รักครั้งนี้กับ มนุษย์ฟรีแลนซ์ แค่ความเข้าใจพอหรือไม่ให้รักได้ไปต่อ

ลองนึกดูซิคะว่า ถ้าคุณเป็นพนักงานแบบ “ฟูลไทม์” เข้างาน 8 โมงเช้าเลิกงาน 5 โมงเย็น แต่ดันเกิดไปปิ๊งปั๊งกับผู้ที่เรียกตัวเองว่า “ มนุษย์ฟรีแลนซ์ ”  คราวนี้ความรักของคุณจะดำเนินไปเช่นไร มีอะไรที่ต้องทำความเข้าใจกันและกันบ้าง ถ้าอยากรู้ตามไปอ่านกันเลยจ้า

สำหรับหนุ่มสาวมนุษย์ฟูลไทม์ที่กำลังจะเริ่มความสัมพันธ์กับมนุษย์ฟรีแลนซ์นั้นคงต้องทำความเข้าใจในอาชีพและตัวตนของเขาสักหน่อยค่ะ อย่างแรกเลยคือ เขาเหล่านั้นมักเป็นผู้ที่ “รักอิสระ” ไม่ชอบเข้า-ออกงานตามเวลาเช้าเย็น ไม่ชอบการทำงานซ้ำๆ แบบวนลูป รวมถึงฟรีแลนซ์บางคนก็อาจไม่ชอบอยู่ใต้กฎเกณฑ์ที่ถูกกำหนดมาให้ทำตามด้วย นั่นจึงเป็นเหตุผลว่า ทำไมเขาหรือเธอจึงเลือกมาเป็น “ฟรีแลนซ์”

อย่างที่สองก็คือ ฟรีแลนซ์ส่วนใหญ่มักจะ “จัดระเบียบตารางชีวิตตัวเองเก่ง” เนื่องจากการทำงานแบบฟรีแลนซ์นั้นจะเรียกว่าทำงานอยู่บนความไม่แน่นอนก็ได้ ถ้าเมื่อไหร่ “ไม่มีงาน” นั่นก็หมายความว่า “ไม่มีเงิน” ด้วยเช่นกัน ดังนั้นมนุษย์ฟรีแลนซ์ส่วนใหญ่จึงมักจะ “รับงานมาทำหลายอย่างพร้อมกัน” อยู่เสมอ และเพื่อให้งานที่รับมาส่งทันตามกำหนด พวกเขาจึงมักจะจัดสรรเวลาได้อย่างยอดเยี่ยม วันนี้ทำงานนั้น วันนั้นทำงานนี้ บางคนทำก่อนวันส่งงานแบบ “ไฟลนก้น” นั่นก็ยังถือว่าแบ่งเวลาเก่งพอตัว (เก่งวันสุดท้ายแบบอัจฉริยะข้ามคืนไง!) จึงไม่ต้องแปลกใจว่าตารางเวลาของชาวฟรีแลนซ์จะแน่นเอี๊ยด ไม่ได้ว่างอย่างที่หลายๆ คนเข้าใจ

อย่างที่สามคือ ฟรีแลนซ์ส่วนใหญ่ “ทำงานไม่เป็นเวลา” เพราะในขณะที่ชาวฟูลไทม์ทำงาน 8 แปดโมงเช้าถึง 5 โมงเย็น เสาร์-อาทิตย์ก็ได้หยุด แต่สำหรับชาวฟรีแลนซ์แล้วล่ะก็ เวลาเริ่มงานของชาวฟูลไทม์อาจเป็นเวลาพักผ่อนนอนหลับของเหล่าฟรีแลนซ์ก็ได้ แถมเสาร์-อาทิตย์ก็ยังคงต้องนั่งหน้าคอมฯ ปั่นงานให้ทันส่งอีกด้วย (แหม มันยุ่งจริงๆ นะ!)

เมื่อ “มนุษย์ฟูลไทม์” ริจะรักกับ “มนุษย์ฟรีแลนซ์”

ตามที่ได้เกริ่น (แบบยาวๆ) ไปแล้วข้างต้นถึงชีวิตฟรีแลนซ์ หลายคนคงจะเห็นว่าตารางชีวิตของคนทำงานแบบฟูลไทม์กับฟรีแลนซ์แทบจะตรงข้ามกันอย่างสิ้นเชิง ดังนั้นปัญหาใหญ่ของความรักระหว่างมนุษย์ 2F (Fulltime & Freelance) ก็คือ “เวลา”  ถ้าอยากให้รักครั้งนี้ไปรอดและยืนยาวต้องอาศัย 2 สิ่งนี้

1. เข้าใจ

ความเข้าใจเป็นสิ่งสำคัญของความรัก หนุ่มสาวชาวฟูลไทม์ที่มีเวลาการทำงานแน่นอนควรจะเข้าใจคนรักที่เป็นฟรีแลนซ์บ้างนะจ๊ะ เพราะเขาอาจโดนกดดันหลายทางจากงานที่รับมาเยอะๆ ไหนจะต้องเร่งทำงาน ไหนจะรักษาลูกค้า เอาเป็นว่าคอยรับฟัง เข้าใจ และเป็นกำลังใจให้กับเขาแล้วกันนะ

2. แบ่งเวลา

แม้ว่าคนที่เป็นฟรีแลนซ์จะยุ่งเกือบ 24 ชั่วโมง แต่คุณก็ต้องให้เวลาและดูแลคนข้างกายบ้าง ลองหาเวลาว่างตรงกัน หรือกำหนดวันหยุดพักผ่อนไปเลยว่า วันนี้จะไม่ทำงาน ไม่รับงาน เพื่อเติมความหวานให้กับชีวิตรัก ออกไปเดท ดูหนัง ดินเนอร์บ้าง คนข้างกายจะได้รู้สึกว่ายังเป็นคนสำคัญสำหรับคุณอยู่และชีวิตรักครั้งนี้จะได้ยั่งยืน

ส่วนคนฟูลไทม์ก็ต้องปรับทัศนคติเรื่องเวลาการทำงานของมนุษย์ฟรีแลนซ์ข้างกายหน่อยนะ เพราะเขาอาจไม่ได้มีเวลามากมายเหลือเฟือมาคอยปรนนิบัติพัดวีคุณเช้าเย็น (เหมือนแฟนคนก่อนๆ ) เพราะฉะนั้นถ้าเวลาไหนที่เขางานเร่ง งานรัดตัวก็ยอมๆ ให้เขาหน่อยละกัน แต่อย่าลืมหาวันชดเชยนะ อิอิ

สุดท้ายไม่พูดถึงเรื่องความกลัวคงเป็นไปไม่ได้ ถ้าถามว่า “รักกับมนุษย์ฟรีแลนซ์แล้วกลัวอะไร?” ก็คงต้องตอบตามตรงว่า “กลัวความไม่มั่นคง” เพราะอย่างที่บอกไปแล้วว่ามนุษย์ฟรีแลนซ์ส่วนใหญ่นั้น เงินคืองาน งานคือเงิน ถ้าเมื่อไหร่ “ไม่มีงานก็เท่ากับว่าไม่มีเงิน” ด้วยเช่นกัน หรือบางทีงานมีแต่ได้เงินช้าก็สร้างปัญหาไม่น้อย หนุ่มสาวคนไหนที่คิดจะรักกับชาวฟรีแลนซ์ก็ต้องทำใจยอมรับความเสี่ยงของความไม่แน่นอนนี้ให้ได้ และอาจช่วยเขาวางแผนบริหารเงิน บริหารเวลา ตามวิถีของคนรักที่ดีพึ่งกระทำ เพื่อให้รักครั้งนี้ไร้ปัญหา “เงินช็อต” มากวนใจนะจ๊ะ

>> อ่านเรื่องราวเกี่ยวกับความรักและความสัมพันธ์เพิ่มเติมได้ที่นี่อีกเพียบ คลิกเลย <<

ภาพ : www.shinesobrigthly.com

อย่าสั่ง! 6 ประเภทอาหารทำเดตพังอร่อยแค่ไหนก็ต้องเลี่ยงไปก่อน

ในวันที่ต้องออกเดตสาวๆ จะสวยเป๊ะอย่างเดียวไม่พอ แต่ต้องมีกริยางามพร้อมเวลากินด้วยนะ ฉะนั้นแล้วพึงระวัง ถ้าคิดจะสั่ง 6 ประเภท อาหารทำเดตพัง ต่อไปนี้ เพราะแม้จะแลดูอร่อยมากๆ แต่อาจไม่รุ่งเมื่ออยู่ตรงหน้า

1. กลิ่นแรงกล้า

อาหารกลิ่นฉุนกึก อย่างกระเทียม ใบกุยช่าย และหัวหอม เป็นต้น แม้ชิ้นจะไม่ใหญ่ แต่บอกเลยว่าทิ้งร่องรอยอายธรรมเป็นกลิ่นไว้ยาวนานยิ่งกว่าสิ่งใดๆ ลองคิดดูสิคุยกันออกรสมาก แต่กลิ่นก็ออกมาทุกครั้งที่อ้าปาก ก็ทำให้รู้สึกไม่อยากชวนคุยด้วยแล้ว หรือดีลกันได้ลงตัวเป็นจูบดูดดื่ม แต่แทนที่จะหวานล้ำมันกลับ อี้….กลิ่นประหลาดอ่ะ แบบนี้ต่อให้จ้องตากันเกิน 8.2 วินาที ก็ไม่ช่วยอะไร

2. เส้นยาวเหนียวนุ่ม

อาหารเส้นเหนียวนุ่มน้ำเข้าเนื้อ ซู้ดเสียงดังๆ ยิ่งอร่อย แต่บอกเลยว่าไม่เหมาะกับการเดต ไม่ว่าจะเดตแรก เดตวาเลนไทน์ หรือเดตขอแต่งงาน นอกจากจะกินยากใช้ส้อมพันก็ไม่ช่วย ยังทำให้ต้องสูดเส้นเสียงดัง ท่าทางก็ไม่งาม เพราะฉะนั้น ไม่ว่าเส้นจีน เส้นฝรั่งก็ตัดออกจากลิสต์เมนูได้เลย ยกเว้นก็แต่ว่า จะสูดเส้นไป จ้องตาชายหนุ่มสื่อความนัยไป แต่ก็ควรหัดหน้ากระจกก่อนนะเพื่อความเป๊ะ เซ็กซี่เกินห้ามใจ

