแท้ๆ ในการใช้สิทธิลดหย่อนภาษีก่อน กล่าวคือ มีลูกแท้ๆ 2 คน ลูกบุญธรรม 1 คน แบบนี้ยังสามารถใช้สิทธิลดหย่อนภาษีของบุตรได้ครบทั้งหมด แต่ถ้ามีลูกแท้ๆ 3 คน ลูกบุญธรรม 1 คน จะไม่สามารถใช้สิทธิลดหย่อนของลูกบุญธรรมได้

เงื่อนไขการยื่นขอลดหย่อนภาษีบุตรมีดังนี้

• บุตรอายุไม่ถึง 20 ปี หรือยังไม่บรรลุนิติภาวะ
• อายุ 20-25 ปี หรือบรรลุนิติภาวะแล้ว แต่ยังอยู่ในวัยเรียนระดับอนุปริญญาหรือระดับปริญญาตรีขึ้นไป
• อายุเท่าไหร่ก็ได้ แต่มีคำสั่งศาลให้เป็นบุคคลไร้ความสามารถหรือเสมือนไร้ความสามารถ
• บุตรที่ใช้สิทธิลดหย่อนภาษีได้ ต้องไม่มีรายได้ หรือหากมีรายได้ต้องไม่ถึง 30,000 บาท

สิทธิประโยชน์สำหรับคนมีคู่แบบนี้เหมือนได้โปรโมชั่น ลดสนั่น กระหน่ำเซลล์ รู้แบบนี้แล้วหนุ่มสาวคนไหนที่มีรายได้เป็นกอบเป็นกำแต่ยังไม่ได้แต่งงาน รีบชวนหวานใจมาจัดงานแต่งและจดทะเบียนสมรสกันให้เรียบร้อย จะได้ใช้สิทธิลดหย่อนภาษี เก็บเงินส่วนนั้นไว้เป็นสร้างรากฐานครอบครัวที่มั่นคงกันเถอะจ้า

ยังมีข้อดีจากการแต่งงานอีกมากมาย ตามไปอ่านกันได้ เผื่อคู่รักคู่ไหนจะเปลี่ยนใจมาแต่งงานกันเร็วขึ้น

• 6 ข้อดีของการมีชีวิตคู่ที่รู้แล้วจะซึ้งใจว่ามีรักที่ดีมันเป็นอย่างนี้นี่เอง
• 4 เหตุผลทางวิทยาศาสตร์ที่บอกว่าแต่งงานแล้วสุขภาพจะดีขึ้น

ขอบคุณข้อมูลจาก : itax.in.th, rd.go.th (กรมสรรพากร)