รู้ให้ลึก เนื้อผ้าชุดแต่งงานแบบไหนที่ใช่สำหรับชุดเจ้าสาวของคุณ

มาทำความรู้จัก เนื้อผ้าชุดแต่งงาน สิ่งสำคัญช่วยเสริมให้ลุคเจ้าสาวดูดีกัน

ชุดแต่งงานที่สมบูรณ์แบบต้องประกอบด้วยวัสดุและฝีมือการออกแบบตัดเย็บที่ลงตัวกับเจ้าสาวที่สุด เพราะ เนื้อผ้าชุดแต่งงาน แต่ละชนิดมีคุณสมบัติ สัมผัส และความรู้สึกที่ต่างกัน ชุดแบบเดียวกันแต่ต่างเนื้อผ้า ก็อาจทำให้อารมณ์ของชุดต่างกัน

เจ้าสาวสมัยนี้นับว่าโชคดีที่มีเนื้อผ้าหลากหลายชนิดให้เลือก แต่เชื่อเถอะว่าส่วนใหญ่ยังสับสน แพรว wedding จึงขอรวบรวมเนื้อผ้าตัดชุดเจ้าสาวยอดนิยมมาให้คุณว่าที่เจ้าสาวทั้งหลายได้รู้จัก เวลาสั่งตัดชุดจะได้เลือกผ้าให้เหมาะกับสไตล์และรูปร่าง หรือถ้าใช้บริการเวดดิ้งสตูดิโออย่างน้อยก็จะได้เข้าใจเวลาที่ดีไซเนอร์ให้คำแนะนำ

แม้จะมีหลากหลายชนิด แต่หลักๆ แล้วผ้าสำหรับตัดชุดแต่งงานแบ่งได้ 2 ประเภทใหญ่ๆ คือ Structured Bridal Fabric เป็นผ้าที่ใช้ตัดเย็บโครงเสื้อหรือกระโปรง และ Soft Bridal Fabric เป็นผ้าที่ใช้เพิ่มอารมณ์พลิ้วไหวโรแมนติกให้ชุดเจ้าสาว แต่ปัจจุบันนี้ชุดเจ้าสาวส่วนใหญ่ตัดเย็บจากผ้าหลายชนิดและไม่มีข้อกำหนดตายตัว บางชุดอาจทำจากผ้าเนื้อนุ่มบางเบาทั้งตัวก็ได้ และในทางกลับกันบางชุดอาจตัดจากผ้าเนื้อหนาทั้งตัว ทั้งนี้เจ้าสาวควรเลือกให้เข้ากับลักษณะพิธีการ รสนิยม และสวมใส่สบาย ผ้าที่นิยมใช้ตัดชุดเจ้าสาวจะมีอะไรบ้างนั้น มาดูกันค่ะ

เนื้อผ้าชุดแต่งงาน

ซิลค์ซาติน

นิยมใช้ตัดเป็นชุดแต่งงานมากเป็นอันดับต้นๆ นอกจากนี้ยังแยกย่อยเป็นดัชเชสซาตินที่มีเนื้อหนาและอยู่ตัว เหมาะกับชุดแต่งงานทุกทรง จะใช้เดี่ยวๆ ก็สวย ตกแต่งลูกไม้ก็เลิศ

ซิลค์ทาฟต้า

เช่นเดียวกับผ้าตระกูลซาติน ซิลค์ทาฟต้ามีความสวยหรูและอเนกประสงค์ มีหลายเนื้อ หลายน้ำหนัก บางชนิดอาจเงาเกินไป ทำให้ถ่ายรูปยาก หรือบางชนิดอาจมีเสียงเวลาเดิน เจ้าสาวขี้รำคาญควรหลีกเลี่ยง

เนื้อผ้าชุดแต่งงาน

ซิลค์ออร์แกนซา

เป็นเนื้อผ้าที่อยู่ตรงกลางระหว่างความหนักและซิลค์ซาตินและความเบาของซิลค์ทาฟต้า จึงเป็นผ้าที่ใช้ได้หลากหลายวัตถุประสงค์ ทั้งยังดูสะอาดตาร่วมสมัยเมื่อใช้เดี่ยวๆ และดูคลาสสิคเยาว์วัย เมื่อปักลูกปัดหรือปักประดับ แถมยังจับคู่กับผ้าชนิดอื่นๆ หรือผ้าลูกไม้ได้หลายสไตล์

ซิลค์จอร์เจีย

มักใช้จับเดรปช่วงกระโปรง และด้วยเนื้อผ้าที่บางเบาจึงใช้ทำกระโปรงระบายเป็นชั้นๆ หรือกระโปรงบานแบบเรียบที่เน้นใช้เนื้อผ้าสวยๆ

เนื้อผ้าชุดแต่งงาน

ซิลค์ชีฟอง

เป็นเนื้อผ้าบางเบา นิยมใช้ทำกระโปรงระบายเป็นชั้น มักใช้ตัดชุดแต่งงานช่วงเย็นมากกว่าช่วงพิธีการ เพราะเป็นผ้าซีทรู

ผ้าลูกไม้

นอกจากจะใช้ตกแต่งเพื่อความงดงามอ่อนหวานแล้ว สมัยนี้ยังนิยมใช้ผ้าลูกไม้ตัดทั้งชุดด้วย เช่น ลูกไม้ Venise Lace เป็นลูกไม้ลอยตัวที่ไม่มีผ้าตาข่ายเป็นพื้นหลัง

เนื้อผ้าชุดแต่งงาน

ผ้าที่นิยมใช้ในการตัดชุดแต่งงานหลักๆ เลยคือ ผ้าซิลค์ ซิลค์ทาฟต้า ผ้าลูกไม้ และผ้าทูล แต่นอกเหนือจากนี้ก็ยังมีการใช้วัสดุคุณภาพอื่นๆ มาเสริมเพื่อให้ชุดมีความพิเศษและดูแตกต่างด้วย ผ้าไหมอิตาลี นั้นมีคุณสมบัติที่ให้ฟอร์มและสร้างวอลลุ่มให้รูปร่างดีขึ้น คือ ช่วยสร้างเชปให้คนที่มีส่วนบกพร่องหรือรูปร่างผอมดูสมส่วนขึ้น ส่วนคนที่มีรูปร่างดีอยู่แล้วจะยิ่งดูเป๊ะ

ส่วน ซิลค์จำพวกชิฟฟอนหรือจอร์เจีย มีความทิ้งตัวและพลิ้วไหว ให้ความรู้สึกเป็นเฟมินีน เหมาะสำหรับผู้หญิงที่มีรูปร่างอวบขึ้นไป โดยสามารถใช้เทคนิคการจับเดรปเพื่อช่วยพรางจุดบกพร่องได้

และ ผ้าอิตาเลียนซิลค์ทาฟต้าหรือซิลค์ออร์แกนซ่า เป็นผ้าซึ่งเป็นที่นิยมตลอดกาลสำหรับชุดแต่งงาน หรือ ผ้าซิลค์เครปเนื้อหนา แบบที่แบรนด์ดังๆ อย่าง Lanvin ใช้เมื่อตัดเย็บออกมาก็มีทรงเสื้อที่ดูเป็นธรรมชาติ สวยงามแบบเบาๆ

ตามไปส่องชุดแต่งงานสวยๆ กันต่อเลย >>> 4 ลุคกับ 28 ชุดแต่งงานสวยๆ ที่เห็นแล้วอยากจะแต่งพรุ่งนี้เลย

ภาพ unsplash.com, pinterest.com

9 เทคนิคจัดงานแต่งงานให้ได้ดั่งใจ บ่าวสาวมีเวลาแค่ไหนก็รอด

เทคนิคจัดงานแต่งงาน ที่มีเวลาน้อยแค่ไหนก็จัดการได้แน่นอน

การเตรียมจัดงานแต่งงานถือว่าเป็นงานใหญ่งานช้างของว่าที่บ่าวสาวก็ว่าได้ บางคู่เตรียมงานกันล่วงหน้าเป็นปี เพราะอยากให้งานแต่งงานนั้นออกมาดูดีสมบูรณ์ไร้ที่ติให้มากที่สุด แต่ก็มีบางคู่ที่จะต้องรีบตบแต่งในเวลาอันรวดเร็ว เนื่องจากฤกษ์ดีภายในปีนี้ดันต้องแต่งในวันนี้เท่านั้น หรือบางคู่ก็อาจจะมีเหตุผลส่วนตัวที่ต้องแข่งกับเวลา แต่อย่าเพิ่งเสียอกเสียใจว่าเร็วขนาดนี้แล้วจะจัดงานแต่งยังไงให้ออกมาดูดี  เพราะแพรว wedding มี เทคนิคจัดงานแต่งงาน ดีๆ ที่ไม่ว่าเวลาจะน้อยแค่ไหนก็สามารถจัดงานแต่งงานออกมาได้ดั่งใจแน่นอน

1. ให้เวดดิ้งแพลนเนอร์เป็นผู้ช่วยคนสำคัญ

สิ่งแรกและสิ่งสำคัญที่บ่าวสาวต้องรีบทำและตัดสินใจคือ ตกลงกันว่าจะเลือกใช้เวดดิ้งแพลนเนอร์หรือไม่ เพราะการเลือกใช้เวดดิ้งแพลนเนอร์จะช่วยให้ว่าที่บ่าวสาวประหยัดเวลาและประหยัดงบประมาณได้ เนื่องจากแพลนเนอร์จะทำหน้าที่ในการหาซัพพลายเออร์ส่วนต่างๆ มาให้ รวมถึงงานโครงสร้างและการตกแต่งต่างๆ ภายในงาน  โดยสามารถทำให้อยู่ภายใต้งบประมาณที่บ่าวสาวมีได้

2. กำหนดงบประมาณให้ชัดเจน

งบประมาณเป็นสิ่งสำคัญที่จะช่วยกำหนดทิศทางงานแต่งงานของบ่าวสาวได้ ว่างานแต่งนั้นจะออกมารูปร่างหน้าตาเป็นอย่างไร ซึ่งหากคู่ไหนงบเยอะอยากจะถมดอกไม้ หรือฟูลไปด้วยพร๊อพก็ย่อมได้ แต่ถ้าคู่ไหนที่ดันได้ฤกษ์เร็วยังไม่พอ งบที่มีดันครึ่งๆ กลางๆ ไม่รู้ว่างานจะออกมาได้อย่างที่ใจคิดหรือไม่ ไม่เป็นไรค่ะ อย่ากังวลใจไป ลองมาเช็กลิสต์กันทีละหัวข้อเลยว่า สิ่งไหนจำเป็นที่จะต้องมีในงาน และสิ่งไหนไม่จำเป็น แบบว่าไม่ต้องมีก็ได้ แล้วกำหนดงบไปให้ชัดเจนเลยว่า ‘ฉันจะจัดงานแต่งงานด้วยงบจำนวนนี้’ จากนั้นนำงบที่มีไปปรึกษากับเวดดิ้งแพลนเนอร์โลด

3. รีบจบลิสต์รายชื่อแขก

ลิสต์รายชื่อแขกจะเป็นตัวกำหนดสถานที่ให้กับบ่าวสาวได้เป็นอย่างดี และถ้าหากว่าที่บ่าวสาวมีสถานที่จัดงานแต่งในใจอยู่แล้ว และสถานที่นั้นจำกัดจำนวนแขก บ่าวสาวอาจจะต้องตัดใจเลือกเชิญแขกเฉพาะสมาชิกในครอบครัว ญาติ และเพื่อนสนิท รวมถึงคนที่มีความใกล้ชิดกับคุณมากๆ เท่านั้น

แต่ถ้าสถานที่นั้นไม่ได้จำกัดจำนวนคน บ่าวสาวก็อาจจะต้องมาประเมินว่างบประมาณที่วางไว้นั้นจะสามารถดูแลและรองรับแขกได้จำนวนกี่ท่าน ซึ่งถ้าหากงบที่มีไม่สามารถดูแลแขกทั้งหมดในลิสต์รายชื่อได้ ก็อาจจะต้องเลือกเชิญจากแขกที่มีความสำคัญมากที่สุดก่อน

4. ตัดสินใจเรื่องสถานที่

เร็วขนาดนี้สถานที่ไหนยังจะเหลือพอให้คู่เราพอจะจัดงานแต่งได้บ้างนะ!! ถ้าเป็นสถานที่ฮอตฮิตเราบอกเลยว่าอาจจะไม่เหลือ เพราะฉะนั้นว่าที่บ่าวสาวอาจจะมองหาสถานที่แต่งงานทางเลือกอย่างเช่น ร้านอาหาร หรือสโมสรต่างๆ ที่อาจจะไม่ได้ฮอตฮิตเท่าโรงแรมหรูระดับ 5 ดาว แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นก็ต้องเลือกให้เข้ากับงบประมาณ และแขกที่จะเชิญมางานด้วยนะ รวมถึงบริการและบรรยากาศของสถานที่ก็ต้องดูดีด้วย เพราะถึงแม้จะมีเวลาเตรียมงานกระชั้นชิดแค่ไหน แต่งานสำคัญที่มีแค่ครั้งเดียวก็ต้องใส่ใจเลือกสิ่งที่ดีที่สุดในตัวเลือกที่จำกัดให้ได้จริงไหมคะ

5. รีบกระจายข่าว

รีบแจ้งรายละเอียดสำคัญ เช่น วัน เวลา และสถานที่ให้กับแขกที่จะมาร่วมงาน ซึ่งในที่นี้บ่าวสาวอาจจะต้องเผื่อใจไว้สักนิดว่า ด้วยเวลาที่กระชั้นชิดอาจจะทำให้แขกบางท่านไม่สามารถมาร่วมงานแต่งได้ ด้วยอาจจะติดธุระที่นัดไว้ก่อนหน้าแล้ว เพราะฉะนั้นเมื่อได้วันมาแล้ว โดยที่อาจจะยังไม่ได้สถานที่ก็ได้ บ่าวสาวควรจะรีบวันให้กับแขกได้ทราบก่อน เพื่อที่จะได้รู้ว่าแขกท่านใดที่สะดวกมาร่วมงานตามวันฤกษ์ดีของบ่าวสาวได้บ้าง ซึ่งจะช่วยให้บ่าวสาวประเมินจำแขกคร่าวๆ และง่ายต่อการเลือกสถานที่อีกด้วย

6. รีบจองช่างภาพและช่างวิดีโอ

งานสำคัญในชีวิตทั้งทีจะไม่มีภาพความประทับใจบันทึกไว้ได้ยังไงจริงไหมคะ เพราะฉะนั้นช่างภาพ กับช่างวิดีโอจึงเป็นสิ่งจำเป็นที่บ่าวสาวจะต้องมองหาไว้ตั้งแต่เนิ่นๆ เช่นกัน หากได้วันที่แน่นอนแล้วรีบจองคิวไว้เลยก็ดี และอย่าลืมมองหาช่างมืออาชีพด้วยนะ จะได้ไม่ต้องมานั่งเสียใจว่าเลือกพลาด … เพราะย้อนเวลากลับมาแต่งใหม่ไม่ได้แล้วน้า

7. สรุปงานกับทีมงานต่างๆ

หากว่าที่บ่าวสาวไม่ได้เลือกใช้บริการเวดดิ้งแพลนเนอร์ก็อาจจะต้องหัวหมุนกันสักนิด เพราะคุณจะต้องเป็นผู้จัดการเรื่องต่างๆ ตั้งแต่หาข้อมูล จองคิว และคอนเฟิร์ม เช่น อาหาร, แคเทอริ่ง, ทีมดอกไม้ รวมไปถึงช่างแต่งหน้า-ทำผม เพราะฉะนั้นบ่าวสาวอาจจะต้องทำลิสต์รายการดีๆ ว่าอยากให้มีสิ่งไหนในงานแต่งบ้าง โดยเลือกทำจากสิ่งที่มีความสำคัญเป็นลำดับแรกก่อน

8. ความบันเทิงในงานแต่ง

งานแต่งงานที่ขาดความบันเทิงก็เหมือนจะดูไร้สีสันไปสักนิด เพราะฉะนั้นเสียงเพลง จึงดูเหมือนจะเป็นสิ่งที่ช่วยสร้างบรรยากาศให้งานแต่งดูครึกครื้นขึ้นมาได้ ไม่ว่าจะเป็น การเปิดแผ่น การจ้างวงดนตรี หรือจะหาดีเจมาเล่นในช่วงอาฟเตอร์ปาร์ตี้ก็ตาม แต่ถ้าหากงานแต่งของบ่าวสาวกระชั้นชิด และคุณต้องวุ่นวายกับการเตรียมงานในส่วนอื่นมากมาย เราขอแนะนำให้คุณลิสต์เพลงไว้แล้วไรท์ลงแผ่นซีดีเพื่อใช้เปิดในวันงานจะเป็นอะไรที่สะดวกสำหรับว่าที่บ่าวสาวที่สุดค่า

9. ช็อปปิ้ง!!

