อาหารกระตุ้นการเกิด สิว ที่เจ้าสาวต้องหลีกให้ไกลช่วงเตรียมตัวแต่งงาน

สิว ช่วงก่อนแต่งงาน หากเกิดขึ้นมาแล้วแก้ไขยากแน่ๆ อาหารก็เป็นปัจจัยหนึ่งที่ทำให้เกิดสิวได้เหมือนกัน มาดูกันดีกว่าว่าอาหารอะไรบ้างนะที่เราควรหลีกให้ไกล

นอกจากความเครียด ฮอร์โมน พักผ่อนน้อย และความสะอาดแล้ว อาหาร ก็เป็นอีกปัจจัยหนึ่งที่ทำให้เกิด สิว ได้เหมือนกันนะคะ ยิ่งถ้าช่วงใกล้จะแต่งงานของเหล่าว่าที่เจ้าสาวทั้งหลายที่จะต้องเตรียมผิวให้สวยพร้อม หากตกม้าตายตรงที่ทานอาหารที่ทำให้เกิดสิวง่ายขึ้นมาก็จะแย่เอาได้ เพื่อป้องกันไว้ก่อนดีกว่าแก้ มาดูกันดีกว่าค่ะว่าอาหารอะไรบ้างที่ทำให้เกิดสิวได้ง่าย

1. อาหารจำพวกแป้งแปรรูปและน้ำตาล

เช่น บิสกิต หรือขนมที่ทำจากแป้ง รวมทั้งอาหารและเครื่องดื่มอุดมน้ำตาลทั้งหลาย เพราะอาหารเหล่านี้ทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดสูงขึ้น รวมทั้งเพิ่มระดับอินซูลินในกระแสเลือด ทำให้รูขุมขนผลิตน้ำมันออกมามากขึ้นและเซลล์ผิวหนังแบ่งตัวเร็วขึ้น เป็นสาเหตุทำให้เกิดสิวได้ง่ายขึ้นค่ะสิว

2. ผลิตภัณฑ์นม

มีงานวิจัยที่สันนิษฐานว่า กรดอะมิโนในผลิตภัณฑ์นมส่งผลต่อการทำงานของตับ ซึ่งทำให้อินซูลินในกระแสเลือดสูงขึ้น ก่อให้เกิดสิวได้เหมือนๆกับอาหารจำพวกแป้งแปรรูปและน้ำตาลสิว

3. ฟาสต์ฟู้ดส์

ไม่เพียงแค่เต็มไปด้วยไขมันทรานส์ที่ไม่ดีต่อร่างกายเท่านั้น อาหารฟาสต์ฟู้ดส์ยังส่งผลต่อระดับฮอร์โมนในร่างกาย ซึ่งเมื่อไม่สมดุล ก็ส่งผลให้เกิดสิวได้เช่นเดียวกันค่ะสิว

4. อาหารที่มีกรดไขมันโอเมก้า 6

ในขณะที่กรดไขมันโอเมก้า 3  เป็นกรดไขมันจำเป็นที่ดีต่อร่างกาย แต่กรดไขมันโอเมก้า 6 ที่พบมากในอาหารแปรรูปหรืออาหารทอด กลับมีส่วนให้เซลล์ผิวหนังอ่อนแอลง เกิดการอักเสบได้ง่ายขึ้น และเป็นสิวได้ง่ายขึ้นค่ะสิว

5. เวย์โปรตีน

เวย์โปรตีนสำหรับทานเพื่อช่วยเพิ่มกล้ามเนื้อมักจะอุดมไปด้วยกรดอะมิโนและกลูตามีนที่ส่งผลให้เซลล์ผิวแบ่งตัวเร็วขึ้น เซลลือาจจะเกิดการทับถมกันง่ายขึ้น เมื่อสะสมกับน้ำมันจากรูขุมขนก็เกิดเป็นสิวได้ง่ายขึ้นนั่นเองค่ะสิว

6. ช็อคโกแลต

ถึงแม้ว่านักวิทยาศาสตร์จะพยายามหาคำตอบว่าทำไม ช็อคโกแลต จึงก่อให้เกิดสิวได้ง่าย แต่ก็ยังไม่พบหลกฐานที่ชัดเจนทางวิทยาศาสตร์ นอกเหนือจากการทดลองที่ว่ากลุ่มคนที่ทานช็อคโกแลตมากกว่า ปรากฏว่ามีสิวขึ้นมากกว่าคนอีกกลุ่มที่ไม่ทานค่ะสิว

รู้แล้วว่าอาหารอะไรบ้างที่ทำให้เกิดสิว ก็อย่าลืมหลีกหนีให้ไกลช่วงเตรียมผิวก่อนแต่งงานนะคะ และเราอยากแนะนำให้คลิกอ่าน เคล็ดลับเตรียมผิว เจ้าสาว จากเซเลบฮอลลีวูดส์ก่อนเดินพรมแดง

source: healthline.com

ทริคประกบแหวนหมั้นกับแหวนแต่งงานให้จับคู่กันได้ลงตัว

แหวนหมั้น มาก่อน แหวนแต่งงานมาทีหลัง แล้วจะจับคู่กันได้ลงตัวยังไง??

แหวนหมั้น คือแหวนเพชรแทนใจที่ผู้ชายมอบให้ผู้หญิงแทนคำมั่นสัญญาว่าจะแต่งงานด้วย ว่าที่เจ้าสาวจะสวมไว้ที่นิ้วน้างข้างซ้าย เมื่อเข้าสู่พิธีแต่งงานก็จะสวมแหวนแต่งงาน ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นแหวนแถว หรือแหวนเกลี้ยงคู่กับแหวนหมั้นเอาไว้เป็นนัยว่า รักเราดับเบิ้ลเป็นสองเท่าเสมอ แต่จะใส่ด้วยกันให้ลงตวอย่างไร แพรว wedding มีคำตอบมาให้

1. มองหาแหวนแต่งงานที่มีตัวเรือนแบบเดียวกันกับแหวนหมั้น เช่น แหวนหมั้นตัวเรือนทองคำขาว แหวนแต่งงานก็ควรเป็นตัวเรือนทองคำขาวเช่นเดียวกัน จะทำให้เกิดความผสมผสานกลมกลืนของแหวนทั้งสองวง หรืออาจเลือกเป็นแหวนรุ่นเดียวกันที่ทางร้านมีจำหน่ายก็ได้

2. แหวนแต่งงานไม่จำเป็นต้องมีอัญมณีประกอบเหมือนแหวนหมั้นก็ได้ แต่ถ้าอยากจะมีแนะนำให้ยึดเอาอัญมณีชนิดเดียวกันกับที่มีอยู่ในแหวนหมั้นเป็นตัวเลือกแรกในการนำมาประดับบนแหวนแต่งงาน เช่น เลือกแหวนหมั้นแบบเพชรชูเม็ดเดี่ยว ก็ควรเลือกแหวนแต่งงานแบบแหวนเกลี้ยงไม่มีเพชรซึ่งเข้ากันได้ดี

แหวนหมั้น

3. ความกว้างของตัวเรือนหรือขนาดของอัญมณีควรใกล้เคียงกัน เพราะถ้ามีขนาดต่างกันมาก แหวนที่เล็กกว่าจะถูกกลบความสวยงามและความสำคัญทันที เช่น ถ้าเลือกแหวนหมั้นแบบแหวนประดับเพชรเม็ดเดี่ยวที่ก้านแหวน ก็ควรเลือกแหวนแต่งงานที่มีเพชรน้ำหนักรวมใกล้เคียงกับเพชรเม็ดเดี่ยวตรงกลาง เพื่อให้แหวนแต่งงานไม่มีขนาดต่างกันจนเกินไปนัก

4. เลือกแหวนแต่งงานที่มีขอบตัวเรือนแบบเดียวกันกับแหวนหมั้น เช่น ขอบตัวเรือนของแหวนหมั้นมีลักษณะเหลี่ยม ก็ควรเลือกแหวนแต่งงานที่มีขอบเหลี่ยมเหมือนกัน เนื่องจากเวลาใส่ประกบคู่กันแล้วจะเข้ากันได้เป็นอย่างดี

แหวนหมั้น

5. รูปทรงของอัญมณีก็สำคัญ ถ้าอัญมณีบนแหวนมีรูปแบบใดแหวนแต่งงานก็ควรใช้อัญมณีรูปทรงเดียวกัน เช่น แหวนหมั้นประดับเพชรเม็ดกลางทรงสี่เหลี่ยม แหวนแต่งงานก็ควรมีส่วนประกอบของเพชรทรงสี่เหลี่ยมเช่นกัน

6. สวมแหวนแต่งงานเข้าไปที่นิ้วนางข้างซ้ายก่อน แล้วจึงตามด้วยแหวนหมั้นที่นิ้วเดียวกันเป็นการปิดท้าย

7. ถ้าตัวเรือนแหวนหมั้นเป็นลักษณะโค้งเหมือนคลื่น แหวนแต่งงานก็ควรโค้งรับเช่นเดียวกัน เพื่อเวลาที่นำแหวนทั้งสองมาใส่คู่กันจะเข้ากันได้พอดิบพอดี

แหวนหมั้น

ไอเดียเพิ่มความหวานให้แหวนแต่งงาน >>> 7 ไอเดีย ข้อความบนแหวนหมั้นแทนใจ ชอบแบบไหนจัดได้เลย

ภาพ stocksnap.io, pinterest

เคล็ดลับมาส์กหน้าเจ้าสาว ที่ใช่และถูกเวลาเพื่อให้เห็นผลลัพธ์ได้ดีที่สุด

เคล็ดลับมาส์กหน้าเจ้าสาว ให้ผิวหน้าสวยเปล่งปลั่ง เพราะเจ้าสาวอย่างฉันเนี่ยแหละสวยที่สุด

พื้นฐานการดูแลผิวหน้ายามค่ำคืนในชีวิตประจำวันเมื่อกลับมาถึงบ้าน แน่นอนว่าต้องเริ่มต้นการลบเมคอัพ ทำความสะอาดผิวหน้า ต่อด้วยผลิตภัณฑ์ปรับสภาพผิว และมาส์กเพื่อคืนความชุ่มชื้นให้ผิวใช่ไหมล่ะ? แล้วคุณผู้หญิงที่กำลังเตรียมตัวเป็นว่าที่เจ้าสาวเคยสงสัยกันหรือไม่ว่า เคล็ดลับมาส์กหน้าเจ้าสาว ที่ถูกต้องมันใช่แบบที่เราทำในทุกๆ วันหรือเปล่า?

