How To รักเราไม่เก่าเลย เคล็ดลับเสริมรักให้ชีวิตคู่สดใสในทุกๆ วัน

How To ใช้ชีวิตคู่ อย่างไรให้แฮปปี้

คนที่มีความรักหลายคนอาจมีคำถามที่ว่าจะ ใช้ชีวิตคู่ ของเราทำอย่างไรให้แฮปปี้ไปนานๆ ความรักของเราทำยังไงให้หวานหอมชื่นใจกันไปจนแก่เฒ่า บางทีแค่ความรักอย่างเดียวคงไม่พอ การดูแลเอาใจใส่ก็เป็นเรื่องสำคัญ วันนี้ แพรว wedding จึงมีเคล็ดลับให้ความรักสดใสไปนานแสนนานมาฝากกันค่ะ รับรองว่าดีต่อใจไม่มากก็น้อยอย่างแน่นอน 😉

แสดงความคิดถึงต่อกันเสมอ

ความคิดถึงเป็นสิ่งแรกที่คุณสองคนจะรับรู้ได้ซึ่งกันและกัน ยิ่งอยู่ห่างกันมากเท่าไหร่หรือนานมากแค่ไหน ต่างฝ่ายก็จะยิ่งมีความรู้สึกคิดถึงและโหยหากันและกันมากยิ่งขึ้น

ความห่วงใยเป็นสิ่งที่ขาดไม่ได้

สำหรับคนที่ใช้ชีวิตคู่อยู่ด้วยกัน หากปราศจากความห่วงใยซึ่งกันและกันแล้วนั้น ชีวิตคู่ของคุณก็จะเริ่มเกิดการสั่นคลอนได้ และนั่นก็จะกลายเป็นจุดเริ่มต้นของปัญหาของชีวิตคู่ในเวลาต่อมานั่นเองค่ะ

ทิ้งระยะห่างอย่างพอดี

การที่คุณทั้งคู่ตกลงใช้ชีวิตคู่ร่วมกันนั้น ก็ไม่ได้หมายความว่า คุณทั้งคู่จะต้องอยู่ด้วยกัน เว้นช่องว่างให้กันและกันบ้าง แต่ไม่ใช่ห่างกันมากเกินไปนะคะ เพราะคู่รักบางคู่เมื่อเว้นช่องว่างให้กันและกันแล้ว ปัญหาเรื่องของมือที่สามก็มักจะตามเสมอๆ จนเลิกกันก็มี

ให้ความเข้าใจเป็นที่ตั้ง

เรื่องนี้สำคัญมากๆ เลยนะคะ ถ้าหากว่าคุณทั้งสองคนเกิดความไม่เข้าใจซึ่งกันและกันแล้ว การที่จะอยู่ร่วมกันนั้น ก็ถือเป็นเรื่องยากมากเลยทีเดียว ดังนั้น อย่าปล่อยให้เรื่องเล็กน้อยกลายมาเป็นปัญหาใหญ่ของคุณสองคน แต่พยายามหันหน้าเข้าหากันเพื่อปรับความเข้าใจในวันทะเลาะ และพร้อมถอยห่างกันคนละก้าวในวันที่ต่างฝ่ายก็ร้อนใส่กันหรือไม่ก็อาจจะบอกเล่าเรื่องของกันและกันให้มากขึ้น นี่จะเป็นอีกหนึ่งวิธีที่จะช่วยให้คุณทั้งคู่เข้าใจกันและกันมากยิ่งขึ้นค่ะ

กาลเวลาไม่สำคัญ

ความรักความห่วงหาอาทรซึ่งกันและกันเป็นเรื่องสำคัญที่คู่รักต้องรู้จักใส่ใจให้กับอีกฝ่าย หากมีคนใดคนหนึ่งเผลอไผลไป อาจจะทำให้เส้นทางความรักของชีวิตคู่นั้นเกิดความไม่มั่นคงได้เคล็ดลับชีวิตคู่เป็นเรื่องที่คู่รักทุกๆ คู่สามารถทำได้แบบง่ายๆ เพียงแค่มองดูความสัมพันธ์และความสำคัญของคนรัก แล้วคุณจะเห็นเองว่าคู่ของคุณเป็นคู่รักที่ต้องการความรักแบบไหนและช่วยประคับประคองความรักของคุณให้อยู่กันไปได้ตราบนานเท่านานเลยค่ะ

>> อ่านเรื่องราวเกี่ยวกับความรักและความสัมพันธ์เพิ่มเติมได้ที่นี่อีกเพียบ คลิกเลย <<

cr : www.rd.com

3 สิ่งธรรมดาแต่ดีต่อใจที่แม่เจ้าสาวควรรู้และว่าที่เจ้าสาวอยากให้ทำ

หัวอกคนเป็นแม่ส่วนใหญ่ที่ลูกสาวกำลังจะได้ออกเรือนคือความยินดีเปรมปรีที่จะมีคนดีๆ มาดูแลลูกสาวสุดเลิฟทั้งชีวิต แต่นอกจากความยินดีที่จะแสดงออกผ่านรอยยิ้มบนใบหน้าแล้ว แพรวเวดดิ้งขอบอกว่า มีบางเรื่องที่ แม่เจ้าสาว ควรรู้และเจ้าสาวก็อยากให้ทำ เพื่อให้วันดีๆ ของลูกสาวได้รับการเติมเต็มอย่างสมบูรณ์แบบ

1. เป็นผู้สนับสนุนที่ดี

แน่นอนว่าเจ้าสาวจะเกิดอาการตื่นกังวลเกินเหตุสำหรับงานแต่งงาน แต่แม่เจ้าสาวควรจะสงบนิ่ง อยู่เป็นเพื่อนและเป็นผู้ช่วยลูกสาว เพราะแม่เจ้าสาวควรเป็นเสาหลักระหว่างช่วงเวลาที่ตื่นกังวลของเจ้าสาวและในช่วงเวลาที่เจ้าสาวต้องการใครสักคนที่จะช่วยตัดสินใจและทำให้ทุกอย่างเรียบร้อยถ้ามีอะไรผิดพลาดไป

2. แนะนำเรื่องรายชื่อแขกเท่าที่ควร

แม้พ่อแม่ของเจ้าบ่าวเจ้าสาวจะช่วยค่าใช้จ่ายสำหรับงานแต่งงาน แต่ไม่ใช่คนที่จะตัดสินใจคัดรายชื่อแขกทั้งงาน เพราะหน้าที่นี้เป็นของเจ้าบ่าวเจ้าสาวที่จะต้องตัดสินใจ พ่อแม่ของเจ้าบ่าวเจ้าสาวอาจบอกเพียงว่าอยากเชิญแขกคนไหนมาบ้างแต่ก็เฉพาะสนิทจริงๆ เท่านั้นไม่ใช่ญาติที่นานๆ เจอกันทีหรือเพื่อนที่ไม่ได้พูดด้วยมากกว่าสิบปี

3. ปรึกษาเรื่องชุดที่จะใส่กับแม่เจ้าบ่าว

แม้อาจดูเป็นเรื่องเล็กๆ ไม่สำคัญ แต่การมีส่วนร่วมของบรรดาแม่ๆ จะช่วยทำให้เกิดช่วงเวลาดีๆ ระหว่างสองครอบครัวได้ไม่ยาก โดยเฉพาะเรื่องชุดที่จะใส่ไปในงานแต่งงานของลูกๆ ที่สองแม่ควรหันหน้าเข้าหากัน ปรึกษาให้ชัดว่าต่างคนจะเลือกชุดสไตล์ไหน สีอะไรไปร่วมงาน เพราะคงจะเป็นเรื่องน่าอึดอัดพอตัว หากวันแต่งงานแม่เจ้าบ่าวและเจ้าสาวใส่ชุดรูปแบบเดียวกันในงานแต่งงานของลูกตัวเองจนแยกไม่ออกว่าใครเป็นใคร

>> อ่านเรื่องราวเกี่ยวกับความรักและความสัมพันธ์เพิ่มเติมได้ที่นี่อีกเพียบ คลิกเลย! <<

cr. photo : theknot

สารพัดไอเดียเติมความหวานให้งานแต่งงานที่น้ำตาลยังเรียกพี่!!

อะไรๆ ก็สีชมพู๊…ก็แหมคนจะแต่งงานทั้งทีมองไปทางไหนก็หวานชุ่มชื่นหัวใจจริงไหมคะ แล้วอย่างนี้ใน งานแต่งงาน จะไม่ให้หวานแบบน้ำตาลยกกองทัพมาได้ยังไง แพรว wedding เลยจัดมาให้กับสารพัดไอเดียเติมความหวานสำหรับงานแต่ง ที่บอกเลยว่าบ่าวสาวสามารถหยอดความหวานได้ในทุกที่และทุกช่วงในงานแต่งงานได้จริงๆ

ภาพงานแต่งงานคุณจ๊ะ & คุณเอิน ถ่ายโดย Anon

มุมแห่งความทรงจำ ถ้าบ่าวสาวอยากเพิ่มความหวานให้ขึ้นใจ ลองจัดมุมโชว์ของขวัญแห่งความทรงจำที่คุณทั้งคู่มอบให้กันมาตลอด หรืออาจจะเป็นรูปถ่ายของคุณทั้งคู่ตั้งแต่รู้จักกันหรือจีบกันใหม่ๆ ก็ได้ เพื่อให้แขกที่มาร่วมงานได้เพิ่มความฟินไปกับความรักของคุณทั้งคู่ไงคะ

งานแต่งงาน

โต๊ะขนมหวาน เป็นอีกหนึ่งจุดที่เป็นสัญลักษณ์แห่งความหวานได้เป็นอย่างดี โดยบ่าวสาวอาจจะจัดหาของหวานหลากชนิดตามสีของธีมงานมาก็ได้ (ถ้าสามารถ) แล้ววางสลับกับดอกไม้นานาพันธุ์ในเฉดสีสันสวยงามบนโต๊ะที่ได้ออกแบบจัดวางไว้เป็นอย่างดี รับรองว่ามุมนี้นอกจากแขกจะแวะมาอร่อยแล้ว ยังจะได้มุมเซลฟี่สวยๆ เก็บไว้อีกต่างหาก

ดอกไม้นานาพันธุ์ เป็นสิ่งที่ง่ายที่สุดที่เติมปุ๊บก็ช่วยให้งานแต่งของบ่าวสาวหวานปั๊บ แถมยังสามารถหยอดไว้ได้ในทุกๆ ส่วนของงานแต่ง แต่อาจจะเลือกใช้ดอกไม้ให้เข้ากับธีมงานสักหน่อยนะคะ เช่น

งานเรียบเท่ อาจใช้ดอกไม้ดีไซน์สวยๆ เพียงดอกเดียวปักไว้ในแจกันดีไซน์เก๋ หรืออาจจะเลือกวางดอกไม้เพียงดอกเดียวไว้บนแน็ปกิ้นก็ได้ เท่านี้ก็ช่วยเพิ่มความหวานแต่ยังคงคอนเซปต์ความเท่ไว้ได้แบบไม่แตกแถว

งานสไตล์คาวบอย อาจเน้นเป็นดอกไม้ดอกเล็กๆ ที่จัดวางไว้ในกระถาง กระป๋อง หรือฝักบัว ที่เน้นความเรียบง่ายกับของใช้ใกล้ตัว แต่กลับได้ลุคที่ดูครีเอทสุดๆ

งานแต่งแบบคลาสสิค ไม่ว่าจะเป็น งานแต่งแบบเทพนิยาย งานแต่งในสวน งานแต่งธีมดอกไม้ หรืองานแต่งแนวโรแมนติกชวนฝันทั้งหลาย อาจจะไม่ต้องโถมดอกไม้เข้าไปจนเต็มงาน เพราะจากความหวานอาจกลายเป็นความเลี่ยน โดยอาจจะเบรกความหวานด้วยการเปลี่ยนมาใช้เป็นกลีบดอกไม้แทน เช่น การโปรยกลีบดอกไม้ไว้ตามจุดต่างๆ ของงานอย่างทางเดิน รอบเค้กแต่งงาน หรือริมทางเดิน เป็นต้น

หวานแบบพลิ้วไหวด้วยริบบิ้น ถือเป็นอีกหนึ่งไอเดียสุดสร้างสรรค์ที่ช่วยเติมความหวานได้ง่ายๆ และเพิ่มได้ทุกที่ ไม่ว่าจะผูกไว้กับเก้าอี้ มีดตัดเค้ก ช่อดอกไม้เจ้าสาว หรือแม้กระทั่งห้อยระย้าไว้ที่แบ็กดร็อป หรือทางเข้างาน โดยอาจจะเลือกจับคู่เฉดสีพาสเทลเข้ากับเฉดสีกลางๆ อย่าง เทาอ่อน เทาเงิน ขาว ครีม หรือทองอ่อน หรือหากเป็นงานแต่งแบบเอ้าท์ดอร์ก็เพียงแค่ปล่อยริบบิ้นให้ยาวสยายพลิ้วไหวไปตามแรงลม เท่านี้ก็หวานแบบธรรมชาติสร้างสรรค์แล้ว

หวานหรูด้วยลูกไม้ นอกจากจะให้ความสวยหวานแล้ว ยังสื่อถึงความอ่อนโยนของหญิงสาวอีกด้วย ซึ่งความเป็นลูกไม้นั้นเหมาะกับการจัดงานแต่งงานสไตล์วินเทจ เพราะให้ทั้งความสวยหวานและความคลาสสิค เช่น อาจจะใช้ผ้าลูกไม้ลายสวยขึงไว้กับสะดึงแล้วนำไปประดับห้อยไว้ตามมุมต่างๆ หรือจะใช้ผ้าทั้งผืนมาปูที่โต๊ะลงทะเบียนก็ยังได้ หรือจะเรียบหรูด้วยการนำไปปูเป็นเทเบิ้ลรันเนอร์ก็เก็ดีไม่หยอก

แสงเหนือหรือจะสู้แสงหวาน หรือก็คือแสงเทียนตามจุดต่างๆ นั่นเอง โดยนำไปวางตกแต่งไว้ตามจุดต่างๆ ได้ทุกมุม เช่น ทางเดิน รอบแขก หรือที่เซ็นเตอร์พีช เพราะแสงวิบวับระยิบระยับที่นอกจากจะเพิ่มความหวานได้แล้ว ยังยกระดับความโรแมนติกในงานแต่งงานได้อีกด้วย แต่หากใช้เป็นเทียนจริงก็อาจจะต้องมีระบบรักษาความปลอดภัยกันนิดนึงนะคะ

ดื่มด่ำความหวาน ในที่นี้คือดื่มจริงๆ นะคะ เพราะบ่าวสาวอาจจะเลือกเสิร์ฟเป็นเครื่องดื่มสีสวยให้กับแขก เพื่อให้ภาพรวมของงานดูหวานขึ้น เช่น ค็อกเทลสีหวาน แชมเปญสีชมพู อิตาเลี่ยนโซดา สตอรว์เบอร์รี่สมูทตี้ เป็นต้น แถมงานนี้ไม่ได้สงวนไว้แค่เครื่องดื่มนะจ๊ะ เพราะถ้าหากบ่าวสาวเลือกเสิร์ฟของหวานดีไซน์น่ารักๆ คู่กันอย่าง คุ้กกี้รูปหัวใจ หรือคานาเป้สีพาสเทล ก็จะได้ทั้งความอิ่มและความฟินไปพร้อมกันได้อีก

อีกหนึ่งไอเดียเติมความหวานที่คู่รักสาย DIY ไม่ควรพลาด คลิกเลย >> ดอกไม้กระดาษ อีกหนึ่งไอเดียงานแต่งแบบ DIY สำหรับบ่าวสาวสายอาร์ต

ภาพ pinterest.com

How To งัดปากพร้อมเคล็ดลับเปิดใจให้อีกฝ่ายบอกรักแบบเนียนๆ

“ปากเธอแข็งรู้ไหม แต่ว่าฉันก็รับไหว ด้วยหัวใจที่รอ ได้แต่หวังสักครั้ง คำเดียวก็พอ อยากได้ยินว่ารักกัน…” อุ้ย! ร้องเพลงพี่ป้อม-พี่โต๊ะเพลินไปหน่อย พอดีว่ากำลังอินกับเพลงค่ะ ก็แหมจะไม่ให้อินได้ยังไงคะ ในเมื่อคนข้างกายไม่ บอกรัก ออกมาเลยสักคำเดียว ไอ้เราก็รอแล้วรอเล่าเฝ้าแต่รอ ก็ยังไม่มีวี่แววว่าปากจะอ่อนลงเลยแม้แต่นิด สาวๆ หนุ่มๆ คนไหนที่หลงรัก “คนปากแข็ง” และกำลังหาวิธีง้างปากกันอยู่ละก็ มาไม่ผิดทางค่ะ เพราะแพรวเวดดิ้งได้เสาะหาเคล็ดลับงัดปาก เปิดใจคนปากแข็งมาบอกกันค่ะ

1. หาที่ว่างให้ความสัมพันธ์

หนึ่งเหตุผลที่คนรักของคุณไม่เอ่ยคำว่ารักอาจจะเป็นเพราะเขารู้สึกว่า “ยังไงก็ต้องเจอกัน อยู่ใกล้ชิดกันทุกวันอยู่แล้วนี่นา ไม่เห็นจะต้องบอกเลย” ถ้าเป็นอย่างนี้ เราขอแนะนำให้ลองเว้นที่ว่างระหว่างกันสักนิด ให้ความคิดถึงได้ทำงานบ้าง เชื่อเถอะค่ะว่าเมื่อไหร่ที่คำว่า “คิดถึง” หลุดออกมาจากปากเขาแล้วล่ะก็ คำว่า “รัก” ก็จะตามมาในไม่ช้าแน่นอน

2. เลี่ยงประโยคนี้ “ไม่รักกันเลยเหรอ?”