3. อาหารฟันแทะ

อาหารอร่อยที่ต้องแทะ ต้องใช้มือจับ อย่าง น่องไก่ ซี่โครงหมู หรือแฮมเบอร์เกอร์ ก็เป็นอีกหนึ่งเมนูที่ควรตัดออกด่วนๆ  เพราะกริยายามรับประทานนั้นทำให้ดูดุเดือด แถมความเลอะรอบปากจะทำให้กลายเป็น Wild Girl แทนที่จะมีลุคสาวหวานๆ เริ่ดหรูและดูดี เว้นเสียแต่คุณจะมีสกิลการใช้อุปกรณ์บนโต๊ะสูงมากและอยากแสดงให้เขาประทับใจ

ประเภทอาหาร

4. อาหารชิ้นพอดีคำ

พวกอาหารชิ้นพอดีคำ กินทีเดียวหมด อย่างซูชิ ทาปาส ค็อทเทล อะไรทำนองนี้ มีความน่ากลัวสูงมาก อานุภาพทำลายล้างภาพลักษณ์ชนิดแทบไม่เหลือเลยทีเดียว เพราะต้องกินให้หมดในคำเดียวแล้วลองคิดดูว่าต้องอ้าปากกว้างแค่ไหนกัน แทนทีจะอวดแค่ริมฝีปากสวยอิ่ม นี่กลายเป็นว่าลิ้นไก่ก็ออกมาเริงร่าท้าสายตานะจ๊ะ แล้วมันจะงามหรา

5. อาหารทะเลสด

อาหารทะเลสดๆ อย่าง กุ้ง หอย ปู เอาง่ายๆ คือพวกที่เสิร์ฟแบบพร้อมเปลือกหนา ก็ขอให้เซย์กู๊ดบายแบบไม่ต้องมีอุทธรณ์  เพราะมันแกะยากค่ะคุณ ต้องใช้วิทยายุทธขั้นสูง ซึ่งงานเดตไม่ใช่งานประลองยุทธ เว้นก็แต่ว่าคุณผู้ชายเขาอาสามาแกะให้ แต่ทางที่ดีอย่าให้ลำบากเขาเลย กินปลาก็สวยแล้ว

6. เครื่องดื่มอัดแก๊สซู่ซ่า

ไม่ใช่แค่เฉพาะน้ำอัดลมนะคะ แต่เหล่าสปาร์คกลิ้งทั้งหลายก็เป็นอันตรายต่อลุคสวยงามที่วางไว้ ก็ลองคิดดูเครื่องดื่มพวกนี้จะช่วยไล่ลมให้ออกมา ฟังก็ดูดีแต่วิธีไล่ลมเนี่ยสิเรอดังเอิ้กเลยนะคะคุณ มาครบ ทั้งรูป เสียง และกลิ่น ใครเจอเข้ารับรองว่าผงะทุกราย ขอแนะนำว่าให้สั่งเป็นน้ำผลไม้ หรือไวน์สวยๆ จะดีกว่าเนอะ

นี่แหละ 6 อาหารอันตรายห้ามให้ปรากฏตัวในมื้ออาหารสุดพิเศษเด็ดขาด ไม่อย่างนั้นอย่าหาว่าไม่เตือนนะ

>> อ่านเรื่องราวเกี่ยวกับความรักและความสัมพันธ์เพิ่มเติมได้ที่นี่อีกเพียบ คลิกเลย <<

คู่มือสำหรับ เพื่อนเจ้าสาว มือใหม่มีหน้าที่อะไรในงานแต่งงาน

สิ่งที่ดีใจไม่แพ้การที่ได้ยินว่าเพื่อนสนิทจะแต่งงาน เห็นทีคงจะเป็นการได้เป็นเพื่อนเจ้าสาวนี่แหละค่ะ  นอกจากได้แต่งตัวสวยๆ เตรียมปาร์ตี้แล้ว อย่าลืมนะคะ เพื่อนเจ้าสาว ที่ดีต้องมีภารกิจมากมายคอยช่วยเหลือเจ้าสาวให้พิธีแต่งงานผ่านไปได้อย่างลุล่วง ดังนั้นก่อนรับตำแหน่งเรามาทำความเข้าใจกับหน้าที่เพื่อนเจ้าสาวกันหน่อยดีกว่าค่ะ ว่าต้องทำอะไรบ้าง แล้วคุณพร้อมที่จะทุ่มแรงกายแรงใจเพื่อวันพิเศษของเพื่อนสนิทของคุณแล้วหรือยัง?

 เพื่อนเจ้าสาว

1. ช่วยเตรียมงาน

ในระหว่างช่วงที่เพื่อนของคุณจัดเตรียมงานแต่งงาน ให้คุณคอยถามเพื่อนด้วยคำถามที่แสดงถึงความเป็นห่วงเป็นใย เช่น เป็นยังไงบ้างเตรียมงานไปถึงไหนแล้ว? เหนื่อยไหม? มีอะไรให้เราช่วยหรือเปล่า? ด้วยคำถามเหล่านี้เพียงคุณเอ่ยไปเพื่อนของคุณก็รู้สึกดีใจแล้วค่ะ และหากเพื่อนคุณต้องการความช่วยเหลือให้คุณจัดเตรียมงานในส่วนไหน คุณต้องทำอย่างเต็มใจให้ไม่ต่างจากงานแต่งงานของคุณเองเลยนะคะ เพราะอย่าลืมนะคะว่าบางทีบ่าว-สาวก็มีเวลาว่างไม่ตรงกัน บางครั้งคุณต้องสละเวลาไปช่วยเพื่อนของคุณเตรียมงานแทนเจ้าบ่าวบ้างแหละ

2. ชุดเพื่อนเจ้าสาว

สิ่งนี้เป็นสิ่งที่เกี่ยวข้องกับเพื่อนเจ้าสาวโดยตรงเลยนะคะ ปัจจุบันถือเป็นหน้าที่หลักที่เพื่อนเจ้าสาวต้องจัดการกันเอง เพื่อแบ่งเบาภาระให้กับเจ้าสาว โดยตัวเจ้าสาวจะจัดงบประมาณให้คุณไปเช่าชุดหรือบางคนซื้อผ้ามาให้เพื่อนๆ นำไปตัดชุดในโทนสีเดียวกันใส่เป็นแก๊งเพื่อเจ้าสาวน่ารักๆ ถ้าเจ้าสาวคนไหนมีเวลาหน่อยอาจเป็นคนมาช่วยเลือกเสื้อผ้าและเครื่องประดับให้เพื่อนๆ แต่ละคนด้วยจ้า

3. ของขวัญสำหรับเจ้าสาว

เคยได้ยินไหมคะ ของขวัญทุกชิ้นที่ได้จากคนที่เรารักล้วนมีคุณค่า ในวันสำคัญอย่างวันแต่งงานเจ้าสาวหลายคนก็อยากมีโมเม้นท์ได้รับการเซอร์ไพรส์จากเพื่อนสนิท แต่จะทำเซอร์ไพรส์อะไรนั้นก็ไม่ต้องเล่นใหญ่จนเกินไลน์งานแต่งเพื่อนนะคะ วิธีทำเซอร์ไพรส์ง่ายๆ คือการช่วยกันเลือกของขวัญที่มีความหมายหรือทำของขวัญแบบ DIY ที่มีชิ้นเดียวในโลก รับรองซึ้งกินใจเพื่อนของคุณแน่นอน

4. ดูแลความเรียบร้อยของเจ้าสาว

ก่อนงานจะเริ่มเจ้าสาวต้องเตรียมตัวแต่งหน้าทำผม ซึ่งในวันงานเจ้าบ่าว-เจ้าสาวจะยุ่งมากเป็นพิเศษจนไม่มีเวลาดูแลความเรียบร้อยของตัวเอง และนั่นเป็นหน้าที่ของคุณแล้วค่ะที่ต้องคอยดูแลเสื้อผ้าหน้าผมให้กับเจ้าสาว ตั้งแต่เจ้าสาวเริ่มแต่งตัวตลอดจนเดินเข้างาน คอยจับกระโปรงที่ยาวลากพื้นไม่ให้เพื่อนของคุณสะดุดล้มและคอยซับหน้าให้เพื่อนคุณสวยเป๊ะยันจบงาน

เพื่อนเจ้าสาว

5. คอยอำนวยความสะดวกในวันงาน

อย่างที่บอกค่ะในวันนี้เจ้าสาวจะยุ่งมากๆ อะไรที่แบ่งเบางานเพื่อนได้ก็ควรทำ อย่างหน้าที่นั่งประจำจุดลงทะเบียนต้อนรับแขกที่มางาน แจกของชำร่วย และพาแขกไปนั่งยังที่รับรอง หรือใครเก่งประสานงานก็คอยรันคิวงานให้กับเจ้าบ่าวเจ้าสาวให้เป็นไปตามกำหนดการที่ได้วางไว้

6. เดินนำหน้าเจ้าสาวเข้างาน

เมื่อเริ่มพิธีจะมีการเปิดตัวบ่าว-สาวโดยการเดินเข้ามาในงาน เพื่อนเจ้าสาวต้องมีการซ้อม นัดแนะกันให้ดีว่าใครจะเดินตรงไหน และอาจมีหน้าที่เล็กน้อยที่เพื่อนเจ้าสาวต้องทำ เช่น การโปรยดอกไม้ให้เจ้าบ่าวเจ้าสาวเดินออกมาอย่างสง่างาม คอยสร้างบรรยากาศในงานให้สนุกสนาน ช่วยลดความประหม่าให้เจ้าบ่าวเจ้าสาวได้ การเดินนำเข้างานเป็นพิธีเปิดงานที่สำคัญ เพราะเรียกความสนใจของแขกในงานทุกคนและต้องทำให้บ่าว-สาวเป็นจุดเด่นที่สุด