เคล็ดลับมาส์กหน้าเจ้าสาว

จริงๆ แล้ว มันก็ถูกนะ แต่เราอยากแนะนำให้คุณลองเปลี่ยนขั้นตอนในการดูแลผิวแบบใหม่ดีกว่า เพราะว่าช่วงเวลาสำหรับการทำทรีทเม้นต์ผิวหน้าและการมาส์กหน้าที่ดีที่สุดคือ ตอนเช้า! ใช่แล้ว จากบทความของ Refinery29 กล่าวว่า การมาส์กหน้าในตอนเช้าจะให้ประโยชน์มากกว่าตอนกลางคืนที่เป็นการเตรียมผิวสู่การนอนอย่างเดียว เพราะช่วยเพิ่มความชุ่มชื้นให้กับผิว และยังเตรียมผิวให้พร้อมกับการเมคอัพเพิ่มความสวยในแต่ละวันอีกด้วย

Gervaise Gerstner แพทย์ผิวหนังกล่าวว่า “การมาส์กหน้าตอนเช้าจะช่วยเตรียมผิวในการเมคอัพได้ดีที่สุด สามารถเติมเต็มความชุ่มชื้นที่ผิวหน้าต้องการได้ มันก็คล้ายกับการใช้ไพรเมอร์เพื่อเพิ่มน้ำให้กับผิวและเตรียมความพร้อมให้ผิวหน้า นอกจากนี้ยังช่วยให้ผิวหน้ากระชับและทำให้รูขุมขนเล็กลงด้วย”

เคล็ดลับมาส์กหน้าเจ้าสาว

แม้ว่าการมาส์กหน้าตอนเช้าจะมีประโยชน์ แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าการมาส์กหน้าเวลานี้จะดีกว่าเวลาอื่นขนาดนั้นนะ เพราะแพทย์ผิวหนังกล่าวเพิ่มเติมว่า “หลังจากการมาส์กหน้าจะทำให้คุณรู้สึกสดชื่นมากขึ้น แต่การมาส์กหน้าเวลาไหนก็ไม่ได้แตกต่างกันมากนัก”

เอ๊ะ! พอเห็นแบบนี้แล้วคุณก็จะเริ่มรู้สึกสับสนแล้วใช่ไหมว่าตกลงต้องมาส์กหน้าเวลาไหนกันแน่?? ซึ่งเอาจริงๆ มันก็ขึ้นอยู่กับผิวหน้าของแต่ละคนที่แตกต่างกันออกไปและความสะดวกของแต่ละคนด้วย แพรว wedding เลยจะมาแนะนำให้คุณดูสูตรของมาส์กหน้า หากคุณใช้มาส์กหน้าที่มีส่วนผสมของการเติมเต็มน้ำให้กับผิวให้พร้อมสำหรับการลงผลิตภัณฑ์เมคอัพที่ใช้ในแต่ละวันก็ควรใช้ในตอนเช้า แต่ถ้าคุณเลือกใช้มาส์กที่ให้ความกระจ่างใสหรือขัดผิวนั้น ควรจะใช้ในตอนกลางคืน

เพียงเท่านี้ผิวหน้าคุณจะสวยเปล่าปลั่ง แล้วอย่าลืมเลือกใช้สูตรของมาส์กผิวหน้าให้ถูกช่วงเวลานะ เพื่อผลลัพธ์ที่ดีที่สุด และเรายังได้รวบรวม 10 มาส์กหน้าฉบับเตรียมตัวเป็น เจ้าสาว มีให้เลือกทุกช่วงราคา! ลองเข้าไปดูเป็นทางเลือกกันได้นะคะ

แปลและเรียบเรียงข้อมูลจาก wellandgood
ภาพจาก Pinterest

สร้างงานแต่งให้สดใสไม่สร่างด้วยไอเดียดอกไม้กระดาษ

ไอเดียดอกไม้กระดาษ ช่วยสร้างความแปลกใหม่ให้กับงานแต่งของบ่าวสาวดูสดใสไม่เหมือนใคร

อีกหนึ่งเทรนด์เวดดิ้งที่ว่าที่บ่าวสาวหลายคู่ให้ความสนใจคือ งานที่ตกแต่งอย่างเก๋ด้วยด้วย ไอเดียดอกไม้กระดาษ และพร็อปส์ต่างๆ ซึ่งถ้าเป็นเมื่อก่อนเจ้าสาวทั้งหลายคงส่ายหน้า เพราะงานแต่งจะเลิศได้ต้องประโคมดอกไม้สดอลังการเท่านั้น แต่เดี๋ยวนี้โลกเปลี่ยนไป เจ้าสาวมีความชัดเจนในตัวเองมากขึ้น ใครที่เลิฟดอกไม้สดก็เลือกใช้ด้วยความมั่นใจว่าฉันชอบของฉันจริงๆ ไม่ได้ใช้ตามๆ กันมา

ส่วนใครที่ไม่ได้อินกับดอกไม้สด แต่มั่นใจที่จะแตกต่าง ก็หันไปใช้ดอกไม้กระดาษ พร็อปส์ หรืองานโครงสร้างแทน โดยดอกไม้สดอาจถูกลดบทบาทจากนางเอกกลายเป็นตัวประกอบ หรือบางงานอาจไม่ต้องใช้เลยด้วยซ้ำ

ข้อดีของงานที่ไม่ได้อิงดอกไม่สดคือ ขนส่งทางไกลได้สะดวก ไม่ต้องกลัวเน่าเสีย ไม่ต้องรอฤดูกาล ราคาย่อมเยากว่าดอกไม้สด สั่งรูปทรง สีสัน และขนาดได้ตามความต้องการ ที่สำคัญ ถ้าไม่ใช้ดอกไม้สดเลยก็ไม่ต้องเสียค่านำเข้าให้โรงแรม (ประหยัดได้หลายหมื่นบาทเชียวนะ)

ไอเดียดอกไม้กระดาษ

ทั้งนี้การใช้ดอกไม้กระดาษและพร็อปส์ มีข้อควรระวังคือ ฝีมือของผู้จัดต้อง “ถึง” ไม่อย่างนั้นงานอาจจะดูแห้งแล้งหรือดูเป็นงานประดิษฐ์จนเกินไป ซึ่งเวดดิ้งแพลนเนอร์แต่ละเจ้าก็มีเทคนิคแตกต่างกันไป แพรว wedding เลยไปหาข้อมูลมาให้บ่าวสาวได้ประดับไว้เป็นความรู้หากว่าคุณกำลังจะนำไอเดียนี้มาใช้ในงาน

ใช้ดอกไม้กระดาษร่วมกับดอกไม้สด

เพื่อให้ดูสดชื่นขึ้น โดยใช้ดอกไม้กระดาษ 70 เปอร์เซ็นต์ผสมกับดอกไม้สด 30 เปอร์เซ็นต์  ถ้างบเยอะก็เพิ่มดอกไม้สดเข้าไปอีกได้ และควรปักดอกไม้กระดาษให้เสร็จก่อนแล้วค่อยเสริมด้วยดอกไม้สดให้กลมกลืน วิธีนี้ต้องอาศัยเทคนิคพิเศษคือ ใช้ท่อน้ำเลี้ยงที่โคนดอกไม้แทนโอเอซิส เพื่อป้องกันดอกไม้กระดาษเปียกและเปื่อย

ไอเดียดอกไม้กระดาษ

ใช้พร็อปส์หรืองานโครงสร้างร่วมกับดอกไม้สด

โดยเลือกจัดดอกไม้สดไว้เฉพาะในจุดเด่นๆ ที่ปะทะสายตาและแขกมองเห็นตลอด เพื่อดึงให้ภาพรวมของงานดูอ่อนหวานขึ้นโดยไม่ต้องใช้ดอกไม้สดปริมาณเยอะ เช่น จัดดอกไม้เฉพาะบนเวที บางงานอาจใช้ดอกไม้ชนิดเดียวกันแต่งตรงแบ็กดร็อปและฐานเค้กอีกเล็กน้อยให้ดูเชื่อมโยงกัน

ไอเดียดอกไม้กระดาษ

ใช้ดอกไม้กระดาษร่วมกับพร็อปส์

เช่น ปักดอกไม้กระดาษลงบนผ้าเลื่อมแทนกระดาษหรืออิงค์เจ็ตธรรมดา เพื่อเสริมให้ดอกไม้กระดาษดูพิเศษขึ้น ซึ่งงานจะออกมาดูดีหรือไม่ก็ขึ้นกับคุณภาพของดอกไม้กระดาษด้วย บางเจ้าอาจลงทุนย้อมสีดอกไม้เองแทนการใช้กระดาษสีสำเร็จรูปเพื่อให้ได้สีที่สวยเป็นธรรมชาติขึ้น บางเจ้าอาจใช้กระดาษหลายเนื้อหลายแบบเพื่อให้ดอกไม้ดูมีมิติและมีหลายอารมณ์ขึ้น ฯลฯ

ไอเดียดอกไม้กระดาษ

จะเห็นได้ว่าปัจจุบันนี้งานแต่งมีหลากหลายรูปแบบ ข้อจำกัดต่างๆ ที่ว่างานแต่งต้องมีดอกไม้ ต้องหวาน ต้องเรียบร้อย ฯลฯ ได้กลายเป็นอดีตไปแล้ว อย่ารอช้า ไปติดตามไอเดียดอกไม้กระดาษเจ๋งๆ ได้ที่นี่เลย >>> ดอกไม้กระดาษ อีกหนึ่งไอเดียงานแต่งแบบ DIY สำหรับบ่าวสาวสายอาร์ต

ภาพ thecelebrationsociety.com, weddceremony.com, pinterest.com

ว่าที่เจ้าสาวต้อง เลือกชุดแต่งงาน อย่างไรเมื่อเดินเข้าร้านชุด

ร้านชุดแต่งงานที่เรียงรายด้วยชุดเป็นร้อย แล้วจะ เลือกชุดแต่งงาน ยังไงให้ไม่นกนะ!