สุดท้าย…ได้เวลาช็อปปิ้งแล้วจ้า!! ซึ่งข้อนี้ดูเหมือนว่าจะน่าสนใจที่สุด เพราะเกี่ยวกับความสวยหล่อของว่าที่บ่าวสาวล้วน ไม่ว่าจะเป็น ชุดแต่งงาน ชุดสูท หรือแอคเซสซอรี่ต่างๆ จากนั้นก็แค่ทำใจให้ปลอดโปร่งแล้ว enjoy ไปกับวันที่แสนพิเศษของคุณ

เป็นไงบ้างคะกับ 9 เทคนิคที่เรานำมาฝาก คราวนี้ไม่ว่าคุณจะมีเวลากระชั้นชิดแค่ไหน เพียงแค่ไล่ทำตามทีละสเต็ปก็สามารถเนรมิตงานแต่งงานให้ออกมาได้ดั่งใจได้แล้ว แต่ถ้าบ่าวสาวกลัวว่าทั้ง 9 ข้อนี้ยังไม่พอ เรายังมีเทคนิคเด็ดๆ รอคุณว่าที่อยู่อีก ตามนี้เลย >>> 20 เทคนิคจัดงานแต่งงานให้ดูดี และน่าจดจำไปชั่วนิรันดร์ฟอร์เอเวอร์

ภาพ unsplash.com, pinterest

มาดูวิธี เตรียมตัวเจ้าบ่าว เสริมหล่อให้เจ้าบ่าวเท่เว่อร์สมกับเจ้าสาวกันเถอะ

เจ้าสาวเตรียมสวยมาเยอะแล้ว อย่าลืม เตรียมตัวเจ้าบ่าว ให้หล่อเท่สมกันด้วยละคะ เรามาบอกสิ่งที่เจ้าบ่าวต้องทำเพื่อเสริมความหล่อตั้งแต่หัวจรดเท้าให้ทันวันสำคัญกันแล้ว

มา เตรียมตัวเจ้าบ่าว ของเราให้หล่อที่สุดในงานกันเถอะ! เพราะใครๆก็พูดถึงแต่การเตรียมตัวเจ้าสาว แต่พอหันมามองเจ้าบ่าวของเราละ? เจ้าบ่าวหลายคนมัวแต่ยุ่งวุ่นวายกับการเตรียมงานไม่แพ้เจ้าสาว แถมเป็นผู้ชายก็เลยอาจจะไม่ได้ใส่ใจจะดูแลตัวเองเท่าเจ้าสาว แต่ถ้าในวันงานเจ้าสาวสวยเจิด แต่เจ้าบ่าวดูโทรมก็ไม่เข้ากันนะคะ เรามาบอกขั้นตอนการเสริมหล่อของเจ้าบ่าวให้หล่อเท่ห์ที่สุดในงานสมกับความสวยเป๊ะปังของเจ้าสาว มาดูกันว่ามีอะไรบ้าง

1. ประมาณหกเดือนก่อนวันงาน ออกกำลังกาย เพราะว่าผู้ชายมีฮอร์โมนที่ช่วยสร้างกล้ามเนื้อและลดน้ำหนักง่ายกว่าผู้หญิง ผู้ชายก็เลยสามารถใช้เวลาสั้นกว่าเพื่อสร้างหุ่นที่ดูฟิตเฟิร์มได้ แต่คุณเจ้าบ่าวก็ต้องมีวินัยไม่แพ้กันนะคะ

2. ประมาณ 9-6 เดือนก่อนวันงาน ทำทรีตเม้นต์ดูแลผิวหน้า อย่าลืมนะคะว่าในวันจริงนั้นเจ้าบ่าวไม่สามารถพึ่งพาการปกปิดผิวหน้าด้วยเมกอัพได้มากเท่าเจ้าสาว เพราะฉะนั้นการทำทรีตเม้นต์ผิวหน้าเพื่อแก้ปัญหาอย่างผิวไม่เรียบเนียนหรือหน้าไม่กระชับ ก็น่าสนใจนะคะ โดยคุณเจ้าบ่าวสามารถจูงมือกับคุณเจ้าสาวเข้าไปปรึกษาคุณหมอแบบแพ็คคู่เลยก็ได้ค่ะ

3. ประมาณ 4-5 เดือนก่อนงาน เลเซอร์กำจัดขน ถ้าหากคุณว่าที่เจ้าบ่าวอยากกำจัดขนบนใบหน้าด้วยวิธีเลเซอร์ ควรทำก่อนวันงานประมาณ 4-5 เดือนอย่างช้า เพราะทรีตเม้นต์เหล่านี้ต้องทิ้งห่างระยะเวลาต่อครั้ง และต้องทำอย่างต่ำ 3 ครั้งกว่าจะเห็นผลที่ชัดเจนค่ะ

4. ใส่ใจกับการใช้สกินแคร์บำรุงผิวหน้า  ว่าที่เจ้าบ่าวคนไหนที่ดูแตัวเองอยู่แล้ว ข้อนี้อาจจะไม่ต้องห่วง แต่ถ้าใครที่ไม่เคยได้ดูแลตัวเองเล๊ยยย ช่วงนี้คุณอาจจะต้องเริ่มบ้างแล้ว ลองให้คุณว่าที่เจ้าสาวหาสกินแคร์ดีๆ สักชิ้น มาลองใช้สิคะ และอย่าลืมทาครีมกันแดดก่อนออกจากบ้านทุกเช้า ใครที่เคยล้างหน้าผ่านๆ ก็ลองใส่ใจกับการทำความสะอาดผิวหน้ามากขึ้น แค่นี้คุณก็จะรู้สึกได้เลยว่าผิวดีขึ้นจริงๆค่ะ

5. ประมาณ 1 เดือนก่อนวันงาน ขูดหินปูนและฟอกฟันขาว ถ้าหากคุณซื้อเซทฟอกฟันขาวแบบเอากลับมาทำเองที่บ้าน อาจจะใช้เวลาประมาณ 2 อาทิตย์ ถึง 1 เดือนกว่าจะได้ฟันขาวสมใจ แต่ถ้าคุณใช้บริการฟอกฟันขาวที่คลินิก ก็สามารถทำแค่ครั้งเดียวเห็นผล (แต่แน่นอนว่าราคาก็แพงกว่า) ควรทำก่อนวันแต่งงานประมาณเดือนนึงเช่นกันค่ะ

6.  ประมาณ 3 วัน ก่อนวันงาน เข้าซาลอนกรูมมิ่งผมและหนวด เดี๋ยวนี้มีซาลอนสำหรับผู้ชายโดยเฉพาะมากมาย ว่าที่เจ้าบ่าวทั้งหลายก็สามารถเข้าไปใช้บริการ ตัดผม โกนหนวด กันจอน และจัดการกับขนบริเวณใบหน้าได้เสร็จสรรพ ถ้าหากไม่มีสไตล์ชัดเจนที่ต้องการ ลองปรึกษาว่าที่เจ้าสาว หรือช่างตัดผมของคุณก็ได้ค่ะ

7. หนึ่งวันก่อนวันงาน ทำเล็บมือ อย่าคิดว่าเล็บมือเจ้าบ่าวไม่สำคัญนะคะ เพราะช็อตเจ้าสาวสวมแหวนให้เจ้าบ่าวหากเล็บยาวซอกเล็บไม่สะอาดก็ดูพังได้ จูงมือกันกับเจ้าสาวของเรานี่แหละค่ะ เข้าซาลอนทำเล็บไปพร้อมๆกันเลย อย่าได้อาย เดี๋ยวนี้ผู้ชายทำเล็บเยอะแยะไปค่ะ

ได้เคล็ดลับเพื่อเสริมหล่อกันไปเยอะแล้ว ขอให้คุณว่าที่เจ้าบ่าวหล่อเท่ห์ที่สุดในวันงานสำคัญนะคะ และถ้าหากคุณว่าที่เจ้าสาวเป็นผู้เจอบทความนี้แล้วรู้สึกโดนใจ๊ โดนใจ อย่าลืมแชร์แล้วแท็คว่าที่เจ้าบ่าวของเราให้รู้ตัวด้วยล่ะ อิอิ

ป.ล. ว่าที่เจ้าสาวทั้งหลายที่อยากรู้บ้างว่าต้องเตรียมตัวสวยยังไง คลิกอ่านที่นี่เลยค่ะ 

Credit Photo: moncheribridals.com, whimsicalwonderlandweddings.com, weddingsparrow.com

6 ทิปส์วางแผนเลือก ชุดเพื่อนเจ้าสาว ให้สวยทันวันวิวาห์พอดี

ชุดเพื่อนเจ้าสาว ความไม่ลงตัวที่หลายกลุ่มปวดหัวเพราะเลือกไม่ถูก … มาฟังทิปส์ดีๆ จากเรากันค่ะ

เมื่อถึงเวลาที่สาวๆ จะต้องเลือก ชุดเพื่อนเจ้าสาว นี่ก็ปวดหัวพอๆ กับที่เจ้าสาวเลือกชุดแต่งงานเลยนะ เพราะแต่ละคนก็มีข้อจำกัดของตัวเองที่แตกต่างกัน ไม่ว่าจะเป็นเรื่องงบประมาณ ลักษณะรูปร่าง รวมไปถึงสไตล์และความชอบที่ไม่เหมือนกันของแต่ละคน ช่วงเวลานี้จึงเหมือนเป็นช่วงเวลาที่ท้าทายว่าจะตัดสินใจเลือกกันอย่างไร จนทำให้หลายแก๊งถึงขั้นกุมขมับเพราะความเครียดไปตามๆ กัน แพรว wedding เลยอาสามาไกล่เกลี่ยพร้อมยุติข้อโต้เถียงในวงสนทนาด้วยเทคนิคการเลือกชุดเพื่อนเจ้าสาวแบบมืออาชีพให้แฮปปี้กันทั้งกลุ่มมาฝาก

ท่องโลกออนไลน์

ก่อนอื่นสำรวจรูปร่างของตัวเองก่อนว่า คุณมีหุ่นแบบไหน เช่น หุ่นตรง หุ่นลูกแพร์ หรือหุ่นแบบนาฬิกาทราย จากนั้นลองหาข้อมูลในอินเทอร์เน็ตว่ารูปร่างแบบคุณนั้นเหมาะกับการใส่ชุดแบบไหนมากที่สุด เพื่อให้ง่ายต่อการจำกัดรูปแบบของชุดที่คุณจะเลือก ซึ่งขั้นตอนนี้อาจจะนัดวันที่สาวๆ ในแก๊งว่างตรงกันแล้วชวนกันไปท่องโลกอินเทอร์เน็ตพร้อมกันเลยก็ได้ เพราะนอกจากจะประหยัดเวลาในการเลือกรูปแบบชุดแล้ว ยังประหยัดเวลาในการส่งข้อความหากันอีกด้วย

เปิดกระเป๋าตังค์คุยถึงงบประมาณที่มี

ถึงแม้ว่าจะเป็นงานแต่งงานของเพื่อน แต่สิ่งนี้ก็เหมือนจรวดมิดไซน์ชั้นดีที่พร้อมจะระเบิดกระเป๋าตังค์เพื่อนเจ้าสาว และแน่นอนว่าเรื่องเงินๆ ทองๆ ไม่เข้าใครออกใคร และอาจเป็นเรื่องยากที่จะเปิดเผยต่อสาวๆ คนอื่นในแก๊งว่า ‘แกๆ ฉันมีงบอยู่เท่านี้เอง’ ก็แหม ฟังจากที่เพื่อนแต่ละคนพูดก็ดูจะใช้งบมหาศาลอยู่ในการสร้างลุค แต่ครั้นจะโพล่งประโยคนั้นออกไปก็กลัวว่าจะทำให้เสียบรรยากาศ แต่อย่าเพิ่งท้อแท้ใจว่าฉันจะต้องถึงขั้นไปกู้หนี้ยืมสินเพื่อมาแต่งตัวเป็นเพื่อนเจ้าสาวหรือเปล่า ก็ไม่ถึงขนาดนั้นหรอกค่ะ เพราะเพียงแค่คุณยอมเอ่ยปากบอกเพื่อนสาวตรงๆ ถึงงบที่มี เราเชื่อว่าเพื่อนที่ดีย่อมต้องเข้าใจเพื่อนจริงไหมคะ แถมปัจจุบันสาวๆ ก็มีทางเลือกมากมาย เพราะมีร้านชุดหรือแบรนด์ต่างๆ ที่มีชุดราตรีสำเร็จรูปพร้อมใส่ดีไซน์เก๋ผุดขึ้นมาเป็นดอกเห็ดให้ได้เลือกกัน แถมถ้าทำการบ้านดีๆ งานนี้อาจจะได้เสื้อผ้าดีๆ ในราคาไม่แพงด้วย

อย่าลืมคิดถึงค่าใช้จ่ายสำรองในกรณีมีการเปลี่ยนแปลงชุด

งบการเปลี่ยนแปลงชุดในที่นี้ก็ได้แก่ ซื้อชุดใหม่มาแต่ต้องนำไปแก้ทรงให้พอดีกับรูปร่างหรือความสูง ซึ่งกรณีอาจจะเกิดขึ้นในกรณีที่คุณซื้อชุดจากทางร้าน หรือสั่งชุดผ่านทางออนไลน์ เพราะฉะนั้นก็อย่าลืมปันงบในส่วนนี้กันไว้ด้วยนะ และอีกหนึ่งอย่างที่เราอยากฝากถึงสาวๆ ก็คือ หากได้ชุดหรือไปลองชุดกันแล้วก็อย่าลืมใส่รองเท้าส้นสูงที่จะใส่ในวันงาน หรือที่มีความสูงเท่ากับคู่ที่จะใส่ในวันนั้นด้วย เผื่อที่จะได้ทราบว่าความยาวของชุดกับความสูงของรองเท้านั้นสมดุลพอดีกันหรือไม่ ส่วนใครที่อยากจะใส่แอคเซสซอรี่เพิ่มเติมก็ติดไปวันลองชุดด้วยเลยจะได้รู้ว่าเวิร์กหรือเปล่า

ชุดเพื่อนเจ้าสาว

เลือกชุดไว้ล่วงหน้าก่อนวันงานให้นานสักหน่อย

ชุดเพื่อนเจ้าสาวก็มีกฎคล้ายๆ กับการเลือกชุดเจ้าสาวนั่นแหละ ซึ่งก็คือการมองหาและเตรียมการไว้ล่วงหน้าก่อนที่งานจะมาถึงตั้งแต่เนิ่นๆ ยิ่งถ้าหากแก๊งคุณใช้บริการตัดชุดใหม่ด้วยแล้ว ยิ่งต้องเผื่อเวลาให้ดี เพราะการตัดชุดใหม่นี้จะเต็มไปด้วยดีเทลและขั้นตอนต่างๆ เริ่มตั้งแต่ การเลือกแบบ เลือกเนื้อผ้า เลือกช่างหรือร้าน นัดวัดตัว ปรับแก้ทรง 1-2 ครั้ง และนัดรับชุด หรือหากในกรณีที่สั่งชุดผ่านทางออนไลน์ ก็ต้องรีเช็กกับทางร้านให้ดีว่า มีไซส์พอสำหรับทุกคนในกลุ่มหรือไม่ และหากออเดอร์ไปแล้วจะได้รับชุดวันไหน ซึ่งตรงนี้อย่าลืมคิดเผื่อกันด้วยนะ ในกรณีที่ได้ชุดมาแล้วอาจจะไม่พอดีกับรูปร่าง เพราะนั่นหมายความว่าคุณจะต้องวิ่งหาร้านหรือช่างเพื่อแก้ไขทรงกันอีก

เลือกสไตล์ชุดให้เกียรติเจ้าสาวด้วย

แน่นอนว่าวันสำคัญของเพื่อนใครๆ ก็อยากสวยเพราะต้องถ่ายภาพด้วยกันเป็นที่ระลึก แต่เราว่าสวยแต่พองาม ทำแต่พอดีน่าจะเวิร์กกว่านะคะ เพราะนี่ไม่ใช่งานแต่งงานของคุณ เพราะคนที่ต้องสวยและโดดเด่นที่สุดในงานคือ เจ้าสาว ดังนั้นทางที่ดีสาวๆ ควรเปิดใจรับฟังไอเดียจากเจ้าสาวด้วย เช่น เจ้าสาวอยากให้เพื่อนๆ แต่ตัวด้วยสีนี้ เนื้อผ้าแบบนี้ จากนั้นเพื่อนๆ ก็แค่รับโจทย์มาแล้วนำไปปรับให้เป็นสไตล์ที่เหมาะสมกับทุกคนในแก๊ง แบบนี้แฮปปี้ทั้งสองฝ่าย

ชุดชั้นในต้องแมตช์กับชุดที่ใส่ด้วย

ชุดสวยแต่ต้องมาพังเพราะชุดชั้นในที่ไม่เข้ากันก็เป็นอันจบ! เพราะฉะนั้นสาวๆ อย่าลืมเตรียมชุดชั้นในที่จะใส่กับชุดในวันงานไปลองชุดกันด้วยนะ เช่น ชุดชั้นในแบบเกาะอก หรืออันเดอร์แวร์แบบไร้ขอบ เป็นต้น เพราะชุดชั้นในเหล่านี้จะเป็นสิ่งที่ช่วยซัพพอร์ตรูปทรง สี และเนคไลน์ของชุดได้ และยังช่วยให้สาวๆ เห็นภาพรวมของตัวเองได้มากที่สุด ซึ่งเฉดสีที่เหมาะสมที่สุดคือสีนู้ดแบบเรียบๆ เพราะสามารถพรางไปกับทุกสีได้เป็นอย่างดีจ้า

รวมร้านเช่าชุดเพื่อนเจ้าสาวสวยงามอลังการ ราคาแค่หลักร้อยถึงหลักพัน

ภาพ brides, pinterest

ถ้าหากสี ชุดแต่งงานสวยๆ ไม่ใช่สีขาวล่ะ จะเป็นสีไหนได้บ้างน้า?