เข้าใจค่ะว่าหลายๆ คนที่มีแฟนเป็นคนปากแข็งมักจะมีคำถามนี้อยู่ในใจตลอดเวลา แต่อยากให้รู้ไว้สักนิดค่ะว่าถ้าถามคำถามนี้บ่อยๆ เข้า นอกจากจะเป็นการกดดันคนรักแล้ว ยังอาจทำให้เขารู้สึกหงุดหงิดกับวิญญาณเจ้าแม่ดราม่าของคุณก็ได้นะ สุดท้ายไม่วายต้องทะเลาะกัน งอนกัน คราวนี้คำว่ารักก็ไม่ได้ยินแถมยังต้องผิดใจไม่มองหน้ากันไปอี๊ก เห้อ! ขอถอนหายใจหนึ่งที

3. บอกรักเขาไปก่อนเลย

ถ้าคุณมั่นใจในความรู้สึกของตัวเองแล้วล่ะก็บอกเขาออกไปตรงๆ เลยค่ะว่า “คุณรักเขา” เพราะการบอกรักใครสักคนไม่ใช่เรื่องเสียหายอะไรนี่คะ ถูกไหม? ในเมื่อคุณอยากเป็นผู้รับคำว่ารัก คุณก็ต้องเป็นผู้ให้ก่อน แต่ก็มีข้อแม้อยู่นิดนึงนะคะว่าคุณจะต้องเลือกเวลาพูดสักหน่อย อาจจะเป็นมื้อเย็นระหว่างที่คุณและเขากำลังใช้เวลาสุดสวีทด้วยกันก็ได้ เผลอๆ เขาอาจจะตอบกลับมาว่า “รักเหมือนกัน” คราวนี้ก็ถึงเวลาฟินกันสักที ยังไงก็แล้วแต่ห้ามบอกพร่ำเพรื่อเด็ดขาดนะ ไม่เช่นนั้นคำว่ารักที่ฟังแล้วซึ้งอาจจะกลายเป็นเลี่ยนไปทันที

4. บอกอ้อมๆ ผ่านบทเพลง

การใช้เสียงเพลงเป็นสื่อกลางถือว่าเป็นวิธีคลาสสิกทำกันมาทุกยุคทุกสมัย ไม่ว่าจะสุขหรือเศร้า รู้สึกอะไรก็บอกกันผ่านเนื้อเพลง แต่สำหรับคนที่อยากได้ยินคำว่ารักจากคนปากแข็งล่ะก็ ลองหาเพลงที่ส่งความหมายประมาณว่า ฉันรักเธอนะ แต่ไม่รู้เธอจะรักฉันเหมือนกันไหม ส่งไปให้เขาฟัง หรืออาจเป็นเพลงประเภทกลัวคำตอบจะทำให้ผิดหวังเพราะเธอยังไม่เคยเอ่ยปากบอกว่ารักฉันเลย (เราขอแนะนำ 3 เพลงเด็ดที่ใช้ได้ผลมานักต่อนักอย่าง “อยากรู้แต่ไม่อยากถาม” วง Calories Blah Blah , “ดาว” ของคริสติน หรือ “คำเชยๆ” วง Big & The Super band) ลองเลือกเอาตามที่ชอบแล้วไปเปิดให้คนข้างๆ ฟังรับรองว่าได้ผล!

5. ถามแบบเนียนๆ

วิธีที่ 5 นี้ไม่ยากเลยค่ะ เพียงแค่คุณลองทำอะไรน่ารักๆ ให้เขาเห็น ไม่ว่าจะเป็นการแต่งตัว ของขวัญ หรืออะไรก็ได้ที่คุณรู้สึกว่าถ้าทำแล้วเขาต้องชมออกมาว่า “น่ารักจังเลย” เมื่อได้ยินอย่างนี้แล้วอย่าปล่อยให้โอกาสดีๆ ผ่านไปค่ะ ให้คุณถามกลับไปทันทีว่า “แล้วรักมั้ยล่ะ” เท่านี้เอง รับรองว่าคำตอบคงไม่หนีไปจากคำว่า “รัก” แน่นอน

6. ถามตรงๆ เลยว่า “รักเค้ามั้ยตะเอง?”

ถ้าบอกรักไปแล้วเขายังเฉย ฝากเสียงเพลงไปบอกแล้วยังเงียบ หรือเนียนถามแล้วก็ยังนิ่งสนิท ถึงเวลาแล้วค่ะที่จะต้องถามออกไปตรงๆ ว่า “รักเค้ามั้ยตะเอง?” แนะนำให้ทำเสียงออดอ้อนด้วยนะ เขาจะได้ใจอ่อนปากอ่อนหลุดคำว่ารักออกมาให้ได้ยินกัน แต่ยังไงก็ช่วยเลือกถามเวลาที่เขาอารมณ์ดีๆ หรืออยู่ในบรรยากาศซึ้งๆ โรแมนติกนะ ผลลัพธ์จะได้ออกมาเป็นคำที่คุณอยากได้ยิน

7. แกล้งป่วยพิสูจน์รัก

หากว่า 6 ขั้นตอนด้านบนยังใช้ไม่ได้ผล วิธีการ “แกล้งป่วย” ก็น่าจะเวิร์คนะ แม้จะไม่อยากทำ ไม่อยากโกหก แต่ถ้ามันทนไม่ไหว ยังไงต้องฟังคำนั้นให้ได้ ก็ลองทำเถอะ แต่สิ่งสำคัญก็คือ คุณควรรู้นิสัยเจ้าตัวก่อนว่าคุณสามารถแกล้งเขาได้แค่ไหน และเขาจะรับได้หรือไม่เมื่อถึงเวลาเฉลยความจริง ส่วนจะเล่นใหญ่แค่ไหนอันนี้ก็แล้วแต่ความคิดสร้างสรรค์ของแต่ละคน หากมีผู้ร่วมขบวนการด้วยแนะนำว่าจะต้องเป็นคนใกล้ชิดที่เก็บความลับได้ดี ไม่กระโตกกระตากจนทำให้แผนล่ม และที่สำคัญหากเกิดผิดแผนโดนคนรักโกรธขึ้นมาผู้ร่วมขบวนการก็ต้องมีความสามารถไกล่เกลี่ยให้เราได้ด้วยนะ

ส่วนใครที่ร่ำร้องว่าทำไปหมดแล้วทั้ง 7 วิธีแต่เขาก็ยังไม่ยอมปริปากออกมาอยู่ดี เห้อ! อย่าเพิ่งท้อแท้ค่ะ เพราะเราเชื่อว่าถ้าทำกันขนาดนี้เขายังไม่พูดออกมาอีก แถมยังทนให้เรากดดันแบบนี้อีกด้วย แสดงว่าเขาต้องรักเราแน่นอน เอาไว้คราวหน้า เราจะมาบอกว่าวิธีที่คนปากแข็งแสดงออกว่ารักนั้นมีอะไรบ้าง คอยติดตามตอนต่อไปนะคะ >> อ่านเรื่องราวเกี่ยวกับความรักและความสัมพันธ์เพิ่มเติมได้ที่นี่อีกเพียบ คลิกเลย!

คู่มือสำหรับ เพื่อนเจ้าสาว มือใหม่มีหน้าที่อะไรในงานแต่งงาน

สิ่งที่ดีใจไม่แพ้การที่ได้ยินว่าเพื่อนสนิทจะแต่งงาน เห็นทีคงจะเป็นการได้เป็นเพื่อนเจ้าสาวนี่แหละค่ะ  นอกจากได้แต่งตัวสวยๆ เตรียมปาร์ตี้แล้ว อย่าลืมนะคะ เพื่อนเจ้าสาว ที่ดีต้องมีภารกิจมากมายคอยช่วยเหลือเจ้าสาวให้พิธีแต่งงานผ่านไปได้อย่างลุล่วง ดังนั้นก่อนรับตำแหน่งเรามาทำความเข้าใจกับหน้าที่เพื่อนเจ้าสาวกันหน่อยดีกว่าค่ะ ว่าต้องทำอะไรบ้าง แล้วคุณพร้อมที่จะทุ่มแรงกายแรงใจเพื่อวันพิเศษของเพื่อนสนิทของคุณแล้วหรือยัง?

 เพื่อนเจ้าสาว

1. ช่วยเตรียมงาน

ในระหว่างช่วงที่เพื่อนของคุณจัดเตรียมงานแต่งงาน ให้คุณคอยถามเพื่อนด้วยคำถามที่แสดงถึงความเป็นห่วงเป็นใย เช่น เป็นยังไงบ้างเตรียมงานไปถึงไหนแล้ว? เหนื่อยไหม? มีอะไรให้เราช่วยหรือเปล่า? ด้วยคำถามเหล่านี้เพียงคุณเอ่ยไปเพื่อนของคุณก็รู้สึกดีใจแล้วค่ะ และหากเพื่อนคุณต้องการความช่วยเหลือให้คุณจัดเตรียมงานในส่วนไหน คุณต้องทำอย่างเต็มใจให้ไม่ต่างจากงานแต่งงานของคุณเองเลยนะคะ เพราะอย่าลืมนะคะว่าบางทีบ่าว-สาวก็มีเวลาว่างไม่ตรงกัน บางครั้งคุณต้องสละเวลาไปช่วยเพื่อนของคุณเตรียมงานแทนเจ้าบ่าวบ้างแหละ

2. ชุดเพื่อนเจ้าสาว

สิ่งนี้เป็นสิ่งที่เกี่ยวข้องกับเพื่อนเจ้าสาวโดยตรงเลยนะคะ ปัจจุบันถือเป็นหน้าที่หลักที่เพื่อนเจ้าสาวต้องจัดการกันเอง เพื่อแบ่งเบาภาระให้กับเจ้าสาว โดยตัวเจ้าสาวจะจัดงบประมาณให้คุณไปเช่าชุดหรือบางคนซื้อผ้ามาให้เพื่อนๆ นำไปตัดชุดในโทนสีเดียวกันใส่เป็นแก๊งเพื่อเจ้าสาวน่ารักๆ ถ้าเจ้าสาวคนไหนมีเวลาหน่อยอาจเป็นคนมาช่วยเลือกเสื้อผ้าและเครื่องประดับให้เพื่อนๆ แต่ละคนด้วยจ้า

3. ของขวัญสำหรับเจ้าสาว

เคยได้ยินไหมคะ ของขวัญทุกชิ้นที่ได้จากคนที่เรารักล้วนมีคุณค่า ในวันสำคัญอย่างวันแต่งงานเจ้าสาวหลายคนก็อยากมีโมเม้นท์ได้รับการเซอร์ไพรส์จากเพื่อนสนิท แต่จะทำเซอร์ไพรส์อะไรนั้นก็ไม่ต้องเล่นใหญ่จนเกินไลน์งานแต่งเพื่อนนะคะ วิธีทำเซอร์ไพรส์ง่ายๆ คือการช่วยกันเลือกของขวัญที่มีความหมายหรือทำของขวัญแบบ DIY ที่มีชิ้นเดียวในโลก รับรองซึ้งกินใจเพื่อนของคุณแน่นอน

4. ดูแลความเรียบร้อยของเจ้าสาว

ก่อนงานจะเริ่มเจ้าสาวต้องเตรียมตัวแต่งหน้าทำผม ซึ่งในวันงานเจ้าบ่าว-เจ้าสาวจะยุ่งมากเป็นพิเศษจนไม่มีเวลาดูแลความเรียบร้อยของตัวเอง และนั่นเป็นหน้าที่ของคุณแล้วค่ะที่ต้องคอยดูแลเสื้อผ้าหน้าผมให้กับเจ้าสาว ตั้งแต่เจ้าสาวเริ่มแต่งตัวตลอดจนเดินเข้างาน คอยจับกระโปรงที่ยาวลากพื้นไม่ให้เพื่อนของคุณสะดุดล้มและคอยซับหน้าให้เพื่อนคุณสวยเป๊ะยันจบงาน

เพื่อนเจ้าสาว

5. คอยอำนวยความสะดวกในวันงาน

อย่างที่บอกค่ะในวันนี้เจ้าสาวจะยุ่งมากๆ อะไรที่แบ่งเบางานเพื่อนได้ก็ควรทำ อย่างหน้าที่นั่งประจำจุดลงทะเบียนต้อนรับแขกที่มางาน แจกของชำร่วย และพาแขกไปนั่งยังที่รับรอง หรือใครเก่งประสานงานก็คอยรันคิวงานให้กับเจ้าบ่าวเจ้าสาวให้เป็นไปตามกำหนดการที่ได้วางไว้

6. เดินนำหน้าเจ้าสาวเข้างาน

เมื่อเริ่มพิธีจะมีการเปิดตัวบ่าว-สาวโดยการเดินเข้ามาในงาน เพื่อนเจ้าสาวต้องมีการซ้อม นัดแนะกันให้ดีว่าใครจะเดินตรงไหน และอาจมีหน้าที่เล็กน้อยที่เพื่อนเจ้าสาวต้องทำ เช่น การโปรยดอกไม้ให้เจ้าบ่าวเจ้าสาวเดินออกมาอย่างสง่างาม คอยสร้างบรรยากาศในงานให้สนุกสนาน ช่วยลดความประหม่าให้เจ้าบ่าวเจ้าสาวได้ การเดินนำเข้างานเป็นพิธีเปิดงานที่สำคัญ เพราะเรียกความสนใจของแขกในงานทุกคนและต้องทำให้บ่าว-สาวเป็นจุดเด่นที่สุด

7. คนโสดต้องออกไปรับช่อดอกไม้

อย่าเขินอายที่จะออกไปรับช่อดอกไม้เลยค่ะ ถ้าคุณเป็นเพื่อนเจ้าสาวแล้วยังเขินอาย แขกในงานก็ไม่กล้าออกมาให้ความร่วมมือเหมือนกันค่ะ ข้อดีของการออกไปรับช่อดอกไม้ยังมีความเชื่อว่าถ้าคุณได้รับช่อดอกไม้จากมือเจ้าสาวคนโสดอาจเจอเนื้อคู่และคนมีคู่อาจได้แต่งงานเป็นคนต่อไปค่ะ เป็นหนึ่งกิจกรรมของงานแต่งงานที่มีความสนุกเฮฮาสาวโสดต่างรอคอย ดังนั้นคุณต้องเป็นผู้นำเอนเตอร์เทนความบันเทิงให้บรรยากาศในงานเป็นไปอย่างราบรื่นและสนุกสนานมากยิ่งขึ้นค่ะ

8. คอยให้กำลังใจ

กำลังใจ เป็นสิ่งสำคัญสำหรับเจ้าสาวทุกคน แม้เจ้าสาวจะได้แต่งงาน ซึ่งคือความปรารถนาของผู้หญิงทุกคน แต่การเตรียมงานนั้นก็ไม่ได้ง่ายเลย ไหนจะทั้งงานราษฎร์งานหลวง ต้องแบ่งเวลาทำสิ่งต่างๆ ความเหนื่อยมักตามมาเป็นของคู่กันค่ะ หน้าที่ของเพื่อนที่ดีอย่างเราคือการคอยให้กำลังใจ คลายความเครียด ทำให้เจ้าสาวยิ้มหัวเราะเยอะๆ จะได้มีใบหน้าเต็มไปด้วยความสุขต้อนรับวันสำคัญในชีวิตค่ะ

เพื่อนเจ้าสาว

ทั้งหมดนี้คือหน้าที่เพื่อน(ที่ดี)ของเจ้าสาวที่ควรทำค่ะ แต่สำหรับสิ่งที่เพื่อนเจ้าสาวไม่ควรทำในวันงานแต่งงานจะมีอะไรบ้างนั้นมาดูได้ในนี้ คลิกเลย >> จดไว้ให้ดี 10 สิ่งนี้ที่เพื่อนเจ้าสาวไม่ควรทำในวันแต่งงาน