7. คนโสดต้องออกไปรับช่อดอกไม้

อย่าเขินอายที่จะออกไปรับช่อดอกไม้เลยค่ะ ถ้าคุณเป็นเพื่อนเจ้าสาวแล้วยังเขินอาย แขกในงานก็ไม่กล้าออกมาให้ความร่วมมือเหมือนกันค่ะ ข้อดีของการออกไปรับช่อดอกไม้ยังมีความเชื่อว่าถ้าคุณได้รับช่อดอกไม้จากมือเจ้าสาวคนโสดอาจเจอเนื้อคู่และคนมีคู่อาจได้แต่งงานเป็นคนต่อไปค่ะ เป็นหนึ่งกิจกรรมของงานแต่งงานที่มีความสนุกเฮฮาสาวโสดต่างรอคอย ดังนั้นคุณต้องเป็นผู้นำเอนเตอร์เทนความบันเทิงให้บรรยากาศในงานเป็นไปอย่างราบรื่นและสนุกสนานมากยิ่งขึ้นค่ะ

8. คอยให้กำลังใจ

กำลังใจ เป็นสิ่งสำคัญสำหรับเจ้าสาวทุกคน แม้เจ้าสาวจะได้แต่งงาน ซึ่งคือความปรารถนาของผู้หญิงทุกคน แต่การเตรียมงานนั้นก็ไม่ได้ง่ายเลย ไหนจะทั้งงานราษฎร์งานหลวง ต้องแบ่งเวลาทำสิ่งต่างๆ ความเหนื่อยมักตามมาเป็นของคู่กันค่ะ หน้าที่ของเพื่อนที่ดีอย่างเราคือการคอยให้กำลังใจ คลายความเครียด ทำให้เจ้าสาวยิ้มหัวเราะเยอะๆ จะได้มีใบหน้าเต็มไปด้วยความสุขต้อนรับวันสำคัญในชีวิตค่ะ

เพื่อนเจ้าสาว

ทั้งหมดนี้คือหน้าที่เพื่อน(ที่ดี)ของเจ้าสาวที่ควรทำค่ะ แต่สำหรับสิ่งที่เพื่อนเจ้าสาวไม่ควรทำในวันงานแต่งงานจะมีอะไรบ้างนั้นมาดูได้ในนี้ คลิกเลย >> จดไว้ให้ดี 10 สิ่งนี้ที่เพื่อนเจ้าสาวไม่ควรทำในวันแต่งงาน

ภาพจาก : popsugar.com, esposagroup.com, ilaiki.net

How To งัดปากพร้อมเคล็ดลับเปิดใจให้อีกฝ่ายบอกรักแบบเนียนๆ

“ปากเธอแข็งรู้ไหม แต่ว่าฉันก็รับไหว ด้วยหัวใจที่รอ ได้แต่หวังสักครั้ง คำเดียวก็พอ อยากได้ยินว่ารักกัน…” อุ้ย! ร้องเพลงพี่ป้อม-พี่โต๊ะเพลินไปหน่อย พอดีว่ากำลังอินกับเพลงค่ะ ก็แหมจะไม่ให้อินได้ยังไงคะ ในเมื่อคนข้างกายไม่ บอกรัก ออกมาเลยสักคำเดียว ไอ้เราก็รอแล้วรอเล่าเฝ้าแต่รอ ก็ยังไม่มีวี่แววว่าปากจะอ่อนลงเลยแม้แต่นิด สาวๆ หนุ่มๆ คนไหนที่หลงรัก “คนปากแข็ง” และกำลังหาวิธีง้างปากกันอยู่ละก็ มาไม่ผิดทางค่ะ เพราะแพรวเวดดิ้งได้เสาะหาเคล็ดลับงัดปาก เปิดใจคนปากแข็งมาบอกกันค่ะ

1. หาที่ว่างให้ความสัมพันธ์

หนึ่งเหตุผลที่คนรักของคุณไม่เอ่ยคำว่ารักอาจจะเป็นเพราะเขารู้สึกว่า “ยังไงก็ต้องเจอกัน อยู่ใกล้ชิดกันทุกวันอยู่แล้วนี่นา ไม่เห็นจะต้องบอกเลย” ถ้าเป็นอย่างนี้ เราขอแนะนำให้ลองเว้นที่ว่างระหว่างกันสักนิด ให้ความคิดถึงได้ทำงานบ้าง เชื่อเถอะค่ะว่าเมื่อไหร่ที่คำว่า “คิดถึง” หลุดออกมาจากปากเขาแล้วล่ะก็ คำว่า “รัก” ก็จะตามมาในไม่ช้าแน่นอน

2. เลี่ยงประโยคนี้ “ไม่รักกันเลยเหรอ?”

เข้าใจค่ะว่าหลายๆ คนที่มีแฟนเป็นคนปากแข็งมักจะมีคำถามนี้อยู่ในใจตลอดเวลา แต่อยากให้รู้ไว้สักนิดค่ะว่าถ้าถามคำถามนี้บ่อยๆ เข้า นอกจากจะเป็นการกดดันคนรักแล้ว ยังอาจทำให้เขารู้สึกหงุดหงิดกับวิญญาณเจ้าแม่ดราม่าของคุณก็ได้นะ สุดท้ายไม่วายต้องทะเลาะกัน งอนกัน คราวนี้คำว่ารักก็ไม่ได้ยินแถมยังต้องผิดใจไม่มองหน้ากันไปอี๊ก เห้อ! ขอถอนหายใจหนึ่งที

3. บอกรักเขาไปก่อนเลย

ถ้าคุณมั่นใจในความรู้สึกของตัวเองแล้วล่ะก็บอกเขาออกไปตรงๆ เลยค่ะว่า “คุณรักเขา” เพราะการบอกรักใครสักคนไม่ใช่เรื่องเสียหายอะไรนี่คะ ถูกไหม? ในเมื่อคุณอยากเป็นผู้รับคำว่ารัก คุณก็ต้องเป็นผู้ให้ก่อน แต่ก็มีข้อแม้อยู่นิดนึงนะคะว่าคุณจะต้องเลือกเวลาพูดสักหน่อย อาจจะเป็นมื้อเย็นระหว่างที่คุณและเขากำลังใช้เวลาสุดสวีทด้วยกันก็ได้ เผลอๆ เขาอาจจะตอบกลับมาว่า “รักเหมือนกัน” คราวนี้ก็ถึงเวลาฟินกันสักที ยังไงก็แล้วแต่ห้ามบอกพร่ำเพรื่อเด็ดขาดนะ ไม่เช่นนั้นคำว่ารักที่ฟังแล้วซึ้งอาจจะกลายเป็นเลี่ยนไปทันที

4. บอกอ้อมๆ ผ่านบทเพลง

การใช้เสียงเพลงเป็นสื่อกลางถือว่าเป็นวิธีคลาสสิกทำกันมาทุกยุคทุกสมัย ไม่ว่าจะสุขหรือเศร้า รู้สึกอะไรก็บอกกันผ่านเนื้อเพลง แต่สำหรับคนที่อยากได้ยินคำว่ารักจากคนปากแข็งล่ะก็ ลองหาเพลงที่ส่งความหมายประมาณว่า ฉันรักเธอนะ แต่ไม่รู้เธอจะรักฉันเหมือนกันไหม ส่งไปให้เขาฟัง หรืออาจเป็นเพลงประเภทกลัวคำตอบจะทำให้ผิดหวังเพราะเธอยังไม่เคยเอ่ยปากบอกว่ารักฉันเลย (เราขอแนะนำ 3 เพลงเด็ดที่ใช้ได้ผลมานักต่อนักอย่าง “อยากรู้แต่ไม่อยากถาม” วง Calories Blah Blah , “ดาว” ของคริสติน หรือ “คำเชยๆ” วง Big & The Super band) ลองเลือกเอาตามที่ชอบแล้วไปเปิดให้คนข้างๆ ฟังรับรองว่าได้ผล!

5. ถามแบบเนียนๆ

วิธีที่ 5 นี้ไม่ยากเลยค่ะ เพียงแค่คุณลองทำอะไรน่ารักๆ ให้เขาเห็น ไม่ว่าจะเป็นการแต่งตัว ของขวัญ หรืออะไรก็ได้ที่คุณรู้สึกว่าถ้าทำแล้วเขาต้องชมออกมาว่า “น่ารักจังเลย” เมื่อได้ยินอย่างนี้แล้วอย่าปล่อยให้โอกาสดีๆ ผ่านไปค่ะ ให้คุณถามกลับไปทันทีว่า “แล้วรักมั้ยล่ะ” เท่านี้เอง รับรองว่าคำตอบคงไม่หนีไปจากคำว่า “รัก” แน่นอน

6. ถามตรงๆ เลยว่า “รักเค้ามั้ยตะเอง?”

ถ้าบอกรักไปแล้วเขายังเฉย ฝากเสียงเพลงไปบอกแล้วยังเงียบ หรือเนียนถามแล้วก็ยังนิ่งสนิท ถึงเวลาแล้วค่ะที่จะต้องถามออกไปตรงๆ ว่า “รักเค้ามั้ยตะเอง?” แนะนำให้ทำเสียงออดอ้อนด้วยนะ เขาจะได้ใจอ่อนปากอ่อนหลุดคำว่ารักออกมาให้ได้ยินกัน แต่ยังไงก็ช่วยเลือกถามเวลาที่เขาอารมณ์ดีๆ หรืออยู่ในบรรยากาศซึ้งๆ โรแมนติกนะ ผลลัพธ์จะได้ออกมาเป็นคำที่คุณอยากได้ยิน

7. แกล้งป่วยพิสูจน์รัก

หากว่า 6 ขั้นตอนด้านบนยังใช้ไม่ได้ผล วิธีการ “แกล้งป่วย” ก็น่าจะเวิร์คนะ แม้จะไม่อยากทำ ไม่อยากโกหก แต่ถ้ามันทนไม่ไหว ยังไงต้องฟังคำนั้นให้ได้ ก็ลองทำเถอะ แต่สิ่งสำคัญก็คือ คุณควรรู้นิสัยเจ้าตัวก่อนว่าคุณสามารถแกล้งเขาได้แค่ไหน และเขาจะรับได้หรือไม่เมื่อถึงเวลาเฉลยความจริง ส่วนจะเล่นใหญ่แค่ไหนอันนี้ก็แล้วแต่ความคิดสร้างสรรค์ของแต่ละคน หากมีผู้ร่วมขบวนการด้วยแนะนำว่าจะต้องเป็นคนใกล้ชิดที่เก็บความลับได้ดี ไม่กระโตกกระตากจนทำให้แผนล่ม และที่สำคัญหากเกิดผิดแผนโดนคนรักโกรธขึ้นมาผู้ร่วมขบวนการก็ต้องมีความสามารถไกล่เกลี่ยให้เราได้ด้วยนะ

ส่วนใครที่ร่ำร้องว่าทำไปหมดแล้วทั้ง 7 วิธีแต่เขาก็ยังไม่ยอมปริปากออกมาอยู่ดี เห้อ! อย่าเพิ่งท้อแท้ค่ะ เพราะเราเชื่อว่าถ้าทำกันขนาดนี้เขายังไม่พูดออกมาอีก แถมยังทนให้เรากดดันแบบนี้อีกด้วย แสดงว่าเขาต้องรักเราแน่นอน เอาไว้คราวหน้า เราจะมาบอกว่าวิธีที่คนปากแข็งแสดงออกว่ารักนั้นมีอะไรบ้าง คอยติดตามตอนต่อไปนะคะ >> อ่านเรื่องราวเกี่ยวกับความรักและความสัมพันธ์เพิ่มเติมได้ที่นี่อีกเพียบ คลิกเลย!