เบื่อไหม กับชุดแต่งงานสีขาว แล้ว ชุดแต่งงานสวยๆ ที่ไม่ใช่สีขาว จะเป็นสีอะไรได้บ้างนะ?

เฉดสี ชุดแต่งงานสวยๆ ของเจ้าสาวสมัยใหม่ในยุคเจเนอเรชั่นวายในปัจจุบันนี้มีความเป็นตัวเองสุดๆ เต็มไปด้วยความคิดสร้างสรรค์ จึงทำในสิ่งที่ชอบ สิ่งที่รัก และกล้าแสดงออกทางความคิดกันมากขึ้น เพราะฉะนั้นเมื่อถึงช่วงเวลาเตรียมตัวสำหรับวันแต่งงาน จึงไม่พลาดที่จะทุ่มเทและดีไซน์ให้งานแต่งที่สำคัญเป็นที่น่าจดจำ โดยเฉพาะสีของชุดแต่งงานที่ต้องแตกต่างและโดดเด่นจากขนบธรรมเนียมเดิม ผสมผสานความเป็นสากล และแฝงไปด้วยเอกลักษณ์ของเจ้าสาว

แพรว wedding เลยจะมาแนะนำสีชุดแต่งงานเจ้าสาวสมัยใหม่ที่ไม่ใช่สีขาวดั้งเดิมแบบทั่วไป แต่เป็นโทนสีที่คงความอ่อนหวานและบริสุทธิ์ไม่แพ้กับชุดแต่งงานสีขาวเลยทีเดียว แต่สุดท้ายแล้วไม่ว่าชุดแต่งงานของคุณจะเป็นสีอะไร เพียงแค่เลือกให้เหมาะกับสิ่งที่ชอบและสื่อถึงไลฟ์สไตล์ของว่าที่เจ้าสาวก็พอแล้ว

Glittery Gold Color

เป็นสีที่โดดเด่นจากสีทองปกติ เพราะเพิ่มความแวววาวให้เดรสดูเปล่งประกาย ขับเน้นให้เจ้าสาวมีออร่าและหรูหรา รับรองได้ว่าคุณจะโดดเด่นที่สุดในงานเลยล่ะ

ชุดแต่งงานสวยๆ


Glittery and White Color

เป็นเดรสที่แบ่งท่อนบนและท่อนล่างออกจากกัน โดนท่อนบนเป็นเสื้อแขนล้ำสีเทาประดับด้วยกลิตเตอร์ระยิบระยับ และกระโปรงสีขาวชายลากยาวแบบหางปลา ด้วยสีและเนื้อผ้าทั้งสองที่ตัดกันนี้จึงทำให้เจ้าสาวมีลุคที่เซ็กซี่และดูแพง

ชุดแต่งงานสวยๆ


Silver Color

ลุคนี้ก็ไม่ใช่เดรสเช่นกัน กับชุดแต่งงานแบบสองชิ้น ด้านบนเป็นเสื้อแขนสั้นเอวลอยประดับลูกไม้ในเฉดสีเทา-เงิน ส่วนกระโปรงดีไซน์แบบเอวสูงเพื่อให้รับกับตัวเสื้อ พร้อมเพิ่มกิมมิกอย่างเช่นกระเป๋าที่ตัวกระโปรงอีกด้วย แถมชุดนี้ยังเป็นการเลือกแมตช์เฉดสีเทา-เงินในสองเฉดสีไว้ด้วยกันได้อย่างลงตัวระหว่างช่วงบนและช่วงล่าง เป็นอีกหนึ่งลุคที่จะทำให้เจ้าสาวมีลุคสุดลุคที่ชิค

สีชุดแต่งงานเจ้าสาวสมัยใหม่


Gray Color

การผสมผสานระหว่างสีเทาที่แม้จะดูหม่นหมอง แต่การเลือกใช้เฉดสีเทาอ่อนกับดีไซน์ของชุดแต่งงานเกาะอกทรงบอลกาวน์ ก็ช่วยให้ลุคนี้ของเจ้าสาวดูนุ่มนวลขึ้น เหมาะกับว่าที่เจ้าสาวที่อยากได้ลุคสวยสง่าเรียบหรูดั่งเช่นเจ้าหญิงในเทพนิยาย

สีชุดแต่งงานเจ้าสาวสมัยใหม่

Gold Color

เมื่อพูดถึงสีทอง เราก็จะคิดถึงความแพงและความหรูหรา และให้ความรู้สึกที่ดูวินเทจนิดๆ ในสไตล์อารมณ์แบบชุดจากยุคแกตส์บี้ อย่างเช่นชุดแต่งงานชุดนี้ที่ประดับเลื่อมและกลิตเตอร์ระยิบระยับ กับดีไซน์ชุดแต่งงานแบบคอกลม ช่วงอกเป็นซีทรูเผยความเซ็กซี่ พร้อมตัวแขนเสื้อแบบสี่ส่วนสุดทันสมัย

สีชุดแต่งงานเจ้าสาวสมัยใหม่


Milky White Color

เป็นโทนสีขาวนมที่นุ่มนวล แล้วเพิ่มความอ่อนหวานด้วยลวดลายของดอกไม้สีแดงและส้ม รวมทั้งลายพฤกษาทั่วทั้งชุด ทำให้ลุคนี้ของเจ้าสาวเต็มไปด้วยความอ่อนหวาน โรแมนติก และพร้อมดึงดูดทุกสายตาให้กับความแตกต่างที่โดดเด่นและลงตัวของชุดแต่งงานแบบสองชิ้น ด้านในเป็นเดรสสายเดี่ยว คลุมทับด้วยเสื้อคลุมซีทรูพร้อมดอกไม้ในลวดลายเดียวกัน

สีชุดแต่งงานเจ้าสาวสมัยใหม่


Light Blue Color

ชุดเดรสสีฟ้าอ่อน ซ้อนทับด้วยผ้าโปร่งประดับด้วยลูกไม้สีขาว มาพร้อมดีไซน์แบบคอกลมและแขนกุดสุดเรียบง่าย เสริมลุคนี้ให้ดูหรูด้วยเวลลากยาวเฉดสีครีมที่เข้ากับสีฟ้าของชุดได้เป็นอย่างดี รับกับผมเปียสุดน่ารัก ทำให้เจ้าสาวงดงามดั่งเช่นเทพธิดากรีกเลยทีเดียว

สีชุดแต่งงานเจ้าสาวสมัยใหม่


Nude Color

สีนู้ดเป็นอีกสีทางเลือกของว่าที่เจ้าสาวที่ไม่ต้องการชุดแต่งงานสีขาวแบบเดิมๆ แถมยังเป็นเฉดสีที่ให้ลุคเป็นธรรมชาติและดูอบอุ่น แต่เราอยากแนะนำให้ชุดเจ้าสาวนั้นดูแตกต่างมากกว่าเดิม ด้วยการสวมเสื้อท่อนบนสีขาวประดับลูกไม้แบบแขนสามส่วน แมตช์กับกระโปรงทรงเอไลน์ที่เป็นทรงที่เจ้าสาวนิยมใส่กันมากที่สุด ก็จะได้ลุคเรียบง่ายและน่ารักในชุดเดียวกัน แถมถ้าเลือกตัดแบบแยกชิ้น ยังสามารถนำไปใส่ได้ในโอกาสอื่นๆ อีกด้วย

สีชุดแต่งงานเจ้าสาวสมัยใหม่

สีชุดแต่งงานเจ้าสาวสมัยใหม่ที่เราคัดมาเพื่อให้เจ้าสาวดูโดดเด่นนี้ คงจะเป็นทางเลือกที่ดีให้กับว่าที่เจ้าสาวกันนะคะ นอกจากนี้เรายังมี 5 สีชุดแต่งงานไม่ขาวแต่เจิด ตามไปดูและเลือกให้เข้ากับสไตล์นะ >//<

ภาพจาก Pinterest

ปกสูทเจ้าบ่าว 3 ประเภทและฟังก์ชั่นการใช้งานที่เจ้าบ่าวต้องรู้

ถึงแม้จะเป็นแค่ สูทเจ้าบ่าว ธรรมดาแต่ต้องใส่ใจและรู้เรื่องนี้ไว้นะ

แน่นอนว่าถึงแม้จะเป็นแค่ สูทเจ้าบ่าว ธรรมดา แต่ก็ไม่ใช่ว่าสูททุกตัวจะเหมือนกันหมดนะ เพราะสูทนั้นก็มีหลากแบบหลายสไตล์เช่นกัน ไม่ว่าจะเป็น สูท ทักซิโด หรือแจ็คเกตสูท แต่แพรว wedding ขอเจาะลึกมากไปกว่านั้น กับการแยกประเภทของปกเสื้อสูท 3 แบบ 3 สไตล์มาฝาก งานนี้หนุ่มๆ ที่เป็นเจ้าบ่าว หรือแก๊งเพื่อนเจ้าบ่าว หรือหนุ่มๆ ที่ได้รับการ์ดเชิญไปเป็นแขก ก็จะได้เลือกรูปแบบสูทให้ถูกต้องและเหมาะกับตัวเอง รวมไปถึงการแมตช์แอคเซสซอรี่ให้เหมาะกับสูทแต่ละแบบด้วย

 

Shawl Lapel

เป็นปกที่มีความโค้งมนเป็นชิ้นเดียวกันโดยที่ไม่มีปกทั้งด้านบนและด้านล่าง เป็นสูทกระดุมสองแถว (Double Breasted) เท่านั้น เหมาะกับการออกงานกลางคือ เช่น การไปดินเนอร์สุดหรู การเดินพรมแดงของเหล่าดาราฮอลลีวู้ด หรือลุคเจ้าบ่าวที่หล่อเนี้ยบ แต่ข้อจำกัดของปกสูทประเภทนี้คือ  ไม่เหมาะกับชายหนุ่มที่มีรูปหน้ากลม เพราะความโค้งมนของปกสูทจะรับกับรูปหน้าและยิ่งเน้นให้เห็นรูปหน้าที่กลมอย่างเด่นชัด และไม่เหมาะกับคนเจ้าเนื้อที่รูปร่างไม่สูงโปร่งเท่าไรนัก ปกสูทชนิดนี้จำเป็นต้องใส่โบไทเสมอ ห้ามใส่กับเนคไทเด็ดขาด แต่อาจเพิ่มลูกเล่นด้วยการเหน็บบูโทเนียร์หรือพ็อคเกตสแควร์ โดยส่วนตัวขอแนะนำให้ซื้อสูท Shawl Lapel สีดำที่เพิ่มลูกเล่นบริเวณปกโดยทริมขอบสีให้แตกต่างกันกับตัวเสื้อก็ได้ และถ้าปกเสื้อทำมาจากวัสดุประเภทอื่นที่ไม่ใช่แบบเดียวกันกับตัวเสื้อ เช่น หนังหรือผ้าสักหลาด มันจะเปลี่ยนเป็นทักซิโดทันที สูทประเภทนี้ต้องอาศัยการลองด้วยตัวเอง หรือตัดใหม่ให้เข้ากับรูปร่าง เพราะควรเป็นทรงที่เข้ากับรูปร่างของคุณ รวมทั้งตำแหน่งกระเป๋า รังดุม ที่ต้องอาศัยการวัดจุดต่อจุด ดังนั้น หากใครสนใจสูทที่มีปกประเภทนี้แนะนำให้ไปร้านเทเลอร์เพื่อลอง หรือดีที่สุดคือวัดตัวตัดใหม่เพื่อให้เข้ากับรูปร่างของคุณ

สูทเจ้าบ่าว

การใส่สูทประเภทนี้ คุณต้องสวมเสื้อเชิ้ตคอวิงเท่านั้นเพื่อให้รับกับโบไท และคุณอาจจะสไตลิ่งตัวเองเพิ่มเติมด้วยหมวกทรงสูงหรือไม้เท้า แต่อยากให้เลือกคุมโทนสีเพื่อให้ดูคลาสสิคที่สุด โดยอาจจะเลือกลุคนี้ถ่ายภาพที่แบ็กดร็อป หรือถ่ายพรีเวดดิ้งก็ดูเก๋มีสไตล์ดีนะคะ

“สำหรับไซส์ที่แน่นอนจะอยู่ระหว่าง 14-20 นิ้ว การผูกโบไทต้องไม่หลวมหรือแน่นจนหายใจไม่ออก วิธีวัดก็คือ คุณควรสามารถเอานิ้วชี้สอดเข้าไประหว่างคอและสายโบไทได้”

รู้ให้จริงก่อนโยนดอกไม้ พร้อมวิธีส่งต่อความสุขให้ถึงมือคนโสด

โยนดอกไม้…ทำไมต้องโยน? แล้วจะโยนช่อดอกไม้ให้เพื่อนสาวได้ยังไงบ้าง เราพร้อมตอบทุกข้อสงสัยแล้ว

หลายคนคงจะสงสัยกันใช่ไหมล่ะว่าทำไมในตอนท้ายของงานฉลองมงคลสมรสจะต้องมีการ โยนดอกไม้ ด้วย ไม่โยนไม่ได้เหรอ แล้วทำไมเวลาโยนทีไร สาวโสดทั้งหลายจะต้องแย่งกันออกไปรับรับทุกที วันนี้เราจะมาไขปริศนาให้หนุ่มๆ สาวๆ หายสงสัยพร้อมแนะวิธีโยนดอกไม้ถึงมือสาวโสดคนต่อไป

ทำไมถึงโยนช่อดอกไม้?

ต้องบอกก่อนว่าในอดีตดอกไม้ที่เราเห็นกันว่าเจ้าสาวถือนั้น เพียงแค่ถือประดับไว้เพื่อความสวยงามในวันแต่งงาน ไม่ได้นำมาโยนแต่อย่างใด โดยเจ้าสาวบางคนจะถือช่อสมุนไพรแทนช่อดอกไม้ก็มีเช่น พวงกระเทียม, ช่อเครื่องเทศ เนื่องจากเชื่อกันว่าในวันแต่งงานมักจะมีปีศาจขี้อิจฉาแฝงตัว เข้ามาทำลายความสุขของบ่าวสาวในวันแต่งงาน เพราะเครื่องเทศมีกลิ่นแรงเหล่านี้จะช่วยขับไล่ทำให้พวกปีศาจ วิญญาณร้าย หรือสิ่งชั่วร้ายไม่ให้เข้าใกล้เจ้าบ่าวเจ้าสาวได้ แต่พอมาในยุคสมัยกรีกโรมันก็ได้เริ่มดัดแปลงจากช่อดอกไม้หรือช่อสมุนไพรมาเป็นมงกุฎแทน แต่ยังคงเป็นมงกุฎดอกไม้ที่ประดับไปเครื่องเทศสมุนไพรเช่นเดิม

พอมาถึงคริสต์ศตวรรษที่ 14 ในยุโรป เริ่มเกิดความเชื่อที่ว่าถ้าได้ชิ้นส่วนจากชุดเจ้าสาวไปเป็นที่ระลึกจะทำให้พบเนื้อคู่และมีโอกาสได้แต่งงานในเร็วๆนี้ซึ่งชิ้นส่วนที่สาวๆ ทั้งหลายต้องการคือ สายรัดใส่ถุงน่อง (Garter) ด้วยความเชื่อที่ว่าอยู่ใกล้อวัยวะเพศหญิงจึงเปรียบเสมือนสัญลักษณ์ของความบริสุทธิ์ ทำวันแต่งงานเกิดความวุ่นวาย เจ้าสาวโดนชุดกระชากลากตัวเพื่อที่จะเอาชิ้นส่วนของชุดหรือสายรัดถุงน่องให้ได้ ทำให้ประเพณีนี้อยู่ได้ไม่นาน จนในที่สุดก็เปลี่ยนมาเป็นการโยนช่อดอกไม้จนถึงปัจจุบัน

ดอกไม้อะไรที่นิยม ?