ภาพจาก : popsugar.com, esposagroup.com, ilaiki.net

อย่าสั่ง! 6 ประเภทอาหารทำเดตพังอร่อยแค่ไหนก็ต้องเลี่ยงไปก่อน

ในวันที่ต้องออกเดตสาวๆ จะสวยเป๊ะอย่างเดียวไม่พอ แต่ต้องมีกริยางามพร้อมเวลากินด้วยนะ ฉะนั้นแล้วพึงระวัง ถ้าคิดจะสั่ง 6 ประเภท อาหารทำเดตพัง ต่อไปนี้ เพราะแม้จะแลดูอร่อยมากๆ แต่อาจไม่รุ่งเมื่ออยู่ตรงหน้า

1. กลิ่นแรงกล้า

อาหารกลิ่นฉุนกึก อย่างกระเทียม ใบกุยช่าย และหัวหอม เป็นต้น แม้ชิ้นจะไม่ใหญ่ แต่บอกเลยว่าทิ้งร่องรอยอายธรรมเป็นกลิ่นไว้ยาวนานยิ่งกว่าสิ่งใดๆ ลองคิดดูสิคุยกันออกรสมาก แต่กลิ่นก็ออกมาทุกครั้งที่อ้าปาก ก็ทำให้รู้สึกไม่อยากชวนคุยด้วยแล้ว หรือดีลกันได้ลงตัวเป็นจูบดูดดื่ม แต่แทนที่จะหวานล้ำมันกลับ อี้….กลิ่นประหลาดอ่ะ แบบนี้ต่อให้จ้องตากันเกิน 8.2 วินาที ก็ไม่ช่วยอะไร

2. เส้นยาวเหนียวนุ่ม

อาหารเส้นเหนียวนุ่มน้ำเข้าเนื้อ ซู้ดเสียงดังๆ ยิ่งอร่อย แต่บอกเลยว่าไม่เหมาะกับการเดต ไม่ว่าจะเดตแรก เดตวาเลนไทน์ หรือเดตขอแต่งงาน นอกจากจะกินยากใช้ส้อมพันก็ไม่ช่วย ยังทำให้ต้องสูดเส้นเสียงดัง ท่าทางก็ไม่งาม เพราะฉะนั้น ไม่ว่าเส้นจีน เส้นฝรั่งก็ตัดออกจากลิสต์เมนูได้เลย ยกเว้นก็แต่ว่า จะสูดเส้นไป จ้องตาชายหนุ่มสื่อความนัยไป แต่ก็ควรหัดหน้ากระจกก่อนนะเพื่อความเป๊ะ เซ็กซี่เกินห้ามใจ

3. อาหารฟันแทะ

อาหารอร่อยที่ต้องแทะ ต้องใช้มือจับ อย่าง น่องไก่ ซี่โครงหมู หรือแฮมเบอร์เกอร์ ก็เป็นอีกหนึ่งเมนูที่ควรตัดออกด่วนๆ  เพราะกริยายามรับประทานนั้นทำให้ดูดุเดือด แถมความเลอะรอบปากจะทำให้กลายเป็น Wild Girl แทนที่จะมีลุคสาวหวานๆ เริ่ดหรูและดูดี เว้นเสียแต่คุณจะมีสกิลการใช้อุปกรณ์บนโต๊ะสูงมากและอยากแสดงให้เขาประทับใจ

ประเภทอาหาร

4. อาหารชิ้นพอดีคำ

พวกอาหารชิ้นพอดีคำ กินทีเดียวหมด อย่างซูชิ ทาปาส ค็อทเทล อะไรทำนองนี้ มีความน่ากลัวสูงมาก อานุภาพทำลายล้างภาพลักษณ์ชนิดแทบไม่เหลือเลยทีเดียว เพราะต้องกินให้หมดในคำเดียวแล้วลองคิดดูว่าต้องอ้าปากกว้างแค่ไหนกัน แทนทีจะอวดแค่ริมฝีปากสวยอิ่ม นี่กลายเป็นว่าลิ้นไก่ก็ออกมาเริงร่าท้าสายตานะจ๊ะ แล้วมันจะงามหรา

5. อาหารทะเลสด

อาหารทะเลสดๆ อย่าง กุ้ง หอย ปู เอาง่ายๆ คือพวกที่เสิร์ฟแบบพร้อมเปลือกหนา ก็ขอให้เซย์กู๊ดบายแบบไม่ต้องมีอุทธรณ์  เพราะมันแกะยากค่ะคุณ ต้องใช้วิทยายุทธขั้นสูง ซึ่งงานเดตไม่ใช่งานประลองยุทธ เว้นก็แต่ว่าคุณผู้ชายเขาอาสามาแกะให้ แต่ทางที่ดีอย่าให้ลำบากเขาเลย กินปลาก็สวยแล้ว

6. เครื่องดื่มอัดแก๊สซู่ซ่า

ไม่ใช่แค่เฉพาะน้ำอัดลมนะคะ แต่เหล่าสปาร์คกลิ้งทั้งหลายก็เป็นอันตรายต่อลุคสวยงามที่วางไว้ ก็ลองคิดดูเครื่องดื่มพวกนี้จะช่วยไล่ลมให้ออกมา ฟังก็ดูดีแต่วิธีไล่ลมเนี่ยสิเรอดังเอิ้กเลยนะคะคุณ มาครบ ทั้งรูป เสียง และกลิ่น ใครเจอเข้ารับรองว่าผงะทุกราย ขอแนะนำว่าให้สั่งเป็นน้ำผลไม้ หรือไวน์สวยๆ จะดีกว่าเนอะ

นี่แหละ 6 อาหารอันตรายห้ามให้ปรากฏตัวในมื้ออาหารสุดพิเศษเด็ดขาด ไม่อย่างนั้นอย่าหาว่าไม่เตือนนะ

>> อ่านเรื่องราวเกี่ยวกับความรักและความสัมพันธ์เพิ่มเติมได้ที่นี่อีกเพียบ คลิกเลย <<

รักครั้งนี้กับ มนุษย์ฟรีแลนซ์ แค่ความเข้าใจพอหรือไม่ให้รักได้ไปต่อ

ลองนึกดูซิคะว่า ถ้าคุณเป็นพนักงานแบบ “ฟูลไทม์” เข้างาน 8 โมงเช้าเลิกงาน 5 โมงเย็น แต่ดันเกิดไปปิ๊งปั๊งกับผู้ที่เรียกตัวเองว่า “ มนุษย์ฟรีแลนซ์ ”  คราวนี้ความรักของคุณจะดำเนินไปเช่นไร มีอะไรที่ต้องทำความเข้าใจกันและกันบ้าง ถ้าอยากรู้ตามไปอ่านกันเลยจ้า

สำหรับหนุ่มสาวมนุษย์ฟูลไทม์ที่กำลังจะเริ่มความสัมพันธ์กับมนุษย์ฟรีแลนซ์นั้นคงต้องทำความเข้าใจในอาชีพและตัวตนของเขาสักหน่อยค่ะ อย่างแรกเลยคือ เขาเหล่านั้นมักเป็นผู้ที่ “รักอิสระ” ไม่ชอบเข้า-ออกงานตามเวลาเช้าเย็น ไม่ชอบการทำงานซ้ำๆ แบบวนลูป รวมถึงฟรีแลนซ์บางคนก็อาจไม่ชอบอยู่ใต้กฎเกณฑ์ที่ถูกกำหนดมาให้ทำตามด้วย นั่นจึงเป็นเหตุผลว่า ทำไมเขาหรือเธอจึงเลือกมาเป็น “ฟรีแลนซ์”

อย่างที่สองก็คือ ฟรีแลนซ์ส่วนใหญ่มักจะ “จัดระเบียบตารางชีวิตตัวเองเก่ง” เนื่องจากการทำงานแบบฟรีแลนซ์นั้นจะเรียกว่าทำงานอยู่บนความไม่แน่นอนก็ได้ ถ้าเมื่อไหร่ “ไม่มีงาน” นั่นก็หมายความว่า “ไม่มีเงิน” ด้วยเช่นกัน ดังนั้นมนุษย์ฟรีแลนซ์ส่วนใหญ่จึงมักจะ “รับงานมาทำหลายอย่างพร้อมกัน” อยู่เสมอ และเพื่อให้งานที่รับมาส่งทันตามกำหนด พวกเขาจึงมักจะจัดสรรเวลาได้อย่างยอดเยี่ยม วันนี้ทำงานนั้น วันนั้นทำงานนี้ บางคนทำก่อนวันส่งงานแบบ “ไฟลนก้น” นั่นก็ยังถือว่าแบ่งเวลาเก่งพอตัว (เก่งวันสุดท้ายแบบอัจฉริยะข้ามคืนไง!) จึงไม่ต้องแปลกใจว่าตารางเวลาของชาวฟรีแลนซ์จะแน่นเอี๊ยด ไม่ได้ว่างอย่างที่หลายๆ คนเข้าใจ

อย่างที่สามคือ ฟรีแลนซ์ส่วนใหญ่ “ทำงานไม่เป็นเวลา” เพราะในขณะที่ชาวฟูลไทม์ทำงาน 8 แปดโมงเช้าถึง 5 โมงเย็น เสาร์-อาทิตย์ก็ได้หยุด แต่สำหรับชาวฟรีแลนซ์แล้วล่ะก็ เวลาเริ่มงานของชาวฟูลไทม์อาจเป็นเวลาพักผ่อนนอนหลับของเหล่าฟรีแลนซ์ก็ได้ แถมเสาร์-อาทิตย์ก็ยังคงต้องนั่งหน้าคอมฯ ปั่นงานให้ทันส่งอีกด้วย (แหม มันยุ่งจริงๆ นะ!)

เมื่อ “มนุษย์ฟูลไทม์” ริจะรักกับ “มนุษย์ฟรีแลนซ์”

ตามที่ได้เกริ่น (แบบยาวๆ) ไปแล้วข้างต้นถึงชีวิตฟรีแลนซ์ หลายคนคงจะเห็นว่าตารางชีวิตของคนทำงานแบบฟูลไทม์กับฟรีแลนซ์แทบจะตรงข้ามกันอย่างสิ้นเชิง ดังนั้นปัญหาใหญ่ของความรักระหว่างมนุษย์ 2F (Fulltime & Freelance) ก็คือ “เวลา”  ถ้าอยากให้รักครั้งนี้ไปรอดและยืนยาวต้องอาศัย 2 สิ่งนี้

1. เข้าใจ

ความเข้าใจเป็นสิ่งสำคัญของความรัก หนุ่มสาวชาวฟูลไทม์ที่มีเวลาการทำงานแน่นอนควรจะเข้าใจคนรักที่เป็นฟรีแลนซ์บ้างนะจ๊ะ เพราะเขาอาจโดนกดดันหลายทางจากงานที่รับมาเยอะๆ ไหนจะต้องเร่งทำงาน ไหนจะรักษาลูกค้า เอาเป็นว่าคอยรับฟัง เข้าใจ และเป็นกำลังใจให้กับเขาแล้วกันนะ

2. แบ่งเวลา

แม้ว่าคนที่เป็นฟรีแลนซ์จะยุ่งเกือบ 24 ชั่วโมง แต่คุณก็ต้องให้เวลาและดูแลคนข้างกายบ้าง ลองหาเวลาว่างตรงกัน หรือกำหนดวันหยุดพักผ่อนไปเลยว่า วันนี้จะไม่ทำงาน ไม่รับงาน เพื่อเติมความหวานให้กับชีวิตรัก ออกไปเดท ดูหนัง ดินเนอร์บ้าง คนข้างกายจะได้รู้สึกว่ายังเป็นคนสำคัญสำหรับคุณอยู่และชีวิตรักครั้งนี้จะได้ยั่งยืน

ส่วนคนฟูลไทม์ก็ต้องปรับทัศนคติเรื่องเวลาการทำงานของมนุษย์ฟรีแลนซ์ข้างกายหน่อยนะ เพราะเขาอาจไม่ได้มีเวลามากมายเหลือเฟือมาคอยปรนนิบัติพัดวีคุณเช้าเย็น (เหมือนแฟนคนก่อนๆ ) เพราะฉะนั้นถ้าเวลาไหนที่เขางานเร่ง งานรัดตัวก็ยอมๆ ให้เขาหน่อยละกัน แต่อย่าลืมหาวันชดเชยนะ อิอิ

สุดท้ายไม่พูดถึงเรื่องความกลัวคงเป็นไปไม่ได้ ถ้าถามว่า “รักกับมนุษย์ฟรีแลนซ์แล้วกลัวอะไร?” ก็คงต้องตอบตามตรงว่า “กลัวความไม่มั่นคง” เพราะอย่างที่บอกไปแล้วว่ามนุษย์ฟรีแลนซ์ส่วนใหญ่นั้น เงินคืองาน งานคือเงิน ถ้าเมื่อไหร่ “ไม่มีงานก็เท่ากับว่าไม่มีเงิน” ด้วยเช่นกัน หรือบางทีงานมีแต่ได้เงินช้าก็สร้างปัญหาไม่น้อย หนุ่มสาวคนไหนที่คิดจะรักกับชาวฟรีแลนซ์ก็ต้องทำใจยอมรับความเสี่ยงของความไม่แน่นอนนี้ให้ได้ และอาจช่วยเขาวางแผนบริหารเงิน บริหารเวลา ตามวิถีของคนรักที่ดีพึ่งกระทำ เพื่อให้รักครั้งนี้ไร้ปัญหา “เงินช็อต” มากวนใจนะจ๊ะ

>> อ่านเรื่องราวเกี่ยวกับความรักและความสัมพันธ์เพิ่มเติมได้ที่นี่อีกเพียบ คลิกเลย <<

ภาพ : www.shinesobrigthly.com

Do’s & Don’ts พิชิตภารกิจขอสาวแต่งงานทั้งทีต้องมีทริคตามนี้กันหน่อย

เราคิดว่าคงมีคุณผู้ชายจำนวนไม่น้อยเลยที่อยากจะใช้โอกาสหวานๆ ในช่วงเวลาพิเศษ ขอสาวแต่งงาน สำหรับคุณผู้ชายคนไหนที่กำลังคิดไม่ตกว่าจะทำอย่างไรให้เธอประทับใจและตกลงปลงใจเซย์เยส ลองอ่าน “Do’s & Don’ts ขอสาวแต่งงานทั้งทีต้องมีทริค” ก่อนสิคะ แล้วจะรู้ว่าอะไรควรทำและไม่ควรทำในภารกิจขอแต่งงาน ถ้าปฏิบัติได้ตามนี้รับรองว่าไม่เกิดเหตุการณ์แป้กๆ ให้หน้าแตกแน่นอน

ขอสาวแต่งงานDo’s – รู้ใจเธอก่อน

อันดับแรกต้องรู้ก่อนว่าเธอคิดอย่างไรกับคุณและมีความเป็นไปได้แค่ไหนที่เธอจะตัดสินใจเซย์เยส อาจจะลองแย้บๆ ถามดูก่อนแบบทีเล่นทีจริงเพื่อสังเกตท่าที ถ้าวิเคราะห์แล้วว่ามีโอกาสที่เธอจะเซย์เยสสูงก็เดินหน้าแผนการต่อได้เลย

Do’s – หาแหวนที่ถูกใจเธอ

แหวนเป็นสิ่งที่ขาดไม่ได้เลยในการขอแต่งงาน เพราะช่วงเวลาที่สวยงามที่สุดก็คือตอนที่คุณบรรจงสวมแหวนวงงามให้เธอ จริงไหมล่ะคะ

ขอสาวแต่งงานDo’s – เลือกสถานที่แสนพิเศษ

สถานที่แสนพิเศษจะช่วยให้โมเม้นต์ขอแต่งงานของคุณเพอร์เฟ็กต์ ลองเลือกเป็นสถานที่แห่งความทรงจำของคุณทั้งคู่ดูสิคะ เช่น ที่ที่เจอกันครั้งแรก ร้านอาหารร้านโปรด หรือสถานที่ที่เธออยากไป

Do’s – บอกพ่อแม่ของเธอให้ทราบ

ก่อนจะไปขอสาวแต่งงานคุณควรจะบอกพ่อแม่ของเธอให้ทราบเสียก่อน เพราะนอกจากจะเป็นการขออนุญาตแล้ว ยังแสดงให้เห็นว่าคุณเคารพและให้เกียรติเธอและครอบครัวอีกด้วย

ขอสาวแต่งงานDo’s – คุกเข่าขอแต่งงาน

ใครจะหาว่าน้ำเน่าก็ช่าง เราขอบอกเลยว่าการคุกเข่าขอแต่งงานคือความคลาสสิกที่มีเสน่ห์สุดๆ และทำให้โมเม้นต์ขอแต่งงานของคุณสมบูรณ์แบบ

Don’ts – ลืมพูดความในใจ

อย่าตื่นเต้นจนลืมพูดความในใจที่อยากจะบอกกับเธอ แนะนำว่าควรจะซ้อมแล้วซ้อมอีก หรือถ้าไม่ชัวร์ก็เขียนใส่กระดาษแล้วอ่านต่อหน้าเธอเลยก็ยังได้