สารพัดไอเดียเติมความหวานให้งานแต่งงานที่น้ำตาลยังเรียกพี่!!

อะไรๆ ก็สีชมพู๊…ก็แหมคนจะแต่งงานทั้งทีมองไปทางไหนก็หวานชุ่มชื่นหัวใจจริงไหมคะ แล้วอย่างนี้ใน งานแต่งงาน จะไม่ให้หวานแบบน้ำตาลยกกองทัพมาได้ยังไง แพรว wedding เลยจัดมาให้กับสารพัดไอเดียเติมความหวานสำหรับงานแต่ง ที่บอกเลยว่าบ่าวสาวสามารถหยอดความหวานได้ในทุกที่และทุกช่วงในงานแต่งงานได้จริงๆ

ภาพงานแต่งงานคุณจ๊ะ & คุณเอิน ถ่ายโดย Anon

มุมแห่งความทรงจำ ถ้าบ่าวสาวอยากเพิ่มความหวานให้ขึ้นใจ ลองจัดมุมโชว์ของขวัญแห่งความทรงจำที่คุณทั้งคู่มอบให้กันมาตลอด หรืออาจจะเป็นรูปถ่ายของคุณทั้งคู่ตั้งแต่รู้จักกันหรือจีบกันใหม่ๆ ก็ได้ เพื่อให้แขกที่มาร่วมงานได้เพิ่มความฟินไปกับความรักของคุณทั้งคู่ไงคะ

งานแต่งงาน

โต๊ะขนมหวาน เป็นอีกหนึ่งจุดที่เป็นสัญลักษณ์แห่งความหวานได้เป็นอย่างดี โดยบ่าวสาวอาจจะจัดหาของหวานหลากชนิดตามสีของธีมงานมาก็ได้ (ถ้าสามารถ) แล้ววางสลับกับดอกไม้นานาพันธุ์ในเฉดสีสันสวยงามบนโต๊ะที่ได้ออกแบบจัดวางไว้เป็นอย่างดี รับรองว่ามุมนี้นอกจากแขกจะแวะมาอร่อยแล้ว ยังจะได้มุมเซลฟี่สวยๆ เก็บไว้อีกต่างหาก

ดอกไม้นานาพันธุ์ เป็นสิ่งที่ง่ายที่สุดที่เติมปุ๊บก็ช่วยให้งานแต่งของบ่าวสาวหวานปั๊บ แถมยังสามารถหยอดไว้ได้ในทุกๆ ส่วนของงานแต่ง แต่อาจจะเลือกใช้ดอกไม้ให้เข้ากับธีมงานสักหน่อยนะคะ เช่น

งานเรียบเท่ อาจใช้ดอกไม้ดีไซน์สวยๆ เพียงดอกเดียวปักไว้ในแจกันดีไซน์เก๋ หรืออาจจะเลือกวางดอกไม้เพียงดอกเดียวไว้บนแน็ปกิ้นก็ได้ เท่านี้ก็ช่วยเพิ่มความหวานแต่ยังคงคอนเซปต์ความเท่ไว้ได้แบบไม่แตกแถว

งานสไตล์คาวบอย อาจเน้นเป็นดอกไม้ดอกเล็กๆ ที่จัดวางไว้ในกระถาง กระป๋อง หรือฝักบัว ที่เน้นความเรียบง่ายกับของใช้ใกล้ตัว แต่กลับได้ลุคที่ดูครีเอทสุดๆ

งานแต่งแบบคลาสสิค ไม่ว่าจะเป็น งานแต่งแบบเทพนิยาย งานแต่งในสวน งานแต่งธีมดอกไม้ หรืองานแต่งแนวโรแมนติกชวนฝันทั้งหลาย อาจจะไม่ต้องโถมดอกไม้เข้าไปจนเต็มงาน เพราะจากความหวานอาจกลายเป็นความเลี่ยน โดยอาจจะเบรกความหวานด้วยการเปลี่ยนมาใช้เป็นกลีบดอกไม้แทน เช่น การโปรยกลีบดอกไม้ไว้ตามจุดต่างๆ ของงานอย่างทางเดิน รอบเค้กแต่งงาน หรือริมทางเดิน เป็นต้น

หวานแบบพลิ้วไหวด้วยริบบิ้น ถือเป็นอีกหนึ่งไอเดียสุดสร้างสรรค์ที่ช่วยเติมความหวานได้ง่ายๆ และเพิ่มได้ทุกที่ ไม่ว่าจะผูกไว้กับเก้าอี้ มีดตัดเค้ก ช่อดอกไม้เจ้าสาว หรือแม้กระทั่งห้อยระย้าไว้ที่แบ็กดร็อป หรือทางเข้างาน โดยอาจจะเลือกจับคู่เฉดสีพาสเทลเข้ากับเฉดสีกลางๆ อย่าง เทาอ่อน เทาเงิน ขาว ครีม หรือทองอ่อน หรือหากเป็นงานแต่งแบบเอ้าท์ดอร์ก็เพียงแค่ปล่อยริบบิ้นให้ยาวสยายพลิ้วไหวไปตามแรงลม เท่านี้ก็หวานแบบธรรมชาติสร้างสรรค์แล้ว

หวานหรูด้วยลูกไม้ นอกจากจะให้ความสวยหวานแล้ว ยังสื่อถึงความอ่อนโยนของหญิงสาวอีกด้วย ซึ่งความเป็นลูกไม้นั้นเหมาะกับการจัดงานแต่งงานสไตล์วินเทจ เพราะให้ทั้งความสวยหวานและความคลาสสิค เช่น อาจจะใช้ผ้าลูกไม้ลายสวยขึงไว้กับสะดึงแล้วนำไปประดับห้อยไว้ตามมุมต่างๆ หรือจะใช้ผ้าทั้งผืนมาปูที่โต๊ะลงทะเบียนก็ยังได้ หรือจะเรียบหรูด้วยการนำไปปูเป็นเทเบิ้ลรันเนอร์ก็เก็ดีไม่หยอก

แสงเหนือหรือจะสู้แสงหวาน หรือก็คือแสงเทียนตามจุดต่างๆ นั่นเอง โดยนำไปวางตกแต่งไว้ตามจุดต่างๆ ได้ทุกมุม เช่น ทางเดิน รอบแขก หรือที่เซ็นเตอร์พีช เพราะแสงวิบวับระยิบระยับที่นอกจากจะเพิ่มความหวานได้แล้ว ยังยกระดับความโรแมนติกในงานแต่งงานได้อีกด้วย แต่หากใช้เป็นเทียนจริงก็อาจจะต้องมีระบบรักษาความปลอดภัยกันนิดนึงนะคะ

ดื่มด่ำความหวาน ในที่นี้คือดื่มจริงๆ นะคะ เพราะบ่าวสาวอาจจะเลือกเสิร์ฟเป็นเครื่องดื่มสีสวยให้กับแขก เพื่อให้ภาพรวมของงานดูหวานขึ้น เช่น ค็อกเทลสีหวาน แชมเปญสีชมพู อิตาเลี่ยนโซดา สตอรว์เบอร์รี่สมูทตี้ เป็นต้น แถมงานนี้ไม่ได้สงวนไว้แค่เครื่องดื่มนะจ๊ะ เพราะถ้าหากบ่าวสาวเลือกเสิร์ฟของหวานดีไซน์น่ารักๆ คู่กันอย่าง คุ้กกี้รูปหัวใจ หรือคานาเป้สีพาสเทล ก็จะได้ทั้งความอิ่มและความฟินไปพร้อมกันได้อีก

อีกหนึ่งไอเดียเติมความหวานที่คู่รักสาย DIY ไม่ควรพลาด คลิกเลย >> ดอกไม้กระดาษ อีกหนึ่งไอเดียงานแต่งแบบ DIY สำหรับบ่าวสาวสายอาร์ต

ภาพ pinterest.com

3 สิ่งธรรมดาแต่ดีต่อใจที่แม่เจ้าสาวควรรู้และว่าที่เจ้าสาวอยากให้ทำ

หัวอกคนเป็นแม่ส่วนใหญ่ที่ลูกสาวกำลังจะได้ออกเรือนคือความยินดีเปรมปรีที่จะมีคนดีๆ มาดูแลลูกสาวสุดเลิฟทั้งชีวิต แต่นอกจากความยินดีที่จะแสดงออกผ่านรอยยิ้มบนใบหน้าแล้ว แพรวเวดดิ้งขอบอกว่า มีบางเรื่องที่ แม่เจ้าสาว ควรรู้และเจ้าสาวก็อยากให้ทำ เพื่อให้วันดีๆ ของลูกสาวได้รับการเติมเต็มอย่างสมบูรณ์แบบ