ดอกไม้ที่ได้รับความนิยมคงจะหนีไม่พ้น กุหลาบ เยอบีร่า ลิลลี่ เพียวโอนี่ สแตติส และยิปซียิปโซ นอกจากเป็นสัญลักษณ์แห่งความรักแล้ว ยังไม่เหี่ยวเฉาง่ายด้วยนะ หรือถ้าจะใช้ดอกอื่นๆ ตามความชอบหรือเลือกดอกที่เข้ากับธีมงานก็ไม่ว่ากัน แต่แนะนำว่าควรเลือกดอกไม้ที่อยู่ได้นานโดยไม่ต้องพึ่งน้ำมากหนัก เพราะกว่าจะเจ้าสาวจะโยนก็ช่วงค่ำ ถ้าช่อดอกไม้เหี่ยวช้ำ ไม่สดขึ้นมา แล้วจะหาว่าไม่เตือนนะจ๊ะ

ทีนี้มาดูวิธีการโยนดอกไม่กันบ้าง เท่าที่เราเห็นส่วนใหญ่คือ เจ้าสาวหันหลังโยนหรือไม่ก็หันหน้าโยน หันข้างบ้างละ ซึ่งรู้ไหมว่าไม่มีกฎข้อไหนบังคับไว้ว่าห้ามโยนแบบอื่นนะ เพราะยังมีวิธีแจกดอกไม้ที่เก๋ไก๋กว่านั้น ไปดูเลย

YO_1577-myo050515

  1. หันหลังโยน และหันหน้าโยน

เป็นวิธีเบสิคทั่วโลกที่นิยมใช้กันมาอย่างนมนาน ถ้าเจ้าสาวคนไหนชอบความคลาสสิกละก็ ใช้วิธีนี้ได้เลย แต่เวลาโยนโยนให้สุดแรงเลยนะจ๊ะภาพจะได้ออกมาสาวๆ ถ้าหันหลังโยนละก็อย่าลืมมองเพดาน หรือแชนเดอร์เลียร์ด้วยนะ โยนแรงทำของเข้าเสียหายงานเข้าแน่นอน แต่ถ้าจะหันหน้าโยนเล็งเลยจ้าอยากโดนหาใครมุมไหนเอาตามต้องการได้เลย

2. ดึงริบบิ้น

เป็นอีกวิธีที่ครีเอทไม่เบา สำหรับการดึงริบบิ้นแล้วได้ช่อดอกไม้ไปเลย แต่แนะนำว่าต้องดูปริมาณของเพื่อนเจ้าสาวและปริมาณริบบิ้นด้วยนะจ๊ะ อย่าลืมผูกริบบิ้นกับช่อดอกไม้แค่เส้นเดียวนะจ๊ะ ไม่งั้นเพื้อนเจ้าสาวดึงแย่งกันตายเลย และวิธีนี้ต้องจัดการให้ดีละ ถ้าพันกันขึ้นมานี่งานเข้าเลยนะ

03_Peninsula
3. การเล่นเกม

ถึงจะดูเหมือนเป็นวิธีธรรมดา แต่ก็สามารถสร้างความสนุกแต่เสียงหัวเราะภายในงานได้ บ่าวสาวอาจเลือกเกมที่ตนเองชอบมาเล่น เช่น ตอบคำถาม เก้าอี้ดนตรี แข่งกินอาหาร เสี่ยงเซียมซี ใครเป็นที่สุดก็รับช่อดอกไม้ไปเลย

4. ตั้งใจให้เป็นพิเศษ

ในกรณีที่บ่าวสาวมีคนที่อยากให้ช่อดอกไม้อยู่ในใจแล้ว ก็สามารถเลือกเฉพาะเจาะจงได้เลยเช่น พ่อสื่อหรือแม่สื่อที่ทำให้ทั้งคู่เจอกัน หรือเรียกเพื่อนเจ้าสาวทั้งหมดมารับเลยก็ได้ แต่ถ้าอย่าบอกก่อนล่วงหน้าละ ให้เจ้าตัวเซอร์ไพร้ส์ในวันงานเลย

ส่วนเจ้าบ่าวก็อย่าพึ่งน้อยใจไปเลย สาวๆ เขาแจกช่อดอกไม้กันไปแล้ว เจ้าบ่าวก็แจกได้เช่นกันนะจ๊ะ โดยส่วนใหญ่ที่นิยมคือโยนตุ๊กตา ลูกฟุตบอลเล็กๆ หรือโยนของที่เตรียมมาเป็นพิเศษ ให้กับเพื่อนเจ้าบ่าวใครได้ก็รับรางวัลไปเลย

JOB_1008

เป็นไงกันบ้างจ๊ะสาวๆ อ่านจบแล้วพอจะได้ไอเดียในการโยนดอกไม้กันบ้างไหม แต่อย่างไรแล้วกิจกรรมสนุกๆ แบบนี้ก็ขึ้นอยู่ที่ความชอบของบ่าวสาวและธีมงานเลยคะ ส่วนหนุ่มสาวที่พึ่งได้รับดอกไม้ไปก็อย่าพึ่งคิดว่าตนจะได้แต่งงานแน่นอน ตามคำพูดที่ใครๆ เขาบอก ที่สุดแล้วต้องให้คุณทั้งคู่เป็นคนตัดสินใจเองนะ ส่วนใครที่รับดอกไม้มาเป็นสิบๆ ช่อแล้วยังไม่มีแฟน ก็รอต่อไปนะ คิดซะว่าเนื้อคู่กำลังเดินทางมาจ้า

รู้อย่างนี้แล้วก็ไปเลือกช่อดอกไม้เจ้าสาวสวยๆ รอไว้เลย >>> 30 ช่อดอกไม้เจ้าสาว กับสีสุดฮิตไม่ว่าจะเป็นงานแต่งสไตล์ไหนก็คุมโทน

ภาพเปิด :เรือนประกายเพชร อ.บางบัวทอง จ.นนทบุรี

5 ส่วนประกอบใน มาส์กหน้า สำหรับ 5 ปัญหาผิวที่เจ้าสาวพบบ่อย!

ว่าที่เจ้าสาวที่อยากหน้าใส ลดริ้วรอย ลดสิว หรือผิวกระชับ สวนผสมใดที่ควรมองหาเมื่อเลือกซื้อ มาส์กหน้า เราหาคำตอบมาให้แล้ว

มาส์กหน้า เป็นสกินแคร์ยอดฮิตในหมู่ว่าที่เจ้าสาวที่ไม่เคยตกเทรนด์เลยนะคะ เพราะเป็นสกินแคร์กลุ่ม Intensive หรือกลุ่มที่ช่วยฟื้นฟูผิวเร่งด่วน เหมาะกับว่าที่เจ้าสาวที่เวลาเตรียมตัวน้อย เพราะช่วยแก้ปัญหาผิวต่างๆเสริมขึ้นมาจากการใช้สกินแคร์ปกติทั่วไปในชีวิตประจำวันได้อีกขั้น เปรียบเสมือนการใส่ปุ๋ยให้ต้นไม้ยังไงยังงั้นเลยละค่ะ

แต่ว่า มาสก์หน้ารุ่นใหม่ๆ เดี๋ยวนี้มีออกมาวางจำหน่ายเยอะแยะไปหมด เลือกไม่ถูกเลยว่าจะลองชิ้นไหนดี หรือชิ้นไหนที่เหมาะกับปัญหาผิวที่เราเผชิญอยู่? เราเลยมาบอกเคล็ดลับในการเลือกมาส์กหน้าสำหรับว่าที่เจ้าสาว เพียงแค่คุณรู้ว่าส่วนประกอบใด ช่วยแก้ปัญหาผิวเรื่องอะไร แค่นี้ ก็จะได้ตัดช้อยส์มาส์กหน้าที่มีอยู่มากมายในท้องตลาด แล้วเลือกลองชิ้นที่เหมาะกับปัญหาผิวเราจริงๆ ได้แล้วละค่ะ ว่าแล้วก็มาดูกันเลย

1. อยากผิวกระจ่างใส ลดจุดด่างดำ

ลองมาส์กที่มีส่วนผสมของวิตมินซีที่ช่วยกระตุ้นการผลัดเซลล์ผิวเก่า ช่วยให้จุดด่างดำลดเลือนลง และยังช่วยแก้ปัญหาสีผิวไม่สม่ำเสมอ ใบหน้าหมองคล้ำได้ด้วย นอกเหนือจากวิตามินซีแล้ว สารสกัดจากรากลิโคไรด์ (licorice root extract) หรือสารสกัดจากกรดผลไม้ชนิดอื่นๆ รวมถึงสารสกัดจากเบอร์รี่ต่างๆ ก็ช่วยได้เหมือนกันค่ะ

2. อยากลดริ้วรอยจากความแห้งกร้าน

บางที ริ้วรอยบนผิวหน้าของเรา ก็ไม่ได้เกิดจากอายุ แต่อาจจะเกิดจากผิวแห้งตึง ลองมาส์กหน้าที่มีส่วนผสมให้ความชุ่มชื่นอย่าง กรดไฮยาลูโรนิค กลีเซอรีน และ อะโล เวร่า หรือว่านหางจระเข้ ดูค่ะ

3. อยากลดการเกิดสิว

สาวผิวมัน หรือเป็นสิวง่าย ลองมองหามาส์กที่มีส่วนผสมของกรด ซาลิไซลิค ( salicylic acid) หรือ กรด แลคติค ( lactic acid) ดูค่ะ ส่วนผสมสองชนิดนี้ ช่วยลดการเกิดสิวจากการสะสมของเชื้อโรคและการอุดตันในรูขุมขนได้ และยังช่วยให้ผิวเราดูใสขึ้นด้วย แต่ขอเตือนนิดนึงว่าอาจจะไม่เหมาะกับผิวแพ้ง่ายนะคะ

4. อยากกระชับรูขุมขน

มาส์กที่มีส่วนผสมของชาร์โคล หรือถ่าน (ที่กำลังฮิตสุดๆตอนนี้!) มีคุณสมบัติช่วยดูดซับสิ่งสกปรกตกค้างในรูขุมขนได้ เมื่อสิ่งสกปรกถูกดูดออกไป รูขุมขนของเราก็จะดูเล็กลงและลดเลือนลงได้ และมาส์กกลุ่มนี้ยังช่วยลดการเกิดสิว และช่วยให้หน้าเราดูกระจ่างใสขึ้นได้ด้วยนะ

5. อยากให้ผิวหน้าดูอ่อนเยาวขึ้น

ไม่ว่าจะเป็นปัญหาริ้วรอยจากอายุ หรือผิวดูหย่อนคล้อย เดี๋ยวนี้มีมาส์กมากมายที่มีสารสกัดจากธรรมชาติที่สามารถกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนใต้ชั้นผิวได้ รวมทั้งส่วนผสมอย่าง Coenzyme Q10 (โคเอนไซม์ คิว เท็น) ก็สามารถช่วยเข้าไปกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนและเส้นใยอิลาสตินใต้ชั้นผิว ให้ผิวรู้สึกกระชับขึ้น และริ้วรอยลดเลือนลงได้ค่ะ

เป็นยังไงกันบ้างคะ? 5 ส่วนผสมหลักสำหรบแก้ปัญหาผิวทั้ง 5 ประการที่เราควรมองหาในมาส์กหน้า คราวนี้เวลาไปช้อปปิ้งจะได้ไม่งง เลือกไม่ถูกกันอีกต่อไป มาส์กหน้ากันแล้วก็อย่าลืมดูแลผิวพรรณให้ถูกต้องกันตั้งแต่พื้นฐานด้วยนะคะ หากยังไม่รู้ คลิกอ่าน เลย

อ่านเรื่องราวเกี่ยวกับความงามเจ้าสาวเพิ่มเติมได้ที่นี่อีกเพียบ คลิกเลย!

credit story: marthastewartweddings.com

แนะนำ 5 นักวาดภาพประกอบ การ์ดแต่งงานสุดเจ๋ง! สำหรับภาพคู่บ่าวสาว

เป็นภาพพรีเวดดิ้งก็ปัง เป็น การ์ดแต่งงาน ก็เกร๋ หรือเป็นของขวัญให้คนรักก็ชิค เราเลยแนะนำ 5 นักวาดภาพประกอบ 5 สไตล์โดดเด่น ให้ว่าที่บ่าวสาวได้เลือกใช้กันเลย

การวาดภาพประกอบสไตล์เก๋ๆ ไว้ประดับภายในงานแต่งงาน แทนภาพพรีเวดดิ้ง หรือใช้เป็น การ์ดแต่งงาน เป็นอีกหนึ่งไอเดียที่แพรวเวดดิ้งอยากจะแนะนำ เราเลยแนะนำ 5 นักวาดภาพประกอบ รุ่นใหม่ไฟแรง แถมล้วนมีดีกรีเคยร่วมงานกับนิตยสารชื่อดังและเหล่าแบรนด์ดังอีกมากมาย แต่ละคนล้วนมีสไตล์ที่โดดเด่นแตกต่าง ชอบสไตล์ไหนเลือกกันได้เลย

1. ฮิม Him HP

นักวาดภาพประกอบหนุ่มที่งานของเขาไม่เพียงเปี่ยมด้วยสเน่ห์ความหรูหราจากลายเส้นสไตล์แฟชั่น แต่เขายังโดดเด่นเรื่องการเก็บดีเทลเล็กๆและการใช้โทนสีที่มีความเฉพาะตัวไม่มีใครเหมือน ใครที่ชอบงานละเอียด งานดีเทล งานที่มีกลิ่นอายความไฮแฟชั่น เราแนะนำเขาเลย!

ช่องทางติดต่อ

Facebook: www.facebook.com/Him-HP

2. ฝ้าย Freya Art

นักวาดภาพประกอบสาวสวยสุดแนว งานของเธอโดดเด่นด้วยลายเส้นแสนละเอียดและการผสมผสานแพทเทิร์นลวดลายที่ได้แรงบันดาลใจจากธรรมชาติ รวมทั้งการใช้สีสันสดใสทำให้ภาพดูราวกับมีชีวิต แนะนำสำหรับคู่บ่าวสาวสุดฮิปที่ชื่นชอบงานภาพสไตล์ฟุ้งฝันที่เปี่ยมด้วยดีเทล

ช่องทางติดต่อ

www.freya.art

Instagram: @freya.arts

Facebook: www.facebook.com/freya.artss

Email: [email protected]

3. พริม PRIMIITA

อีกหนึ่งนักวาดภาพประกอบสาวชื่อดังที่งานของเธอเป็นที่ชื่นชอบในหมู่สาวๆ ด้วยความโดดเด่นในการวาดคาแรคเตอร์คนให้ดูน่ารักฟรุ้งฟริ้งกรุ่นกลิ่นอายการ์ตูนญี่ปุ่น การใช้สีสันของเธอยังมีความสดใสส่งให้ภาพวาดดูมีชีวิตชีวา บ่าวสาวคู่ไหนชอบงานแนวสดใส ซอฟท์ๆ เธอคนนี้เหมาะมาก

ช่องทางติดต่อ

Line: @PRIMIITA

Instagram: PRIMIITA

Facebook: www.facebook.com/Primiita

Email: [email protected]

4. หยก Yoky

นักวาดภาพประกอบหนุ่มมาแรง งานของเขาเป็นที่ชื่นชอบในหมู่เซเลบริตี้และแบรนด์ดังมากมาย ด้วยลายเส้นและการลงสีที่เป็นซิกเนเจอร์เห็นที่ไหนก็จำได้ สไตล์การวาดภาพพอร์เทรตของเขายังเรียกได้ว่าเรียบหรูดูแพง เหมาะกับคู่บ่าวสาวที่อยากได้งานสไตล์น้อยแต่มาก เรียบแต่โก้

ช่องทางติดต่อ

Facebook: www.facebook.com/yokyillustration

Instagram: yokykrittin

Email: [email protected]

5. ตูมตาม Toom Tam

อีกหนึ่งนักวาดภาพหนุ่มสุดแนวที่งานของเขาโดนใจเราอย่างมาก เขามีวิธีการวาดภาพบุคคลที่สามารถดึงเอาคาแรคเตอร์ของคนๆนั้นออกมาได้อย่างแท้จริง รวมทั้งสไตล์การลงสีที่ดูเหมือนจะเรียบง่ายแต่มีดีเทลแสนละเอียด แนะนำสำหรับคู่บ่าวสาวที่อยากได้งานแนวเหมือนจริงแต่เปี่ยมด้วยสไตล์

การ์ดแต่งงาน

Facebook: www.facebook.com/toomtampaha

Instagram: @toomtamgalaxy

Line: toomtam17

อ่านเรื่องราวเกี่ยวกับการวางแผนจัดงานแต่งงาน และดูไอเดียงานแต่งดีๆ ได้อีกเพียบที่นี่ คลิกเลย!