เมื่อเข้าร้านชุดแต่งงาน สิ่งแรกที่ว่าที่เจ้าสาวต้องทำคือการตั้งสติ และยึดแบบในใจที่พกเอาไว้เป็นที่ตั้ง อย่าวอกแวกไปกับสิ่งรอบกายที่อาจทำให้ไขว้เขว้ นอกเสียจากว่าสิ่งนั้นจะช่วยให้ลุคของว่าที่เจ้าสาวดีขึ้น หรือมีความคุ้มค่าบนพื้นฐานของความสวยงามและยังคงเป็นตัวเอง และด้วยความเป็นห่วง แพรว wedding เลยมีทริคดีๆ เมื่อว่าที่เจ้าสาวต้องเดินเข้าร้านชุดเพื่อ เลือกชุดแต่งงาน มาฝาก

  1. พกความมั่นใจไปด้วย ทั้งมั่นใจในตัวดีไซเนอร์ และมั่นใจในตัวเอง

2. หยิบเรฟเฟอร์เรนซ์ไปด้วย ชอบแบบไหน อยากได้อะไร ให้เอาติดมือไป เพราะเป็นสิ่งที่ช่วยให้สื่อสารกับดีไซเนอร์ได้ง่ายขึ้น

3. ลองก่อนตัดสินใจ อย่ามึนหรือเกรงใจจนยอมเซ็นซื้อแพ็คเก็จก่อนลองเด็ดขาด เพราะเซ็นแล้วก็เหมือนอ้อยเข้าปากช้าง ช้างไม่ยอมคายแน่ๆ ต่อให้คุณต่อว่าช้างแค่ไหนก็ตาม แล้วอย่าตาโตกับโปรโมชั่นที่ประมาณว่า “ลดพิเศษเฉพาะวันนี้ ชั่วโมงนี้ นาทีนี้เท่านั้น” เพราะถ้าเซ็นไปแล้วเกิดร้านนั้นไม่มีชุดที่ชอบเลยน้ำตาจะตกใน

เลือกชุดแต่งงาน

4. ศึกษาข้อมูลเบื้องต้นไปบ้าง อย่างน้อยควรแยกออกว่าผ้าไหมแท้ต่างจากไหมเทียมอย่างไร ลูกไม้เซาะดอกไม้เป็นอย่างไร ฯลฯ เพราะบางร้านอาจยกความวิจิตรของชุดไทยสารพัดลุคมาอัพราคา ถ้าดูเป็นจะได้ไม่โดนย้อมแมว

5. ถ้าคิดจะเช่าชุดต้องทำใจ บางร้านทำเป็นเอวยางยืดเพื่อให้ทุกคนสวมใส่ได้ แต่จะดูไม่เข้ารูป ขณะที่ถ้าเป็นร้านที่มีความประณีตจะเย็บแก้ทรงใหม่เพื่อให้เข้ากับหุ่นลูกค้า นอกจากนี้ชุดที่ผ่านการใช้งานมาหลายครั้งอาจจะเก่า ซีด เป็นขุย ดื้นหลุด ฯลฯ เพราะฉะนั้นต้องถามใจตัวเองก่อนว่ารับได้ไหม ถ้ายอมรับได้ก็จะเซฟงบประมาณไปได้มากกว่าครึ่ง

6. ราคา การตัดชุดใหม่มีข้อดีคือ ได้เลือกสีเลือกเนื้อผ้าเอง ได้ไซส์พอดีตัวเราเป๊ะ และชุดเป็นของเรา จะเก็บเป็นที่ระลึกหรือเผื่อเป็นมรดกให้ลูกหลาน ลูกสะใภ้ก็ว่ากันไป แต่ราคาจะสูง โดยเฉพาะถ้าเป็นผ้าไหมแท้ทั้งชุด ส่วนการเช่าตัดจะได้เลือกสีเลือกเนื้อผ้าและได้ไซส์พอดีกับเราเหมือนกัน แต่ชุดจะต้องคืนร้านไป ราคาจะต่ำกว่าการตัดประมาณ 20-40 เปอร์เซ็นต์ แต่ก็จะต้องเลือกของเท่าที่มีในร้าน และมีข้อจำกัดดังที่กล่าวมาแล้ว ทั้งนี้ขอหมายเหตุตัวโตๆ ว่า เรตราคาเป็นเรื่องเฉพาะตัวของแต่ละร้าน ราคานี้เป็นเพียงแค่การประมาณเท่านั้น

หรือจะเสริมความมั่นใจด้วย 10 เรื่องต่อไปนี้ด้วยก็ได้นะ >>> 10 เรื่องที่ว่าที่เจ้าสาวต้องถามก่อนฟันธงเลือกชุดแต่งงาน

ภาพ pexels.com

เลิกงง! กฎข้อเดียวจำไม่ยาก บุคคลเหล่านี้ รดน้ำสังข์ ได้

เลิกเถียง เลิกงง ว่าใครบ้างที่ รดน้ำสังข์ บ่าวสาวได้

พิธี รดน้ำสังข์ เป็นอีกหนึ่งช่วงสำคัญสำหรับพิธีแต่งงานแบบไทย แต่ปัญหาที่พบเจอก็คือ ว่าที่บ่าวสาว ญาติสนิท และเพื่อนพ้องหลายคนยังคงสงสัยกันอยู่ว่า ใครที่สามารถขึ้นไปรดน้ำสังข์ให้กับคู่บ่าวสาวได้บ้าง? วันนี้ เรามีคำตอบมาให้ค่ะ

สำหรับผู้ที่จะได้ผ่านเข้ารอบไปรดน้ำสังข์ให้กับบ่าวสาวก็คือ ผู้ที่มีอายุมากกว่าบ่าวสาว โดยจะเริ่มจากผู้ที่เป็นคนสวมมงคลแฝดให้กับบ่าวสาว ถ้าภายในงานมีประธานที่คู่บ่าวสาวเชิญมา ประธานมักจะเป็นผู้สวมมงคลและจะเริ่มรดน้ำสังข์เป็นคนแรก แต่หากบ่าวสาวไม่ได้เชิญใครมาเป็นประธานในพิธี ก็ให้ทั้งสองครอบครัวตกลงกันว่าจะให้ใครเป็นผู้สวมมงคล อาจจะเป็นพ่อแม่เจ้าบ่าวหรือพ่อแม่เจ้าสาวก็ได้ (ส่วนตอนถอดมงคลก็สลับกันค่ะ) แล้วให้ท่านเป็นคนเริ่มรดน้ำสังข์  จากนั้นก็เรียงตามลำดับคือ พ่อแม่อีกฝ่าย หรือหากว่าคุณปู่ คุณย่า คุณตา คุณยาย ยังมีชีวิตอยู่ ก็อาจจะปรับลำดับการรดน้ำสังข์ได้ตามที่ครอบครัวเห็นว่าเหมาะสม จากนั้นจึงตามด้วยญาติผู้ใหญ่ พี่สาว และพี่ชาย เรียงตามลำดับลงมา แต่ขอให้จำจนขึ้นใจว่า “ต้องเป็นคนที่มีอายุมากกว่าเท่านั้น”

หลายคนคงจะหายข้องใจกันแล้วนะคะว่า ใครสามารถขึ้นไปรดน้ำสังข์ให้เจ้าบ่าวเจ้าสาวได้บ้าง คราวนี้ก็จะได้ปฏิบัติกันได้ถูกต้องแบบเป๊ะๆ แบบที่ไม่ต้องคอยถามว่า รดได้ไหม รดได้หรือเปล่าอีกต่อไปค่ะ

ส่วนบ่าวสาวก็มีหน้าที่นั่งยาวๆ เพื่อรับพร้อม แต่จะนั่งอย่างไรไม่ให้เมื่อย มาดูกันค่ะ >>> บ่าวสาวยิ้มได้ยาวๆ กับเทคนิคการนั่งในพิธีรดน้ำสังข์ยังไงไม่ให้เมื่อย

ทิปส์เลือก ช่างภาพงานแต่ง ยังไงให้ได้ภาพที่ตรงใจมากที่สุด

เลือก ช่างภาพงานแต่ง ยังไงให้ได้ภาพสวยถูกใจที่สุด…เรามีทิปส์ดีๆ มาฝาก

ปัจจุบันสิ่งที่ว่าที่บ่าวสาวหลายคู่มักจะให้ความสำคัญเป็นลำดับแรกๆ เสมอก็คือ ภาพถ่ายงานแต่ง ไม่ว่าจะเป็นภาพถ่ายพรีเวดดิ้ง และภาพงานแต่งงานก็ตาม ที่งานนี้คอนเซปต์ต้องดี งานภาพต้องปัง แต่จะสักแต่ว่าเลือกช่างภาพที่ถ่ายภาพเป็นอย่างเดียวไม่ได้นะคะ เพราะยังมีอีกหลายอย่างที่ช่างภาพจะเป็นผู้ช่วยให้ว่าที่บ่าวสาวได้ภาพที่ออกมาตรงใจและตรงกับสไตล์ของบ่าวสาวมากที่สุด ว่าแต่จะเลือก ช่างภาพงานแต่ง ยังไงให้เริดหน่ะเหรอ … ล้อมวงเข้ามาค่ะ แพรว wedding มีทิปส์ดีๆ มาฝาก

เอาเป็นว่าก่อนอื่น เราอยากให้ว่าที่บ่าวสาวรู้ถึงประเภทของช่างภาพในงานแต่งกันก่อน จะได้รู้ว่างานนี้จะต้องใช้ทีมช่างภาพทั้งหมดกี่คน 

  • ช่างภาพฟอร์มัล (formal) : ช่างภาพที่คอยถ่ายรูปแขกที่มาร่วมงาน มักอยู่หน้าแบ็กดร็อป คอยถ่ายรูปแขกและบ่าวสาว มีหน้าที่คือคอยเก็บภาพแขกให้ครบ ช่างภาพส่วนนี้จะมีแค่คนเดียวก็ได้ แต่ถ้าคู่บ่าวสาวมีแขกเยอะสัก 600 คนขึ้นไป ควรจ้างช่างภาพเพิ่มอีก 2-3 คน
  • ช่างภาพสแน็ป : คอยเก็บบรรยากาศ มีความเป็นอิสระสูง ไม่มีข้อจำกัด อยากจะถ่ายอะไรก็ได้ เช่น เงาบนกลีบดอกไม้ไปจนถึงรอยยิ้มของเจ้าสาว ช่างภาพในส่วนนี้มีคนเดียวหรืออาจเพิ่มเติมได้ตามจำนวนแขกและซีเควนซ์ของงาน เช่น ในขณะที่บ่าวสาวเดินเข้างานบนเวทีมีนักร้องมาร้องเพลง เหตุการณ์หลากหลายที่เกิดขึ้นในเวลาเดียวกันต้องการช่างภาพหลายคนเพื่อเก็บบรรยากาศให้ได้ครบถ้วน
  • ผู้ช่วยช่างภาพ : ถ้ามีงบเพิ่มก็ควรจ้างคนคอยถือไฟนำ (Sun Gun) เดินตามช่างภาพในกรณีที่สถานที่มีความสว่างน้อย เช่น ในห้องจัดเลี้ยงงานรีเซ็ปชั่นช่วงค่ำ เพราะแฟลชที่ติดอยู่บนกล้องจะทำให้ได้ภาพในมุมเดียว คือตามทิศทางที่กล้องหันไปเท่านั้น แต่ถ้ามีไฟนำก็จะเป็นการเปิดโอกาสให้ได้ภาพหลายมุมมากขึ้นตามทิศทางของแสง
  • บ่าวสาวควรรู้ด้วยว่าช่างภาพแต่ละประเภทจะไม่ยุ่งเกี่ยวกับหน้าที่ของคนอื่น เพื่อที่ช่างภาพจะได้มีสมาธิในการทำหน้าที่ของตนเท่านั้น เช่น ไม่ใช่ว่าเห็นช่างภาพฟอร์มัลเก็บภาพแขกหน้าแบ็กดร็อปเสร็จแล้วก็ให้มาช่วยช่างภาพสแน็ปเก็บบรรยากาศในงานจะได้ประหยัดงบ ไม่ต้องจ้างช่างภาพหลายคน ต้องเข้าใจด้วยว่าช่างภาพแต่ละประเภทโฟกัสเนื้อหาของภาพต่างกัน ความถนัดในการถ่ายภาพก็ต่างกันด้วย เช่น ช่างภาพสแน็ปเก็บบรรยากาศ ช่างภาพฟอร์มัลเก็บภาพคน มุมของภาพที่ออกมาก็จะเป็นไปตามหน้าที่ของตัวเอง