1. เป็นผู้สนับสนุนที่ดี

แน่นอนว่าเจ้าสาวจะเกิดอาการตื่นกังวลเกินเหตุสำหรับงานแต่งงาน แต่แม่เจ้าสาวควรจะสงบนิ่ง อยู่เป็นเพื่อนและเป็นผู้ช่วยลูกสาว เพราะแม่เจ้าสาวควรเป็นเสาหลักระหว่างช่วงเวลาที่ตื่นกังวลของเจ้าสาวและในช่วงเวลาที่เจ้าสาวต้องการใครสักคนที่จะช่วยตัดสินใจและทำให้ทุกอย่างเรียบร้อยถ้ามีอะไรผิดพลาดไป

2. แนะนำเรื่องรายชื่อแขกเท่าที่ควร

แม้พ่อแม่ของเจ้าบ่าวเจ้าสาวจะช่วยค่าใช้จ่ายสำหรับงานแต่งงาน แต่ไม่ใช่คนที่จะตัดสินใจคัดรายชื่อแขกทั้งงาน เพราะหน้าที่นี้เป็นของเจ้าบ่าวเจ้าสาวที่จะต้องตัดสินใจ พ่อแม่ของเจ้าบ่าวเจ้าสาวอาจบอกเพียงว่าอยากเชิญแขกคนไหนมาบ้างแต่ก็เฉพาะสนิทจริงๆ เท่านั้นไม่ใช่ญาติที่นานๆ เจอกันทีหรือเพื่อนที่ไม่ได้พูดด้วยมากกว่าสิบปี

3. ปรึกษาเรื่องชุดที่จะใส่กับแม่เจ้าบ่าว

แม้อาจดูเป็นเรื่องเล็กๆ ไม่สำคัญ แต่การมีส่วนร่วมของบรรดาแม่ๆ จะช่วยทำให้เกิดช่วงเวลาดีๆ ระหว่างสองครอบครัวได้ไม่ยาก โดยเฉพาะเรื่องชุดที่จะใส่ไปในงานแต่งงานของลูกๆ ที่สองแม่ควรหันหน้าเข้าหากัน ปรึกษาให้ชัดว่าต่างคนจะเลือกชุดสไตล์ไหน สีอะไรไปร่วมงาน เพราะคงจะเป็นเรื่องน่าอึดอัดพอตัว หากวันแต่งงานแม่เจ้าบ่าวและเจ้าสาวใส่ชุดรูปแบบเดียวกันในงานแต่งงานของลูกตัวเองจนแยกไม่ออกว่าใครเป็นใคร

>> อ่านเรื่องราวเกี่ยวกับความรักและความสัมพันธ์เพิ่มเติมได้ที่นี่อีกเพียบ คลิกเลย! <<

cr. photo : theknot

How To รักเราไม่เก่าเลย เคล็ดลับเสริมรักให้ชีวิตคู่สดใสในทุกๆ วัน

How To ใช้ชีวิตคู่ อย่างไรให้แฮปปี้

คนที่มีความรักหลายคนอาจมีคำถามที่ว่าจะ ใช้ชีวิตคู่ ของเราทำอย่างไรให้แฮปปี้ไปนานๆ ความรักของเราทำยังไงให้หวานหอมชื่นใจกันไปจนแก่เฒ่า บางทีแค่ความรักอย่างเดียวคงไม่พอ การดูแลเอาใจใส่ก็เป็นเรื่องสำคัญ วันนี้ แพรว wedding จึงมีเคล็ดลับให้ความรักสดใสไปนานแสนนานมาฝากกันค่ะ รับรองว่าดีต่อใจไม่มากก็น้อยอย่างแน่นอน 😉

แสดงความคิดถึงต่อกันเสมอ

ความคิดถึงเป็นสิ่งแรกที่คุณสองคนจะรับรู้ได้ซึ่งกันและกัน ยิ่งอยู่ห่างกันมากเท่าไหร่หรือนานมากแค่ไหน ต่างฝ่ายก็จะยิ่งมีความรู้สึกคิดถึงและโหยหากันและกันมากยิ่งขึ้น

ความห่วงใยเป็นสิ่งที่ขาดไม่ได้

สำหรับคนที่ใช้ชีวิตคู่อยู่ด้วยกัน หากปราศจากความห่วงใยซึ่งกันและกันแล้วนั้น ชีวิตคู่ของคุณก็จะเริ่มเกิดการสั่นคลอนได้ และนั่นก็จะกลายเป็นจุดเริ่มต้นของปัญหาของชีวิตคู่ในเวลาต่อมานั่นเองค่ะ

ทิ้งระยะห่างอย่างพอดี

การที่คุณทั้งคู่ตกลงใช้ชีวิตคู่ร่วมกันนั้น ก็ไม่ได้หมายความว่า คุณทั้งคู่จะต้องอยู่ด้วยกัน เว้นช่องว่างให้กันและกันบ้าง แต่ไม่ใช่ห่างกันมากเกินไปนะคะ เพราะคู่รักบางคู่เมื่อเว้นช่องว่างให้กันและกันแล้ว ปัญหาเรื่องของมือที่สามก็มักจะตามเสมอๆ จนเลิกกันก็มี

ให้ความเข้าใจเป็นที่ตั้ง

เรื่องนี้สำคัญมากๆ เลยนะคะ ถ้าหากว่าคุณทั้งสองคนเกิดความไม่เข้าใจซึ่งกันและกันแล้ว การที่จะอยู่ร่วมกันนั้น ก็ถือเป็นเรื่องยากมากเลยทีเดียว ดังนั้น อย่าปล่อยให้เรื่องเล็กน้อยกลายมาเป็นปัญหาใหญ่ของคุณสองคน แต่พยายามหันหน้าเข้าหากันเพื่อปรับความเข้าใจในวันทะเลาะ และพร้อมถอยห่างกันคนละก้าวในวันที่ต่างฝ่ายก็ร้อนใส่กันหรือไม่ก็อาจจะบอกเล่าเรื่องของกันและกันให้มากขึ้น นี่จะเป็นอีกหนึ่งวิธีที่จะช่วยให้คุณทั้งคู่เข้าใจกันและกันมากยิ่งขึ้นค่ะ

กาลเวลาไม่สำคัญ

ความรักความห่วงหาอาทรซึ่งกันและกันเป็นเรื่องสำคัญที่คู่รักต้องรู้จักใส่ใจให้กับอีกฝ่าย หากมีคนใดคนหนึ่งเผลอไผลไป อาจจะทำให้เส้นทางความรักของชีวิตคู่นั้นเกิดความไม่มั่นคงได้เคล็ดลับชีวิตคู่เป็นเรื่องที่คู่รักทุกๆ คู่สามารถทำได้แบบง่ายๆ เพียงแค่มองดูความสัมพันธ์และความสำคัญของคนรัก แล้วคุณจะเห็นเองว่าคู่ของคุณเป็นคู่รักที่ต้องการความรักแบบไหนและช่วยประคับประคองความรักของคุณให้อยู่กันไปได้ตราบนานเท่านานเลยค่ะ

>> อ่านเรื่องราวเกี่ยวกับความรักและความสัมพันธ์เพิ่มเติมได้ที่นี่อีกเพียบ คลิกเลย <<

cr : www.rd.com

แก้ปัญหา 6 ช่วงพิธีการที่มักติดขัดในงานแต่งไทยยังไงให้ลื่นปรืด

หากคุณเป็นคู่บ่าวสาวที่จัด งานแต่งไทย ด้วยตัวเอง โดยไม่ได้พึ่งเวดดิ้งแพลนเนอร์หรือทีมงานของสถานที่เป็นผู้ช่วยในการจัดงาน ต้องจับมือนั่งลงแล้วตั้งใจฟัง เพราะ แพรว wedding ได้จัดสถิติ 6 ช่วงยอดฮิตที่ทำให้ พิธีแต่งงานไทย ต้องสะดุดเกือบเลยฤกษ์มาฝาก เพื่อที่บ่าวสาวจะได้นำไประวังและปรับใช้กับงานของตัวเอง รับรองว่างานนี้ลื่นปรืดเหมือนปูพื้นกระเบื้องแน่นอน

ช่วงสะดุดที่ 1 : ช่วงรับขันหมาก 

ตอนที่ขบวนขันหมากเดินทางไปถึงหน้าประตูบ้านเจ้าสาว เป็นจังหวะสะดุดแรกที่หลายบ้านเจอ ซึ่งโดยส่วนใหญ่เกิดจากเด็กน้อยที่เลือกมาเชิญพานรับขันหมากเกิดอาการลืมบทพูด ตื่นเต้นและงอแง อาจจะเป็นเพราะเลือกเด็กที่ยังเล็กเกินไป จึงเกิดอาการตกใจเมื่อเจอเสียงดังและคนเยอะๆ อันนี้แก้ไม่ยากค่ะ แค่เลือกเด็กสาวที่โตขึ้นมาสักหน่อย กล้าแสดงออกและไม่ตื่นคน แล้วอย่าลืมให้ผู้ใหญ่คอยยืนประกบด้วยนะคะ เด็กจะได้รู้สึกอุ่นใจว่ามีผู้ใหญ่อยู่ข้างๆ เท่านี้ก็ผ่านฉลุยแล้ว

ช่วงสะดุดที่ 2 : ช่วงเจรจาต่อรองผ่านประตูเงินประตูทอง

‘ซองหมด’ คือปัญหาอันดับต้นๆ ของช่วงนี้ อาจเป็นเพราะฝ่ายเจ้าบ่าวคาดไม่ถึงว่าคนกั้นประตูจะมากมายมหาศาล หรือลืมเตี๊ยมกับฝ่ายเจ้าสาวมาก่อนว่าประมาณเท่านี้พอนะ หรือผู้ใหญ่บางท่านอาจจะคิดว่าการกั้นประตูจะมีแค่ประตูเงิน ประตูทอง ประตูนาคตามแบบสมัยโบราณ คราวนี้พอเจอประตูสร้อย ประตูเข็มขัดเข้าไปก็เกิดอาการเหวอตั้งตัวแทบไม่ทัน รีบหาซองกันพัลวันจนเกือบจะไปรับตัวเจ้าสาวไม่ทันฤกษ์ ทางแก้ก็แสนง่าย หนึ่งคือนัดกันให้รู้เรื่องไปเลยว่าจะมีกี่ประตู หรือเตรียมซองใส่เงินมาให้เหลือเข้าไว้ ใช้ไม่หมดก็ไม่เป็นไรจะได้ไม่ต้องมาสะดุดหน้างาน