เตรียมงานแต่งพิธีไทย ผ่านฉลุยได้แบบไม่ต้องพึ่งแพลนเนอร์

เช็กลิสต์โดยละเอียดแบบสเต็ป บาย สเต็ป กับการ เตรียมงานแต่งพิธีไทย ด้วยตัวเอง

ถ้าคุณคือคนหนึ่งที่ไม่มีเวดดิ้งแพลนเนอร์มาช่วยดูแลงานเช้า และต้อง เตรียมงานแต่งพิธีไทย ด้วยตัวเอง อย่าเพิ่งร้อนอกร้อนใจว่าจะจัดงานเองไม่ได้ แพรว wedding มีคำแนะนำเด็ดๆ ที่จะทำให้งานเช้าของคุณ “ผ่านฉลุย”

ลำดับที่ 1 จัดระเบียบความคิด

เลือกรูปแบบงาน : พูดคุยกันเองให้ชัดเจน รวมถึงครอบครัวของสองฝ่ายว่าจะจัดพิธีเช้าในรูปแบบไหน ไทยแท้ๆ ไทยประยุกต์ ไทยผสมจีน หรืองานไทยแบบมีกลิ่นอายท้องถิ่น ฯลฯ

ลำดับพิธี : เมื่อเลือกรูปแบบงานได้แล้วให้ย่อยลำดับพิธีต่างๆ ว่าจะมีขั้นตอนอะไรและอย่างไรบ้าง บางบ้านเคร่งหน่อยอาจจัดพิธีเต็มรูปแบบ บางบ้านสบายๆ ก็อาจลดทนบางอย่างได้ ไม่มีผิดถูก อยู่ที่ตกลงกัน แต่ที่สำคัญคือ จะเพิ่มหรือลดอะไรควรแจ้งให้ผู้ใหญ่ทั้งสองฝ่ายรับทราบก่อน และอย่าลืมสอบถามความเชื่อและธรรมเนียมของแต่ละบ้านด้วย

“2 ขั้นตอนนี้สำคัญมาก เพราะถ้าไม่ตกลงกันให้ดี อาจมีผู้ใหญ่บ้านใดบ้านหนึ่งเคืองใจได้ อย่าประมาทค่านิยมและคติความเชื่อของคนเชียว”

หาฤกษ์ : ทั้งฤกษ์แต่งงาน และฤกษ์ในแต่ละลำดับพิธี (ตามความเชื่อของแต่ละบ้าน) เช่น ฤกษ์เคลื่อนขบวนขันหมาก ฤกษ์สวมแหวนหมั้น ฤกษ์ส่งตัว เป็นต้น

เตรียมพิธีแต่งงานไทย

ตั้งงบประมาณ : หลังจากได้รูปแบบงานและลำดับพิธีแล้ว ให้คุยกันเรื่องงบประมาณ เพื่อคิดรายละเอียดต่างๆ ให้สอดคล้องกับงบ เช่น ธีมงาน เป็นต้น

การตกแต่ง : ชุดเจ้าบ่าว – ชุดเจ้าสาว ชุดเพื่อนเจ้าบ่าว-เจ้าสาว เดรสโค้ด (จะมีไหม) การ์ด อาหาร จำนวนแขกที่จะเชิญ

“แนะนำให้ตั้งงบประมาณต่อจากรูปแบบและลำดับพิธี เพราะงานไทยมีความเกี่ยวข้องกับขนบธรรมเนียมประเพณี ซึ่งสำหรับหลายครอบครัวถือเป็นเรื่องใหญ่ ดังนั้น หากงบน้อย แต่ผู้ใหญ่เคร่งธรรมเนียม แนะนำให้ไปลดทอนส่วนอื่นๆ ที่ไม่เกี่ยวกับความเชื่อแทน เช่น การตกแต่ง ชุด หรือการจัดเลี้ยง เป็นต้น”

5 วันกับ 6 พิธีแต่งงานแบบจีน ฉบับสมบูรณ์ครบถ้วนไม่มีพลาด

พิธีแต่งงานแบบจีน ที่ใครว่ายุ่งยาก เราย่อมาให้อ่านแบบเข้าใจง่ายๆ ให้แล้ว

พิธีแต่งงานแบบจีน ไม่ใช่เรื่องยุ่งยากอีกต่อไป เพราะหลังจากที่ เตรียมตัว เตรียมของ ไปหาฤกษ์แต่งงานกัน! เรียบร้อยแล้ว เราได้ช่วยคุณให้เตรียมพร้อมกับงานแต่งที่จะเกิดขึ้นด้วยบทสรุปสั้นๆ ที่อ่านแล้วเข้าใจง่ายๆ กับ 5 วัน 6 พิธี แต่งงานแบบจีนไม่มีพลาด ที่แค่จัดตามและทำตามก็เข้าสู่ครอบครัวใหม่ได้อย่างเต็มภาคภูมิ

1. วันสู่ขอ

วันแรกของการเตรียมตัวก้าวเข้าสู่ชีวิตคู่ของหนุ่มสาว โดยในวันนี้ฝ่ายชายจะพาพ่อ แม่ แม่สื่อ (ถ้ามี) และเถ้าแก่เดินทางไปที่บ้านฝ่ายหญิงเพื่อแจ้งกำหนดการพิธีแต่งงานต่างๆ ให้ทราบโดยทั่วกัน จากนั้นก็จะตกลงเรื่องความรับผิดชอบค่าใช้จ่ายในวันพิธีต่างๆ เนื่องจากธรรมเนียมแต่งงานแบบจีนจัดกันหลายวัน ทางฝ่ายหญิงและฝ่ายชายจำเป็นต้องคุยกันให้เรียบร้อยว่าใครจะดูแลค่าใช้จ่ายในพิธีไหน วันใดบ้าง และเมื่อตกลงกันเสร็จเรียบร้อย ทั้งสองฝ่ายก็ต้องจัดเตรียมสิ่งของที่จะใช้ในวันพิธี ซึ่งทั้งสองฝ่ายก็มีสิ่งของที่ต้องเตรียมไม่เหมือนกัน ใครเป็นฝ่ายเจ้าสาวตามไปอ่านที่ เช็คลิสต์! ของแต่งงานจีนเจ้าสาวต้องเตรียม ได้เลยค่ะ ส่วนฝ่ายเจ้าบ่าวก็มีให้คุณได้อ่านเหมือนกันกับเช็คลิสต์! ของแต่งงานจีนเจ้าบ่าวต้องเตรียม

สิ่งสำคัญที่ขอย้ำกับฝ่ายชายก็คือ ในวันสู่ขอ “อย่าไปมือเปล่า” คุณควรมีของฝากติดไม้ติดมือไปมอบให้กับผู้ใหญ่ฝ่ายเจ้าสาวด้วย ไม่ว่าจะเป็นกระเช้าผลไม้ ตะกร้าขนม หรือเครื่องดื่มสุขภาพ เช่น รังนกหรือซุปไก่สกัดก็ได้เช่นกัน แบบนี้จะช่วยให้ผู้ใหญ่ท่านเอ็นดูได้มาก

002. วันพิธี

เมื่อถึงฤกษ์ยามตามที่ซินแสบอกมาแล้ว ให้เจ้าบ่าวเคลื่อนขบวนขันหมากตรงดิ่งไปที่บ้านเจ้าสาวได้เลย ถึงแล้วก็ให้นำเครื่องขันหมากที่ต่างฝ่ายต่างเตรียมไว้มามอบให้แก่กัน โดยฝ่ายเจ้าสาวจะต้องมอบเอี๊ยมแดงและส้มเช้ง ที่เตรียมไว้ พร้อมกับคืนขนมแต่งงานครึ่งหนึ่งกลับไปให้ฝ่ายเจ้าบ่าว ส่วนฝ่ายเจ้าบ่าวก็จะต้องมอบ ปิ่นทอง (ปิ่นยู่อี่) ไว้ให้เจ้าสาว เพื่อให้เธอได้ใช้ปักผมในวันพิธีรับตัวเจ้าสาว (วันส่งตัวเจ้าสาวนั่นแหละ)

พอมาถึงตอนนี้หลายคนอาจสงสัยว่าแล้วพิธีสวมแหวนหายไปไหน? ต้องขอบอกก่อนว่า ตามธรรมเนียมจีนขนานแท้แล้วจะไม่มีพิธีสวมแหวน พิธีหมั้น และการนับสินสอดค่ะ แต่ถ้าบ้านไหนอยากให้มีพิธีเหล่านี้ หรือฝ่ายได้ฝ่ายหนึ่งเป็นครอบครัวคนไทยที่ต้องมีพิธีข้างต้น ก็สามารถแทรกไว้ก่อนที่จะมอบเครื่องขันหมากตามประเพณีจีนได้เช่นกัน

Amy-Ken-006-Chinese-Tea-wedding-ceremony-boston-massachusetts-promessa-studios-karen-eng

รีวิวขนาดสั้นกับ 36 ชุดแต่งงานแบรนด์ดัง จากเจ้าสาวรุ่นพี่

เจ้าสาวรุ่นพี่เขามี ชุดแต่งงานแบรนด์ดัง ที่สวยปังมาบอก

สำหรับเจ้าสาวที่ยังไม่มีชุดแต่งงานในใจ ลองมาดูรีวิวขนาดสั้นพร้อมความรู้สึกของเจ้าสาวตัวจริงที่สวม ชุดแต่งงานแบรนด์ดัง และดีไซเนอร์ที่มีชื่อเสียงกันดีกว่า เผื่อว่าเจ้าสาวจะสามารถนำไปเป็นแรงบันดาลใจในการสร้างสรรค์หรือดัดแปลงชุดแต่งงานของตัวเองกันได้บ้าง

1. เจ้าสาวต้องการชุดที่ดูเรียบง่ายแบบเข้ารูปเหมือนชุดแต่งงานของ แคโรลิน เบสเซตต์-เคนเนดี (ภรรยาจอห์น เอฟ. เคนเนดี้ จูเนียร์) แต่หลังจากที่เธอได้ลองในสไตล์ที่ใกล้เคียงกันก็พบว่ามันไม่เข้ากับเธอเอาซะเลย ซึ่งต้องขอบคุณความคิดเห็นแม่ของเธอที่แนะนำให้เจ้าสาวลองใส่ชุดแต่งงานที่ไม่ใช่สีขาว “แม่บอกฉันว่าเธออยากให้ฉันใส่ชุดแต่งงานที่มีสี” เธอกล่าว และเธอก็ได้พบกับ ชุดแต่งงานแบรนด์ดัง อย่าง Naeem Khan ในเฉดสีบลัชและเมื่อได้ลองใส่มันก็พบว่า “มันตรงข้ามกับที่ฉันคิดไว้เลย เมื่อฉันใส่มัน ทุกคนบอกเป็นเสียงเดียวกันว่ามันเข้ากับฉันมาก”

ภาพ : Cambria Grace

2. เจ้าสาวที่เดินหาชุดแต่งงานไปทั่วแต่สุดท้ายก็มาจบที่ลุคซึ่งดูแตกต่างอย่างชุดแต่งงานจากแบรนด์ Leanne Marshell ตัวชุดด้านบนทำจากผ้าลูกไม้ alençon ในเฉดสีแชมเปญจับคู่กับกระโปรงผ้าออแกนซ่าให้อารมณ์พลิ้วไหว “นี่แหละคือสิ่งที่ฉันต้องการจริงๆ ขณะที่อแมนด้าพยายามจะให้ฉันลองชุดทรงเมอร์เมดเพราะมันอาจจะเหมาะกับฉันมากกว่า” เอมิลี่กล่าว ส่วนอแมนด้าใส่ชุดเกาะอกซึ่งตัวชุดด้านบนเป็นแบบคอร์เซต ส่วนด้านหลังดีไซน์พิเศษให้เป็นแบบ T-strap จากแบรนด์ Hayley Paige “มันดูสวยงามและแตกต่าง และฉันอยากที่จะใส่มันตลอดเวลา”

ภาพ : Jay Lim Studio

3. เจ้าสาวมีอาชีพ interior stylist เพราะฉะนั้นแฟชั่นของเธอจึงต้องดูแตกต่างอย่างมีสไตล์ และเมื่อเธอได้เห็นรูปชุดแต่งงานแบบเปิดไหล่ของแบรนด์ Inbal Dror เธอก็รีบตรงไปที่ร้าน Mark Ingram (ร้านขายชุดแต่งงานที่ตั้งอยู่ที่นิวยอร์ก) ทันที

ภาพ : Two Twenty by Chi Chi

4. เจ้าสาวใส่ชุดจากแบรนด์ Jonathan Simkhai ซึ่งเป็นแบรนด์ที่ขายทางออนไลน์ “ฉันรักมัน มันดูไม่เหมือนชุดแต่งงานแต่ก็เต็มไปด้วยดีไซน์และรายละเอียดที่พิเศษ” เจ้าสาวกล่าว

ภาพ : Callaway Gable Studios

5. เบคคา โทบิน นักแสดงจากซีรี่ส์เรื่อง Glee เกือบที่จะเลือกใส่ชุดแต่งงานของแม่เธอซะแล้ว แต่ด้วยสไตล์ของชุดที่เป็นแคชชวลแบบงานในสวนจึงดูไม่เหมาะกับแผนแต่งงานที่เธออยากจัดในช่วงหน้าหนาว “ฉันพยายามหาชุดตามร้านต่างๆ แต่ทุกอย่างที่ฉันพบมันก็ยังไม่มีที่ฉันต้องการ จนกระทั่งฉันมาพบชุดนี้ที่ร้าน LOHO” เธอกล่าว “คริสตี้ เจ้าของร้าน LOHO ถามว่าฉันอยากได้ชุดแต่งงานแบบไหน และจากนั้นฉันก็ทำงานร่วมกับเธอและสเตฟานี่ และเหล่าดีไซเนอร์ โดยเลือกสิ่งที่ฉันชอบในแต่ละชุดและนำสิ่งเหล่านั้นมาเป็นส่วนหนึ่งในชุดแต่งงานของฉัน”

ภาพ : Carrie Patterson

6. เมื่อแฟชั่นสไตลิสต์ที่มีความคิดว่าอยากจะใส่อะไรที่ดูแตกต่างในงานแต่งงานของตัวเอง “ฉันไม่เคยจินตนาการว่าจะใส่ชุดแต่งงานแบบนั้นเลย” เธอกล่าว “ฉันพินชุดแต่งงานที่เป็นทรงเมอร์เมดเอาไว้เพราะฉันคิดว่าฉันจะใส่ชุดแบบนี้ แต่เมื่อได้ไปลองจริงๆ ฉันถึงได้รู้ว่าสิ่งนี้มันหนักและไม่ถูกต้อง!” เธอจึงตัดสินใจว่าจะไม่ใส่ชุดแต่งงานที่มีรูปแบบ traditional เธอจึงโทรหา เวดเดล จอห์นสัน ช่างตัดเสื้อที่เธอทำงานร่วมด้วยบ่อยๆ เพื่อให้ช่วยออกแบบชุดแต่งงานที่ตรงกับสไตล์ของเธอที่เป็นคอเสื้อทรงสูง “หากคุณรู้จักฉัน คุณจะรู้ว่าชุดนี้แหละที่เป็นสไตล์ฉันจริงๆ” เจ้าสาวกล่าว

ภาพ : Jenny Fu

7. เจ้าสาวเลือกชุดแต่งงานที่เป็นผ้าคอตตอนจากแบรนด์ Rue de Seine ไม่ใช่เพราะเธออยากมีลุคที่เป็นเจ้าหญิงแต่เพราะมันสะท้อนตัวตนที่แท้จริงของเธอ “ฉันต้องการบางอย่างที่สุดยอด” เจ้าสาวกล่าว

ภาพ : Carlie Statsky

8. เจ้าสาวเลือกสวมชุดจัมพ์สูทแบบสองชิ้นจากแบรนด์ Lucia Rodriguez และสวมรองเท้าส้นสูงสีน้ำเงินจากแบรนด์ Manolo Blahnik (นี่คือ something blue ของเธอ) และเวลจากแบรนด์เดียวกับชุดแต่งงาน