ช่างภาพงานแต่ง

เมื่อรู้ถึงประเภทของช่างภาพแล้ว ลำดับต่อมาคือ 4 หัวข้อที่บ่าวสาวหรือเวดดิ้งแพลนเนอร์ต้องบอกช่างภาพให้รู้ก่อนถึงวันงาน

  • คอนเซ็ปต์หรือธีมงาน
  • สไตล์ของภาพที่อยากได้
  • แปลนของห้อง และแปลนของงานที่บอกว่าส่วนใดอยู่ตรงไหนบ้าง เช่น มีตัดเค้กตรงกลางห้อง โยนดอกไม้ตรงขอบเวที เป็นต้น
  • ลำดับพิธีการ ซีเควนซ์ของงานมีการเรียงลำดับอย่างไร เช่น เริ่มเปิดตัวบ่าวสาวหน้าห้องเดินมาขึ้นเวที จากนั้นเดินไปตัดเค้ก แล้วยกเค้กไปไหว้พ่อแม่ แล้วโยนดอกไม้ที่หน้าซุ้มเค้ก เป็นต้น ช่างภาพจะได้เคลื่อนย้ายไปดักเก็บภาพได้ถูกและทันเหตุการณ์

และนี่คือทิปส์การเลือกช่างภาพที่บ่าวสาวควรรู้

  • ควรดูผลงานของช่างภาพที่สนใจก่อนเป็นอันดับแรก ถ้ารู้สึกชอบในผลงานจึงค่อยติดต่อเพื่อตกลงเรื่องค่าใช้จ่ายและสไตล์ภาพที่ต้องการ
  • ไม่ควรเลือกเพราะราคาถูกหรือราคาที่พ่วงมากับแพ็คเกจแต่งงานเป็นที่ตั้งในการจ้างช่างภาพ ด้วยอาจเห็นว่าเป็นการประหยัดงบประมาณ เพราะผลที่ตามมาคืออาจจะได้งานที่ไม่ถูกใจเต็มร้อย
  • คู่บ่าวสาวกับช่างภาพที่เลือกมาควรมีรสนิยมที่ตรงกัน เช่น คู่บ่าวสาวชอบธรรมชาติ ป่าไม้  และน้ำตก อยากได้รูปภาพที่เกี่ยวกับธรรมชาติ ช่างถ่ายภาพก็ควรเป็นพวกที่รักธรรมชาติ เข้าใจธรรมชาติดีเช่นกัน

เทคนิคการถ่ายภาพพรีเวดดิ้งที่จะทำให้แขกที่มาร่วมงานได้รู้จักตัวตนของคู่บ่าวสาวมากที่สุด 

  • ควรมีไดเร็กชั่นหรือธีมของงานแต่งงานมาประกอบ เพื่อให้การถ่ายภาพพรีเวดดิ้งเป็นไปในทิศทางเดียวกัน
  • ควรมีคอนเซ็ปต์ในการถ่ายภาพและแสดงความเป็นตัวตนของคู่บ่าวสาวออกมา เช่น คู่บ่าวสาวชอบแนวร็อค ก็อาจจัดองค์ประกอบให้เหมือนอยู่ในคอนเสิร์ต เป็นต้น
  • ถ้าคิดคอนเซปต์ไม่ออกหรือไม่มีไอเดียในการถ่ายภาพ สุดท้ายแล้วภาพที่ออกมาก็จะเป็นแค่ภาพที่แสนจะธรรมดา เช่น ภาพกอดกันหวานๆ อย่างน้อยหาไอเดียได้จากงานอดิเรก ความชอบส่วนตัว หรือเรื่องราวความรักของทั้งคู่ก็ได้
  • ไม่จำเป็นต้องถ่ายแต่ในสตูดิโอหรือในงานแต่งงานเสมอไป สามารถเลือกสถานที่ได้ แม้แต่ถ่ายบนถนนที่สบายกระเป๋าเรื่องค่าใช้จ่าย แถมได้มุมมองที่เป็นของจริง หรือจะเลือกไปตามร้านต่างๆ ที่มีบรรยากาศสบายๆ ในย่านเมืองเก่าหรือไม่ก็รีสอร์ตสวยๆ
  • การที่ช่างภาพพรีเวดดิ้งนิยมเลือกถ่ายในรีสอร์ต เพราะความสวยงาม ความสะดวกในการแต่งหน้าทำผม การเปลี่ยนเสื้อผ้าบ่าวสาวที่ต้องการถ่ายภาพพรีเวดดิ้งนอกสถานที่ เช่น ต่างจังหวัดที่ต้องนอนค้างคืน ควรบอกช่างภาพก่อนล่วงหน้า 1-2 วัน เพื่อให้ช่างภาพได้มีเวลาเตรียมตัวและเตรียมอุปกรณ์ในการถ่ายภาพ
  • โพสท่าถ่ายภาพได้ตามใจชอบ แต่หากไม่ถนัด ไม่รู้จะวางมือไม้ไว้ตรงไหน ควรเลือกช่างภาพที่มีความรู้เรื่องของการโพสท่า

อ่านเพิ่มเติม ช่างภาพงานแต่งงานส่งงานช้า มารู้วิธีรับมือและแก้ไขกันดีกว่า

ภาพ www.fmaxstudio.com, akikofloral.com, www.pexels.com, www.svetsvateb.cz

สีผมเจ้าสาว ที่เหมาะสำหรับเจ้าสาวแต่ละสีผิว เราเลือกมาให้แล้ว!

อย่าคิดว่าสีผมวันแต่งงานจะเป็นเรื่องเล็ก เพราะ สีผมเจ้าสาว ที่พัง ก็สามารถพาให้เมกอัพสวยๆ และลุครวมของเราพังไปด้วยได้เหมือนกันนะ!

สีผมเจ้าสาว เป็นเรื่องที่เหมือนจะเล็กแต่จริงๆแล้วเป็นเรื่องใหญ่ เจ้าสาวหลายคนอาจจะคิดว่า วันแต่งงานเราก็เกล้าผม ไม่น่าจะเห็นดีเทลสีผมเท่าไร แต่ที่จริงแล้วสีผม(แม้แค่บริเวณกรอบหน้า)นั้นมีส่วนทำให้หน้าของเราดูสว่างขึ้นหรือดูมืดเหมือนโดนของ และยังสามารถส่งให้การแต่งหน้าของเราให้ยิ่งดูสวย หรือดูไปคนละทิศละทางก็ได้ เพราะฉะนั้นเราก็เลยมาแนะนำสีผมแนวสุภาพ กลางๆ ที่เข้ากับโทนสีผิวของสาวไทยและสาวเอเชีย ไม่ว่าคุณเจ้าสาวจะใส่ชุดไทย เดรสสั้น กี่เพ้า หรือชุดเจ้าสาวเต็มยศ รับรองว่าเข้าได้ทุกลุคค่ะ

สีผมเจ้าสาว

Dark Brown/ Chocolate Brown – สีน้ำตาลเข้ม เหมาะกับเจ้าสาวผิวสีน้ำผึ้ง สามารถผสมประกายทองเพื่อเพิ่มความสว่างให้ใบหน้าได้ค่ะ

สีผมเจ้าสาว

Medium Brown – สีน้ำตาลที่ดร็อปความเข้มลงเล็กน้อย ออกสีเหมือนน้ำอัดลม เหมาะกับทุกสีผิว แต่ถ้าเจ้าสาวผิวขาวมากๆ อาจจะดูดุไปได้ค่ะ

สีผมเจ้าสาว

Light Brown –สีน้ำตาลอ่อน เหมาะกับเจ้าสาวทุกเฉดสีผิว

สีผมเจ้าสาว

Mahogany Brown/ Copper Brown  สีน้ำตาลอมแดง เหมาะกับเจ้าสาวผิวขาว หรือเจ้าสาวผิวออกเหลือง

สีผมเจ้าสาว

Golden Brown – สีน้ำตาลอ่อนประกายทอง เหมาะกับเจ้าสาวทุกเฉดสีผิว

สีผมเจ้าสาว

Cool Brown / Ash Brown – สีน้ำตาลประกายเทา เหมาะกับเจ้าสาวผิวขาว หรือผิวโทนเหลือง

อย่าลืมละคะว่าคุณควรทำสีผมก่อนวันแต่งงานจริงประมาณ 2 อาทิตย์ ถึง หนึ่งเดือน เพราะว่าจะเป็นช่วงเวลาที่สีผมเข้าที่พอดี หากทำใกล้วันงานมากกว่านี้ นอกจากผมจะยังมีกลิ่นน้ำยาติดอยู่ สีผมที่ได้มักจะเข้มกว่าที่เราอยากได้จริง เพราะช่างทำสีผมส่วนใหญ่จะลงสีผมให้เข้มเกินกว่าที่เราอยากได้จริง เพราะสีบางส่วนจะหลุดออกเวลาเราสระผม ทำให้พอเวลาผ่านไปสักพัก สีผมจะค่อยๆอ่อนลงจนเป็นสีที่เราอยากได้พอดีค่ะ (อยากรู้ว่าการเตรียมตัวเป็นเจ้าสาวในโค้งสุดท้ายก่อนวันสำคัญมีอะไรอีกบ้าง คลิกอ่านเลย )

Credit Photo: stylecaster.com, himisspuff.com, fabmood.com, elegantweddinginvites.com Instagram: @hairandmakeupbysteph

1 เดือนก่อนวันแต่ง กับ 7 สิ่งที่ห้ามทำก่อนแต่งงานบนผิวหน้าของคุณ

1 เดือนก่อนแต่งงาน ถือเป็นโค้งสุดท้ายของการเตรียมตัว มาดูกันค่ะว่ามีอะไรบ้างที่ ห้ามทำก่อนแต่งงาน กับผิวหน้าของเราเด็ดขาดถ้าไม่อยากหน้าเยินช่วงใกล้วันงาน!

1 เดือนก่อน แต่งงาน ถือเป็นโค้งสุดท้ายของการเตรียมตัว เหล่าว่าที่เจ้าสาวทั้งหลายคงเตรียมพร้อมกันไปเกือบๆ 80-90% แล้วใช่ไหมคะ? (เช็คดูซิ ว่าสิ่งเหล่านี้เราเตรียมไปหรือยัง?) นอกเหนือจากสิ่งต่างๆที่เจ้าสาวควรทำเพื่อเตรียมความสวยให้ตัวเองแล้ว เรายังต้องรู้ด้วยนะคะว่ามีอะไรบ้างที่ไม่ควรทำกับผิวหน้าของเรา เพราะถ้าพลาดขึ้นมาช่วงใกล้วันงานมากๆ คุณหมอก็แก้ให้ไม่ทันนะคะ! มาดูกันดีกว่าว่า 7 สิ่งที่เราแนะนำว่า อย่าทำกับผิวหน้า ช่วง 1 เดือนก่อน แต่งงาน มีอะไรบ้างค่ะ

แต่งงาน ความงามเจ้าสาว1. เริ่มรักษาสิว เพราะขั้นตอนการรักษาสิวในช่วง  1-2 เดือนแรกนั้น อาจจะมีอาการสิวเห่อมากกว่าปกติในกรณีที่คุณหมอต้องการขับสิวใต้ผิวหนังออกมา รวมทั้งยารักษาสิวบางประเภทที่ทำให้ผิวหน้าแห้งลอกเป็นขุย ถ้าหากคุณว่าที่เจ้าสาวมีปัญหาสิวเรื้อรังอยู่แล้ว ควรรีบไปหาคุณหมอผิวหนังเพื่อรักษาตั้งแต่เนิ่นๆ ดีกว่าช่วงใกล้วันแต่งงานค่ะ (แต่ในกรณีที่เกิดเป็นสิวอักเสบขึ้นมาช่วงใกล้วันงานมากๆ อันนี้เราแนะนำให้ไปหาคุณหมอนะคะ!)