Don’ts – ขาดการวางแผน

อย่าดุ่มๆ เดินเข้าไปขอสาวแต่งงานโดยไม่มีแผนการหรือความพิเศษ เพราะผู้หญิงทั้งหลายล้วนใฝ่ฝันอยากจะมีโมเม้นต์นี้ในชีวิต ถ้าเธอเกิดไม่ประทับใจกับวิธีขอแต่งงานของคุณขึ้นมาก็อาจจะตัดสินใจเซย์โนใส่ก็ได้นะเออ

Don’ts – ซ่อนแหวนในอาหาร

ถือว่าขอเถอะสำหรับมุกซ่อนแหวนในอาหาร เพราะทั้งเก่าและมีความเสี่ยงสูงที่แหวนจะถูกกลืนลงคอของเธอไปซะก่อน เดี๋ยวจะต้องเปลี่ยนไปขอแต่งงานกันที่โรงพยาบาลแทนแล้วจะยุ่งนะคะ

Don’ts – รีบป่าวประกาศให้โลกรู้

อย่ารีบป่าวประกาศให้คนทั้งโลกรู้ เพราะผู้หญิงบางคนก็อยากจะเก็บเรื่องสำคัญนี้ไว้เป็นความลับก่อน แล้วค่อยบอกข่าวดีให้ทุกคนทราบภายหลัง

อ่านเพิ่มเติม >> หลังขอแต่งงาน บ่าวสาวต้องทำตาม 5 ข้อนี้ เพื่องานแต่งสวยดั่งฝั่น ไม่ยุ่งยาก << 

ขอบคุณข้อมูลและภาพจาก : www.newlovetimes.com, www.enkivillage.com

7 ไอเดียเวทีเค้กแต่งงานให้บ่าวสาวถ่ายภาพได้หลากอารมณ์

วินาทีที่บ่าว – สาว จรดมีดลงบน เค้กแต่งงาน นับเป็นวินาทีแห่งความทรงจำไม่รู้ลืม อีกทั้งจุดนี้ยังถือเป็นจุดรวมสายตาของแขกผู้มาร่วมงาน แพรวเวดดิ้งจึงรวบรวมไอเดียการตกแต่งเวทีเค้กหลากสไตล์ เผื่อคู่รักจะนำไปต่อยอดสร้างเวทีเค้กในฝัน

เค้กแต่งงาน

1. เวทีเค้กตกแต่งด้วยดอกไม้กระดาษ

เพิ่มลูกเล่นให้กับเวทีเค้กด้วยดอกไม้กระดาษในขนาดที่แตกต่างกัน ช่วยลดความจำเจให้กับผู้พบเห็นได้เป็นอย่างดี

เค้กแต่งงาน

2. เวทีเค้กม้าหมุน

ใส่ความแฟนตาซีให้กับเวทีเค้กด้วยการออกแบบเป็นม้าหมุนสุดหวาน รับรองเลยว่าแขกผู้มางานจะอินจัดจนคิดว่าตัวเองมาเป็นสักขีพยานรักให้กับเจ้าหญิงเจ้าชายเลยก็ว่าได้

เค้กแต่งงาน

3. เวทีเค้กสวนดอกไม้

เพิ่มความหวานให้กับงานโดยการเนรมิตเวทีเค้กให้อยู่ท่ามกลางสวนดอกไม้นานาชนิด แถมเมื่อบ่าวสาวมายืนตัดเค้กจะให้ความรู้สึกสดชื่นขึ้นมาในบัดดล

06_aumice

4. เค้กสวยภายใต้กาเซโบคริสตัล

สร้างความหรูหราที่ผสมผสานความคลาสสิกให้กับเค้กแต่งงานได้ด้วยกาเซโบคริสตัล ประดับด้วยดอกไม้สีขาวอันสื่อถึงความรักที่แสนบริสุทธิ์

Minutes-11

5. เวทีเค้กจำลองฟองอากาศ

สร้างความฟรุ้งฟริ้งให้กับเวทีเค้กด้วยการจำลองฟองอากาศรอบๆ ตัวเค้ก เพิ่มบรรยากาศให้ดูราวกับอยู่ในโลกของเทพนิยายมากยิ่งขึ้น

17_116-WD01

6. เวทีเค้กกลิ่นอายดินแดนอาทิตย์อุทัย

บ่าวสาวที่ชื่นชอบดินแดนอาทิตย์อุทัย ลองประดับเวทีเค้กด้วยต้นซากุระ นอกจากบ่าวสาวจะอินแล้ว แขกที่มางานยังรู้สึกสดชื่นรื่นรมย์ตามไปด้วย

RW116_ปูนตั้ม-(13)

7. เวทีเค้กที่มาจากเรื่องราวของความรัก

เรื่องราวของความรักสามารถนำมาปรับใช้ในการตกแต่งเวทีเค้กได้ เช่น บ่าวสาวคู่นี้ที่เจอกันในช่วงน้ำท่วม จึงออกแบบเวทีเค้กเป็นรูปหยดน้ำพราวพราย พร้อมด้วยร่มนานาชนิดลอยอยู่เหนือเค้ก สร้างจุดสนใจให้กับเวทีเค้กได้มากทีเดียว

>> อ่านเรื่องราวเกี่ยวกับการเตรียมงานแต่งงาน และดูไอเดียงานแต่งเพิ่มเติม คลิกเลย <<

ภาพเปิด : PONGSATHORN PHOTOGRAPHY ตกแต่งโดย Marisa The Planner and Organizer

เสริมดวงความรัก ฤกษ์แต่งดี – พิธีการเด่น – ชีวิตรักรุ่ง โดยหมอช้าง – ทศพร ศรีตุลา

ใครสนใจเรื่องรักๆ ขอให้มาทางนี้ เพราะเราได้ขอเชิญ หมอช้าง – ทศพร ศรีตุลา หมอดูชื่อดังมาบอกเคล็ดลับ เสริมดวงความรัก อย่างครบครัน ทั้งฤกษ์แต่งงานและพิธีแต่งงาน…รับรองว่าเฮงทั้งปีแน่นอน!

เรื่องฤกษ์ไม่ได้หมายถึงวันอย่างเดียว แต่หมายถึงช่วงเวลาด้วย คนโบราณเวลาทำอะไรมักเริ่มต้นด้วยการให้กำลังใจ โดยเฉพาะงานมงคลอย่างงานแต่งงานที่สมัยก่อนยังไม่มีออร์แกไนเซอร์มาช่วยอำนวยความสะดวก กว่าจะจัดงานได้ก็ลำบาก แล้วยังอาจติดปัญหาดินฟ้าอากาศ ญาติพี่น้องเดินทางไม่สะดวก จึงมีความเชื่อว่าการจัดงานมงคลในฤกษ์ที่ดีจะช่วยให้ทุกอย่างราบรื่นขึ้น ส่วนที่ว่าฤกษ์ดีจะทำให้คู่แต่งงานอยู่กินกันราบรื่นนั้นเป็นวัตถุประสงค์รอง

ถ้าจะให้ดี ควรพิจารณาปัจจัยอื่นด้วย เช่น พ่อแม่สะดวกไหม เป็นฤกษ์ดีสำหรับคู่สมรสไหม ฯลฯ ความจริงแล้วฤกษ์ดีมีทุกเดือน แต่ในปัจจุบันนี้ไม่ควรดูฤกษ์ดีเพียงอย่างเดียวแต่ควรดูภาวะเศรษฐกิจด้วย เพราะถ้าไปจัดงานแต่งงานในช่วงปลายเดือนอาจจะได้ซองน้อย ต้องคิดว่าเมื่อจัดงานในฤกษ์ดีแล้วก็ไม่ควรให้งานขาดทุน ดังนั้นอาจเลือกช่วงเงินเดือนออก เลี่ยงช่วงวันหยุดยาว และต้องดูด้วยว่าฤกษ์ที่ได้มานั้นไปตรงกับงานใหญ่อื่น ๆ หรือไม่ เพราะบางคนไปจัดงานในฮอลล์ซะอลังการ แต่ปรากฏว่าไปชนกับงานแฟร์ใหญ่ๆ แขกก็ไม่ค่อยอยากไป เพราะรถติดมาก

สำหรับคู่บ่าวสาวที่หาฤกษ์ดีไม่ได้จริงๆ อาจจะเริ่มงานด้วยความเป็นมงคล คือ ทำบุญตักบาตรร่วมกัน จะช่วยให้วันนั้นกลายเป็นวันที่ดีของทั้งคู่ได้

รู้ไว้ก่อนหาฤกษ์

  • ควรเลือกสักศาสตร์ เช่น ศาสตร์ไทยหรือศาสตร์จีน เรียกว่าเชื่ออาจารย์ไหนก็ควรจะเลือกอาจารย์เดียว อย่าไปแย่งกันหาที่สำคัญ อย่านำอาจารย์หลายคนมาเทียบกัน เพราะจะทำให้หาฤกษ์ลำบาก
  • ระวังอย่าให้มีการ “เสียฤกษ์” คือขอฤกษ์จากหมอดูแล้วไม่ใช้ เพราะคนโบราณเชื่อว่าไม่เป็นมงคลแก่คู่สมรส ดังนั้นเพื่อหลีกเลี่ยงปัญหานี้ คู่บ่าว – สาวควรบอกอาจารย์ที่ไปขอฤกษ์ให้ชัดเจนว่าอยากจัดงานแต่งงานช่วงไหน เดือนไหน เพื่ออาจารย์ท่านนั้นๆ จะได้บอกฤกษ์ที่เหมาะสม โดยอาจจะขอมาสักประมาณ 2 – 3 วันเพื่อเป็นตัวเลือก
  • หากต้องการหาฤกษ์ตามศาสตร์จีน ควรเตรียมข้อมูลวันเดือนปีเกิดของพ่อแม่ฝ่ายเจ้าบ่าวและเจ้าสาวไปด้วย เพราะปกติตามศาสตร์จีนจะคำนวณหาฤกษ์มงคลทั้งของพ่อแม่
  • และคู่บ่าว – สาว เช่น พ่อแม่ต้องมาส่งตัวได้ เนื่องจากคนจีนมีความเชื่อว่า ถ้าคนในครอบครัวหรือญาติผู้ใหญ่เป็นปีชงกับคู่สมรสจะถูกห้ามไม่ให้มาร่วมงาน ดังนั้นถ้าเราเตรียมข้อมูลนี้ก่อนจะได้เตรียมฤกษ์ได้อย่างถูกต้อง
  • ฤกษ์ส่งตัวแบบไทย คือ การให้ผู้ใหญ่มาส่งตัวคู่บ่าว – สาวเข้าหอ ควรจะเลือกฤกษ์ที่สะดวกกับผู้ใหญ่ด้วย เช่น ไม่ควรดึกเกินไปจนดูเหมือนไม่เกรงใจท่าน ยกเว้นในกรณีที่เป็นญาติสนิทกันจริงๆ

เสริมฮวงจุ้ยให้งานแต่ง

  • ควรใช้ของชำร่วยที่เป็นมงคล คือ เป็นสัญลักษณ์แห่งความเป็นคู่ เช่น ตะเกียบคู่ หงส์คู่ ฯลฯ เพื่อสื่อถึงการเริ่มต้นชีวิตคู่
  • การ์ดแต่งงาน ไม่ควรดีไซน์ให้เจาะรูตรงกลางหรือมองทะลุออกไปได้ เพราะถือว่ามีความหมายที่ไม่ดี ยกเว้นว่าเป็นการเจาะรูตรงกลางแล้วมีแผ่นกระดาษประกบข้างหลัง จะสื่อถึงความมั่นคงและสามัคคี
  • โทนสีจัดงานที่ดีและเป็นมงคลคือ สีธาตุไฟ เช่น สีแดง สีชมพู สีส้ม ซึ่งนอกจากใช้ในการตกแต่งสถานที่แล้ว ยังสามารถใช้สีเหล่านี้กับการ์ดแต่งงานและเครื่องแต่งกายของแขกที่มาร่วมงานได้ด้วย
  • ผนังของเวทีจัดงานไม่ควรติดกับห้องน้ำ เพราะตามศาสตร์จีนเชื่อว่าเป็นการรับพลังที่ไม่ดี
  • การตกแต่งเวทีควรออกแบบให้มีฉากหรือม่านหลังเวที เพื่อช่วยเสริมความมั่นคงของชีวิตคู่
  • การตั้งเวทีควรจะตั้งให้ชิดด้านใดด้านหนึ่งของผนัง ไม่ควรวางเวทีไว้ตรงกลางแบบหมุนรอบด้านได้
  • ไม่ควรมีน้ำพุตรงกลางพื้นที่จัดงาน เพราะเป็นการทำลายธาตุดิน ซึ่งหมายถึงความสัมพันธ์ หากอยากมีน้ำพุจริง ๆ ควรเปลี่ยนไปวางไว้มุมใดมุมหนึ่งแทน
  • ถ้าต้องการตกแต่งสถานที่จัดงานด้วยภาพวาด ควรเลือกภาพที่เป็นสัตว์คู่กัน เช่น หงส์คู่ มังกรคู่ เป็ดคู่ ฯลฯ เพื่อความเป็นสิริมงคล
  • ที่นอนสำหรับพิธีส่งตัว ควรใช้ของใหม่ทั้งเซต เพื่อเสริมฮวงจุ้ยที่ดีสำหรับชีวิตคู่
  • จำนวนชั้นของเค้กแต่งงาน สามารถใช้จำนวนเท่าไรก็ได้ แล้วแต่สะดวก

>> อ่านเรื่องราวเกี่ยวกับการเตรียมงานแต่งงาน และดูไอเดียงานแต่งเพิ่มเติม คลิกเลย <<

ขอขอบคุณ หมอช้าง – ทศพร ศรีตุลา (สัมภาษณ์ในนิตยสาร WE)

หรือเขาไม่รักเราจริง? ล้วงลึกใจชายเหตุผลที่เขายังไม่อยากแต่งงาน

เคยเป็นกันไหมคะสาวๆ ที่คบกับแฟนหนุ่มมานาน แต่รู้สึกไร้วี่แววการขอแต่งงานสร้างอนาคตจากเขา สาวบางนางคิดมากจัด จึงพยายามส่งสัญญาณสารพัดให้เขารู้สึกว่าฉันอยากออกเรือนใจจะขาด แต่สุดท้ายเขาก็ยังนิ่งเป็นเต่าเฝ้าตลิ่ง วันนี้เราขอทำหน้าที่ล้วงใจชายมาฝากกัน  ถึงเหตุผลที่เขา ไม่อยากแต่งงาน สาวๆ จงอ่าน จะได้รู้ว่าลึกๆ แล้วเขาคิดอะไร ทำไมไม่เอ่ยปากขอคุณแต่งงานสักที

ยังไม่อยากแต่งเพราะ ยังคงรักอิสระและกลัวการผูกมัด ต้องยอมรับนะคะว่า การเป็นแฟนกัน ยังไม่มีพันธะสัญญาใดๆ จะไปไหนทำอะไรย่อมมีอิสระสูงกว่าการที่คุณเป็นสามีภรรยา แม้บางคู่จะบอกว่าตอนเป็นแฟนกันคุณก็ได้อิสระอยู่แล้ว เมื่อแต่งงานแล้วคุณก็ยังคงได้อิสระเหมือนเดิมนั่นแหละ แต่การแต่งงานมาพร้อมความรับผิดชอบค่ะ ต่อให้สาวๆ บอกว่ายังคงให้อิสระกับเขา แต่ยอมรับเถอะว่าลึกๆ ในใจ คุณเองก็คาดหวังให้เขายอมลดอิสระของตัวเองเพื่อครอบครัวใช่ไหมล่ะ ซึ่งนี่แหละคือสิ่งที่หนุ่มๆ เขารู้ทันคุณ และแม้ว่าคุณจะไม่เอ่ยปากพูดแต่เขาเองก็มีสามัญสำนึกที่ต้องดูแลคุณอยู่ดี ทำให้ความรู้สึกที่ได้สัมผัสถึงความมีอิสระนั้นโดนตีกรอบทันที ฉะนั้นหนุ่มหลายคนก็เลยขอรักษาความอิสระนี้ไว้ให้นานที่สุดก่อน

ยังไม่อยากแต่งเพราะ ยังไม่พร้อม คำว่าไม่พร้อมมีหลายอย่างค่ะ เริ่มจากเรื่องแรกคือ เรื่องเงิน แต่งงานต้องใช้เงิน ตั้งแต่เงินจัดงานแต่ง เงินสร้างบ้าน เงินซื้อคอนโด เงินซื้อเฟอร์นิเจอร์ รวมไปถึงเงินที่จะใช้เป็นพื้นฐานครอบครัวหลังแต่งงาน แต่เรื่องเงินก็ไม่ใช่ปัญหาสำหรับทุกคนค่ะ เพราะบางคนรวยล้นฟ้าแต่ใจไม่พร้อมที่จะดูแลใคร เพราะลำพังตัวเองก็ดูแลได้ยากลำบากซะเหลือเกิน ถ้าจะเอาอีกคนมาผูกติดคงจะไปไม่รอด (อันนี้แม้จะออกแนวรักตัวเอง แต่ก็ถือว่าไม่ลากคุณไปลำบากด้วยนะเอ่อ) กรณีหลังเนี่ยถือว่า “ไม่พร้อมจะรับผิดชอบ” มากกว่า