9. เมื่อแฟชั่นสไตลิสต์ต้องแต่งงาน แน่นอนว่าชุดแต่งงานของเธอนั้นจะต้องดูดี และชุดแต่งงานของเธอก็เป็นชุดแต่งงานจากแบรนด์ Vera Wang ที่ประดับไข่มุกไว้อย่างสวยหรู

ภาพ : Polina Vinogradova

10. เจ้าสาวสายนักข่าวสวยจนน่าหลงใหลด้วยชุดแต่งงานแขนยาวจากแบรนด์ Pronovias “เมื่อคุณได้ลองสวมมันจริงๆ คุณถึงจะรู้!” เธอกล่าวถึงชุดแต่งงานผ้าเครปทรงเอ-ไลน์ของเธอที่ฉลุลวดลายดอกไม้เอาไว้อย่างสวยงามและหรูหราด้วยกระโปรงแบบลากยาว พร้อมฮิญาบประดับเฮดพีชที่ช่วยเพิ่มความหรูหราให้กับลุคนี้ได้เป็นอย่างดี

ภาพ : The Hendricks

11. เจ้าสาวสวมชุดแต่งงานคอวีจากแบรนด์ Stone Cold Fox ที่สวยงามด้วยผ้าลูกไม้และผ่าหน้าแบบเซ็กซี่ “ฉันรู้ว่าฉันต้องการชุดแต่งงานที่ให้กลิ่นอายแบบ traditional นิดๆ ซึ่งชุดนี้ก็ดูเรียบง่ายในสไตล์บีชชี่ซึ่งเป็นแบบชุดที่ฉันมองหา”

ภาพ : Jillian Mitchell

12. เจ้าสาวสวมชุดแต่งงานแบบ custom-made ทำจากผ้าลูกไม้ ผ้าทูลล์ และผ้าชีฟอง จากแบรนด์ของเธอเองที่ชื่อว่า Cushnie et Ochs “ฉันอยากให้ชุดแต่งงานดูโรแมนติกและมีความเฟมินีน ผสมผสานกับกลิ่นอายแบบเม็กซิโก” นั่นจึงเป็นที่มาของช่วงเนคไลน์ที่เป็นระบายสุดโรแมนติก

ภาพ : Fer Juaristi

เจ้าสาววัย 40 อย่าได้แคร์! เพราะเรามีวิธีเลือก สกินแคร์ ให้คุณสวยออร่าไม่แพ้ใคร!

ยุคนี้อายุ 40 ชีวิตเพิ่งเริ่มต้นเท่านั้น! จะเป็นเจ้าสาวในวัยแตะเลขสี่ ต้องเลือกใช้ สกินแคร์ ยังไงให้ผิวดูสวยสมวัยในวันแต่งงาน มาดูกันเลย

เคยดูซีรี่ส์เรื่อง  Sex and the city กันไหมคะ? นางเอกของเรื่องอย่าง Carrie Bradshaw เพิ่งได้แต่งงานตอนอายุนำหน้าด้วยเลขสี่ แสดงให้เห็นว่ายุคสมัยนี้ อายุไม่ใช่เรื่องสำคัญอีกต่อไป และผู้หญิงเราก็สามารถดูสวย เร่ิด ได้ในทุกอายุ รวมทั้งสามารถเลือกทางเดินชีวิตตัวเองให้เป็นแบบไหนก็ได้เช่นกัน เราถึงเห็นผู้หญิงที่เป็นว่าที่เจ้าสาวในวัยใกล้ๆแตะเลขสี่กันเยอะขึ้น แต่ไม่ใช่ว่าอายุมากขึ้น เราจะต้องทำตัวร่วงโรยหรือพยายามทำให้ตัวเองดูเด็กลงจนเกินอายุจริง ความสวยของสาววัยสี่สิบ คือความภูมิฐาน และความมั่นใจอย่างดูเป็นผู้ใหญ่ต่างหาก! วันนี้ แพรวเวดดิ้งเลยอยากมาแนะนำทิปส์การดูแลผิวและการเลือก สกินแคร์ ให้กับเหล่าว่าที่เจ้าสาวที่อายุแตะเลขสี่ มาดูกันเลยค่ะว่า อยากสวยสมวัย มีอะไรที่เราต้องทำบ้างนะ

  • เริ่มจริงจังกับการขจัดเซลล์ผิวเก่าบนใบหน้า

ช่วงที่เราอายุ 20-30 ปี เซลล์ผิวหน้าจะผลัดตามรอบของตัวมันเองอย่างอัตโนมัติและมักจะไม่มีปัญหาอะไร แต่เมื่อคุณอยู่ในวัย 40 การผลัดเซลล์ผิวจะเริ่มช้าลงอย่างเห็นได้ชัด ส่งผลให้ผิวหน้าเราหมองคล้ำง่ายขึ้น และดูไม่เรียบเนียนเหมือนเมื่อก่อน ลองมองหาผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมซึ่งช่วยผลัดเซลล์ผิวหน้าอย่างอ่อนโยน เช่น AHA หรือกรดแลคติก

  • เลือกใช้สกินแคร์กลุ่มเพิ่มความชุ่มชื่น

นอกเหนือจากเซลล์ผิวเก่าจะผลัดออกช้าแล้ว เกราะป้องกันผิวของสาววัย 40 ยังไม่แข็งแรงเหมือนเก่า ส่งผลให้ความชุ่มชื่นระเหยออกจากผิวได้ง่ายดายยิ่งขึ้น รวมทั้งสาววัย 40 ส่วนใหญ่จะมองข้ามความสำคัญของการเติมความชุ่มชื่นให้ผิวแต่กลับมองหากินแคร์กลุ่มลดเลือนริ้วรอยมากกว่า หารู้ไม่ว่าสกินแคร์กลุ่มเติมความชุ่มชื่นก็มีส่วนทำให้ริ้วรอยที่เกิดจากความแห้งกร้านลดลงได้เหมือนกันนะคะ!

  • มองหาครีมกันแดดและเดย์ครีมที่มีสารต้านอนุมูลอิสระ (แอนตี้อ็อกซิแดนท์)

สาวๆหลายคนคงทราบดีอยู่แล้วว่าแสงแดดมีส่วนทำลายคอลลาเจนใต้ชั้นผิว ทำให้ผิวเรามีริ้วรอย แต่ในวัย 40 นั้น นอกเหนือจากครีมกันแดดที่จะต้องใช้อย่างสม่ำเสมอเป็นประจำ อยากให้ลองเพิ่มเดย์ครีมหรือครีมบำรุงผิวสำหรับกลางวัน (ซึ่งหลายชิ้นจะมีกันแดดในตัวด้วย) เลือกชิ้นที่มีสารต้านอนุมูลอิสระที่ช่วยป้องกันการเกิดจุดด่างดำและช่วยชะลอริ้วรอยเพิ่มเติมจากครีมกันแดดด้วยจะยิ่งดีค่ะ

  • เลือกอายครีมชิ้นใหม่ที่เหมาะกับช่วงอายุ

เพราะวัย 40 เมื่อคอลลาเจนและอิลาสตินที่ช่วยให้ผิวยืดหยุ่นลดลง ปัญหาคือหนังตาจะเริ่มตกและหย่อนคล้อยทำให้ดวงตาดูไม่สดใส จึงควรมองหาอายครีมสำหรับวัย 40 โดยเฉพาะที่เน้นการสร้างคิลลาเจนควบคู่ไปกับอิลาสตินให้รอบดวงตาดูกระชับขึ้น ซึ่งอายครีมที่มีส่วนผสมของเรตินอลอ่อนๆ ก็สามารถช่วยได้เช่นกัน

  • ครีมบำรุงผิวเนื้อเข้มข้นก่อนนอนคือสิ่งจำเป็น

อย่างที่บอกข้างต้นว่าผิวของคุณสาวๆในวัย 40 จะแห้งกร้านกว่าเดิม ควรทาไนท์ครีมหรือครีมบำรุงผิวสำหรับกลางคืนเนื้อเข้มข้นทั่วใบหน้าก่อนนอน เพื่อช่วยกักเก็บความชุ่มชื่นใต้ชั้นผิว เพื่อให้เราตื่นนอนขึ้นมาด้วยผิวหน้าสดชื่นอิ่มน้ำ ลองเลือกชิ้นที่มีส่วนผสมของเซราไมด์หรือวิตามินและ เอสเซนเชียลออยล์ ซึ่งเป็นส่วนผสมที่ช่วยสร้างเกราะป้องกันผิวและกักเก็บความชุ่มชื่น

หวังว่าเหล่าว่าที่เจ้าสาวในวัย 40 จะได้ประโยชน์จากคำแนะนำในการเตรียมสกินแคร์ของเรากันอย่างมากมายนะคะ แต่สุดท้ายแล้วอย่าลืมว่า ความมั่นใจของเราเองจะทำให้เรากลายเป็นเจ้าสาวที่สวยสง่าสมวัยที่สุดในวันแต่งงานค่ะ

หากชอบคอนเท้นต์นี้ของเรา ลองคลิกอ่าน รวมของเด็ด! ทรีทเม้น ผิวเจ้าสาว EP. 2: รูปหน้าสวยด้วยโบท็อกซ์และฟิลเลอร์

credit story: allure.com 

รวมของที่ต้องมีในภาพพรีเวดดิ้ง อยากให้ภาพสวยงามมีสตอรี่ต้องทำตาม

จะถ่าย ภาพพรีเวดดิ้ง ทั้งที ต้องให้สวยปังสิจริงไหม!! นอกจากช่างภาพฝีมือดีแล้ว บ่าวสาวต้องเตรียมอะไรอีกนะ เพื่อให้ภาพสวยงามมีสตอรี่

เพราะการถ่าย ภาพพรีเวดดิ้ง ไม่ใช่แค่มายืนยิ้มให้กล้อง โอบไป โอบมา แล้วภาพจะออกมาสวยเพอร์เฟกต์ถูกต้องไหมคะ เพราะบ่าวสาวต้องมีพร้อบประกอบด้วยถึงจะเริด จะรอให้ช่างภาพจัดท่าถ่ายภาพอย่างเดียวไม่ได้หรอกเนอะ ถ้ามีสิ่งของอะไรสวยๆ งามๆ ก็ต้องจัดมาให้เต็ม รวมไปถึงสิ่งของที่มีความหมายต่อคู่บ่าวสาวด้วย ลองหยิบมาเล่นกันดูค่ะ และสิ่งที่เราจะพูดถึงต่อไปนี้ เป็นสิ่งที่ต้องมีตอนถ่ายภาพพรีเวดดิ้ง

1. เวลเจ้าสาว

เวลเจ้าสายคือสัญญลักษณ์ที่เมื่อสวมใส่แล้วทุกคนจะเข้าใจว่านี่คือเจ้าสาวนะ ถ้าจะออกไปถ่ายภาพพรีเวดดิ้งแบบง่ายๆ ไม่เน้นใส่ชุดเจ้าสาวแบบเล่นใหญ่จัดเต็ม ลองเลือกชุดลำลองสีขาวสวยๆ สักชุด แล้วสวมใส่เวลรับรองเลยว่า จะเพิ่มความน่ารัก และเป็นการเล่าเรื่องได้ดีที่สุด ว่าฉันกำลังถ่ายภาพพรีเวดดิ้งอยู่นะจ๊ะ

ภาพพรีเวดดิ้ง

2. แหวนหมั้น

ของที่สำคัญของการแต่งงานอีกหนึ่งอย่างก็คือ แหวนหมั้น ถูกต้องไหมคะ เพราะเป็นแหวนคล้องใจของบ่าวสาวทุกคู่อยู่แล้ว ไหนๆ เสียเงินซื้อแหวนเพชรมาทั้งทีควรนำมาถ่ายรูปให้คุ้ม เพราะฉะนั้นเวลาถ่ายภาพพรีเวดดิ้ง ก็อย่าลืมสวมใส่แหวนด้วยนะ แต่!! หากงานนี้บ่าวสาวใช้แหวนเพชรจริงๆ หรือแหวนหมั้นที่จะต้องใช้ต่อในวันงาน ก็ต้องดูแลรักษาความปลอดภัยกันให้ดีด้วย เพราะถ้าหายไปล่ะก็งานนี้ปังของจริง…ปังพินาศแน่ค๊าาาา

ภาพพรีเวดดิ้ง

3. ของแทนใจ

บ่าวสาวทุกคู่จะมีของขวัญที่เคยมอบให้กันตั้งแต่ยังเป็นแฟน ก่อนจะเปลี่ยนมาเป็นคู่หมั้น ถูกต้องไหมคะ ลองหาสิ่งของเหล่านั้นมาเข้าเฟรมด้วย เช่น ตุ๊กตาหมีที่เจ้าบ่าวเลือกซื้อให้เจ้าสาวตั้งแต่จีบกันใหม่ๆ เป็นต้น หากนำมาถ่ายภาพด้วยแล้ว นอกจากจะน่ารักมุ้งมิ้ง ภาพถ่ายยังช่วยบันทึกเรื่องราวที่ผ่านมาได้ดีอีกด้วยน้า

ถ่ายภาพพรีเวดดิ้ง

4. ดอกไม้

ดอกไม้คือพร้อบที่บ่าวสาวทุกๆ คู่จะนำมาใช้ถ่ายภาพพรีเวดดิ้งแน่นอนอยู่แล้ว เพราะว่าดอกไม้เป็นของที่สดใส สดชื่น และยังน่ารักน่าทะนุถนอม คล้ายกับความรักของคู่บ่าวสาว ทางที่ดีลองเลือกดอกไม้ความหมายดีๆ เข้ามาประกอบฉากจะดีมากๆ เลยล่ะค่ะ

ภาพพรีเวดดิ้ง

5. ชุด

แน่นอนว่าถ่ายภาพพรีเวดดิ้งทั้งทีต้องจัดใหญ่จัดเต็ม ดังนั้นบ่าวสาวควรวางแผนเลือกใช้ชุดดีๆ นะจ๊ะ ลองเลือกให้ชุดของทั้งคู่ไปในแนวทางเดียวกัน จะได้มีธีมที่แน่นอน ถ่ายภาพออกมาจะได้สวยงาม และดูไม่แปลกนั่นเองค่ะ

ถ่ายภาพพรีเวดดิ้ง

6. รูปถ่าย

งงใช่ไหมคะว่ารูปถ่ายจะนำมาใช้ได้ยังไง…. ง่ายที่สุด ลองเลือกภาพถ่ายที่มีความทรงจำดีๆ ที่ผ่านมา มาจัดเรียงให้เป็นวอลเปเปอร์สวยๆ แล้วบ่าวสาวก็อยู่ด้านหน้าของรูปภาพเหล่านี้ดู รับรองว่าภาพที่ออกมาจะสวยงามไปอีกแบบ และน่ารักมากๆ ด้วย หรือจะนำมาปิดหน้าบ่าวสาวไว้ เพื่อเน้นให้เห็นรูปภาพชัดๆ ก็ได้น้าาา ลองครีเอทกันดูนะคะ

ถ่ายภาพพรีเวดดิ้ง

7.  พร้อบอื่นๆ

เช่น แว่นตา หน้ากาก หนวด หมวก จัดมาให้เต็ม จะได้มีลูกเล่นอื่นๆ ให้บ่าวสาวได้เล่นกัน แต่ต้องไม่หลุดธีมของภาพถ่ายนะคะ ดังนั้นพิจารณาดีๆ ก่อนว่าต้องการให้ธีมภาพถ่ายออกมาเป็นแบบใด

ถ่ายภาพพรีเวดดิ้ง

ไอเดียทั้งหมดนี้ว่าที่บ่าวสาวก็ลองเลือกนำไปทำตามกันดูนะ นับรองว่าจะได้ภาพถ่ายพรีเวดดิ้งแบบปังๆ มีเรื่องราวออกมาแน่นอน เพราะแต่งงานทั้งทีทุกอย่างควรออกมาเป๊ะปังถูกต้องไหมเอ่ย ได้พร้อบประกอบการถ่ายภาพกันไปแล้ว ก็อย่าลืมซ้อม แอคชั่นท่าถ่ายภาพพรีเวดดิ้งแบบนายแบบนางแบบมาเอง กันด้วยนะ

ภาพจาก : Pinterest.com

วิธีเลือก ช่างแต่งหน้าเจ้าสาว ที่ใช่ เพื่อลุคสวยปังที่สุดในวันแต่งงาน!