2. Peeling หรือลอกผิวหน้า การลอกผิวหน้าด้วยสกินแคร์หรือสิ่งที่มีสารเคมีเพื่อผลัดเซลล์ผิวใหม่ ไม่ว่าจะเป็นสกินแคร์ที่ดูไว้ใจได้แค่ไหนก็ไม่ควรทำในช่วง 1 เดือนก่อนแต่งงานค่ะ เพราะการสร้างเซลล์ผิวใหม่ของคนเราใช้เวลาประมาณ 1 เดือนพอดี แต่ช่วงระหว่างการผลัดเปลี่ยนเซลล์ชุดใหม่นี้ ผิวของเราจะอ่อนแอกว่าปกติ และถ้าหากเจอแสงแดด อาจจะทำให้เกิดจุดด่างดำหรือผิวไหม้มากกว่าเดิมได้ค่ะ

แต่งงาน ความงามเจ้าสาว

3. ลองสกินแคร์ใหม่ ช่วงนี้ควรยึดติดกับสิ่งที่ใช้อยู่แล้วจะดีกว่าค่ะ เพราะถ้าหากเกิดอาการแพ้กับกินแคร์ตัวใหม่ขึ้นมาจะไม่คุ้มกัน แต่ทั้งนี้ถ้าคุณว่าที่เจ้าสาวอยากลองสกินแคร์ตัวใหม่ ลองได้ แต่ควรลองตั้งแต่ก่อนแต่งงานเนิ่นๆ เช่น 1 ปี ถึง 6 เดือนก่อนแต่งงานดีกว่าค่ะ

4. ออกแดดจัด ช่วง  1 เดือนก่อนแต่งงาน งดไปเที่ยวทะเล ออกรอบตีกอล์ฟ หรือเล่นกีฬากลางแดดจ้าไปก่อนนะคะ เพราะถึงแม้ว่าเราจะทาครีมกันแดดดีแค่ไหน ผิวของเราก็อาจจะคล้ำลงกว่าปกติได้ และการฟื้นฟูสีผิวให้กลับมาดูกระจ่างใสเหมือนปกตินั้นใช้เวลานานกว่า 1 เดือนแน่ๆค่ะ

แต่งงาน ความงามเจ้าสาว

5. กัดสีผม เข้าใจว่าคุณว่าที่เจ้าสาวอาจจะอยากได้สีผมที่สว่างขึ้น แต่ถ้าคุณไม่ได้แน่ใจจริงๆว่านี่คือสีผมที่ใช่ที่สุดในสามโลก ให้ทำสีผมใหม่โดยเลี่ยงการกัดสีผมออกไปก่อน เพราะถ้าหากสีผมได้ถูกกัดออกไปแล้ว แล้วเราไม่ชอบสีผมที่ทำมาใหม่ การใส่สีเข้มลงไปเพื่อให้สีผมกลับมาดูเป็นธรรมชาติเหมือนในตอนแรกนั้นอาจจะช่วยได้แค่ชั่วคราว แต่เมื่อเราสระผมไปเรื่อยๆ สีเข้มก็จะค่อยๆหลุดออก กลายเป็นสีผมที่ถูกกัดค่อยๆเผยออกมาเหมือนเดิมค่ะ

6. ทำทรีตเม้นต์บางประเภท เช่น เลเซอร์อี เมทริกซ์ หรือทรีทเม้นต์ประเภทที่ทิ้งร่องรอยบนผิวหน้า เพราะร่องรอยเหล่านี้อาจจะจะใช้เวลาถึง 5-7 วันกว่าจะหายดี ทางที่ดีหากอยากทำอะไรในช่วงนี้ บอกคุณหมอให้ชัดเจนว่าเราแต่งงานวันที่เท่าไร และเราสามารถทำได้หรือไม่ จะมีผลกระทบอะไรหรือไม่ จะดีกว่าค่ะ

7. บีบสิวเอง ใครที่เครียดจัดเรื่องการเตรียมงานจนสิวอักเสบขึ้นมาละก็ อย่าได้มันส์มือบีบสิวเองเชียวละคะ! เพราะนอกจากจะทิ้งรอยแดง รอยดำ ไว้ให้ช่างแต่งหน้าเจ้าสาวกุมขมับ หากมือเราไม่สะอาด แผลจากการบีบสิวอาจจะติดเชื้อและลุกลามไปเป็นสิวเม็ดที่สองและสามไปเรื่อยๆอีกได้

สุดท้ายแล้วนอกเหนือจาก 7 สิ่งต้องห้ามเหล่านี้ ว่าที่เจ้าสาวก็อย่าลืมทำใจให้สบาย หาวิธีคลายเครียดที่เหมาะกับตัวเองด้วยนะคะ เพราะสุขภาพจิตใจของว่าที่เจ้าสาวก็ส่งผลต่อผิวพรรณเช่นกันค่ะ

credit: lovecrear.com, fabmood.com

10 คำถามเตรียมไว้ล่วงหน้าเมื่อต้องไปหาสถานที่รับจัดงานแต่งงาน

รอบคอบไว้ดีกว่ามาตามแก้ทีหลัง กับ 10 คำถามที่ สถานที่รับจัดงานแต่งงาน ต้องตอบ

ไม่ว่าคุณจะใช้บริการห้องเปล่าหรือห้องพร้อมการตกแต่ง โรงแรมทุกระดับ รวมถึง สถานที่รับจัดงานแต่งงาน ก็ต้องตอบคำถามด้านล่างนี้ให้คุณหายสงสัยให้จงได้

1. มีตัวอย่างงานให้ดูไหม

นอกจากทำให้ได้เห็นประสบการณ์การทำงานของสถานที่แล้ว ยังได้เห็นว่าสไตล์งานที่ผ่านมาเป็นแบบไหน ตรงใจหรือใกล้เคียงกับสิ่งที่คุณต้องการหรือเปล่า แม้ทางนั้นจะบอกว่าสามารถสร้างสรรค์ผลงานได้ทุกแบบตามต้องการ แต่เชื่อเถอะว่าในเบื้องต้นผลงานที่ผ่านมาจะบอกได้ดีว่าสถานที่เจ้านั้นเหมาะกับงานของคุณหรือเปล่า

2. แพ็คเกจที่นำเสนอมีอะไรบ้าง

การซื้องานแบบแพ็คเกจช่วยประหยัดทั้งเวลาและเงินได้ก็จริง แต่บ่าวสาวควรศึกษาในรายละเอียดให้ถี่ถ้วนว่า สิ่งที่รวมอยู่ในแพ็คเกจตรงตามความต้องการของคุณจริงหรือไม่ เพราะแน่นอนว่า คนคิดแพ็คเกจย่อมใช้เทคนิคตัดนี่นิด เพิ่มนี่หน่อย ถ้าพิจารณาไม่รอบคอบ บ่าวสาวอาจต้องจ่ายเงินก้อนโตเพื่อแพ็คเกจที่ไม่เป็นประโยชน์ แถมยังต้องซื้อบริการเพิ่มโดยไม่จำเป็นอีกด้วย

3. หลักเกณฑ์การเงินเป็นอย่างไร

เริ่มตั้งแต่ราคาทั้งหมดอยู่ที่เท่าไหร่ จ่ายทั้งหมดกี่งวด ต้องมีการวางมัดจำก่อนหรือไม่ กี่เปอร์เซ็นต์ งวดแรก งวดสุดท้ายจ่ายเมื่อไหร่ ทั้งนี้เพื่อความสะดวกในการจัดสรรงบประมาณและตรวจเช็กความคืบหน้าของงานไปพร้อมๆ กัน

4. หากเกิดการละเมิดสัญญาจะรับผิดชอบอย่างไร

ทั้งในกรณีที่จู่ๆ ก็ยกเลิกกะทันหัน งานไม่เสร็จ ผลงานที่ออกมาไม่ตรงตามที่ตกลง จะมีการดูแลความเสียหายและรับผิดชอบอย่างไรบ้าง ในที่นี้ควรศึกษาสัญญากฎหมายการละเมิดสัญญาว่าจ้างไว้เป็นพื้นฐานด้วยยิ่งดี

สถานที่รับจัดงานแต่งงาน

5. มีพื้นที่จัดเลี้ยงให้เลือกกี่แบบทั้งอินดอร์และเอ้าท์ดอร์ และอย่าลืมถามว่าแต่ละห้องจุคนได้เท่าไหร่เพื่อเทียบกับจำนวนแขกที่จะเชิญ

6. จอดรถได้กี่คัน ถ้าจอดได้น้อยไม่ครอบคลุมจำนวนแขก มีพื้นที่จอดรถสำรองตรงไหนอีกบ้าง มีค่าจอดเพิ่มเติมหรือไม่ คิดราคาเท่าไหร่ รวมถึงอย่าลืมสอบถามเรื่องระบบรักษาความปลอดภัยของการดูแลรถในพื้นที่จอดส่วนนี้ด้วย และในกรณีที่ที่จอดรถไกลจากบริเวณจัดงานมีบริการรถกอล์ฟหรือไม่

7. ช่วงเวลาในการใช้ห้องจัดเลี้ยง เริ่มตั้งแต่ที่ทีมงานสามารถเข้าไปเซตอัพตกแต่ง กระทั่งงานเริ่ม ไปจนถึงเก็บงานเสร็จ รวมทั้งหมดกี่ชั่วโมง หากระบุเวลาได้ชัดเจนควรระบุเวลามาเลย หากเกินเวลาต้องเสียค่าใช้จ่ายหรือไม่อย่างไร

8. เงื่อนไขการตกแต่งห้องจัดเลี้ยง เช่น สามารถตอก ตรึง เจาะผนังหรือเสาได้หรือไม่ และอย่าลืมเช็กค่าปรับเผื่อไว้ในกรณีเกิดความเสียหายที่เลี่ยงไม่ได้ ส่วนใครจะจ่าย ขึ้นอยู่กับการตกลงระหว่างคุณกับซัพพลายเออร์

9. ค่าใช้จ่ายนำเข้าอาหารและสิ่งอื่นๆ ที่ต้องการสั่งจากข้างนอกเข้ามา นอกเหนือจากแพ็คเกจ

10. จำนวนบริกรที่จะมาบริการ รวมถึงต้องจ่ายค่าแรงเพิ่มไหมในกรณีที่ต้องการคนมากกว่าที่ทางโรงแรมจัดไว้

บทความเพิ่มเติมเกี่ยวกับเรื่องสถานที่จัดงานแต่ง
8 อย่างขอให้เช็คและเห็นกับตาเมื่อออนทัวร์สถานที่จัดงานแต่งงานในฝัน

ภาพ longwoodvenues.com, brides.com

แมตช์ชุดกับสร้อยไข่มุกอย่างไรให้สวย เริด เป๊ะ ไม่แก่!