นอกจากนี้ยังมีเรื่องความไม่พร้อมส่วนตัว เช่นยังจัดการเรื่องที่บ้านไม่สำเร็จหรือไม่ลงตัว เช่นต้องดูแลบุพการีที่แก่ชรา ธุรกิจที่บ้านยังสะดุดหรือแม้แต่หนี้ส่วนตัวยังบานเบอะ ก็เป็นเหตุผลของความไม่พร้อมทั้งมวลค่ะ

ยังไม่อยากแต่งเพราะ ยังไม่แน่ใจ ดีหน่อยคือโอนเอนไปทางไม่มั่นใจว่าจะดูแลคุณได้ดีหรือเปล่าจึงลังเลยังไม่อยากขอคุณแต่งงาน ขณะที่หนุ่มบางคนไม่แน่ใจในความรู้สึกของตัวเองที่มีกับคุณ ซึ่งเหตุผลนี้อาจจะดูโหดร้ายไปซะหน่อย แต่คุณต้องรับให้ได้นะคะ เพราะนี่คือเรื่องจริง เคยได้ยินไหมว่า ตอนเป็นแฟนก็รักนะไม่ใช่ไม่รัก แต่เหมือนมีอะไรบางอย่างที่ทำให้เขาลังเลว่าแต่งกับคุณแล้วจะดีจริงไหม เกิดแต่งไปแล้วไม่ใช่ล่ะ หรือบางคนก็อาจเป็นประเภทว่าถ้าแต่งไปแล้วเจอคนอื่นที่ใช่กว่าจะเสียดายทีหลังไหม

ยังไม่อยากแต่งเพราะ ยังไม่บรรลุเป้าหมาย ผู้ชายบางคนตั้งธงไว้เลยว่า จะแต่งงานก็ต่อเมื่อหน้าที่การงานไต่ระดับได้ถึงตำแหน่งสูงเท่านั้นเท่านี้ เพราะนั่นแปลว่าเงินเดือนจะเพิ่มมากขึ้น ความมั่นคงในชีวิตการทำงานเสถียรขึ้น แต่ถ้ายังอยู่ในตำแหน่งหน้าที่การงานเดิมๆ ความไม่พร้อมและไม่แน่ใจจะปะทุขึ้นมาทันที จึงยังไม่ขอคุณแต่งงาน ทีนี้ก็อยู่ที่ว่าคุณจะรอเขาไต่ไปถึงเป้าหมายได้รึเปล่าล่ะ

ยังไม่อยากแต่งเพราะ ไม่คิดจะแต่งงาน มี 2 ความหมายนะคะ คือไม่คิดจะแต่งเพราะไม่อยากมีพันธะหรือไม่คิดจะ (จัดงาน) แต่ง อันนี้ต้องเคลียร์ให้ชัดก่อน ถ้าไม่อยากแต่งเพราะไม่อยากจัดงานแต่ง แปลว่าการใช้ชีวิตคู่ยังรออยู่ตรงหน้า แต่ยอมรับได้ไหมว่าเขาไม่ผิดที่ไม่อินกับงานแต่งงานเหมือนสาวๆ หากเขาเจอผู้หญิงที่คิดแบบเดียวกันก็จบง่าย แต่ถ้าเจอแบบที่อยากจัดใจจะขาดก็คงต้องคุยกันยาว

แต่ถ้าคุณเจอหนุ่มที่ยังไม่อยากแต่งงานเพราะไม่อยากมีพันธะ ขอแนะนำให้สาวๆ สำรวจความรู้สึกของตัวเองที่มีต่อชายหนุ่มที่มีความคิดแบบนี้ เทียบกับความความรู้สึกและความต้องการของตัวเองว่า จะโอเคไหมที่คุณจะต้องอยู่เป็นแฟนกับเขาไปเรื่อยๆ จะเลิกวันไหนก็วันนั้น อยู่กันได้ก็อยู่ต่อกันไป จากนั้นตัดสินใจค่ะว่าจะอยู่กับเขาหรือจะเปลี่ยนความสัมพันธ์เป็นเพื่อนที่ดีต่อกันแทน

ทั้งหมดนี้คือเหตุผลกว้างๆ จากชายหนุ่มที่ยังไม่อยากแต่งงานที่เรารวบรวมและสรุปมาเป็นข้อมูลเพิ่มความเข้าใจในความคิดของชายหนุ่มทั้งหลาย แต่ขอย้ำนะคะว่าไม่ใช่ทุกคนที่คิดแบบนี้ และไม่ใช่ทุกเหตุผลที่ว่านี้จะรวมอยู่ในชายหนุ่มเพียงคนเดียว วันนี้เขาอาจจะไม่อยากแต่งงานด้วยเหตุผลใดก็ตาม แต่วันข้างหน้าเมื่อเวลาเดินไป ความคิดของเขาอาจจะเปลี่ยน เมื่อเขาพร้อมและคุณพร้อม งานแต่งงานที่เกิดขึ้นจากความรักและความพร้อมอย่างที่คุณรับได้จะเกิดขึ้นอย่างแน่นอนค่ะ

>> อ่านเรื่องราวเกี่ยวกับความรักและความสัมพันธ์ได้ที่นี่อีกเพียบ คลิกเลย <<

ภาพ : www.huffingtonpost.com

ค่าใช้จ่ายจัดงานแต่ง คุมได้ง่ายๆ ไม่ให้งบบานปลายด้วยตัวเอง

ค่าใช้จ่ายจัดงานแต่ง แค่เกริ่นขึ้นมาบ่าวสาวหลายคู่อาจจะเริ่มกังวลแล้วว่าทำอย่างไรดีนะที่จะไม่ใหสูงเกินไป ซึ่ง แพรว wedding อยากจะบอกว่าบ่าวสาวสามารถคุมค่าใช้จ่ายต่างๆ ได้ง่ายๆ ไม่ให้งบบานปลายได้ด้วยตัวเองค่ะ เรื่องนี้ไม่ได้ยากเกินไป หากเรารู้และเตรียมตัว มีสิ่งใดบ้างที่ต้องคำนึงถึงมาดูกัน

 

1. จำกัดเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ในงานแต่งงาน

พูดถึงเครื่องดื่มแอลกอฮอล์แล้ว เป็นค่าใช้จ่ายที่สูงพอสมควรเลยล่ะค่ะ เพราะฉะนั้นบ่าวสาวอาจจะลองมาปรึกษากันว่า ลองลดปริมาณเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ลงดีไหม หรือเลือกเสิร์ฟเฉพาะแขกวีไอพีในงานเท่านั้น แน่นอนว่าเซฟค่าใช้จ่ายลงไปได้เยอะเลยล่ะค่ะ

2. เปรียบเทียบราคาร้านเค้ก

ในกรณีที่บ่าวสาวอยากได้เค้กีดีไซน์เก๋เพื่อให้เข้ากับธีมงานนั้น ก็มีร้านเค้กหลายร้านมากให้บ่าวสาวได้เลือก ซึ่งก็ต้องลองเปรียบเทียบดูว่าร้านไหนราคาถูก คุณภาพดี เพราะของดีก็ไม่ได้แพงไปเสียทุกครั้งนะจ๊ะ หรือถ้าแขกในงานไม่เยอะมาก ลองเลือกเป็นเค้กที่มีขาดเล็กลงมาแล้วใช้เป็นเค้กโฟมดีกว่าไหม จะลดค่าใช้จ่ายลงไปได้เยอะ และถ้าหากทานไม่หมดก็จะไม่เสียของด้วยนะจ๊ะ

3. หาอาหารที่อยู่ในพื้นที่

ข้อนี้หมายความว่า ถ้าบ่าวสาวจ้างร้านอาหาร โต๊ะจีน บุฟเฟ่ต์ หรือค๊อกเทล ลองเลือกเจ้าที่อยู่ใกล้เคียงกับบริเวณที่จัดงานแต่งงานก่อน เพราะจะสามารถลดค่าใช้จ่ายในการเดินทางมาของร้านได้ค่ะ

4. เลือกดอกไม้ประดับง่ายๆ

โดยเลือกจากดอกไม้ที่มีตามฤดูกาลในช่วงที่บ่าวสาวจัดงาน เพราะจะประหยัดกว่าการเลือกนอกไม้นอกฤดูกาลแน่นอน เพราะทางร้านจะต้องเสียเวลาไปสรรหาดอกไม้สด คุณภาพดี จากที่อื่นมาจัดให้เรา นั่นแหละค่ะที่มาของราคาที่สูง เพราะฉะนั้นถ้าเป็นไปได้ลองเลือกดอกไม้ที่ปลูกในประเทศไทยก็จะดีกว่านะคะ เพราะราคาไม่สูงเท่าดอกไม้จากต่างประเทศ

5. ลองเปลี่ยนของตกแต่งมาเป็นผลไม้ดูไหม

ถ้าคิดว่าการนำดอกไม้มาประดับตกแต่งงานนั้นแพงเกินไป ก็ลองเปลี่ยนนำผลไม้มาตกแต่งดูค่ะ เก๋ไก๋ แถมประหยัดขึ้นแน่นอน ที่สำคัญนำมารับประทานต่อได้อีก

ค่าใช้จ่ายจัดงานแต่ง

6. ลองเช่าแทนการซื้อ

เปลี่ยนจากการซื้อทุกอย่าง มาเป็นการเช่าจะดีกว่าไหมนะ ไม่ว่าจะเป็นชุดเจ้าบ่าว ชุดเจ้าสาว เครื่องประดับ และรองเท้า ซึ่งการเช่าไม่ได้แย่เสมอไปนะคะ เพราะถ้าหากบ่าวสาวเลือกร้านที่ดีๆ มีคุณภาพ ก็จะได้ของดีและไม่เก่า แถมยังสวยไม่แพ้กับชุดสั่งตัดราคาแพงอีกด้วย

7. DIY ของชำร่วย

มา DIY ของชำร่วยง่ายๆ ด้วยตัวเองกันเถอะ ซึ่งงานนี้ต้องอาศัยแรงจากเจ้าบ่าว รวมไปถึงเพื่อนๆ มาลองปรึกษากันดูว่าอยากจะทำของชำร่วยง่ายๆ ด้วยตัวเองเป็นอะไรกันดี ถ้าคิดได้แล้วก็ลงมือทำกันเลยค่ะ ช่วยกันคนละไม้คนละมือ รับรองประหยัดแน่นอน แถมของชำร่วยก็ดูมีคุณค่าขึ้นมาทันที เพราะทำด้วยความรักความตั้งใจของบ่าวสาวนั่นเองค่ะ

8. อะไรที่ไม่จำเป็นก็ตัดออกไปบ้าง

เช่น งานอาฟเตอร์ปาร์ตี้ แน่นอนว่าสร้างสีสันและเป็นช่วงเวลาที่บ่าวสาวและเพื่อนๆ ได้สนุกสุดเหวี่ยงกัน แต่ลองพิจารณาจากงบก่อน ถ้าหากงบไม่พอจริงๆ ก็อาจจะต้องโบกมือลา แล้วค่อยจัดสังสรรค์กันนอกรอบเมื่อพร้อมก็ไม่ว่ากันนะจ๊ะ

9. เลือกอาหารที่ราคาไม่สูงมาก

เปลี่ยนจากต้องเสิร์ฟอาหารแพงๆ มาเป็นอาหารที่รสชาตดี แต่ราคาปานกลางก็ได้นะจ๊ะ เพราะอาหารคือสิ่งที่ต้องเสิร์ฟแขกเป็นจำนวนมาก หากเลือกอาหารที่หรูหรา แต่แพงเกินไป ก็จะยิ่งเพิ่มภาระค่าใช้จ่ายให้กับบ่าวสาวนั่นเอง

เป็นยังไง…ไม่ยากเลยใช่ไหมคะ กับการลดค่าใช้จ่ายในงานแต่งงาน ลองทำตามดู รับรองเงินเหลือแน่นอนค่ะ

สำหรับบ่าวสาวคู่ไหนที่อยากจะลอง DIY ของชำร่วย สามารถเข้าไปดูได้ตามนี้เลยนะจ๊ะ สบู่ก้อนสายรุ้ง ของชำร่วยงานแต่ง DIY ทำด้วยตัวเองก็ได้ง่ายนิดเดียว

ไอเดียจาก : marthastewartweddings.com / ภาพจาก : Pinterest.com

เพื่อนกับแฟนไม่ถูกกัน ปัญหาน่าปวดหัว ขาดเธอก็เหงาขาดเขาก็เสียใจ

“เพื่อนกับแฟน” สองคำนี้ที่สร้างความหนักใจให้กับใครหลายคน บางทีไปกับเพื่อนก็กลายเป็นทิ้งแฟน บางครั้งไปกับแฟนก็กลายเป็นทิ้งเพื่อน ยิ่งถ้า เพื่อนกันแฟนไม่ถูกกัน โอ๊ย! ปวดประสาทเพิ่มขึ้นไปอีกเป็นสิบเท่า แล้ว “คนที่อยู่ตรงกลางอย่างเรา” จะรับมืออย่างไรดี มาดูวิธีกันค่ะ

1. หาเหตุผลของความไม่ชอบ

คนเราถ้าไม่ชอบใครสักคนก็ควรจะมีเหตุผลถูกไหม เพราะฉะนั้นแนะนำให้จับเข่าคุยกับทั้งสองฝ่าย ลองถามแฟนดูว่า “ทำไมถึงไม่ชอบเพื่อนของเรา?” และถามในลักษณะเดียวกันนี้กับเพื่อนเราด้วย แต่ต้องแยกกันถามนะจ๊ะ ไม่ใช่ว่าจับแฟนกับเพื่อนมานั่งชนกันแล้วถามมันซะเลย ทำแบบนี้เดี๋ยวได้ตีกันตายพอดี

2. พูดความจริงกับทั้งสองฝ่าย

คนกลางบางคนเกรงใจเพื่อนเวลาที่ต้องออกไปกับแฟน หรือเกรงใจแฟนเวลาออกไปปาร์ตี้กับแก๊งเพื่อนรัก ทำให้ไม่กล้าบอกความจริงเพราะกลัวว่าพวกเขาจะเกิดอาการน้อยใจ คิดว่าเราเห็นอีกฝ่ายดีกว่า ใครที่กำลังจะโกหกบอกเลยว่ามันไม่เวิร์คสุดๆ เพราะถ้าพวกเขามารู้ความจริงทีหลัง รับรองได้ว่าเคลียร์กันยาวทั้งเพื่อนทั้งแฟนแน่นอน

3. พาไปแฮงก์เอาท์ด้วยกันซะเลย

บางครั้งการที่เพื่อนและแฟนของเรารู้สึกไม่ชอบกันและกันนั่นอาจจะเป็นเพราะว่า ทั้งสองฝ่ายยังไม่รู้จักกันดีพอ ลองหาโอกาสให้พวกเขาออกไปเที่ยวหรือทำกิจกรรมร่วมกัน แล้วสังเกตปฏิกิริยาของพวกเขาด้วย ถ้าเขาออกอาการเก้ๆ กังๆ ไม่รู้จะเริ่มพูดคุยกันยังไง ตัวคุณเองในฐานะคนกลางต้องเป็นคนเชื่อมความสัมพันธ์ระหว่างแฟนกับเพื่อน บางทีพวกเขาอาจจะเปลี่ยนความคิดหลังจากที่ทำความรู้จักกันมากขึ้น

ส่วนงานไหนมีเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ขอให้ระวังเป็นพิเศษ อย่าให้ทั้งสองฝ่ายดื่มมากเกินไป ไม่อย่างนั้นเดี๋ยวเขาพ่นไฟใส่กัน คราวนี้หมดทางรับมือจริงๆ

4. เช็กฟีดแบ็กสักหน่อยดีกว่า

หลังจากพาเหล่าพ้องเพื่อนและคนรักของเราออกไปกระชับมิตรกันมาแล้ว คุณควรจะถามความรู้สึกของทั้งสองฝ่ายเสียหน่อยว่าเขารู้สึกเป็นอย่างไรบ้าง ลองสังเกตท่าทีและทัศนคติของพวกเขา หากว่าผลตอบรับเป็นบวก ทั้งเพื่อนและแฟนออกอาการแฮปปี้ตอนนี้ก็พอวางใจได้ แต่ถ้าหน้าบึ้ง เบ๊ะปาก บ่นอุบอิบแล้วล่ะก็ คงต้องทำใจยอมรับความจริงและปล่อยให้ทั้งสองฝ่ายต่างคนต่างอยู่ ส่วนคุณเองก็ต้องเริ่มจัดสรรเวลาให้ดีว่าตอนไหนจะอยู่กับเพื่อน ตอนไหนจะอยู่กับแฟน จะได้ไม่ต้องมีปัญหาวุ่นวายตามมาทีหลังอีก