ช่วงสะดุดที่ 3 : ช่วงนำสินสอดจัดวางและโปรยข้าวตอกดอกไม้

สะดุดกันมานักต่อนักกับจังหวะการวางเรียงสินสอด ไม่ว่าจะเป็นเรื่องผ้าปูรองสินสอดอยู่ไหน ผืนเล็กไปหรือเปล่า ไหนจะข้าวตอกดอกไม้ที่บางงานผู้ใหญ่บนเวทีไม่รู้ว่าจัดไว้ในพานขันหมากเอก ทางแก้ไม่ยากสักนิด แค่เช็คของให้ครบก่อนเริ่มพิธี เตรียมคนรู้งานคอยประกบ และต้องไม่ลืมแจ้งบอกให้ท่านรู้ว่าเมื่อถึงลำดับนี้จะต้องทำอย่างไรบ้าง และข้าวของที่สัมพันธ์กับลำดับงานนั้นอยู่ไหน และใครจะเป็นคนนำมาให้ เพราะฉะนั้นช่วงนี้การวางแผนและพูดคุยกันก่อนเริ่มงานจึงสำคัญมาก

ช่วงสะดุดที่ 4 : ช่วงรับตัว

ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อว่าเหตุผลที่ช่วงนี้มีสะดุด เพราะว่าที่เจ้าบ่าวไม่รู้ว่าเจ้าสาวซ่อนตัวอยู่ที่ไหน บางคนตื่นเต้นจัด ให้เดินซ้ายกลับเลี้ยวขวา แล้วแบบนั้นจะเจอว่าที่เจ้าสาวได้ยังไง บางรายสะดุดเพราะลืมไปว่าต้องถือช่อดอกไม้ไปด้วย รวมไปถึงสะดุดที่ไม่รู้ว่าจะมีทีมเพื่อนเจ้าสาวแอบทำเซอร์ไพร้ส์กั้นประตูเงินประตูทองอีกชั้นแล้วไม่ได้เตรียมซองติดตัวไป นี่แหละค่ะ เหตุทั้งหลายที่ทำให้ช่วงรับตัวต้องสะดุด แต่ยังไงก็ต้อง the show must go on นะคะ เพราะฉะนั้นจงมีสติและเตรียมแก้ปัญหาเฉพาะหน้าให้ดีๆ

ช่วงสะดุดที่ 5 : ช่วงนำสินสอดไปเก็บ

ทันทีที่คุณแม่เจ้าสาวแบกสินสอดขึ้นบ่าเสร็จแล้วต้องส่งต่อให้คนในครอบครัวไปเก็บ ก็เกิดอาการสะดุดขึ้นโดยฉับพลัน เพราะลืมเตรียมคนๆ นั้นไว้ยังไงล่ะคะ ซึ่งสินสอดนั้นมีทั้งเงินทั้งเครื่องเพชรมากมาย จะฝากไว้กับใครก็ได้ก็คงไม่ดี เพราะฉะนั้นทางที่ดีห้ามลืมเตรียมคนช่วงนี้เอาไว้นะคะ

ช่วงสะดุดที่ 6 : ช่วงรับไหว้

เมื่อเสียงประกาศจากพิธีกรถามขึ้นว่า ใครจะขึ้นมารับไหว้ท่านต่อไปคะ ใครจะรับไหว้เชิญเลยนะคะ มีใครจะขึ้นมารับไหว้อีกไหมครับ นี่แหละค่ะคือความพังพินาศของช่วงนี้ ทำให้ช่วงรับไหว้กลายเป็นช่วงชุลมุนวุ่นวายกับการตะโกนเรียกหาว่าจะมีใครขึ้นมารับไหว้อีกบ้าง จนบางครั้งอาจจะทำให้ฤกษ์ดีๆ ที่วางไว้หลังจากนี้ต้องสะดุด เพราะฉะนั้นควรตกลงกันให้ดีก่อนเริ่มงาน พร้อมลิสต์รายชื่อผู้ใหญ่ของทั้งฝ่ายเจ้าบ่าวและเจ้าสาวที่ถูกต้องให้พิธีกร พร้อมกับเรียงลำดับก่อนหลังมาให้เรียบร้อย รับรองไหลลื่นไม่เสียฤกษ์แน่นอน

ภาพจากงานแต่งงานของคุณบุ๋ม & คุณเติ้ง ถ่ายโดย Athibodee Suwannachot, ชญานี ชมแสงจันทร์

>> ติดตามบทความเกี่ยวกับพิธีแต่งงานไทยเพิ่มเติมได้ที่นี่ คลิกเลย! <<

จัดโต๊ะใน งานแต่งไทย ให้งามอย่างไทยแต่แฝงไว้ด้วยความหรู

งานแต่งไทย กับไอเดียการจัดโต๊ะยังไงไม่ให้เชย

หากคุณเป็นเจ้าสาวหัวใจไทยที่อยากจัดงานฉลองอย่างหรูหรา เรามีตัวอย่างการตกแต่งโต๊ะจัดเลี้ยงใน งานแต่งไทย ที่ผสมกลิ่นอายความเป็นไทยเข้าไปได้อย่างลงตัวมาฝากเป็นแรงบันดาลใจค่ะ

— ลองเทเบิลอลังการ

คอนเซ็ปต์ : เจ้าสาวอยากได้งานที่งดงามด้วยศิลปะไทย แต่ดูเรียบหรูสไตล์ตะวันตก และกำหนดธีมสีของงานเป็นสีชมพูพาสเทลหม่น – ทองอ่อน – ขาว

ไอเดียโดนใจ : จัดโต๊ะแบบลองเทเบิล หรูหราสไตล์ตะวันตกเต็มพิกัด เช่น เก้าอี้วินเทจสีทอง เชิงเทียนสีทองขนาดต่างๆ เซ็นเตอร์พีซ และการ์แลนด์ดอกแวนด้าวางยาวไปตามแนวโต๊ะ แต่ก็สัมผัสได้ถึงความเป็นไทยด้วยการเสริมสิ่งละอันพันละน้อยที่เป็นงานฝีมือไทยเข้าไป อาทิ การห้อยมาลัยฝีมือประณีตไว้หน้าโต๊ะ การใช้มาลัยพวงเล็กๆ พร้อมอุบะสีชมพูคล้องเซ็นเตอร์พีซ เชิงเทียน และแจกัน การวางพานพุ่มกลีบบัวสีชมพูและดอกบัวพับกลีบสลับกับเชิงเทียน การวางงานเย็บลายดอกประจำยามไว้บนจานเคียงกับแน็ปกิน

Credit

  • ออกแบบและตกแต่งโดย TWO 4 US The Planner โทร. 0-2196-2271
  • ฟลอรัลดีไซเนอร์ Addy Chongsawat โทร. 08-1960-5040
  • ขอบคุณบ่าว – สาว คุณศิรินันท์ ศิริพานิช และ ผศ. ดร.ปรีชาพร สุวัฒโนดม

— เสน่ห์…สีสัน งานไทย —

คอนเซ็ปต์ : ใส่ความสนุกลงไปในงานไทยที่ดูเรียบร้อยประณีตให้มีสีสันและความน่าสนใจขึ้นด้วยการผสานความเป็นตะวันตกและการใช้สีจัดจ้านอย่างสีชมพู แดง และม่วง

ไอเดียโดนใจ : โต๊ะไม้สักมีสีสวยคลาสสิกอยู่แล้ว จึงเลือกที่จะโชว์เสน่ห์ของเนื้อไม้แทนการปูผ้าทับ จัดโต๊ะด้วยการ์แลนด์สีสดที่ใช้ดอกไม้ไทยและฝรั่งผสมผสานกันวางยาวไปตามแนวโต๊ะ ตรงกลางเป็นเซ็นเตอร์พีซ เชิงเทียนทองเหลือง วางเทียนสีขาวซ้ายขวาเป็นระยะอย่างลงตัว โดยเทียนแต่ละเล่มวางอยู่บนวัสดุที่แตกต่างกัน อาทิ กระทงใบตองหุ้มดอกมิกกี้เมาส์สีแดงสด โหลแก้วที่อยู่ในกระทงใบตองหุ้มจมูกกล้วยไม้สีชมพู ม่วง และขาวสลับสีเป็นลวดลาย และเชิงเทียนเงินที่ร้อยรัดด้วยมาลัยดอกไม้ไทยนานาพรรณในโทนสีม่วงและขาว ก่อนจะเก็บรายละเอียดด้วยการตกแต่งสายดอกพุดห้อยระย้าอย่างสวยงามจากบนเซ็นเตอร์พีซมาทิ้งชายประดับ ดอกข่าสีขาวบริสุทธิ์ที่ปลายโต๊ะทั้งสองด้าน รับกับสายดอกพุดที่ห้อยเป็นท้องช้างทิ้งชายอยู่บนพนักเก้าอี้…นอกจากโชว์ความวิจิตรสุดพลังแล้วยังเป็นการร้อยเรียงความเป็นสากลเข้ามาสู่ความเป็นไทยได้อย่างลงตัวและมีเอกภาพ

Credit

  • ออกแบบและตกแต่งโดย Create Wedding Planner โทร. 09-2456-4563, 09-3369-6399
  • ขอบคุณ สถานที่ ร้าน Siam Wisdoms สขุมุวิท 31 แยก 4 โดยเชฟชุมพล แจ้งไพร โทร. 09-5964-9751 – 2

 

— บงกชล้อมรัก —

คอนเซ็ปต์ : คู่บ่าว – สาวต้องการใช้ดอกบัวเป็นวัสดุหลักในการตกแต่ง ธีมสีของงานเป็นสีชมพู – ขาว – เขียว