สร้อยไข่มุก เครื่องประดับเรียบหรู กับเทคนิคใส่ยังไงไม่ให้แก่!!

หากคุณคือสาวน้อยผู้โชคดีที่ต้องจิกรองเท้าส้นสูงและสวมชุดสุดเก๋ไปร่วมงานแต่งงาน ไม่ว่าจะในฐานะเพื่อนเจ้าสาวหรือแขกร่วมงาน แต่มีปัญหาอยู่ว่าจะเลือกเครื่องประดับอย่างไรให้เข้ากับชุดสวยตัวนั้น ครั้นจะเลือกเครื่องเพชรแต่เห็นราคาก็แทบลมจับ วันนี้ แพรว wedding ขอแนะนำให้ลองเลือก สร้อยไข่มุก มาใส่สักเส้น อย่าเพิ่งคิดว่าใส่แล้วจะดูแก่หรือไม่เข้าชุด เพราะเราจะมาแนะนำวิธีเลือกสร้อยไข่มุกที่รับรองว่าใส่แล้วไม่แก่เป็นแม่ ป้า ย่า ยายแน่นอน

ก่อนอื่นเราขอแนะนำให้สาวๆ เลือกมุกที่มีขนาดเล็กอย่างมุกอะโกย่าเพราะเมื่อใส่แล้วจะทำให้ดูน่ารัก ทันสมัยขึ้น โดยให้ความยาวของสร้อยเหมาะกับชุดที่จะใส่ด้วยนะจ๊ะ ว่าแล้วก็มาดูตัวอย่างความยาวของสร้อยไข่มุกที่ได้รับความนิยมมากที่สุดมา 3 ระดับ มาดูกันดีกว่าว่าความยาวระดับไหนเหมาะกับสาวๆ กันบ้าง

1.    สร้อยมุกทรงโชกเกอร์

สร้อยไข่มุกสร้อยมุกทรงโชกเกอร์ความยาว 14-16 นิ้วนิยมใส่ติดคอหรือพันรอบคอ สร้อยชนิดนี้เหมาะกับสาวๆ ที่มีช่วงลำคอระหงส์ จะทำให้คุณเป็นสาวเปรี้ยว ดูโดดเด่นสง่างาม นิยมนำมาแมทช์กับชุดที่โชว์ตั้งแต่ช่วงหัวไหล่ขึ้นไปไม่ว่าจะเป็นเสื้อคอวี เสื้อเปิดไหล่ หรือชุดเกาะอก แต่ขอบอกว่าสร้อยทรงนี้ไม่เหมาะกับสาวช่วงคอสั้นอย่างแรงเพราะจะทำให้คุณดูตันเป็นถังแก๊สเชียวล่ะ

2.    สร้อยมุกทรงปริ๊นเซส

สร้อยไข่มุกด้วยความที่สร้อยยาว 17-19 นิ้ว จึงทำให้สร้อยประเภทนี้ดูคลาสสิกและเป็นที่นิยมตลอดกาล เหมาะกับสาวๆ ทุกคนไม่ว่าจะคอสั้นหรือคอยาว เพราะสามารถนำมาใส่ได้กับชุดแทบจะทุกประเภท ทั้งคอสูง คอเต่า คอบัว หรือแม้กระทั่งชุดเปิดไหล่ หากสาวๆ คนไหนที่ยังลังเลว่าจะเลือกสร้อยทรงไหนลองหยิบสร้อยทรงปริ้นเซสมาสวม รับรองว่าเกิดทุกคนจ้า

3.    สร้อยมุกทรงโรพ

สร้อยไข่มุกสำหรับสาวๆ ที่หลงใหลในการแต่งกายหลากหลายแนว ไม่ควรพลาดกับสร้อยทรงโรพ ด้วยตัวสร้อยมีความยาวตั้งแต่ 37 นิ้วขึ้นไป จึงทำให้คุณสามารถเปลี่ยนแปลงวิธีสวมใส่ได้ไม่รู้เบื่อ ทั้งการนำมาพันเป็นทรงโชกเกอร์ติดคอแสนเก๋ หรือจะปรับลุคด้วยการพันเป็นสร้อยไล่ระดับสัก 3 ชั้นก็ทำให้คุณดูดีมีราศีสุดๆ ส่วนสาวๆ คนไหนที่อยากจะเปลี่ยนแนวให้ดูแซ่บยิ่งขึ้นเลดี้ขอให้เลือกชุดราตรีเปิดหลัง รวบผมขึ้นสูง แล้วปล่อยให้ปลายสร้อยมุกอยู่กลางแผ่นหลังเพียงเท่านี้ก็ทำให้สาวๆ เปลี่ยนจากสาวหวานมาเป็นสาวเซ็กซี่ในทันที คอนเฟิร์ม!!!

ทั้งหมดนี้คือวิธีเลือกชุดให้เข้ากับสร้อยมุกแบบง่ายๆ ที่เรานำมาฝาก หวังว่าคุณสาวๆ จะเลิกกังวลเกี่ยวกับการใส่มุกและยังสามารถนำไปประยุกต์ใส่ได้ในทุกโอกาส แถมยังไม่หนักคอจนเกินไปอีกด้วย แล้วพบกับทริคเด็ดๆ ที่เราจะนำมาฝากกันอีกนะจ๊ะ  บ๊ายบาย

เรียบเรียงข้อมูลจาก : www.shopnumber88.com, jcbysiri.blogspot.comภาพ : www.glamour.com, 19twentythree.com, carillonweddings.com, www.vintagedancer.com, assets4.capitalfm.com, www.pinterest.com

Read More : เครื่องประดับไข่มุก เลือกแมตช์กับช่วงอายุยังไงให้ดูไม่แก่

ช่างภาพงานแต่ง เลือกยังไงให้เป๊ะไม่ให้พลาดสักช็อตในวันสำคัญ

ถ้าอยากได้ภาพถ่ายงานแต่งที่ดี ก็ต้องเลือก ช่างภาพงานแต่ง ให้ดีก่อนนะ

ภาพถ่าย คือเครื่องมือเก็บความทรงจำชั้นเลิศที่จะพาคุณกลับไปสู่ช่วงเวลาแห่งความประทับใจ ดังนั้น ช่างภาพงานแต่ง จึงถือเป็นผู้ช่วยที่จะทำหน้าที่เก็บบันทึกทุกความทรงจำใยวันสำคัญที่สุดของชีวิตไว้ให้คุณ นี่จึงเป็นเหตุผลที่ แพรว wedding ขอพาไปเจาะลึกถึงแนวคิดเกี่ยวกับการถ่ายภาพงานแต่งงาน เพื่อฝากไว้เป็นแนวทางในการเลือกช่างภาพคู่ใจในวันพิเศษ

ภาพงานแต่งในอุดมคติ

ภาพงานแต่งที่สวยคือ ภาพที่เต็มไปด้วยอารมณ์ความรู้สึก เห็นแวบแรกแล้วรู้สึกได้ทันทีว่ามีความรักและความสุขเกิดขึ้น เป็นภาพที่สามารถถ่ายทอดเรื่องราวในวันนั้นได้ มีการผสานกันอย่างลงตัวระหว่างการใช้ศิลปะการถ่ายภาพกับการจับจังหวะอารมณ์

ถ่ายภาพงานแต่งอย่างไรให้ดูเรียล

เน้นไปที่การแคนดิดโดยไม่จำเป็นต้องจัดวางคนให้อยู่ในคอมโพส ปล่อยให้เป็นไปตามธรรมชาติเพื่อจับอารมณ์ของคน และแนะนำว่าไม่ควรปรับสีภาพมากเกินไป คงความเป็นธรรมชาติไว้จะดีที่สุด

ช่างภาพงานแต่ง

ช็อตที่ดีที่สุดคือ…

เพราะการถ่ายภาพงานแต่งเป็นการถ่ายจากสถานการณ์จริง ไม่สามารถเซตได้อย่างการถ่ายภาพในสูติโอ ดังนั้นช่างภาพจึงต้องตื่นตัวอยู่ตลอดเวลา และคิดไว้เสมอว่าภาพที่ดีที่สุดอาจเกิดขึ้นวินาทีใดก็ได้ โดยทั่วไปช็อตหลักๆ จะเป็นช็อตสวมแหวน ตัดเค้ก โยนดอกไม้ แต่ความจริงแล้วช็อตที่สำคัญและหายากกว่านั้นคือ ช็อตอารมณ์ที่เกิดขึ้นจริง เพราะช็อตแบบนี้เราสั่งให้บ่าวสาวทำใหม่ไม่ได้ สำหรับบางคนเป็นครั้งแรกในชีวิต เกิดขึ้นครั้งเดียวแล้วผ่านไป เรามีหน้าที่บันทึกทุกวินาทีแห่งความประทับใจเอาไว้ให้เขา

เลือกช่างภาพคู่ใจอย่างไรให้เป๊ะ

อันดับแรก บ่าวสาวควรพิจารณาจากความชอบของตัวเองก่อนว่าชอบภาพสไตล์ไหน โดยเลือกจากผลงานของช่างภาพหลายๆ คนเปรียบเทียบเพื่อค้นหาช่างภาพที่มีผลงานตรงตามสไตล์ภาพที่ชื่นชอบ และหลังจากที่เลือกได้แล้วควรมีการนัดเจอเพื่อพูดคุยกับช่างภาพก่อน ทั้งนี้ก็เพื่อให้ว่าที่บ่าวสาวและช่างภาพมองเห็นความต้องการได้ตรงกัน อีกทั้งยังได้เห็นถึงบุคลิก วิธีการพูดจาก และวิธีการทำงานคร่าวๆ ของช่างภาพที่คุณจะเลือกให้มาดูแลความทรงจำที่สำคัญที่สุดในชีวิตด้วย

รู้วิธีเลือกช่างภาพคู่ใจแล้ว ก็มาดูเรื่องค่าใช้จ่ายกันต่อเลย >>> เซฟค่าใช้จ่ายช่างภาพงานแต่งอย่างไรได้บ้าง … มาอ่านกัน

ภาพ stocksnap.io, pinterest.com

จำเป็นไหมที่ต้องจ้าง เวดดิ้งแพลนเนอร์ ? คำถามคาใจของบ่าวสาวมือใหม่หลายคน

เวดดิ้งแพลนเนอร์ คือใคร? มีหน้าที่ทำอะไร? แล้วจำเป็นไหมที่ต้องจ้าง? สารพัดคำถามที่เราพร้อมตอบแล้ว