5. อยู่กับแฟนอย่าพูดถึงเพื่อน อยู่กับเพื่อนอย่าพูดถึงแฟน

ในเมื่อรู้ว่าต่างฝ่ายต่างไม่ปลื้มกันและกันแล้ว เพราะฉะนั้นเวลาที่คุณออกไปเดทกับแฟนก็ควรเลี่ยงที่จะพูดเรื่องของเพื่อน และโฟกัสกับคนข้างๆ เข้าไว้ เช่นเดียวกับเวลาที่คุณออกไปสังสรรค์กับชาวแก๊ง ก็ไม่ต้องเปิดประเด็นว่าคนรักของคุณเป็นอย่างนู่น ดีอย่างนี้เด็ดขาด เพราะนอกจากจะไม่ช่วยให้อะไรดีขึ้นแล้ว ยังอาจเป็นการเพิ่มความหมั่นไส้ให้มากขึ้นไปอีก

ใครที่ต้องกลายเป็นคนกลางระหว่างเพื่อนกับแฟนก็ลองเอา 5 วิธีนี้ไปใช้รับมือได้ แต่อยากให้จำไว้เสมอว่า ถ้าทั้งสองฝ่ายรักและเข้าใจคนกลางอย่างคุณจริงๆ พวกเขาจะไม่กดดันให้คุณเลือกข้างใดข้างหนึ่งเด็ดขาด ในขณะเดียวกันคุณก็ต้องจัดวันเวลาให้ดีว่า วันไหนจะไปกับเพื่อน วันไหนจะไปกับแฟน  เพื่อรักษาความรักและมิตรภาพให้ยืนยาวตลอดไป

>> อ่านเรื่องราวเกี่ยวกับความรักและความสัมพันธ์เพิ่มเติมได้ที่นี่อีกเพียบ คลิกเลย <<

ข้อมูล : www.gurl.com
ภาพ : pixabay.com

ฝึกให้คล่องก่อนวันจริงกับ 3 เทคนิคเข้าห้องน้ำในชุดเจ้าสาวแบบไม่เลอะ

“การเข้าห้องน้ำ” เป็นกิจวัตรที่มันช่างธรรมด๊าธรรมดา แต่สำหรับ “เจ้าสาว” แล้ว การอยาก เข้าห้องน้ำในชุดเจ้าสาว นั้น ถือว่าเป็นงานหิน! เราอยากให้คุณลองจินตนาการว่าคุณกำลังอยู่ในชุดเจ้าสาวสุดสวยทรงบอลกาวน์อลังการกรุยกราย หรือเมอร์เมดหางยาวลากพื้นกัน แล้วนึกภาพต่อว่าแค่เดินเหินปกติยังต้องระวัง แล้วนี่ใส่เข้าห้องน้ำ! ชุดสวยจะเปื้อนไหม แล้วจะจัดท่าทางยังไง.. แค่คิดก็เหนื่อยแล้ว!

ว่าที่เจ้าสาวเตรียมฝึก เข้าห้องน้ำในชุดเจ้าสาว ให้คล่องๆ ไว้ก่อน เผื่อฉุกเฉินนะ!

Photo by Samuel Regan-Asante on Unsplash

แต่อย่าเพิ่งถอดใจไป เพราะวันนี้เรามีเทคนิคการเข้าห้องน้ำในชุดเจ้าสาวมาฝาก เก็บไว้ใช้พลิกแพลงแก้ปัญหาเมื่อเจอสถานการณ์จริงกัน งานนี้รับรองว่าเอาอยู่!

  • นัดกับเพื่อนเจ้าสาวให้เรียบร้อย

อย่าแม้แต่จะคิดไปคนเดียวเชียวนะ นึกภาพตัวเองหอบชายกระโปรงน้ำหนักหลายสิบปอนด์ให้เหนือพื้น จัดท่าทาง เตรียมกระดาษทิชชู่ ฯลฯ เห็นไหมว่าคุณไม่ไหวหรอก คุณต้องการเพื่อนเจ้าสาวที่รู้ใจกันดีสัก 2 คนที่จะคอยช่วยเหลือตอนคุณอยากเข้าห้องน้ำ พาไปห้องน้ำ ช่วยเคลียร์พื้นที่ หยิบจับอุปกรณ์ต่างๆ ช่วยจับชุดและใส่ชุด  คุณอาจจะต้องทนอายหน่อยแต่ทำเถอะค่ะ เพื่อแลกกับความสบายใจ  เพราะถ้าคุณลื่นล้มเพราะเหยียบชายกระโปรงหรือชายกระโปรงชุดเจ้าสาวแสนสวยเปื้อนขึ้นมาคงกว่าเดิมอีกหลายเท่า

Photo by Chalo Garcia on Unsplash
  • เทคนิคพิเศษ

สถานที่จัดงานหลายที่จะมีห้องน้ำผู้พิการ เราแนะนำว่าถ้าเจ้าสาวคนไหนต้องเข้าห้องน้ำจริงๆ ล่ะก็ ใช้ห้องน้ำผู้พิการดีกว่า เพราะมีพื้นที่กว้างขวาง และตอนทำธุระจะต้องทำแบบนี้ค่ะ

กรณีที่ 1 – ถ้าชุดเจ้าสาวของคุณดีเทลเยอะจัด น้ำหนักชุดก็ไม่ใช่น้อยๆ ให้เพื่อนเจ้าสาวทั้ง 2 อยู่ซ้ายขวาของคุณไว้แล้วรับผิดชอบเก็บรายละเอียดและยกชุดกันคนละฝั่ง จากนั้นคุณก็จัดการทำธุระส่วนตัวไป

กรณีที่ 2 – แนะนำให้นั่งแบบหันหน้าเข้าโถ เพราะถ้านั่งแบบปกติเราจะมองไม่เห็นกระโปรงข้างหลัง การนั่งแบบนี้จะช่วยป้องกันให้ชายกระโปรงไม่เปื้อนได้

กรณีที่ 3 – ถ้าชุดถอดง่าย เราแนะนำให้คุณถอดเถอะค่ะ แล้วถ้าพื้นห้องน้ำไม่ได้สกปรกอะไร การถอดรองเท้าก็จะช่วยให้คุณถอดชุดได้ง่ายขึ้น แล้วให้เพื่อนเจ้าสาวของคุณช่วยกันถือชุดเอาไว้

Photo by Brandon Morales on Unsplash
  • เป็นเจ้าสาวท่อตรงหรือเปล่า?

ถ้าใช่ เลิกคิดจะใส่ชุดเจ้าสาวทรงบอลกาวน์ หรือปริ๊นเซสสุดกรุยรายไปได้เลย แล้วเลือกทรงเชธมาสวมใส่ในวันงาน ซึ่งจะทำให้ชีวิตของคุณง่ายขึ้นอีกเยอะ!

ด้วยความปรารถนาดีจากเรา…ทำตามเถอะค่ะ แล้วงานยากในห้องน้ำจะงานสุดๆ ในวันพิเศษของคุณ

> ดูแบบชุดแต่งงานทั้งไทยและสากลได้เพิ่มเติมอีกเพียบที่นี่ คลิกเลย! <<

ภาพจาก : Unsplash.com

7 วิธีเผชิญหน้าแฟนเก่าแบบไหลลื่นไม่กระอักกระอ่วนทั้งสองฝ่าย

เราเชื่อว่า 80 % ของคนเรามักจะมีเรื่องฝังใจกับความรักเก่าๆ อยู่เสมอ โดยเฉพาะกับคนรักเก่าที่เคยผ่านร้อนผ่านหนาว เคยสุขและทุกข์มาด้วยกัน แต่สุดท้ายก็ต้องจากลากันด้วยเหตุผลต่างๆ นานา อย่างไรก็ตาม หากวันหนึ่งที่โลกใบนี้เหวี่ยงคุณสองคนให้กลับมาเจอกันอีกครั้ง คราวนี้จะทำตัวยังไงให้การเผชิญหน้าไหลลื่นไม่ติดขัด หรือจะเลี่ยงอย่างไรให้เจอกันน้อยที่สุด แพรวเวดดิ้งรวบรวมวิธีเจอหน้า แฟนเก่า จากประสบการณ์หลายๆ คนมาฝากค่ะ

1. พูดคุยกันตามปกติ

วิธีนี้เหมาะสำหรับคู่รักเก่าที่บอกลากันด้วยความเข้าใจ เดินจากกันไปด้วยดี ไม่มีแผลใจเหวอะหวะ และยังสามารถเป็นเพื่อนกันได้ การพูดคุยกันตามปกติเสมือนเพื่อนถือว่าเป็นเรื่องที่ควรทำ ทักทายกันด้วยความรู้สึกดีๆ ต่อกัน แต่ไม่จำเป็นต้องโหมกระพือถ่านไฟให้ลุกโชนขึ้นมาอีกนะ

2. ไม่จำเป็นต้องถามถึงแฟนใหม่เขา!

ถึงแม้จะเลิกกันไปด้วยดีและยังสามารถเป็นเพื่อนกันได้อยู่ เมื่อเจอกันคุณก็ยังถามไถ่สารทุกข์สุขดิบและความเป็นไปของเขาได้นะ เช่น ตอนนี้เป็นยังไงบ้าง หรือทำงานที่ไหน อย่างนี้เป็นต้น แต่สิ่งที่ต้องระวังก็คือ อย่าถามถึงรักครั้งใหม่ของเขา (ให้จี๊ดใจ!!) เพราะนั่นถือเป็นเรื่องส่วนตัวที่คุณไม่ควรเข้าไปยุ่มย่าม และอีกฝ่ายอาจไม่สะดวกใจที่จะตอบ (เว้นแต่คุณอยากจะแก้แค้นสร้างสถานการณ์กระอักกระอ่วนใจให้เขา 555) หรือบางครั้งก็กลายเป็นว่าคนถามอย่างคุณนั่นแหละที่จะเจ็บลึกๆ ในใจซะเอง!

3. ไม่ต้องอวดแฟนใหม่ของเราให้เขารู้ก็ได้!

ไม่ว่าแฟนใหม่ของคุณจะหล่อขั้นเทพหรือสวยบาดจิตแค่ไหน จะโปรไฟล์เริ่ดดีกว่าคนรักเก่ามากมายเท่าไหร่ ก็ไม่จำเป็นต้องสร้างรายการคนอวดผัว/เมีย (ใหม่) ให้แฟนเก่ารู้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการพูดขึ้นมาเองโดยที่เขาไม่ได้ถาม แบบนี้คงไม่งามเท่าไหร่หรอกนะ รวมถึงถ้าแผลใจยังสดและคุณเพิ่งเลิกรากับคนเก่าไปไม่นาน เรื่องนี้ก็ถือเป็นมารยาทในการรักษาความรู้สึกและรักษาน้ำใจคนรักเก่า เว้นเสียแต่ว่าการจากลาครั้งนั้นมันไม่ได้สวยงามและเขาก็ถามขึ้นมาเอง แบบนี้อยากจัดเต็มอวดสรรพคุณแฟนใหม่เพื่อแก้เผ็ดแฟนเก่าก็โอเคนะ อิอิ! (ถามมาตอบไป เจ็บไหมก็เรื่องของเขาเราไม่เกี่ยวเนอะ!)

4. อย่ารื้อฟื้นความหลัง

การฟื้นฝอยหาตะเข็บไม่เคยช่วยให้อะไรดีขึ้นมา สิ่งไหนที่เป็นความทรงจำดีๆ ก็เก็บไว้ในใจ ส่วนเรื่องอะไรที่ทำให้ต้องบาดหมางจนกระทั่งเลิกกันก็ลืมๆ มันไปบ้างนะ อย่ามามัวแต่พูดหาว่าใครเป็นคนผิด หรือยกเรื่องผิดใจเก่าๆ มาเล่าใหม่ เรื่องมันผ่านมาแล้วก็ปล่อยให้ผ่านเลยไป ไม่จำเป็นต้องนึกถึงหรือขุดคุ้ยขึ้นมาพูดให้กระทบกระเทือนจิตใจกันหรอก

5. คุยกันให้น้อยที่สุด

ถ้าสถานการณ์มันบังคับให้คุณต้องอยู่ด้วยกัน เช่น เป็นเพื่อนกลุ่มเดียวกันแล้วต้องไปสังสรรค์ด้วยกัน แนะนำว่าคุยกันให้น้อยที่สุด แต่ไม่ใช่ว่าต้องทำตัวหยิ่งเขาถามอะไรก็ไม่ตอบนะ เพียงแค่ว่าสนทนากันเท่าที่จำเป็น แล้วเราก็หันไปคุยกับเพื่อนคนอื่นแทน แบบนี้ก็พอช่วยให้ผ่านสถานการณ์ไปได้อยู่ ที่สำคัญไม่ทำให้บรรยากาศหรือคนอื่นที่ร่วมวงต้องอึดอัดเพราะความรักเก่าๆ ของคุณด้วยนะ

6. หลบออกจากสถานการณ์ชวนอึดอัด

เรื่องแบบนี้เกิดขึ้นได้ไม่ว่าคุณจะจบกันด้วยดีหรือมีเรื่องให้ต้องเจ็บใจ ความอึดอัดมักจะมาเยือนยามที่คุณพบปะกับคนรักเก่าเสมอ ถ้าคุณยังทำใจให้ลืมเขาไม่ได้ ไม่สามารถอยู่ร่วมสถานการณ์เดียวกันกับเขาหรือแม้แต่จะยืนในพื้นที่เดียวกันยังยาก ประมาณว่าหน้าไม่อยากมอง กลิ่นก็ไม่อยากดม การถอยฉากออกมาดูจะเป็นทางออกที่ดีที่สุด แต่ก็ควรจะรักษาน้ำใจกันด้วยการทำทีว่ามีเพื่อนรออยู่ มีคนโทรตาม  (อันนี้ต้องอาศัยทำการแสดงให้เนียนตาที่สุดด้วยนะ) หรือคุยสักคำสองคำแล้วชิ่งว่าต้องรีบไปทำธุระอย่างอื่น แล้วจึงเอ่ยขอตัวออกมา แบบนี้คุณก็จะดูดีมีมารยาท ดีกว่าสะบัดบ๊อบแล้วหันหลังเดินออกมาเลยนะ

7. เผชิญหน้ากันให้น้อยที่สุด

ข้อสุดท้ายนี้สำหรับใครที่ยังเสียใจไม่เลิก ยังทำใจไม่ได้ หรือแค้นฝังหุ่นไม่อยากเห็นหน้า การหลีกเลี่ยงการเผชิญหน้าดูจะเป็นทางออกที่ดีที่สุดสำหรับคุณ อาจจะทำเป็นมองไม่เห็น ไม่ได้ยินเสียงเรียก หรือเดินหนีไปอีกทางหนึ่งเลยก็ได้ ทั้งนี้ก็เพื่อป้องกันความรู้สึกและหัวใจของตัวเอง เอาเป็นว่าถ้าไม่อยากเจอ ไม่พร้อมจะเจอ ก็เลี่ยงกันไปเลยซะดีกว่า

7 ข้อนี้เป็นวิธีที่แพรวเวดดิ้งรวบรวมจากผู้มีประสบการณ์ทั้งหลายมาแนะนำให้ใครที่ต้องพบเจอกับคนรักเก่าแต่ยังทำตัวไม่ถูกสามารถนำไปทำตามกันได้ สำหรับใครที่ไม่ว่าจะยังไงก็ยังต้องเจอหน้าแฟนเก่า หลีกเลี่ยงไม่ได้ ถ้ารู้ล่วงหน้าว่าเขาจะมาล่ะก็ แพรวเวดดิ้งอนุญาตให้วิ่งเข้าไปในห้องน้ำ จะกรี๊ดระบายอารมณ์หรือร้องไห้ปล่อยความโศกเศร้าที่มีก่อนออกมาเจอเขาก็ได้นะ (อย่าลืมมีสติและทำใจให้เข้มแข็งด้วย) ส่วนใครที่มีวิธีอื่นๆ อยากแนะนำบ้าง สามารถคอมเมนต์ลงมาได้ด้านล่างบทความนี้เลยจ้า