แต่งงานเพียงครั้งเดียวในชีวิต จะเลือก ช่างแต่งหน้าเจ้าสาว ที่ใช่ เลือกยังไงให้ชัวร์ว่าวันแต่งงานเราจะสวยปังที่สุดแน่นอน แพรวเวดดิ้งมีคำตอบค่ะ

บอกเลยว่านี่ถือเป็นปัญหาหนักอกหนักใจของว่าที่เจ้าสาว เพราะเดี๋ยวนี้มี ช่างแต่งหน้าเจ้าสาว ให้เหล่าว่าที่เจ้าสาวเลือกกันอย่างมากมาย คนนั้นก็ดี คนนี้ก็ใช่ เลือกยังไงดีนะ? แล้วถ้าเลือกเสร็จเรียบร้อยแล้ว เราจะมีวิธีการคุยกับ ช่างแต่งหน้าของเราอย่างไร ให้แน่ใจว่าวันจริงนั้นช่างแต่งหน้าสามารถเนรมิตเมกอัพลุคและทรงผมให้ตรงกับใจของเราที่อยากได้จริงๆ? วันนี้ แพรวเวดดิ้ง นำเอาคำตอบมาบอกว่าที่เจ้าสาวแล้วค่ะ มาดูกันเลย

1. หาสไตล์ที่ใช่สำหรับเรา

ลุคเจ้าสาวแบบไหนที่จะทำให้เรามั่นใจที่สุด? ลุคหวาน ลุคเซ็กซี่ ลุคเปรี้ยวๆ หรือลุคเรียบร้อย? ลองสังเกตตัวเองในชีวิตประจำวันดูก็ได้ว่าเราชอบแต่งหน้า แต่งตัวสไตล์ไหน ถ้าปกติเป็นคนเรียบร้อย ไม่ค่อยแต่งหน้า ก็อาจจะเลือกลุคสไตล์หวานๆ แต่งหน้าน้อยๆ ดีกว่าการแหวกลุคให้ดูเปรี้ยวหรือเซ็กซี่แล้วทำให้เราขาดความมั่นใจ ทางที่ดียึดเอาสไตล์ประจำวันของตัวเองที่เรามั่นใจเป็นต้นแบบดีกว่าค่ะ

2.  หาลิสต์ช่างแต่งหน้าเจ้าสาวที่ใกล้เคียงกับสไตล์ที่เราต้องการ

ที่จริงแล้ว ช่างแต่งหน้าเจ้าสาวส่วนใหญ่สามารถครีเอทลุคได้หลากหลายแล้วแต่ความต้องการของตัวเจ้าสาวแต่ละคน แต่ถ้าเราสังเกตดีๆ จะพบว่า ช่างแต่งหน้าเจ้าสาวแต่ละคนจะมีสไตล์ที่เป็นซิกเนเจอร์ หรือสไตล์ที่ตัวช่างแต่งหน้าเองถนัด ลองศึกษาดูผลงานที่ผ่านมาของช่างแต่งหน้าแต่ละคน หรือใช้วิธีถามเอาจากเหล่าเจ้าสาวรุ่นพี่ที่สไตล์ใกล้เคียงกับเราก็ได้นะ 

(ถ้ายังไม่มีช่างแต่งหน้าเจ้าสาวในใจ ลองคลิกเข้าไปอ่านที่นี่สิ รวมลิสต์ช่างแต่งหน้าทำผมเจ้าสาวพร้อมอัพเดทราคา)

3. ถ้าเป็นไปได้ นัดคุยกับ ช่างแต่งหน้า ก่อนวันจริง

ซึ่งสิ่งนี้เป็นคนละอย่างกับการลองแต่งหน้าก่อนวันจริงที่จะมีค่าใช้จ่ายไม่น้อยเพิ่มเข้ามา ถ้าหากคุณว่าที่เจ้าสาวมีงบไม่เยอะ ลองนัดช่างแต่งหน้ามาคุยให้เห็นตัวเป็นๆกันก่อนวันจริง บอกสไตล์ที่เราชอบให้ช่างแต่งหน้าอย่างชัดเจน อย่าลืมเตรียมรูปเมกอัพลุคที่เราชอบ หรือแบบไหนที่เราไม่อยากได้ รวมทั้งปัญหาที่เรากังวลใจ หรือส่วนไหนของใบหน้าที่เราชอบ เพื่อให้ช่างแต่งหน้าสามารถครีเอทลุคที่โดนใจเรามากที่สุดค่ะ

4. อย่าลืมถาม ช่างแต่งหน้าเจ้าสาวด้วยว่าเราต้องเตรียมตัวยังไงบ้าง

ข้อนี้เป็นประเด็นสำคัญที่ว่าที่เจ้าสาวหลายคนลืมโฟกัส นอกเหนือจากการดูแลผิวหน้าตัวเองให้ดี ดื่มน้ำและพักผ่อนเยอะๆแล้ว ว่าที่เจ้าสาวไม่ควรทำอะไรกับผิวหน้าในช่วงระยะเวลาใกล้ๆวันแต่งงานบ้าง เช่น แว็กซ์คิ้ว หรือทรีทเม้นต์ผิวหน้าบางประเภท สิ่งเหล่านี้ลองถามคำแนะนำจากช่างแต่งหน้าเจ้าสาวของคุณดูค่ะ

ช่างแต่งหน้าเจ้าสาว

5. “ฟังและเชื่อใจช่างแต่งหน้าที่เราเลือกแล้ว

ท้ายที่สุดเมื่อเราได้เลือกแล้ว ว่าที่เจ้าสาวควรเปิดใจฟังช่างแต่งหน้าของเราค่ะ เพราะแน่นอนว่าช่างแต่งหน้าเจ้าสาวนั้นมีประสบการณ์และเห็นปัญหาของเจ้าสาวมานับไม่ถ้วน อะไรบางอย่างที่เรากังวลใจหรือส่วนไหนของใบหน้าที่เราไม่อยากเน้น ช่างแต่งหน้าอาจจะมีวิธีที่ช่วยให้เราสามารถเปิดเผยส่วนนั้นได้อย่างสวยงามแทนที่จะพยายามปกปิดก็ได้นะคะ (แต่ถ้าไม่เซล์ฟจริงๆ เราแนะนำให้ยืนยันกับช่างแต่งหน้าค่ะ)

ทั้งนี้ว่าที่เจ้าสาวทั้งหลายอย่าลืมนะคะ ว่าสิ่งสำคัญที่สุดจริงๆ คือความมั่นใจและออร่าของเราในวันแต่งงาน ที่จะช่วยให้เราดูสวยโดดเด่นที่สุดไม่ว่าเราจะเลือกช่างแต่งหน้าคนไหนค่ะ

ขอขอบคุณภาพประกอบจาก: #Alwaysflukecrew และ Pinterest
Credit Feature Photo:Coco Bella Bride

7 ท่าโยคะคลายเครียดช่วยปรับบุคลิกสำหรับเจ้าสาวโดยเฉพาะ

ปรับบุคลิกให้สวยสง่าในวันแต่งงาน ด้วย 7 ท่า โยคะ ที่เราคัดมาให้สำหรับว่าที่เจ้าสาวโดยเฉพาะ ทำเองที่บ้านก็ได้ง่ายจัง

โยคะ ถือเป็น การบริหารร่างกายสุดฮิตของสาวๆยุคนี้เลยว่ามั้ยคะ เพราะนอกจากจะไม่เหนื่อยมาก (เมื่อเทียบกับการออกกำลังกายแบบอื่นๆ) ยังสามารถช่วยฟื้นฟูร่างกายได้แบบองค์รวมเลยทีเดียว ไม่ว่าจะเป็นการปรับบุคลิกท่าทาง แก้อาการปวดเมื่อย หรือแม้กระทั่งบริหารระบบภายในร่างกายหรือปรับสมดุลอารมณ์ก็ยังได้ เราเล็งเห็นว่าโยคะน่าจะให้ประโยชน์กับเหล่าว่าที่เจ้าสาวมากมายเลยทีเดียว ก็เลยรวบรวมเอา 7 ท่า โยคะที่เหมาะกับว่าที่เจ้าสาวมาให้ฝึกปฏิบัติกันค่ะ ซึ่งท่าโยคะเหล่านี้จะเน้นช่วยเรื่องการผ่อนคลาย ปรับสมดุลอารมณ์ ประบสมดุลระบบขับถ่ายให้พุงยุบ และช่วยปรับท่าทางให้ดูสง่าผ่าเผยสมเจ้าสาว มาเริ่มฝึกกันเลยค่ะ!

1. Butterfly Pose (ท่าผีเสื้อ)

ประโยชน์: ช่วยเปิดข้อต่อสะโพก ลดความปวดเมื่อยของเจ้าสาวพิธีไทยที่ต้องนั่งพับเพียบนานๆ

เริ่มด้วยท่านั่งขัดสมาธิ นั่งตัวตรงไม่โก่งหลัง เอาฝ่าเท้าทั้งสองด้านมาชนกันโดยใช้มือรวบเท้าทั้งสองข้างไว้ด้วยกัน จากนั้นให้ค่อยๆดึงข้อเท้าให้เข้ามาใกล้ตัวมากที่สุดจนรู้สึกตึง แล้วค่อยพยายามกดหัวเข่าให้ใกล้กับพื้นมากที่สุด ค้างไว้ 30-45 วินาที

Butterfly Pose

2. Pigeon Pose (ท่านกพิราบ)

ประโยชน์: เหมือนกับท่า Butterfly Pose ในข้อแรก แต่โฟกัสกล้ามเนื้อต้นขาและสะโพกส่วนที่ลึกขึ้น

นั่งตัวตรงโดยที่ขาด้านซ้ายเหยียดตรงชี้ไปข้างหลัง ส่วนขาด้านขวาพับหัวเข่าดึงส้นเท้าเข้าหาตัวโดยให้หัวเข่าชี้ออกประมาณ 45 องศาจากตัว สะโพกทั้งสองข้างขนานพื้นเท่าๆกัน อย่าให้สะโพกด้านใดด้านหนึ่งติดพื้นหรือลอยขึ้นเหนือพื้นมากกว่าอีกด้าน พยายามกดสะโพกข้างซ้ายให้ใกล้พื้นมากที่สุด จากนั้นค่อยๆ เลื่อนเท้าให้ออกห่างจากตัวทีละน้อยๆ โดยที่หัวเข่ายังทำมุมเดิม จนกระทั่งรู้สึกตึง ค้างไว้ 1 นาที แล้วสลับข้าง หากอยากยืดมากขึ้นกว่าเดิม พับตัวลงมาเหยียดแขนออกเหมือนการนอนคว่ำหน้า ให้หน้าผากใกล้พื้นมากที่สุดหรือจรดพื้น

Pigeon Pose

3. Warrior II Pose (ท่านักรบที่ 2)

ประโยชน์: สร้างความแข็งแรงให้ขาและส่วนกลางลำตัว ลดความปวดเมื่อยของเจ้าสาวที่ต้องยืนนานๆ

ยืนตรง เหยียดขาข้างหนึ่งออกไปด้านหลังโดยให้ฝ่าเท้าทำมุม 90 องศากับลำตัว ย่อเข่าข้างที่อยู่ด้านหน้าให้หน้าขาขนานกับพื้นให้มากที่สุด กางแขนออกทั้งสองข้างโดยให้แขนข้างที่ชี้มาด้านหน้าเป็นข้างเดียวกับขาที่อยู่ด้านหน้า  เปิดลำตัวขนานกับสะโพก ค้างไว้ 30-45 วินาที สลับข้าง

4. Downward-Facing Dog (ท่าสุนัขยืดลง)

ประโยชน์: กระตุ้นการไหลเวียนเลือดสู่ศรีษะให้ผิวหน้าเปล่งปลั่ง สร้างความแข็งแรงให้ช่วงแขน ช่วยให้รู้สึกกระปรี้กระเปร่าขึ้น

เริ่มจากท่า all four หรือนั่งคุกเข่ามือทั้งสองข้างยันพื้น แล้วค่อยๆ ดึงเท้าทั้งสองข้างออกไปด้านหลังจนขาตรง ส่งก้นและสะโพกขึ้นให้สูงที่สุด พยายามดึงส้นเท้าให้ติดพื้นมากที่สุดโดยที่ขาทั้งสองข้างเหยียดตรงตลอดเวลา แขนเหยียดตรงมือกางนิ้วทั้งห้าห่างจากกัน กดโคนนิ้วชี้ทั้งสองข้างให้แน่นเพื่อช่วยพยุงตัว  พยายามดันศีรษะไปด้านหลังให้ไหล่อยู่ใกล้หูมากที่สุด สายตามองลอดหว่างขา ค้างไว้ 30-45 วินาที โดยตอนแรกที่เข้าท่าสามารถย่อเข่าสลับซ้ายขวาเบาๆ 2-3 ครั้งเพื่อยืดเส้นให้เราสามารถค้างท่าได้นานขึ้น

5. Child’s Pose (ท่าเด็ก)

ประโยชน์: ช่วยยืดหลังแก้อาการหลังค่อม และยังช่วยให้รู้สึกผ่อนคลาย

นั่งพับเพียบทับส้นเท้า แล้วพับตัวลงเหมือนการนอนคว่ำหน้า เหยียดแขนทั้งสองข้างออกมาด้านหน้า โดยที่ก้นกับส้นเท้าต้องติดกัน สูดหายใจข้า และออกลึกๆ ยาวๆ โดยทุกครั้งที่หายใจออก พยายามยืดหลังให้ได้มากขึ้นโดยที่ก้นกับส้นเท้ายังคงติดกัน ค้างไว้ 1-2 นาที

Child Pose

6. Camel Pose (ท่าอูฐ)

ประโยชน์: เปิดไหล่ เปิดหน้าอก แก้อาการไหล่ห่อ หลังห่อ และแก้อาการปวดหลังจากการยืนหรือนั่งนานๆ

นั่งบนเข่าทั้งสองข้าง แยกหัวเข่าออกจากกันให้เท่าความกว้างของสะโพกให้หัวแม่เท้าจิกพื้นไว้ นำมือทั้งสองข้างรองหลังช่วงล่าง หายใจเข้า เกร็งหน้าท้อง แล้วค่อยๆ ดันหน้าท้องมาด้านหน้าพร้อมๆกับแอ่นลำตัวและหัวไหล่มาด้านหลัง ***ถ้ารู้สึกตึงแล้วแค่ช่วงนี้ให้ค้างไว้ที่เท่านี้**** แต่ถ้าไปต่อได้ แอ่นหน้าท้องมาด้านหน้าเพิ่มเติม ตลอดเวลานี้พยายามเกร็งต้นขาและหน้าท้องไว้ ค่อยๆ ปล่อยมือทั้งสองข้างจากหลังช่วงล่างมาจับที่ส้นเท้า สูดหายใจเข้า สูดหายใจออกแล้วค่อยๆ ทิ้งศรีษะลงมาด้านหลัง ค้างไว้ 30-45 วินาที

7. Forward Fold (ท่ายืดก้มตัว)

ประโยชน์: กระตุ้นการไหลเวียนของเลือด ช่วยให้รู้สึกผ่อนคลาย แก้อาการนอนไม่หลับหรือปวดหัวเรื้อรัง

ยืนตัวตรง เท้าห่างกันเล็กน้อย ค่อยๆ พับตัวลงสู่ด้านล่างโดยพับจากข้อสะโพก ดันก้นไปด้านหลังได้เล็กน้อย ทิ้งศีรษะและคอให้สบายๆ ก้มตัวลงให้มากที่สุด ถ้าจับข้อเท้าได้ให้จับข้อเท้า แต่ถ้าจับไม่ถึง ให้จับที่น่องแทน แล้วดึงลำตัวให้ชิดขา

สำหรับผู้ที่มีปัญหาเรื่องหลัง ให้เริ่มเข้าท่านี้โดยย่อเข่าลงจนเราสามารถจับถึงข้อเท้าได้โดยไม่ต้องโก่งหลังลง ลำตัวชิดหน้าขาไว้ หายใจเข้า หายใจออก แล้วยืดขาให้ตรงมากที่สุดโดยที่ไม่ปล่อยมือจากข้อเท้า ค้างไว้ 30-45 วินาที

Forward Fold

เป็นยังไงบ้างคะท่า โยคะ สำหรับเจ้าสาวเพื่อสุขภาพแข็งแรงและปรับบุคลิกให้ดูสวยสง่าในวันแต่งงาน เราแนะนำให้หาคลิปประกอบการทำท่าโดยผู้เชี่ยวชาญประกอบไปด้วยเพื่อป้องกันการบาดเจ็บจากการที่เราทำท่าไม่ถูกต้องนะคะ

ชอบคอนเท้นต์นี้ของเรา? คลิกอ่าน วิธีการ ออกกำลังกาย ที่บ้านด้วยตนเอง แต่ได้ผลเหมือนไปฟิตเนส!