ไอเดียโดนใจ : จัดโต๊ะวีไอพี ซึ่งเป็นโต๊ะทรงกลม ให้มีกลิ่นอายความเป็นไทยด้วยดอกบัว ทว่าเลี่ยงการใช้ดอกบัวจัดแจกันหรือจัดเป็นเซ็นเตอร์พีซแบบเดิมๆ โดยใช้ดอกพุดถักลายบนสแตนด์เล็กๆ 3 อันหันเข้าหากันแทนเซ็นเตอร์พีซ ตรงกลางวางเทียนสีขาวไล่ระดับเพื่อความโรแมนติก จากนั้นโรยกลีบบัวสีชมพูเป็นวงกลมแล้วล้อมด้วยดอกไม้ที่มีความหมายดีอย่างดอกบานไม่รู้โรย ดอกรักและขั้วดอกรักเป็นชั้นๆ ชั้นสุดท้ายมีการเว้นช่องไฟเล็กน้อยเพื่อเพิ่มมิติ ระหว่างวงล้อมของดอกไม้วางแก้วไวน์คว่ำครอบดอกบัวพับกลีบแล้ววางกลีบบัวพนม (ดอกไม้ประดิษฐ์จากกลีบดอกไม้สด) ไว้ด้านบนเป็นระยะ เป็นอีกไอเดียการใช้ดอกบัวจัดโต๊ะอาหารที่เจ้าสาวสามารถนำไปประยุกต์ใช้ได้ไม่ยาก

Credit

  • ออกแบบและตกแต่งโดย Jirayu The Wedding Planner โทร. 08-6998-9339
  • ขอบคุณบ่าว – สาว คุณฤชุอร บุญเรือง และคุณเอกลักษณ์ ชัยปภาฐกิตติ์
  • ภาพโดย mug wedding

แถมให้อีกนิดกับ >> จัดงานแต่งไทยด้วยตัวเองอย่างไรให้ราบรื่น รับมือไม่ยากอย่างที่คิด

มาดูวิธี แก้กรรมความรัก ให้ชีวิตคู่ราบรื่นพร้อมวิธีทำบุญเสริมให้รักมั่นคง

เคยสงสัยไหมว่า ทำไมปรับปรุงตัวให้ทุกอย่างดีขึ้นแล้ว แต่ความรักก็ยังพังพินาศเหมือนเดิม ไม่ต้องเครียดไปเพราะหมดวิธีแก้ไขปัญหา เพราะแพรว wedding มีวิธี แก้กรรมความรัก มาฝาก แต่งานนี้เป็นความเชื่อส่วนบุคคลนะคะ จะทำตามหรือไม่ทำก็ได้ไม่ว่ากัน แต่ถ้าทำแล้วสบายใจ ก็ทำโลดดดดด

สำหรับคนที่อยากจะเจอรักแท้ แต่พอคบกันไปได้สักพักก็ต้องเลิกลากันไป หรือสำหรับคนที่มีคู่รักอยู่แล้ว แต่ความรักดูไม่มีความมั่นคงเอาเสียเลย เราลองมาดูวิธี แก้กรรมความรัก กันดีกว่า ลองทำดู เผื่ออะไรๆ อาจจะดีขึ้นก็ได้ ใครจะไปรู้

1. เลิกเป็นคนเจ้าชู้

ถ้าแฟนเรานอกใจเราบ่อยๆ ไม่สนใจ ปล่อยปะละเลยเรา ลองย้อนกลับมามองดูตัวเองก่อนว่าเราเลิกเจ้าชู้หรือยัง ถ้าเราอยากให้คนรอบข้างปฎิบัติตัวแบบไหนกับเรา เราก็ควรทำตัวแบบนั้นกับเขาก่อน ถูกต้องไหมจ๊ะ เลิกเจ้าชู้ มาเป็นคนรักเดียวใจเดียว มันเท่กว่ากันเยอะนะ

2. พาคนรักไปทำบุญร่วมกัน

การที่คนสองคนมาเจอกัน มีทั้งทำบุญร่วมกันมาและสร้างกรรมร่วมกันมา ที่ผ่านมาถ้าทุกข์มากกว่าสุข นั่นแปลว่าเราทำกรรมร่วมกันมา แต่ถ้าเรามั่นใจว่าคนนี้คือคนที่ใช่ อยากจะเดินไปด้วยกันต่อ ก็ควรจับมือไปทำบุญเพื่อเป็นการต่อบุญกันนั่นเองค่ะ จะนำของไปถวายวัด หรือเติมน้ำมันตะเกียงก็ได้นะจ๊ะแล้วแต่ความสะดวกเลย

 แก้กรรมความรัก

3. ทำบุญกับงานแต่ง

อยากจะได้สิ่งใดในชีวิต ก็ต้องทำบุญกับสิ่งนั้นถูกต้องไหมจ๊ะ เพราะฉะนั้นถ้าอยากแต่งงานก็ต้องทำบุญกับงานแต่งงาน ไม่ว่าจะเป็น การช่วยใส่ซองให้บ่าวสาว หรือถวายปัจจัยให้พระสงฆ์ในงานแต่งก็ได้ เพราะเป็นการแสดงว่าเรามีความยินดีกับชีวิตคู่ และการเริ่มตนชีวิตคู่ของผู้อื่น สิ่งดีๆ ก็จะกลับคืนมาหาเราเช่นกัน

4. ถวายของให้วัด โดยเลือกสิ่งที่เป็นคู่

ไม่ว่าจะเป็นเทียนคู่ แจกันคู่ อะไรก็ได้ที่เป็นคู่ เพราะฉะนั้นจึงต้องเลือกสิ่งที่ไม่ควรจะแยกออกจากกัน เพราะเป็นการแก้เคล็ดให้เราอยู่กับคนรักเป็นคู่เหมือนกับสิ่งของเหล่านั้นนั่นเองค่ะ

 แก้กรรมความรัก

5. อุทิศส่วนบุญ ส่วนกุศลให้กับเจ้ากรรมนายเวร 

ถ้าเชื่อในเรื่องการเวียนว่ายตายเกิด เราควรทำบุญอุทิศส่วนบุญส่วนกุศลให้กับเจ้ากรรมนายเวร รวมถึงคู่ครองของเรา ในชาติพบที่ผ่านมา เพราะที่ผ่านมาคนเราเวียนว่ายตายเกิดมาไม่รู้กี่ชาติต่อกี่ชาติก็ย่อมต้องมีคู่ครองที่ผ่านมาหลายคน เพราะฉะนั้นลองทำบุญ กรวดน้ำ อุทิศส่วนบุญส่วนกุศลให้แผ่ไปให้ถึงเขานะคะ

6. ทำบุญใส่บาตรพระให้สม่ำเสมอ

ทำคนเดียวก็ได้ หรือจะชวนคนรักมาทำด้วยก็ได้ เพราะการทำบุญกับพระสงฆ์ ถวายอาหารเป็นการทำบุญทำทาน จะช่วยให้เรื่องร้ายๆ หรือสิ่งต่างๆ ที่ติดขัดในชีวิตดีขึ้นและผ่านพ้นไปได้ค่ะ

 แก้กรรมความรัก

7. คิดดี ทำดี พูดดี

ข้อสุดท้ายทำได้ด้วยตนเอง ไม่ต้องไปวัด ไม่ต้องไปไหน ให้เริ่มเปลี่ยนจากตัวเราก่อน ลองคิดดี ทำดี พูดดี ดูนะจ๊ะ แล้วอะไรๆ จะดีขึ้นแน่นอน เมื่อเราดีทั้งกายและใจ เราจะพบคนดีๆ หรือถ้าคนรักปฎิบัติตัวไม่ดีกับเรา เมื่อเราเปลี่ยนแปลงตัวเองได้ เขาจะสัมผัสได้และเปลี่ยนไปในทางที่ดีขึ้นแน่นอน (แต่ถ้าไม่ดี ก็คิดเสียว่า ถ้าเราทำตัวให้ดีเดี๋ยวเราก็จะเจอคนดีๆ เองเนอะ)

เป็นอย่างไรจ๊ะทำได้ไม่ยากเลยใช่มั้ย แต่ไม่ว่าจะยังไงเราก็อยากแนะนำให้เริ่มเปลี่ยนแปลงตัวเองก่อนนะ ถ้าเราเป็นคนดี โลกก็จะเหวี่ยงคนดีเข้ามาหาเราเองค่ะ หมั่นทำบุญสม่ำเสมอ อะไรๆ จะดีขึ้นแน่นอน … แต่ถ้าคิดว่า แก้กรรมความรัก ไม่ใช่ทาง ลองมาดู สถานที่ขอพรเรื่องความรักกันดู >> ขอได้ไม่นก! แชร์พิกัดขอพรเรื่องความรักวัดดังทั่วเอเชีย

ภาพจาก : gabrielruhl.com , Horoworld.com , molly-bloom.lnwshop.com , linetoday.com

หนุ่มๆ ต้องจำไว้ให้ขึ้นใจ เมื่อถึงวันขอแต่งงาน 4 อย่างนี้ ต้องมี!

เรามาเอาใจหนุ่มๆ กันบ้างนะคะ สำหรับหนุ่มที่พร้อมจะสละโสด เตรียมตัวขอสาวแต่งงาน แต่ทำตัวไม่ถูกไม่รู้จะเริ่มจากตรงไหนดี หรือบางคนอาจคิดแผนไว้ได้เสร็จสรรพเรียบร้อยแล้ว แต่พอถึงคราวจะทำจริงก็กลับไม่รู้ว่าจะต้องทำอะไรบ้าง วันนี้แหละค่ะคุณจะได้รีเช็กไปพร้อมๆ กันกับ 4 สิ่งต่อไปนี้ ที่ต้องขอบอกเลยว่าสำคัญที่สุดในการ ขอแต่งงาน คุณได้จัดเตรียมพร้อมไว้แล้วหรือยัง? มาเช็กไปพร้อมๆ กันเล้ยยย

กำลังจะ ขอแต่งงาน ต้องเตรียมตัวอะไรบ้าง?