>> อ่านเรื่องราวความรักและความสัมพันธ์เพิ่มเติมได้ที่นี่อีกเพียบ คลิกเลย <<

ภาพ : www.exboyfriendrecovery.com

22 ดีไซน์แหวนแต่งงานช่วยสร้างคาแร็กเตอร์เจ้าสาวให้โดดเด่น

22 ดีไซน์ แหวนแต่งงาน ช่วยสร้างคาแร็กเตอร์เจ้าสาวให้โดดเด่น

คาแร็กเตอร์ของเจ้าสาวเป็นสิ่งสำคัญ ไม่ว่าจะเป็น บุคลิกท่าทางที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัว การแต่งตัวไปทำงานหรือในชีวิตประจำวัน การแต่งหน้าทำผม หรือแม้กระทั่งเล็บก็มีส่วน เพราะในการเลือกซื้อ แหวนแต่งงาน สักวงก็สามารถแสดงถึงคาแร็กเตอร์ของผู้สวมใส่ได้ เช่น หากคุณเป็นสาวขาลุย แต่งตัวสบายๆ อาจจะเลือกเป็นแหวนเพชรชูแบบคลาสสิค แต่อาจจะต้องดูไม่ให้ชูมากนักเพื่อความสะดวกในการใช้งาน หรือเวลาล้วงกระเป๋ากางเกง หรือถ้าคุณเป็นสาวที่ใส่ใจในการแต่งตัวไม่ว่าจะออกไปทำงานหรือเวลาไปทำเที่ยว ก็อาจจะเลือกเครื่องประดับที่มีดีเทลสักหน่อย เพราะฉะนั้นหัวใจหลักในการเลือกแหวนแต่งงานที่จะต้องสวมใส่ติดนิ้วนั้น เจ้าสาวจะต้องเลือกดีไซน์ที่เข้ากับการแต่งงานและการใช้ชีวิตประจำวันของเจ้าสาวในทุกวันด้วยนะคะ จะได้ใส่ได้แบบไม่เบื่อ

แหวนแต่งงาน

แหวนตัวเรือนสีโรสโกลด์

หากเจ้าสาวอยากได้อารมณ์ความหวานที่แตกต่างจากแหวนหมั้นทั่วๆ ไป แหวนเพชรตัวเรือนสีโรสโกลด์ หรือทองชมพูก็ถือเป็นอีกหนึ่งตัวเลือกสุดโรแมนติก แต่ๆ…งานนี้อาจจะเหมาะกับเจ้าสาวที่ผิวขาวมากๆ เท่านั้นนะจ๊ะ เพราะหากเจ้าสาวผิวเข้มออกคล้ำใส่ จะยิ่งเน้นให้ผิวยิ่งเข้มแถมแหวนจะกลืนหายไปกับสีผิวได้อีก

แหวนแต่งงาน

ซ่อนดีไซน์การฝังเพชรสุดหรูไว้ด้านข้าง

เพิ่มลูกเล่นให้กับแหวนแต่งงานวงสวยด้วยดีเทลน่ารักสุดหรู กับการฝังเพชรซ่อนเอาไว้ที่ด้านข้างของตัวเรือน เรียกได้ว่ามองจากมุมไหนก็สวย

ก้านแหวนดีไซน์คล้ายเงื่อน

อีกหนึ่งกิมมิกที่ช่วยสร้างความสวยงามให้กับตัวเรือน คือดีไซน์ก้านแหวนให้ดูคล้ายเงื่อน เหมาะกับเจ้าสาวที่แต่งตัวสบายๆ เป็นสาวสายลุยนิดๆ และต้องการความเท่ปนแฟชั่นทุกครั้งที่สวมใส่ในชีวิตประจำวัน

แหวนแต่งงาน

แหวนประดับทรงลูกแพร์ หรือทรงหยดน้ำ

เพชรรูปทรงแบบลูกแพร์ หรือหยดน้ำเป็นอีกหนึ่งสไตล์ของรูปแบบแหวรเพชรที่ใส่เมื่อไหร่ก็ไม่มีเชย ไม่ว่าจะใส่แบบเพชรเม็ดเดี่ยว หรือประดับเพชรที่ก้านแหวนก็ให้ลุคสวยงามหรูหราไม่แพ้กัน ซึ่งเพชรทรงนี้เหมาะกับเจ้าสาวที่มีฝ่ามือแบนราบและนิ้วสั้น เพราะด้วยรูปทรงที่แหลมในส่วนปลายจะช่วยให้นิ้วดูยาวขึ้น อีกทั้งแหวนทรงนี้ช่วยทำให้ตัวเพชรดูใหญ่ขึ้นกว่าน้ำหนักที่แท้จริง เมื่อเทียบกับเพชรทรงกลมที่มีน้ำหนักเท่ากัน เพราะฉะนั้นเจ้าสาวที่มีงบน้อยแต่อยากได้แหวนเพชรขนาดใหญ่อย่าลืมเก็บเพชรทรงนี้ไว้พิจารณานะคะ

แหวนแต่งงาน

แหวนประดับเพชรทรงคุชชั่น

เป็นอีกหนึ่งสไตล์เพชรสุดหรูที่เซเลบเมืองนอกนิยมสวมใส่ และเริ่มได้รับความนิยมในหมู่เจ้าสาวคนไทยที่อยากมีสไตล์ไม่ซ้ำใครมากขึ้น ยิ่งถ้าหากได้ดีไซน์ให้มีเพชรประดับโดยรอบด้วยแล้วจะยิ่งช่วยเพิ่มความหรูหราให้กับสไตล์ของเจ้าสาวได้เป็นอย่างดี ซึ่งเพชรทรงนี้จะมีลักษณะที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัว รูปทรงคล้ายกับหมอน หน้าเพชรมีความโค้ง ขอบด้านข้างมีความกลม เจียระไนให้มีความลึกจึงทำให้มีประกายเพชรที่แวววาวและนุ่มนวล ซึ่งขนาดที่ใส่แล้วสวยจะอยู่ที่ประมาณ 2 กะรัต

แหวนแต่งงาน

แหวนประดับนิล

นิลอยู่คู่กับสังคมไทยมานาน แต่ก่อนนิยมนำมาทำเป็นเครื่องรางในการออกศึก เพื่อช่วยให้พ้นจากอันตรายต่างๆ นอกจากนี้ความหมายของสีดำ ยังเป็นสีที่ช่วยปัดเป่าความทุกข์ยาก และการเจ็บป่วยให้ออกไปนั่นเอง อีกทั้งยังเสริมอำนาจบารมี เติมความมีสง่าราศีให้กับผู้สวมใส่ได้ดีอีกด้วย

แหวนเพชรประดับแซฟไฟร์

เนรมิตแหวนประดับเพชรให้ดูไม่น่าเบื่อ ด้วยการประดับอัญมณีเฉดสีสดใสประกบเพชรที่สว่างสุกใสอยู่ตรงกลาง ซึ่งแซฟไฟร์นั้นเป็นอัญมณีที่มีหลากหลายเฉดสีให้เจ้าสาวได้เลือกใส่ให้เข้ากับสีผิวตัวเองอีกด้วย แถมแต่ละชนิดก็มีความหมายที่ช่วยส่งเสริมชะตาราศีที่ต่างกันไปอีกด้วยนะคะ เรียกได้ว่าสวมแล้วได้ทั้งความสวยและความเฮงเลยจริงๆ

แหวนแต่งงาน

แหวนเพชรแบบมีรัศมีรอบวง

ดีไซน์แหวนเพชรสุดคลิสสิคให้ลุคสวยหวานสไตล์วินเทจนิดๆ กับแหวนเพชรที่ประดับเพชรเม็ดเล็กๆ ไว้เป็นรัศมีรอบวงเพชรเม็ดกลาง ที่ดูเผินๆ เหมือนมีเกล็ดหิมะระยิบระยับมาแปะอยู่บนนิ้ว

แหวนแต่งงาน

แหวนหมั้นประดับเพชรด้านข้าง

สำหรับว่าที่เจ้าสาวงบน้อยแต่อยากได้แหวนเพชรหรูหราที่ดูเหมือนหลายกะรัต อาจเพิ่มดีไซน์หลอกตาให้แหวนเพชรดูใหญ่ขึ้นด้วยการประดับเพชรเม็ดเล็กๆ ไว้ที่ด้านข้าง เท่านี้เจ้าสาวก็ได้แหวนเพชรสุดหรูดูดีระยิบระยับแล้ว

แหวนเพชรทรงสี่เหลี่ยม หรือเพชรทรงปริ๊นเซส

เจ้าสาวสไตล์โมเดิร์นที่ในชีวิตประจำวันแต่งตัวชิคๆ อยู่เสมอ แหวนเพชรทรงสี่เหลี่ยมสามารถตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์และสร้างเอกลักษณ์ที่ไม่เหมือนใครให้กับเจ้าสาวได้เป็นอย่างดี โดยเจ้าสาวอาจจะเลือกเพชรทรงปริ๊นเซสส์ ที่รูปทรงเพชรเป็นสี่เหลี่ยมจตุรัสอยู่แล้ว ซึ่งเพชรรูปทรงนี้ส่วนมากมักจะนิยมนำมาทำเป็นแหวนเพชรเม็ดเดียวหรือเพชรชูมากกว่า แต่เพชรชนิดนี้มีราคาค่อนข้างสูงเนื่องจากเป็นเพชรที่เจียระไนค่อนข้างยาก เพราะฉะนั้นสำหรับเจ้าสาวที่อยากได้ลุคคูลๆ แต่งบไม่ถึงก็อาจจะเลือกเพชรตรงกลางเป็นแบบอื่น แล้วใช้ดีไซน์การล้อมเพชรเม็ดกลางให้เป็นสี่เหลี่ยมจตุรัสแทน แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นก็ลองเปรียบเทียบราคาดูนะคะว่าแบบไหนที่จะคุ้มมากกว่ากัน

ก้านแหวนหรูหราด้วยเทคนิคการฝังจิกไข่ปลา

เพิ่มความงามและความหรูหราให้กับก้านแหวนด้วยการเทคนิคการฝังจิกไข่ปลา (Pave Setting) คือการฝังโดยจะมีหนามเตยล้อมรอบเพชร 1 เม็ดโดยเพชร 1 เม็ดนี้จะมีไข่ปลาล้อมรอบอยู่อีก 4 เม็ด (อาจจะมากกว่าหรือน้อยกว่านี้แล้วแต่ดีไซน์) เพื่อให้เพชรมีลักษณะเป็นทรงกลมเหมือนไข่ปลา ซึ่งเทคนิคการฝังแบบนี้จะช่วยให้เพชรดูใหญ่และมีความระยิบระยับมากขึ้น

แหวนแต่งงาน

แหวนแบบ Stacking Rings

หรือการใส่แหวนซ้อนกันหลายๆ วง อีกหนึ่งเทรนด์การใส่แหวนสไตล์แฟชั่น ที่เจ้าสาวสามารถมิกซ์แอนด์แมตช์ดีไซน์แหวนแบบต่างๆ หรือแม้กระทั่งการเลือกสีหลากเฉดในแหวนเซตเดียวกันก็ยังได้ ซึ่งเจ้าสาวสามารถสร้างบุคลิกและเอกลักษณ์ที่เหมาะกับสไตล์ของตัวเองผ่านแหวนสไตล์นี้ได้เป็นอย่างดี

แหวนดีไซน์ดอกไม้

ดีไซน์นี้เหมาะกับเจ้าสาวสายหวานที่สุด กับการดีไซน์แหวนให้เป็นดอกไม้ หรือจะเพิ่มความเก๋เข้าไปอีกหน่อยด้วยการดีไซน์ก้านแหวนให้เป็นรูปใบไม้ ก็ช่วยเพิ่มเสน่ห์และความน่าสวมใส่เพิ่มขึ้นไปอีก หรือจะดีไซน์ก้านแหวนให้เป็นเถาวัลย์สุดอ่อนช้อยก็เป็นอีกหนึ่งกิมมิกที่จะช่วยเพิ่มความโรแมนติกให้กับแหวนของเจ้าสาวได้เป็นอย่างดี

เพชรทรงแอชเชอร์ (Asscher-Cut)

เพชรแอชเชอร์ หรือเรียกอีกชื่อหนึ่งว่า Square Emerald Cut ที่มีลักษณะการเจียระไนที่คล้ายกับเพชรทรงเอมเมอร์รัลหรือเหลี่ยมมรกต เพียงแต่เพชรทรงนี้จะเป็นรูปทรงสี่เหลี่ยมจตุรัส เหมาะกับเจ้าสาวที่ต้องการความคลาสสิค และประกายเพชรที่แลดูแตกต่าง

เพชรทรงเอมเมอร์รัล หรือเหลี่ยมมรกต (Emerald-Cut)

เป็นอีกหนึ่งรูปแบบทรงเพชรที่สร้างความแตกต่างและเอกลักษณ์ให้กับผู้สวมใส่ได้เป็นอย่างดี ซึ่งไม่ว่าจะสวมใส่แบบเพชรเม็ดเดี่ยวก็สวยหรูดูดี แต่ถ้าหากอยากเพิ่มประกายให้เรียวมือ เทคนิคการฝังจิกไข่ปลาที่ก้านแหวนก็จะช่วยเพิ่มเสน่ห์และดึงดูดทุกสายตามาที่แหวนหมั้นวงสวยของเจ้าสาวได้อย่างดีทีเดียว

แหวนเพชรทรงไข่ (Oval Cut)

ก่อนอื่นต้องเข้าใจก่อนว่าแหวนทรงไข่นี้เหมาะกับเจ้าสาวที่มีเรียวแขนเล็กๆ และนิ้วมือสั้นๆ มากที่สุดนะคะ เพราะด้วยความยาวรีของทรงเพชรจะช่วยให้นิ้วมือของเจ้าสาวดูเรียวยาวขึ้น ซึ่งเพชรทรงนี้ถือเป็นอีกหนึ่งทรงเพชรสุดคลาสสิคที่เหมาะสำหรับทำแหวนเพชรเม็ดเดียวหรือแหวนเพชรชู และยังเป็นเพชรที่หลอกตาให้ดูมีขนาดที่ใหญ่กว่าเพชรทรงอื่นถึงแม้จะมีน้ำหนักเท่ากันอีกด้วย

แหวนหมั้นสไตล์วินเทจ

เจ้าสาวสายเรโทรที่ชื่นชอบศิลปะสามารถฟรีสไตล์และมิกซ์หลากหลายรูปทรงเข้าไว้ด้วยกันได้ในแหวนวงเดียว ซึ่งแหวนแต่งงานสไตล์ Art Deco นั้นให้ลุคที่ไม่เหมือนใครและน่าจดจำสุดๆ เพราะมีรูปลักษณ์ที่สวยงาม ทั้งรูปทรงและการออกแบบเพราะมีเหลี่ยมมุมที่ชัดเจน และมาพร้อมกับความอ่อนช้อยประณีตสวยงามตามแบบฉบับแหวนแต่งงานอีกด้วย

โดดเด่นด้วยดีไซน์สลับซับซ้อน

เจ้าสาวสามารถสร้างความโดดเด่นให้กับแหวนแต่งงานโดยไม่ต้องพึ่งการประดับเพชรให้มากมายก็ได้นะคะ เพราะเพียงแค่เน้นการออกแบบและดีไซน์ที่งดงามเสริมไว้ที่ก้านแหวน หรือด้านข้างของแหวนก็ช่วยให้แหวนแต่งงานที่ถึงแม้จะไม่ได้ประดับเพชรเยอะแยะหรือใหญ่โตดูสวยหรูขึ้นมาได้เหมือนกัน

แหวนดีไซน์รูปทรงแบบเรขาคณิต

สำหรับเจ้าสาวที่กำลังมองหาแหวนแต่งงานรูปทรงหนักแน่น ไม่เน้นความละเอียดหรือซับซ้อนของดีไซน์ การนำกิมมิกรูปทรงเลขาคณิตมาเป็นลูกเล่นก็ช่วยเพิ่มสไตล์ให้กับผู้สวมใส่ได้เป็นอย่างดี เหมาะกับสาวๆ ที่ชอบความเรียบง่ายแต่ก็ดูดีมีสไตล์เป็นของตัวเอง

แหวนแต่งงานประดับเพชรสี

หากคุณกำลังเบื่อกับแหวนเพชรสีขาวระยิบระยับแบบเดิมๆ ลองเปลี่ยนมาใช้เพชรในเฉดสีสันต่างๆ ดูบ้างก็ได้นะคะ อย่างเช่น เพชรสีเหลือง หรือเพชรสีชมพู ที่ให้ลุคสวยงามและดูหรูหราไม่แพ้กันเลย

ก้านแหวนดีไซน์เปีย

เพิ่มความโดดเด่นให้กับแหวนเพชรเม็ดเดียวหรือแหวนเพชชชูด้วยก้านแหวนแบบเปีย ที่นอกจากจะเหมาะกับแหวนสไตล์นี้แล้ว ยังช่วยสร้างเอกลักษณ์ที่ไม่ซ้ำใคร และช่วยให้เพชรประดับของเจ้าสาวดูโดดเด่นมากขึ้นอีกด้วย

Read More : เคล็ดไม่ลับออกแบบรูปทรงเพชรให้เข้ากับแบบแหวนในฝัน

CR. Pinterest

11 กิมมิก ไอเดียงานแต่งเก๋ๆ ที่สร้างความประทับใจแบบ Love at First Sight

Love at First Sight ไอเดียงานเก๋ๆ ประทับใจแขกทั้งงาน

ปฏิเสธไม่ได้ว่างานแต่งงานนั้นนอกจากที่จะต้องสร้างสานฝันความต้องการของบ่าวสาวแล้ว ก็ต้องสร้างความประทับใจให้แขกที่มาร่วมงานด้วย แพรว wedding เลยไปขน ไอเดียงานแต่งเก๋ๆ กับกิมมิกเพื่อเพิ่มลูกเล่นสนุกๆ ในงานแต่งมาฝาก รับรองว่างานนี้แขกประทับใจ และบ่าวสาวก็ยิ้มตามได้แน่นอน