กลายเป็นคำถามแรกๆ ที่ผุดขึ้นมาในใจของว่าที่คู่แต่งงานในยุคนี้ ปัญหาสำคัญคือหลายคู่ไม่รู้ว่า เวดดิ้งแพลนเนอร์ ทำอะไรบ้าง แพรว wedding เลยขออาสามาไขความกระจ่างนี้ให้

รู้จักเวดดิ้งแพลนเนอร์

เรื่องแรกที่บ่าวสาวสับสนกันมากคือ “เวดดิ้งแพลนเนอร์” และ “เวดดิ้งออร์แกไนเซอร์” มีหน้าที่เหมือนหรือต่างกันอย่างไร คำตอบคือ ออร์แกไนเซอร์จะทำงานเฉพาะในวันงาน เหมือนเป็นแม่งานที่คอยตรวจดูความเรียบร้อยและควบคุมลำดับพิธีให้ดำเนินไปตามแผนงาน แต่แพลนเนอร์จะมีขอบเขตการทำงานที่กว้างกว่า มีหน้าที่วางแผนการทำงานทั้งหมดให้งานแต่งหนึ่งงานจบลงอย่างสมบูรณ์แบบตามที่บ่าวสาวต้องการ ไม่ใช่แค่เสนอแบบการตกแต่ง แต่เสนอทุกเรื่องที่เกี่ยวข้อง ไม่เว้นแม้แต่ชุดชั้นใน แต่จะมีข้อยกเว้นอยู่ 2 ข้อคือ ไม่เข้าไปยุ่งกับการดูแลทรัพย์สินมีค่า ไม่ว่าจะเป็น การหาคนมานั่งเฝ้ากล่องรับซอง หรือดูแลสินสอด รวมถึงการเชิญแขก

เวดดิ้งแพลนเนอร์

ส่งแบบล่าช้า ราคาเพิ่งมา จำใจยอมจ้าง

หลายคู่เจอกรณีนี้เพราะไม่ได้ตกลงกันให้ชัดเจนตั้งแต่แรก ว่าจะมีการส่งแบบให้ดูเมื่อไร รายละเอียดการทำงานเป็นอย่างไร สุดท้ายก็ต้องใช้งานเพราะหนีไปทางไหนไม่ทันแล้ว ทางออกคือควรชัดเจนตั้งแต่ตอนแรก ทั้งเรื่องรูปแบบงานและกระบวนการทำงาน มีเงื่อนไขอะไรแจงมาให้หมด เพราะแพลนเนอร์เองก็อยากได้ลูกค้า ส่วนบ่าวสาวก็ต้องการคนทำงานที่จริงใจ ฉะนั้นวินๆ คือบ่าวสาวต้องร้องขอรายละเอียดเหล่านั้นทันทีที่ตกลงว่าจ้างงาน อ่านรายละเอียดก่อนเซ็นสัญญา แล้วค่อยเดินตามแผนงานทั้งหมดที่วางร่วมกัน

วิธีคุยกับพ่อแม่ให้ยอมรับเวดดิ้งแพลนเนอร์

เนื่องจากคุณพ่อคุณแม่อยู่ในยุคที่ยังไม่มีอาชีพนี้เกิดขึ้น วิธีที่จะทำให้ท่านยอมรับคือ พาท่านมานั่งคุยกับแพลนเนอร์เพื่อให้เห็นภาพว่าการทำงานมีมากกว่าการตกแต่งและบ่าวสาวจะได้รับบริการมากกว่าให้โรงแรมจัดงานเพียงฝ่ายเดียว บางบ้านอาจคิดว่าให้ญาติพี่น้องเพื่อนสนิทช่วยก็ได้ แต่การที่ไม่ได้ใช้เงินจ้างจะกลายเป็นบุญคุณและใช้งานไหว้วานกันได้ไม่เต็มปาก จึงมีเปอร์เซ็นต์สูงที่จะทำให้งานไม่ไหลลื่น สิ่งเหล่านี้คือประเด็นสำคัญที่จะช่วยโน้มน้าวใจคุณพ่อคุณแม่ เพราะความสะดวกสบายและสิ่งที่เกิดขึ้นในงานเป็นการดูแลโดยมืออาชีพที่คุณพ่อคุณแม่และญาติๆ ไม่ต้องเหนื่อยเลย แค่แต่งตัวสวยๆ ยิ้มรับแขกก็พอ

ถ้าตัดสินใจจะจ้างเวดดิ้งแพลนเนอร์ ก็ต้องมาต่อกันที่ขั้นตอนนี้เลย >>> 3 สเต็ปพิชิตงานแต่งงานในฝันก่อนไปหาเวดดิ้งแพลนเนอร์

ภาพ krakow.wytworniaslubow.pl, eachotherweddingsandevents.com

บอกหมาก อีกหนึ่งประเพณีแบบไทยในพิธีแต่งงานที่ถูกลืม

บอกหมาก คืออะไร แล้วต้องบอกใคร? มาหาคำตอบไปพร้อมกัน

บอกหมาก ถ้ามีใครถามขึ้นมาว่าหมายถึงอะไร คนสมัยนี้คงทำหน้างงพร้อมส่ายหัวกันเป็นแถว เพราะไม่รู้ว่าคืออะไร แล้วเกี่ยวข้องกับพิธีแต่งงานตรงไหน เราจะย้อนความเล่าให้ฟัง

หากย้อนกลับไปเมื่อสมัยที่ปู่ย่าตายายของเรายังเป็นวัยรุ่น (นานไปมั้ย) ในตอนนั้นประเทศไทยยังยังไม่มีเครื่องพิมพ์การ์ดเชิญ และไม่ได้มีการคมนาคมที่สะดวกสบายเหมือนดั่งเช่นในปัจจุบัน ทำให้ต้องใช้วิธีการเดินทางไปเชื้อเชิญด้วยตัวเอง ซึ่งวิธีนี้เรียกว่า “การบอกหมาก”

เริ่มจากการเตรียมพานหมากพลูอันประกอบด้วยหมาก พลู และปูนแดง หรืออาจจะใส่ยาสูบหรือยาเส้นด้วยก็ได้ จัดไว้ในพานโดยการจีบหรือพันตามแนวยาวของใบ หรือจะห่อเป็นสามเหลี่ยมเล็กก็ดีเมื่อเตรียมของทุกอย่างเสร็จสับแล้วก็เดินทางไปเชิญแขกให้มาร่วมพิธี โดยนิยมเชิญจำนวนไม่มาก เพราะบอกได้เฉพาะผู้ที่อยู่ใกล้ๆ เฉพาะญาติสนิทมิตรสหายและบุคคลที่นับถือจริงๆและส่วนใหญ่แล้วผู้ที่เดินทางไปบอกจะเป็นพ่อแม่ หรือตัวแทนคู่บ่าวสาว

ปัจจุบันประเพณีบอกหมากนี้แทบไม่มีใครทำกันแล้ว อาจมีเหลือบ้างแถวชนบทที่ยังคงนับถือประเพณีนี้กันอยู่ เพื่อเป็นการอนุรักษ์วัฒนธรรมของไทยให้คงอยู่ไปถึงชั่วลูกชั่วหลาน จะนำประเพณีนี้ไปบอกเล่าญาติสนิทมิตรสหาย จะได้ช่วยลดค่าใช้จ่ายในการทำการ์ด แถมยังสามารถลดการใช้กระดาษด้วยอีกทางหนึ่งเลยนะคะ

อีกหนึ่งความเชื่อเกี่ยวกับงานแต่งงานของไทย >>> มงคลแฝดและพวงมาลัยแฝด ใน พิธีแต่งงานแบบไทย เสร็จงานแล้วห้ามทิ้ง!

เรียบเรียงข้อมูลจาก: kapook.com, wow88studio-organizer.com

ไอเดียดอกไม้งานแต่ง ที่ไม่ต้องถมให้เต็มงานก็เพิ่มความงามได้

9 ไอเดียดอกไม้งานแต่ง ที่ไม่ต้องมีแบบตู้มต้ามก็งามได้

บ่าวสาวบางคู่อาจจะไม่ได้มีงบถึงขนาดจะถมดอกไม้ให้เต็มงานได้จริงไหมคะ แต่ครั้นทั้งงานจะไม่มีดอกไม้ให้เห็นเลยก็อาจจะทำให้งานดูเหี่ยวเฉาไปนิด แพรว wedding เลยนำ ไอเดียดอกไม้งานแต่ง ที่ไม่ต้องถมให้เต็มงานก็ช่วยสร้างความสดชื่นให้กับงานได้ ว่าแล้วก็ไปดูกันค่ะว่าทั้ง 9 ไอเดียนี้มีไอเดียไหนที่จะถูกใจคุณว่าที่บ่าวสาวกันบ้าง

ไอเดียดอกไม้งานแต่ง

ตกแต่งพิธีเช้าด้วยเครื่องแขวน เพื่อให้งานของคุณมีกลิ่นอายความเป็นไทยชัดเจนขึ้น เคล็ดลับในการรักษาดอกไม้ที่ค่อนข้างบอบบางและเหี่ยวง่ายให้ดูสดเสมอแม้อยู่ในสภาพอาการร้อนหรือเย็นจัดคือ การใช้ผ้าขาวบางชุบน้ำมาคลุมดอกไม้ก่อนนำมาจัดตกแต่ง

ลองแซมใบไม้เข้าไปกับการตกแต่งเพื่อให้บรรยากาศดูเป็นธรรมชาติและสมจริงขึ้น

หากต้องการกลิ่นอายเวสเทิร์นแท้ๆ คุณไม่จำเป็นต้องถมทั้งงานด้วยดอกไม้นำเข้า แค่นำดอกไม้ยุโรปจัดใส่แจกันแก้วสวยๆ ก็ดูเรียบหรูและคลาสสิคอย่างมีระดับแล้ว

ออกแบบบูโทเนียร์สำหรับแขกผู้ใหญ่ให้เข้ากับธีมงานจะช่วยเพิ่มความเป๊ะ เช่น บูโทเนียร์สีตามธีมห้อยอุบะดอกพุดสำหรับงานธีมไทย

คอร์สาจหรือดอกไม้ติดข้อมือสีสวยในธีมเดียวกันช่วยเพิ่มสีสันให้ทีมเพื่อนเจ้าสาว

จัดดอกไม้ห้อยลงมาจากด้านบนประหนึ่งแชนเดอเลียร์รับรองสวยหรูไม่ซ้ำใคร

ลองใช้เอเลเม้นต์อื่นๆ ร่วมกับงานดอกไม้ เช่น ริบบิ้น กระดาษ คริสตัล เพื่อเพิ่มความน่าสนใจ

ออกแบบบูเกต์เจ้าสาวและบูโทเนียร์ติดหน้าอกเจ้าบ่าวให้สอดคล้องกันเพื่อสร้างกิมมิกคู่รัก…รับรองหวานซะไม่มี

เลือกดอกไม้ที่จะใช้เป็นไฮไลต์มาประกอบในทุกจุด เช่น ทางเดินเข้างาน เวที หรือโต๊ะอาหารเพื่อสร้างความกลมกลืน