credit story: bridesloveyoga.com , bridalguide.com 

พิธีแต่งงานอีสาน อีกหนึ่งประเพณีงานแต่งงานที่น่าสืบสานไว้

ส่อง พิธีแต่งงานอีสาน แบบครบจบทุกกระบวนการที่น่าสืบสานเอาไว้ให้คงอยู่

งานแต่งงานของหนุ่มสาวอีสานยุคนี้มีการลดทอนประเพณีบางอย่างออกไปทำให้ดูไม่แตกต่างจากงานแต่งงานของภาคกลางมากนัก มีเพียงการ “สู่ขวัญ” แทนพิธีหลั่งน้ำพระพุทธมนต์เท่านั้นที่ยังคงเป็นจุดต่างอย่างชัดเจน แต่ถึงอย่างนั้นงานแต่งงานของบ่าวสาวชาวอีสานบางคู่ก็ยังคงไว้ซึ่งอัตลักษณ์ที่น่าสนใจเอาไว้อยู่หลายอย่าง งั้นลองมาดูกันสิว่า พิธีแต่งงานอีสาน มีอะไรที่น่าสนใจ แตกต่าง หรือเหมือนกับประเพณีงานแต่งงานทั่วไปหรือไม่ (**ทั้งนี้ทั้งนั้นแต่ละพิธีการขึ้นอยู่กับความเชื่อ หรือประเพณีแต่ละท้องถิ่นที่ถือปฏิบัติแตกต่างกันไปด้วยนะคะ)

“การโอม” พิธีสู่ขอ

เมื่อตกลงปลงใจจะใช้ชีวิตคู่ร่วมกันแล้ว ฝ่ายชายต้องให้เจ้าโคตร (ผู้ใหญ่ที่มีอาวุโสที่สุดของตระกูล) ไปสู่ขอฝ่ายหญิงซึ่งเรียกว่า “การโอม” โดยเตรียมขันใส่หมากจีบพลูพันเงิน 3 บาท ถ้าพ่อแม่ฝ่ายหญิงไม่ขัดข้องก็จะรับไว้แล้วพูดคุยเรื่องสินสอด

“กินดอง” ประกาศข่าวดี

ในแต่ละพื้นที่อาจแตกต่างกัน แต่สำหรับทางอีสานใต้ การ “กินดอง” คือการที่ฝ่ายชายเตรียมของกินดอง (ข้าวสาร เหล้าขาว ผ้าโสร่ง กล้วย เงินตามเลขมงคล เช่น 3 บาท หรือ 9 บาท เป็นต้น) แล้วให้ผู้ใหญ่ฝ่ายชายนำไปให้ฝ่ายหญิง ส่วนฝ่ายหญิงก็จะต้องเตรียมของกินดองอีกชุดให้ฝ่ายชายด้วย โดยจะให้กลับในวันเดียวกันหรือนำไปให้ทีหลังก็ได้ ทั้งนี้เพื่อบอกกล่าวแก่กันว่าเร็วๆ นี้จะมีงานมงคลระหว่าง 2 บ้านเกิดขึ้น

“ช่วยงาน” ก่อนวันแต่ง

ก่อนวันแต่งงาน 1 วัน ทางบ้านเจ้าสาวและเจ้าบ่าว (บ้านใครบ้านมัน) จะต้องเตรียมเนื้อหมูสด เหล้า เบียร์ และกับข้าวมงคล 3-4 อย่าง เช่น ลาบ แกงหมูใส่บวบ ก้อย เพื่อเอาไว้เลี้ยงคนที่มา “ช่วยงาน” ซึ่งในที่นี้คือคนที่นำซองเงินมาให้นั่นเอง โดยเมื่อให้ซองแล้วผู้ให้จะบอกกล่าวว่าต้องการอะไรกลับไป ซึ่งเจ้าบ้านก็ต้องจัดให้อย่างเหมาะสมกับจำนวนเงิน

“พิธีสู่ขวัญ” แต่งงานแบบอีสาน

เมื่อฝ่ายชายแห่ขันหมากผ่านด่านประตูเงินประตูทองเข้ามา จะต้องมีญาติผู้น้องของเจ้าสาวไปจูงพี่เขยมากราบธรณีประตู เหยียบก้อนหิน (เพื่อให้หนักแน่น) แล้วทำพิธีล้างเท้าบนใบตอง ก่อนจะก้าวข้าวธรณีขึ้นมาบนเรือน หลักจากมอบสินสอดและตรวจนับเรียบร้อยแล้ว จะมีการประกาศจำนวนสินสอดพร้อมเรียกคนในหมู่บ้าน “มาโฮม (ผูกข้อมือ) รับขวัญลูก/ หลานเขย”

พิธีแต่งงานอีสาน

จากนั้นหมอสูตรจึงเริ่มทำพิธีสู่ขวัญ เมื่อจบพิธีญาติๆ จะโยนข้าวสารโรยดอกดาวเรืองใส่บ่าวสาวที่นั่งคุกเข่าจับพาขวัญ (พานบายศรี) ไขว้กันอยู่เพื่อความเป็นสิริมงคลและเจริญงอกงาม สุดท้ายหมอสูตรจะปอกเปลือกไข่ต้มในพานขวัญแล้วผ่ากลางเพื่อทำนายคู่บ่าวสาว เช่น อยู่ร่มเย็นเป็นสุข ร่ำรวย มีลูกชายหรือลูกสาว ฯลฯ แล้วจึงให้บ่าวสาวกินไข่คนละครึ่ง

ลำดับต่อมา พ่อแม่และญาติผู้ใหญ่จะนำฝ้ายจากพาขวัญมาผูกเงินแล้วไปผูกข้อมือบ่าวสาวอีกทีพร้อมกับอวยพรเพื่อรับขวัญ ส่วนทางบ่าวสาวก็ต้องเตรียมของมอบกลับให้ด้วย ซึ่งนิยมมอบเสื่อผูกติดกับหมอน หากญาติเยอะก็เตรียมไว้ให้เฉพาะญาติอาวุโส ส่วนญาติที่เหลือก็ไหว้ขอบคุณตามปกติ เมื่อเสร็จสิ้นแล้วจึงเป็นพิธีส่งตัวเข้าหอ และเลี้ยงอาหารรับรอง (ในวันนี้บางบ้านอาจนิมนต์พระมาทำบุญตักบาตรตอนเช้าก่อนด้วย)

“ผูกข้อมือ” รับขวัญสะใภ้

ธรรมเนียมของชาวอีสานใต้นั้น หลังเสร็จพิธีที่บ้านฝ่ายหญิงแล้ว ต้องไปทำพิธีผูกข้อมือรับขวัญสะใภ้ที่บ้านฝ่ายชายในวันเดียวกัน (เลี่ยงเวลาบ่ายโมงเพราะถือว่าเป็นเวลาผีออกป่า) เมื่อเดินทางใกล้ถึงบ้านเจ้าบ่าวจะตั้งขบวนเดินเข้าบ้าน ซึ่งเจ้าสาวต้องเตรียมซองไว้ให้คนกั้นประตูเงินประตูทองด้วย จากนั้นญาติผู้น้องของเจ้าบ่าวจะมาจูงนิ้วก้อยของเจ้าสาวไปทำพิธีล้างเท้าก่อนเข้าบ้าน ซึ่งพ่อแม่ของเจ้าบ่าวจะเตรียมโสร่งและผ้าซิ่นรอไว้นุ่งให้บ่าวสาวเพื่อเป็นการรับขวัญสะใภ้ ก่อนจะจบด้วยการอวยพรผูกข้อไม้ข้อมือพร้อมเงิน สำหรับบางคนที่ให้เงินกับมือ บ่าวสาวก็จะรับมาใส่ขันเงินที่เตรียมไว้แล้วมอบหมากพลูกลับไป เสร็จแล้วจึงนับเงินและประกาศว่าบ้านนี้รับขวัญสะใภ้เงินเท่าไหร่แล้วจึงเลี้ยงรับรอง (หากบ้านเจ้าบ่าวไกลมากอาจงดพิธีนี้ได้)

ทั้งนี้ในแต่ละพื้นที่หรือบางครอบครัวอาจมีธรรมเนียมปฏิบัติที่แตกต่างกันไป บทความนี้เป็นเพียงการสะท้อนภาพขนบธรรมเนียมของชาวอีสานในท้องถิ่นหนึ่งที่นับวันจะค่อยๆ จางหายไปตามกาลเวลา

อ่าน พิธีแต่งงานภาคเหนือ ได้ที่นี่เลย

ภาพเปิด งานแต่งคุณตุ๊กกี้-สุดารัตน์ บุตรพรหม และคุณบูบู้-กำธร โพธิ์น้ำคำ ถ่ายภาพโดย Photo Painter (HD e-lee studio)
ภาพประกอบ kapook.com

ไม่อยากตกเป็นรองต้องอ่าน! 6 ความเชื่อในวันแต่งงานที่บ่าวสาวต้องระวัง

ความเชื่อในวันแต่งงาน ที่ใครไม่อยากตกเป็นรองต้องอ่านด่วน!!

ในพิธีแต่งงาน ไม่ว่าจะเป็นแบบไทย แบบจีน หรือแบบฝรั่ง จะประกอบไปด้วย ความเชื่อในวันแต่งงาน ต่างๆ มากมาย ซึ่งแต่ละพิธีการนั้นล้วนแล้วแต่เป็นความเชื่อเพื่อเสริมสิริมงคลให้บ่าวสาวทั้งนั้น แต่รู้กันไหมคะว่า ในบางพิธีการก็แฝงด้วยความเชื่อที่บ่าวสาวควรต้องระวัง เพราะถ้าพลาดไปหรือรู้ไม่ทันอีกฝ่าย คุณจะกลายเป็นลูกไก่ในกำมือของอีกฝ่าย (รวมถึงครอบครัวของเขา) หลังแต่งงานทันที ความเชื่อที่ว่ามีอะไรบ้าง ไปไล่ดูกันเลยข้อต่อข้อ อ้อ…อ่านจบแล้วเตรียมตัวปฎิบัติด้วยล่ะ ถึงวันจริงจะได้ไม่พลาด (ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับวิจารณญาณของแต่ละบุคคลนะคะ)

1. เริ่มกันที่พิธีการแรกของวันแต่งงานอย่างการตักบาตรที่เชื่อกันมายาวนานรุ่นสู่รุ่นว่า ถ้าฝ่ายไหนจับที่ยอดหรือคอทัพพี คนนั้นจะได้เป็นใหญ่เหนือกว่าอีกคน ซึ่งที่เราเคยเจอคือ อาการไฝว้กันหน้าโถข้าวแบบไม่มีใครยอมใคร ประมาณว่าเธอจับก่อนสิ เดี๋ยวชั้นประกบมือไง เลิกเถียงให้เสียฤกษ์แล้วเอาแบบนี้ดีไหมคะ ใช้วิธีผลัดกันจับที่คอทัพพีนะคะ แบบนี้รับรองว่าเสมอภาคเท่าเทียมกันแน่นอน

2. ในพิธีรดน้ำสังข์ ช่วงที่เราให้ตั้งใจมากๆ ไม่ใช่จังหวะการนั่งลงไปเพื่อรับน้ำสังข์ แต่เป็นช่วงหลังจากเสร็จสิ้นพิธีที่มีความเชื่อว่าหากฝ่ายใดลุกขึ้นยืนก่อน ฝ่ายนั้นจะได้เป็นผู้ที่อยู่เหนืออีกฝ่าย ได้ยินแบบนี้แล้วก็ไม่ต้องรีบแย่งกันลุกนะคะ ลุกขึ้นพร้อมๆ กันหรือช่วยประคองกันลุกขึ้นดีกว่า ดูน่ารักอบอุ่น แล้วยังเป็นวิธีการแก้เคล็ดไปในตัวอีกด้วย

3. ในพิธีแต่งงานตามธรรมเนียมฝรั่งมีความเชื่อว่า ในวันแต่งงานหากเจ้าสาวเห็นเจ้าบ่าวก่อน เธอจะมีอำนาจเหนือเจ้าบ่าวไปตลอดชีวิต แหม…รู้อย่างนี้เจ้าสาวก็สปีดแต่งหน้าทำผมแต่งตัวมายืนรอเจ้าบ่าวที่หน้าประตูเลยไหมล่ะ ส่วนเจ้าบ่าวคนไหนที่รู้ตัวว่าสายตาไม่ค่อยดี คงต้องรีบหาตัวช่วยมาบำรุงสายตา เพื่อรับมือกันหน่อยแล้วล่ะค่ะ ไม่อย่างนั้นเธอจะแอบมองคุณจนคุณตกเป็นรองเธอทั้งชีวิตนะ

4. ในพิธีสวมแหวน หากเจ้าบ่าวเผลอทำแหวนหล่น สวมแหวนให้เจ้าสาวไม่สุด หรือต้องให้เธอช่วยสวม มีความเชื่อว่าเจ้าบ่าวจะต้องตกอยู่ในอำนาจของเจ้าสาวตลอดชีวิตการแต่งงาน รู้อย่างนี้แล้วว่าที่เจ้าบ่าวทั้งหลายอย่าลืมซ้อมสวมแหวนให้เป๊ะก่อนถึงวันจริง อ้อ…แล้วอย่าสวมผิดมือซะละ เพราะสวมผิดต้องสวมใหม่ แบบนั้นก็นับว่าพลาดนะคะ

5. ในประเพณีแต่งงานจีนในสมัยก่อน ว่ากันว่าแม่สามีจะหาจังหวะดีๆ แอบเอามือกดหัวเจ้าสาว เพื่อให้เมื่อเข้ามาอยู่ร่วมชายคา ลูกสะใภ้จะอยู่ใต้อำนาจ ประมาณว่าไม่หือไม่อือไม่ว่าจะโดนโขกสับแค่ไหน ซึ่งแม้สมัยนี้จะไม่ปรากฎการกระทำนี้ชัดๆ แต่คุณว่าที่เจ้าสาวที่จะเข้าไปเป็นสะใภ้จีนก็ระวังไว้บ้างก็ดี  ถ้าไม่เจอก็ดีไป อย่าลืมว่าแม่สามีหัวเก่ายังมีอีกเพียบ เอาเป็นว่านอบน้อมให้เห็นแต่แรก ปลอดภัยกว่าเนอะ

6. ช่วงจังหวะที่เจ้าสาวจะเข้าบ้านฝ่ายชายจะมีธรรมเนียมจีนโบราณอยู่ว่า ให้เจ้าบ่าวเอามือเท้าประตู แล้วให้เจ้าสาวมุดเข้าไป เป็นเคล็ดว่าให้ภรรยาอยู่ใต้อำนาจสามี ซึ่งถ้าคุณรู้ก่อนแล้วไม่อยากเข้าข่ายการอยู่ใต้อำนาจตามความเชื่อนี้ละก็ จับตาดูกริยาของคุณเจ้าบ่าวให้ดี ถ้ายกแขนเท้าประตูเมื่อไหร่ อย่าได้เผลอเล่นลอดวงแขนเด็ดขาด แต่ให้ทำเนียนคว้าแขนมาคล้องไว้แล้วเดินเชิดๆ เข้าบ้านซะ

ปิดท้ายด้วยความเชื่อเพื่อความมงคลของเพื่อนเจ้าสาวกันสักหน่อย ซึ่งความเชื่อแต่โบร่ำโบราณบอกว่า ในพิธีรดน้ำสังข์ของไทยๆ ใครจะมาเป็นเพื่อนเจ้าสาวต้องเป็นคนที่มีแผนจะแต่งงาน ถ้าเป็นสาวโสดละก็จะโสดไปตลอดชีวิต!! แต่ในความจริงแล้ว แค่อยากให้คนที่กำลังจะแต่งงานเป็นคนต่อไปได้เห็นงานแต่งอย่างใกล้ชิดมากกว่า

ขณะเดียวกันบางความเชื่อก็บอกว่า ถ้าเป็นสาวโสดแล้วมาเป็นเพื่อนเจ้าสาวในพิธีนี้ถึง 2 ครั้ง นั่นแหละ ได้โสดเศร้าตลอดชีพแน่นอน ซึ่งก็ไปคล้องจองกับความเชื่อของฝรั่งที่ถือว่า ถ้าเป็นเพื่อนเจ้าสาวถึง 3 ครั้ง หมดหวังได้เป็นเจ้าสาวแน่นอน เอาละ จะเชื่อแบบไหนดี ก็แล้วแต่วิจารณญาณนะคะ

แถมให้อีกนิดสำหรับใครที่มีคู่รักสาย ฝ. 4 ข้อห้ามในงานแต่ง…ความเชื่ออินเตอร์ที่ฝรั่งเขาทำกัน