ไอเดียงานแต่งเก๋ๆ
Original Watercolor CUSTOM Wedding Portraits for Wedding/Anniversary Gifts by Kristin Glaze van Lieshout

หากบ่าวสาวจัดงานแต่งแบบเล็กๆ อบอุ่นเป็นกันเอง โดยที่จำนวนแขกไม่ได้เยอะมาก อาจจะเปลี่ยนจากการมีซุ้มถ่ายภาพดิจิตัล มาเป็นการจ้างนักวาดภาพสัก 1-2 คนเพื่อมาวาดภาพเหมือนให้กับแขกในงานแต่ง รับรองว่าภาพวาดก็น่าประทับใจไม่แพ้ภาพถ่ายแน่นอน แถมยังจัดเป็นของชำร่วยสุดเก๋ให้แขกนำกลับบ้านได้อีกด้วย

ก่อนงานเริ่มบ่าวสาวอาจจะจัดโซนกิจกรรมสนุกๆ ให้กับแขกภายในงานได้เล่นแก้เบื่อสักหน่อย หรืออาจจะนำไปเล่นในช่วงอาฟเตอร์ปาร์ตี้ก็น่าจะมันไม่น้อยเหมือนกันนะคะ

ลองเปลี่ยนจากการจัดแถวเก้าอี้ให้เป็นเส้นตรง มาเป็นการจัดให้เป็นแนวโค้งหรือครึ่งวงกลมดูก็ดีนะคะ เพราะนอกจากจะได้ภาพที่ดูสวยงามแล้ว แขกทุกคนยังสามารถมองเห็นพิธีการและบ่าวสาวที่อยู่ด้านหน้าได้อย่างชัดเจนแบบไม่มีใครบังใครอีกด้วย

ไอเดียงานแต่งเก๋ๆ ไอเดียงานแต่งเก๋ๆ

หากบ่าวสาวลงทุนจัดเค้กแต่งงานของจริงมาใช้ในงานแต่งงาน ก็อย่าปล่อยให้เค้กก้อนเบ่อเริ่มต้องเหลือทิ้งนะคะ ลองหาแพ็คเกจจิ้งสวยๆ แล้วให้คนของทางโรงแรมหรือสถานที่บรรจุเค้กแต่งงานลงในกล่องแสนสวยแล้วมอบให้แขกได้กลับไปรับประทานที่บ้าน รับรองว่าแขกจะต้องปลื้มแน่นอน แถมยังถือเป็นคำขอบคุณได้เป็นอย่างดีอีกด้วย

ไอเดียงานแต่งเก๋ๆ

แน่นอนว่าบนโต๊ะอาหารอาจจะต้องมีการระบุเลขโต๊ะเอาไว้ ถ้าอย่างนั้นเราลองมาเพิ่มลูกเล่นสนุกๆ ให้กับบรรยากาศบนโต๊ะอาหารด้วยการวางรูปถ่ายของบ่าวสาวเอาไว้ด้วยดีไหมคะ แต่ๆๆ งานนี้เราไม่ได้ให้วางรูปถ่ายหวานแหววธรรมดาน้า แต่เราจะให้บ่าวสาวนำภาพถ่ายตัวเองในวัยเดียวกับเลขโต๊ะมาวางต่างหาก เช่น หากเป็นโต๊ะเลขที่ 16 ก็นำภาพถ่ายของบ่าวสาวในช่วงอายุ 16 ปีมาวางไว้ เราว่าก็น่ารักไปอีกแบบน้า

ไอเดียงานแต่งเก๋ๆ

อีกหนึ่งกิมมิกจี๊ดๆ สำหรับเจ้าสาวสายแซ่บโดยเฉพาะ กับการเพิ่มดีเทลภายใต้กระโปรงอันฟูฟ่องให้ดูน่ารัก ด้วยการเติมสีสันแบบคัลเลอร์ฟูล

ไอเดียงานแต่งเก๋ๆ

ในช่วงเปิดตัวบ่าวสาว จะเลือกเป็นการโปรยกลีบดอกไม้สำหรับบ่าวสาวสายหวาน หรือจะเลือกเป็นเปเปอร์ชู้ตสำหรับบ่าวสาวที่ต้องการความสนุกและสีสันขึ้นมาหน่อย

ไอเดียงานแต่งเก๋ๆ

ทำป้าย fun facts เกี่ยวกับบ่าวสาวเอาไว้บนโต๊ะ ก็เป็นอีกหนึ่งไอเดียที่ช่วยสร้างความสนุกสนานบนโต๊ะอาหารได้เหมือนกันนะ

ไอเดียงานแต่งเก๋ๆ

อย่าลืมสร้าง # แฮชแท็กสำหรับอินสตาแกรมเพื่องานแต่งของคุณกันด้วยนะเพื่อให้แขกที่มาร่วมงานจะได้ติด # นี้ไว้ในภาพถ่ายตอนที่พวกเขาโพสต์ลงโซเชียลมีเดีย ซึ่งงานนี้ไม่ได้ให้มีไว้เก๋ๆ นะจ๊ะ เพราะเจ้า # นี้จะเป็นการรวบรวมภาพถ่ายและบรรยากาศต่างๆ ในงานแต่งของคุณ นอกเหนือจากกล้องของช่างภาพหลัก รับรองว่าบ่าวสาวจะได้เห็นรูปแปลกๆ จากมุมมองของแขกแน่นอน

เจ้าบ่าวสามารถสร้างเซอร์ไพรส์ให้เจ้าสาวได้ง่ายๆ แบบไม่ต้องลงทุน ด้วยการเขียนข้อความซึ้งๆ ไว้ที่พื้นรองเท้าของเธอ แต่ต้องแอบเขียนอย่าให้เธอรู้ตัวนะ ส่วนวิธีที่จะทำให้เธอรู้ได้ยังไงอันนี้ก็มุกใครมุกมันนะจ๊ะ แต่ๆ ต้องแน่ใจว่ารองเท้าคู่นั้นเป็นของเธอไม่ได้ไปยืมใคร หรือเช่ามาจากที่ร้านนะ เพราะไม่อย่างนั้นจากที่ฟรีอาจจะต้องจ่ายค่าเสียหายเอาได้ดื้อๆ

ลองเตรียมการ์ดสนุกๆ ไว้ให้แขกในงานได้เล่น เช่น อยากให้ลูกคนแรกชื่ออะไร? อยากให้บ่าวสาวไปฮันนีมูนที่ไหน? เป็นต้น ไม่แน่คุณอาจจะได้คำตอบดีๆ มาใช้ได้จริงก็ได้

นอกจากนี้เรายังมี >> ไอเดียงานแต่งสุดชิคที่จะช่วยเนรมิตให้งานแต่งไม่ซ้ำใคร <<มาเสิร์ฟให้อีกด้วยน้า คลิกเลย <<

ภาพ www.pinterest.com

รับมือกับ Groomchilla ถึงเวลาจับเจ้าบ่าวสุดชิลมาช่วยเตรียมงานแต่ง

คราวก่อน เราเคยบอกวิธีรับมือกับ Bridechilla เจ้าสาวสุดชิลกันไปแล้ว แต่รู้ไหมคะว่า ความชิลง่ายๆ อะไรก็ได้ของว่าที่เจ้าบ่าวก็รุนแรงไม่แพ้กันเลย ก็เข้าใจนะคะว่ามันเป็นธรรมชาติของผู้ชายที่ไม่ชอบอะไรหยุมหยิม แต่ค่ะแต่! นี่มันงานแต่งของคุณนะ ช่วยมีส่วนร่วมหน่อยดีไหม อย่าปล่อยให้ฝ่ายหญิงต้องปวดหัวคนเดียวสิ เอาเป็นว่าใครที่กำลังหนักใจกับความ so chill ของว่าที่เจ้าบ่าว เลื่อนลงไปอ่านวิธีต่อไปนี้เพื่อทำให้เจ้าบ่าวของคุณมาหันมาช่วย เตรียมงานแต่ง กันดีกว่า

1. แชร์ไอเดียธีมงานกันเถอะนะ

ก่อนที่คุณทั้งสองคนจะต้องแชร์ชีวิตร่วมกัน ขั้นแรกที่คุณจะต้องทำคือ “แชร์ความคิด” กันซะก่อน เริ่มจากเรื่องง่ายๆ อย่างธีมงานแต่งเนี่ยแหละ เราเชื่อว่าเจ้าสาวหลายคนไอเดียมาเต็มแน่นอน แต่ถ้าอยากให้เจ้าบ่าวมีส่วนร่วมในเรื่องนี้ด้วย คุณจะต้องหมั่นถามเขาว่าอยากให้งานแต่งเป็นแบบไหน ดูจากความชอบส่วนตัวของเขาแล้วเอามาหาจุดกึ่งกลางระหว่างความต้องการของคุณทั้งคู่ก็ได้ ส่วนฝั่งเจ้าบ่าวเนี่ยชอบอะไร แบบไหน ก็อย่ามัวแต่นั่งเงียบหรือเอาแต่พยักหน้าตามเจ้าสาวอย่างเดียว หัดมีปากมีเสียงกับเขาบ้าง อยากได้งานธีมไหน ใช้สีโทนอะไรก็แสดงความคิดเห็นออกไปเลย เพราะว่าเจ้าสาวนางไม่ได้แต่งคนเดียวนะจ๊ะ งานนี้ก็เป็นของคุณด้วยเหมือนกัน อย่าลืมล่ะ!

2. อะไรที่ลงท้ายด้วยคำว่า “เจ้าบ่าว” ก็ปล่อยให้เขาจัดการ

ตามชื่อหัวข้อเลยค่ะว่า อะไรที่ต่อท้ายด้วยคำว่า “เจ้าบ่าว” ก็ให้อยู่ในความรับผิดชอบของเขา ไม่ว่าจะเป็น ประธานฝ่ายเจ้าบ่าว รายชื่อแขกฝั่งเจ้าบ่าว เพื่อนเจ้าบ่าว ชุดเพื่อนเจ้าบ่าว ชุดเจ้าบ่าว รวมถึงแผนผังที่นั่งของแขกฝ่ายเจ้าบ่าว  สิ่งเหล่านี้ต้องปล่อยให้เขาเลือกเอง ตัดสินใจเอง เพราะเขาจะรู้ดีที่สุดในเรื่องของเขา ส่วนคุณเจ้าสาวก็อย่าลืมที่จะคอยช่วยเหลือและกระตุ้นให้เขาทำส่วนของเขาให้เรียบร้อย ในขณะเดียวกันคุณก็จัดการสิ่งที่ลงท้ายด้วยคำว่าเจ้าสาวให้เพอร์เฟ็กต์ด้วยนะ

3. มอบหมายหน้าที่ที่เขาทำได้ดีที่สุด

นอกจากจะให้เขาจัดการในส่วนที่ลงท้ายด้วยคำว่าเจ้าบ่าวแล้ว เรื่องที่ผู้ชายอย่างเขาจะทำได้ดีที่สุดก็คงหนีไม่พ้นเรื่อง “วงดนตรี” และ “เครื่องดื่ม” มอบหมายหน้าที่ในการเลือกสองอย่างนี้ให้เขาเถอะค่ะ เพราะถ้าหน้าที่การเลือกของสวยๆ งามๆ อย่างดอกไม้ เค้ก หรือการ์ดเป็นของเจ้าสาวแล้ว เรื่องแมนๆ อย่างวงดนตรีและเครื่องดื่มก็ควรจะเป็นของเจ้าบ่าวเช่นกัน

ส่วนเจ้าบ่าวทั้งหลายจ๋า ถ้าเจ้าสาวเขาเปิดทางให้คุณเลือกสิ่งที่ชอบแล้วก็ทำให้เต็มที่ไปเลยเนอะ โดยเฉพาะเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ อย่าให้พลาดเชียว!

4. จะไปไหนทำอะไรต้องหนีบเจ้าบ่าวไปด้วย

คงต้องขอบอกว่าช่วงของการเตรียมงานแต่ง การเดินทางเพื่อติดต่อสถานที่และรายละเอียดต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นโรงแรม ร้านการ์ด ร้านเค้ก ร้านดอกไม้ ร้านชุด ฯลฯ เป็นเรื่องจำเป็นนะคะ บางครั้งออกจากบ้านตอนเช้ากว่าจะวนไปครบทุกร้านกลับเข้าบ้านก็มืดพอดี เพราะฉะนั้นว่าที่เจ้าบ่าวควรทำตัวเป็นสารถีขับรถให้กับว่าที่เจ้าสาวของคุณด้วย อย่าปล่อยให้เธอต้องออกไปเผชิญโลกแต่เพียงลำพัง

ข้อดีอีกอย่างของการออกไปติดต่อสถานที่และร้านค้าต่างๆ ด้วยกันก็คือ ว่าที่เจ้าบ่าวจะได้รู้รายละเอียดทุกอย่างเกี่ยวกับการจัดงาน ดังนั้นมีตรงไหนไม่ถูกใจไม่ชอบก็สามารถบอกและขอเปลี่ยนแปลงได้ทันท่วงที ดีกว่าไปเห็นในวันงานแล้วทำหน้ามุ่ย อันนี้จะรู้สึกแย่ไปอีก

5. เจ้าสาวควรเลี่ยงคำถามที่มีตัวเลือก

บอกไปแล้วรอบหนึ่งว่า ถ้าอยากให้ว่าที่เจ้าบ่าวของคุณมีส่วนร่วมในการเตรียมงาน ว่าที่เจ้าสาวอย่างคุณต้องหมั่นถามความคิดเห็นเขาว่าเขาอยากได้อะไรแบบไหน แต่การจะตั้งคำถามมันก็ต้องมีทริคกันบ้าง ไม่อย่างนั้นคุณก็จะได้คำตอบสุดฮิต “อะไรก็ได้ แล้วแต่เธอเลย” แบบนี้กลับมาแทน เช่น ถ้าคุณถามเขาว่า “ป้ายชื่ออันนี้จะเอาสีแดงหรือสีขาว?”  รับรองว่า 90% ของคำตอบคือ “สีอะไรก็ได้” เพราะฉะนั้นเทคนิคการตั้งคำถามก็คือ “เลี่ยงคำถามที่มีตัวเลือก” โดยใช้คำถามปลายเปิดอย่างเช่น “ป้ายชื่ออันนี้จะเอาสีอะไร?” ซึ่งจะทำให้เขาตอบในสิ่งที่เขาต้องการ หรือแสดงความเห็นในสิ่งที่เขาชอบ รวมถึงเขาจะไม่รู้สึกว่าถูกจำกัดทางเลือกจนเกินไป

6. ประกาศิตว่าที่เมีย!!!

ถ้าลองทำมาตั้งแต่ข้อ 1 ถึงข้อ 5 แล้วว่าที่สามีของคุณยังออกอาการชิลล์ๆ อะไรก็ได้อยู่อีกล่ะก็ เฮ้อ! อนุญาตให้ถอนหายใจได้ 2 ที จากนั้นบอกความต้องการของคุณพร้อมกับยื่นคำขาดไปเลยว่า “สรุปว่างานแต่งเราเอาแบนนี้ อย่ามามีปัญหาทีหลังนะ” เด็ดขาดสุดๆ ไปเลยจ้า ไหนๆ ก็ชอบตอบว่าอะไรก็ได้แล้วนี่เนอะ งั้นเอาตามแบบที่คุณชอบและต้องการไปเลย รับรองว่าถ้าเขาไม่รีบแย้ง ไม่รีบแสดงความคิดเห็น ก็คงทำได้แค่พยักหน้าตาม พร้อมกับเดินเข้าชมรมคนเคารพเมียไปตั้งแต่ก่อนแต่งเลยทีเดียว

6 ข้อที่ว่ามานี้ขอมอบเป็น How to ให้กับว่าที่เจ้าสาวที่กำลังเผชิญกับว่าที่เจ้าบ่าวสุดชิลล์ ถ้าอยากให้เขามีส่วนร่วมในการเตรียมงานแต่งของพวกคุณก็ลองนำไปทำตามดูได้ แต่ขอหนึ่งอย่างคือ ต้องรับฟังความคิดเห็นของกันและกัน รวมถึงสร้างบรรยากาศระหว่างการเตรียมงานแต่งให้สนุกสนาน รับรองว่างานแต่งต้องออกมาเริด สะท้อนไลฟ์สไตล์ของคุณทั้งคู่แน่นอน

>> ดูไอเดียเกี่ยวกับเจ้าบ่าวเพิ่มเติมได้ที่นี่อีกเพียบ คลิกเลย! <<

ภาพ : www.theboothphotovideo.com