แต่ถ้าอยากตกแต่งงานด้วยดอกไม้แบบธีมสี ต้องตามไปส่อง >>> 24 ดอกไม้งานแต่ง กับ 4 ธีมสีที่ช่วยสร้างบรรยากาศงานให้มีเอกลักษณ์

ภาพ pinterest.com, unsplash.com, brides.com

4 ธีมสีกับ 1 สไตล์ ชุดเพื่อนเจ้าสาว ใส่ตอนไหนก็ได้รับรองไม่มีเอ้าท์

อยากสวยแบบไม่เอ้าท์ สาวๆ ต้องไม่พลาด 4 ธีมสี ชุดเพื่อนเจ้าสาว ต่อไปนี้

เมื่อใกล้ถึงวันวิวาห์ของเพื่อนสาวคนสนิท ดูเหมือนว่าสาวๆ อย่างเราดูจะตื่นเต้นมากกว่าเจ้าสาวไปซะอีก ยิ่งหากเป็นงานแรกของกลุ่มด้วยแล้ว บอกเลยว่าความตื่นเต้นนั้นคูณร้อยไปเลยค่า ไหนจะเลือกแบบ เรื่องสี ที่ต้องตัดสินใจจนหัวแทบแตก แพรว wedding เลยขอกระโดดมารักษาอาการนี้ กับ 3 ธีมสี และ 1 สไตล์ ชุดเพื่อนเจ้าสาว ที่เราหวังว่าจะช่วยให้แก๊งเพื่อนสาวของคุณตัดสินใจกันได้ง่ายขึ้น 

Sweet Plus

ชุดเพื่อนเจ้าสาว

เจ้าสาวส่วนใหญ่มักมีความฝันว่าอยากเป็นเจ้าหญิงสักครั้งในชีวิต ธีมงานหวานๆ แนวเจ้าหญิงมุ้งมิ้งที่ใช้สีชมพู ครีม และพีช จึงเป็นธีมสีสุดฮ็อตที่เพื่อนเจ้าสาวทั้งหลายต้องตระเวนหาชุดมาซัพพอร์ตความฝันของนาง แต่ถ้าไม่อยากหวานจนเลี่ยน อาจแทรกด้วยสีเขียวอ่อนๆ อย่างเขียวมิ้นต์ ก็ช่วยเบรกความหวานลงได้ แถมยังคงเป็นลุคอมตะนิรันดร์กาลที่ไม่มีวันหายไปจากความเป็นเวดดิ้งอีกด้วย

เคล็ดลับการเลือก เล็บเจ้าสาว โทนสีนู้ดสำหรับผิวทุกเฉดสีมาแล้วจ้า

จะผิวขาว ผิวสีน้ำผึ้ง หรือผิวอมเหลือง อมชมพู ทา เล็บเจ้าสาว สีนู้ด โทนไหนดีถึงจะส่งให้ผิวมือดูละมุนนีเลอค่า ไม่ต้องหาที่อื่นไกล เรารวมคำตอบมาให้แล้ว

เพราะไม่ว่ากี่ยุคผ่านไป เทรนด์ เล็บเจ้าสาว สไตล์นู้ดเรียบหรูก็ยังไม่หายไปไหน แต่เรื่องยากสำหรับการทาเล็บสันู้ดของเจ้าสาว (อันที่จริงก็ของผู้หญิงทุกคนแหละ) คือการเลือกเฉดสียังไงจากเป็นร้อยเป็นพันเฉดให้เหมาะกับสีผิวของเรา เลือกไม่ดี นอกจากจะดูเฟคแล้วมือยังดูกระดำกระด่างยังไงชอบกล ไม่ต้องห่วงค่ะ แพรว เวดดิ้ง หาคำตอบมาให้แล้วว่า สีผิวแบบเรา ต้องเลือกเล็บเจ้าสาวเฉดสีนู้ดแบบไหนถึงจะเป๊ะปังเลอค่า ส่งให้มือดูแพงแถมแหวนเจ้าสาวดูวิ๊งวาวสุดๆ!เล็บเจ้าสาว

ผิวขาวอมชมพู (เส้นเลือดใต้ผิวออกสีน้ำเงินมากกว่าเขียว)

คิดว่าผิวขาวจะทาสีไหนก็ได้ใช่ไหมละ? ผิดค่ะ! เพราะสำหรับสาวผิวขาว ถ้าทาเล็บสีนู้โทนชมพูมากๆ จะยิ่งทำให้ผิวมือเราดูเฟคไม่เป็นธรรมชาติ สีที่เหมาะกับผิวของคุณคือสีนู้ดน้ำตาลอมเทา และพยายามเลือกสีทึบแสง (เนื้อสีไม่ใสมาก) จะช่วยให้ผิวมือของคุณโดดเด่นและสว่างขึ้นค่ะ

เล็บเจ้าสาว
Jin Soon Nail Polish สี Nostalgia

เล็บเจ้าสาว

10 เรื่องที่ว่าที่เจ้าสาวต้องถามก่อนฟันธงเลือกชุดแต่งงาน

ชุดแต่งงาน มีแค่ชุดเดียวก็ต้องรอบคอบด้วยเช็กลิสต์ชุดคำถามนี้ที่ต้องพกไปร้านชุด

เพราะแพรว wedding รู้ว่าบ่าวสาวหลายคู่มักเผชิญสถานการณ์ “ไม่รู้ว่าต้องถามอะไรบ้าง” เมื่อนั่งอยู่ต่อหน้าดีไซเนอร์หรือร้านชุดแต่งงาน เราเลยประมวล 10 คำถามเด็ดที่ขอบอกเลยว่าต้องเคลียร์ให้ชัดก่อนตัดสินใจเลือก ชุดแต่งงาน ไม่ว่าจะใช้ชุดจากเวดดิ้งสตูดิโอหรือร้านชุดเจ้าสาวแบรนด์ดัง บ่าวสาวผู้รอบคอบก็ควรเช็กเรื่องพวกนี้เอาไว้นะ

1. มีตัวอย่างงานให้ดูไหม

นอกจากทำให้ได้เห็นประสบการณ์การทำงานของดีไซเนอร์หรือร้านชุดแต่งงานแล้ว ยังได้เห็นว่าสไตล์งานที่ผ่านมาเป็นแบบไหน ตรงใจหรือใกล้เคียงกับสิ่งที่คุณต้องการหรือเปล่า แม้ทางนั้นจะบอกว่าสามารถสร้างสรรค์ผลงานได้ทุกแบบตามต้องการ แต่เชื่อเถอะว่าในเบื้องต้นผลงานที่ผ่านมาจะบอกได้ดีว่าดีไซเนอร์หรือร้านชุดแต่งงานเจ้านั้นเหมาะกับงานของคุณหรือเปล่า เช่น หากบ่าวสาวอยากได้งานปักลูกไม้แบบพิเศษ ก็อาจจะขอดูจากชุดจริง แทนที่จะดูแค่จากในภาพ เป็นต้น

2. แพ็คเกจที่นำเสนอมีอะไรบ้าง

การซื้องานแบบแพ็คเกจช่วยประหยัดทั้งเวลาและเงินได้ก็จริง แต่บ่าวสาวควรศึกษาในรายละเอียดให้ถี่ถ้วนว่า สิ่งที่รวมอยู่ในแพ็คเกจตรงตามความต้องการของคุณจริงหรือไม่ เพราะแน่นอนว่า คนคิดแพ็คเกจย่อมใช้เทคนิคตัดนี่นิด เพิ่มนี่หน่อย ถ้าพิจารณาไม่รอบคอบ บ่าวสาวอาจต้องจ่ายเงินก้อนโตเพื่อแพ็คเกจที่ไม่เป็นประโยชน์ แถมยังต้องซื้อบริการเพิ่มโดยไม่จำเป็นอีกด้วย

3. หลักเกณฑ์การเงินเป็นอย่างไร

เริ่มตั้งแต่ราคาทั้งหมดอยู่ที่เท่าไหร่ จ่ายทั้งหมดกี่งวด ต้องมีการวางมัดจำก่อนหรือไม่ กี่เปอร์เซ็นต์ งวดแรก งวดสุดท้ายจ่ายเมื่อไหร่ ทั้งนี้เพื่อความสะดวกในการจัดสรรงบประมาณและตรวจเช็กความคืบหน้าของงานไปพร้อมๆ กัน

4. หากเกิดการละเมิดสัญญาจะรับผิดชอบอย่างไร

ทั้งในกรณีที่จู่ๆ ก็ยกเลิกกะทันหัน งานไม่เสร็จ ผลงานที่ออกมาไม่ตรงตามที่ตกลง จะมีการดูแลความเสียหายและรับผิดชอบอย่างไรบ้าง (ในที่นี้ควรศึกษาสัญญากฎหมายการละเมิดสัญญาว่าจ้างไว้เป็นพื้นฐานด้วยยิ่งดี) เช่น ตกลงว่าจะส่งมอบชุดในวันนี้ แต่ไม่ตรงตามที่นัดกันไว้ เป็นต้น

5. ลองชุดได้ไหม

คำถามแบบนี้แทบจะต้องถามเป็นลำดับแรกๆ เพราะการได้ลองชุดจะทำให้คุณเห็นภาพจริง และนำไปประกอบการตัดสินใจเลือกรูปแบบชุดที่เหมาะกับคุณ ร้านไหนไม่ให้ลองหรือต้องเซ็นสัญญาก่อนจึงลองได้ หรือต้องมีการจ่ายเงินหรือไม่ก่อนที่จะได้ลองชุดแต่งงาน และได้ลองทั้งหมดกี่ชุด

6. หลังเซ็นสัญญากี่เดือนจึงจะได้เห็นชุดจริง รวมถึงจะได้ลองชุดทั้งหมดกี่ครั้ง และแก้ไขได้ถึงเมื่อไหร่

7. ได้เลือกและเห็นตัวอย่างผ้าก่อนหรือไม่ ในกรณีที่เจ้าสาวสั่งตัดชุดใหม่แบบ made-to-order

8. ในกรณีที่ชุดเช่าหรือเช่าตัดเสียหาย บ่าวสาวต้องเสียค่าปรับเท่าไหร่ ข้อนี้ควรระบุเอาไว้ให้ชัดเจนในสัญญาด้วยนะคะ เพราะแค่สัญญาปากเปล่านั้นไม่ดีแน่นอน

9. มีคนไปช่วยแต่งตัวให้บ่าวสาวในวันงานหรือไม่ ถ้าไม่มีจะมีอุปกรณ์ฉุกเฉินให้หรือเปล่า

10. รับและคืนชุดเมื่อไหร่ รวมถึงหากเป็นชุดเช่าจะมีการซักแห้งทำความสะอาดชุดให้ก่อนไหม

เลือกชุดที่เหมาะกับตัวเอง ก็อย่าลืมเลือกทรงผมให้เหมาะกับชุดด้วยนะ >>> แมตช์ทรงผมให้เข้ากับชุดแต่งงาน ทริคความงามที่เจ้าสาวต้องรู้

ภาพ StockSnap.io, Pinterest