ขอแต่งงาน

อันดับแรกที่อยากบอกหนุ่มๆ ก่อนเลยคือ การขอแต่งงานไม่จำเป็นต้องเล่นใหญ่นะจ๊ะ ขอแค่คุณมั่นใจจริงๆ ว่าผู้หญิงคนนี้แหละที่เราจะเลือกมาเป็นคู่ชีวิตด้วย คุณพร้อมเมื่อไหร่ก็รีบหาจังหวะดีๆ ขอเธอแต่งงานได้เลยค่ะ อาจจะเลือกทำเซอร์ไพรส์นิดหน่อยพอหอมปากหอมคอ หรือถ้างบหนาจะจัดเต็มแค่ไหนก็ได้ทั้งนั้น ของแบบนี้ขึ้นอยู่ที่อีกฝ่ายด้วยว่าเขาพร้อมที่จะเริ่มต้นชีวิตคู่ไปกับคุณด้วยหรือไม่ การจัดเซอร์ไพรซ์ขอแต่งงานเป็นเพียงปัจจัยภายนอกเท่านั้นเองค่ะ

สถานที่ไม่จำเป็นต้องหรู แค่มีบรรยากาศดีก็พอแล้ว

การเลือกสถานที่ไม่จำเป็นต้องดูหรูหราไฮโซ เน้นเก็บเงินจัดงานแต่งงานดีกว่าค่ะ เพราะคุณต้องใช้จ่ายอีกเยอะ ไหนจะค่าสินสอด ค่าจัดงานแต่งงาน ค่าไปฮันนีมูนอีก งั้นในส่วนของสถานที่ขอแต่งงานให้มองเป็นสถานที่ที่มีบรรยากาศดี ไม่จำเป็นต้องแพงมาก ถึงแม้คุณจะตั้งใจทำเซอร์ไพรซ์สุดพิเศษ ชวนแก๊งเพื่อนของเขามาร่วมเซอร์ไพรซ์ครั้งนี้ด้วย และพร๊อพต่างๆ ที่จัดเต็มมาเลย คุณก็แค่อาจเลือกใช้แค่บ้านเป็นสถานที่ขอแต่งงานหรือร้านอาหารก็ได้ แต่ก็ไม่ต้องถึงกับปิดร้านก็ได้นะคะ ให้แขกคนอื่นได้ร่วมเป็นสักขีพยานรักด้วยก็ดีไปอีกแบบ หากคุณคิดไม่ออกว่าจะเลือกสถานที่แต่งงานที่ไหนดี อยากเน้นความโรแมนติก ไม่ได้ต้องการทำให้ดูเป็นการขอแต่งงานที่ใหญ่โตมีแผนการอะไรมากมาย คุณก็อาจจะเลือกสถานที่ที่คุณทั้งสองมีความทรงจำดีๆ ร่วมกัน อาจเป็นสถานที่ที่พบกันครั้งแรกหรือสถานที่ที่ขอเป็นแฟนกัน ก็ชวนให้ระลึกความหลังไม่น้อยเลยน้า

Photo by Andrea Piacquadio from Pexels

เสื้อผ้า หน้าผม ต้องเป๊ะกันหน่อย

แม้จะเป็นวันขอแต่งงาน ไม่ได้เป็นวันแต่งงานจริงๆ ก็ไม่ควรละเลยการดูแลตัวเองค่ะ เมื่อคุณล็อควันไว้แล้ว เลือกแล้วว่าวันนี้ที่นี่เดือนนี้จะต้องขอเธอแต่งงาน ช่วงใกล้วันขอแต่งงานก็ดูแลสุขภาพร่างกายกันสักนิดนึงนะคะ พยายามอย่าให้ตัวเองเป็นหวัด ถึงตอนพูดขอแต่งงานแล้วเกิดเสียงหายไปซะดื้อๆ หรือไอค่อกแค่กๆ แผนที่วางไว้ว่าจะทำซึ้งอาจล่มเอาได้ เตรียมร่างกายจิตใจให้พร้อม อย่าไปเครียดกังวลมาก จากนั้นก็ไปเดินช้อปเลือกเสื้อผ้าที่จะทำให้คุณดูดี และในวันนั้นหน้าผมคุณก็ต้องเป๊ะด้วยเช่นกันนะคะ ไม่ต้องถึงขั้นแต่งหน้าโบะแป้ง แค่โกนหนวดโกนเครา จัดทรงผมให้ดูเรียบร้อยก็พอ ก็แหม ในวันนั้นยังไงๆ ก็ต้องเก็บช็อตประทับใจเอาไว้ด้วยจริงไหม ก็ต้องดูดีกันหน่อย ทำเรื่องเล็กๆ น้อยๆ ในวันพิเศษ เราว่าก็ช่วยสร้างความทรงจำที่แสนประทับใจให้คุณทั้งคู่ไม่มีวันลืมได้เหมือนกันน้า

“แหวน” สัญลักษณ์ของการแต่งงาน

แหมมม จะขอสาวแต่งงานทั้งที ของสิ่งนี้ห้ามลืมเด็ดขาด! เมื่อคุณคุกเข่ากำลังจะขอเธอแต่งงานแล้ว แต่ดั๊นนนลืมหยิบแหวนมาด้วย แป้กแน่นอนนะคะแบบนี้ เพราะแหวนถือเป็นสัญลักษณ์ของการแต่งงาน เป็นของใช้แทนใจสิ่งแรกที่ผู้หญิงจะได้เห็นถึงความพยายามของคุณที่อยากแต่งงานกับเธอจริงๆ ไม่ใช่ว่าเธอจะเห็นแก่สิ่งของนะคะ โปรดอย่าเข้าใจผิด มองในมุมลึกๆ มันแสดงถึงความพยายามที่คุณต้องเก็บเงินหาแหวนเพื่อที่จะขอเธอแต่งงาน และความเอาใจใส่ที่คุณผู้ชายต้องแอบไปเลือกแหวนที่ดูแล้วเหมาะกับเธอ มั่นใจว่าเธอต้องสวมใส่มันพอดีแน่ๆ เป็นไงคะ แค่นี้ก็ดูโรแมนติกแล้วอ่ะ ><

Photo by Austin Pacheco on Unsplash

คำพูดจากใจต้องมี และท่านี้ต้องมา

ท่านี้ท่าไหนน่ะหรอ? ก็ท่าคุกเข่าขอแต่งงานไง รับรองว่าถ้าคุณผู้ชายยอมคุกเข่าล่ะก็ สาวที่ไหนก็ต้องยอมใจอ่อนแหงๆ จะบอกว่าเป็นอะไรที่หาดูได้ยากเลยนะคะ ฮ่าๆ น้อยครั้งนักที่ผู้ชายจะยอมคุกเข่าให้กับใครสักคนหนึ่ง เนื่องจากสัญชาตญาณความเป็นผู้ชายจะค่อนข้างมีความเป็นผู้นำสูง ไม่แสดงความอ่อนแอที่จะยอมอ่อนข้อหรือยอมก้มหัวให้ใครอะไรแบบนี้ การที่ผู้ชายคนนึงยอมคุกเข่าต่อหน้าคนที่เขารักและอาจจะต่อหน้าใครอีกหลายๆ คนด้วย ถือเป็นเรื่องที่น่าประทับใจสำหรับคุณผู้หญิงเลยแหละค่ะ หลังจากที่คุณคุกเข่าแล้ว ต่อมาก็จะเป็นคำพูดที่ออกมาจากใจ ย้ำนะคะ ขอเป็นคำพูดที่แสดงออกมาจากความรู้สึกจริงๆ แบบเป็นสคริปต์ไม่เอาน้า แค่บอกความรู้สึกตลอดระเวลาที่ได้คบกันและอยากให้เธอมาเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตมากแค่ไหน แล้วปิดท้ายด้วยประโยคที่ว่า “แต่งงานกันนะ” เตรียมรอฟังคำตอบจากปากของเธอได้เลย รับรองว่างานนี้แต่งชัวร์!!

ทั้งหมดนี้ก็เป็นสิ่งสำคัญหลักๆ ในวันที่คุณจะขอแต่งงานนะคะ ไม่ว่าจะขอแบบเรียบง่ายหรือทำเซอร์ไพรซ์ใหญ่โตก็ห้ามลืม 4 เรื่องนี้เด็ดขาด! ส่วนคุณผู้ชายคนไหนที่สนใจทำเซอร์ไพรซ์ขอแฟนสาวแต่งงาน คงจะตื่นเต้นไม่น้อยเลย เราก็ขอเอาใจช่วยผ่านบทความ >> เซอร์ไพรซ์!!…ขอแต่งงานยังไงให้ว่าที่เจ้าสาว Say Yes!! แล้วกันนะคะ สู้ๆ

ภาพจาก : pinterest.com

6 ขั้นตอนในการหาช่างแต่งหน้าทำผม แปลงโฉมเจ้าสาวให้สวยสุดในงานแต่ง

เลือก ช่างแต่งหน้าทำผม เจ้าสาวยังไงให้สวยปัง!

ถ้าคุณได้ชุดเจ้าสาวเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ตอนนี้ก็ได้แต่จินตนาการภาพส่วนที่เหลือของใบหน้าและทรงผมว่าต้องการลุคที่ออกแบบเป็นแบบไหน คุณอาจมองว่ามันเป็นเรื่องง่ายๆ แค่จ้างช่างแต่งหน้าช่างทำผมคนไหนมาก็จะสามารถเสกสรรค์แปลงโฉมคุณให้สวยดุจดั่งเจ้าหญิงได้ทั้งนั้น แต่หารู้ไม่ จริงๆ แล้ว ช่างแต่งหน้าทำผม นับเป็นส่วนสำคัญที่คุณต้องค่อยๆ เลือก ตัดสินใจอย่างใจเย็น เพราะช่างทุกคนไม่ใช่ว่าจะสามารถเปลี่ยนโฉมคุณออกมาได้อย่างถูกใจเสมอไปนะคะ

สำหรับเจ้าสาวเรื่องทรงผมและการแต่งหน้าเป็นสองสิ่งที่สำคัญที่สุดในการตัดสินใจ เจ้าสาวบางคนอาจพอแต่งหน้าทำผมด้วยตนเองได้ เลยคิดว่าจะทำออกมาได้ดี แต่การแต่งหน้าทำผมวันแต่งงานไม่เหมือนกับการแต่งไปทำงานหรือไปเที่ยวนะคะ เป็นเรื่องยากที่คุณจะทำออกมาได้อย่างช่างมืออาชีพ ไหนจะเรื่องเวลา เรื่องความติดทนของเครื่องสำอาง เรื่องการเก็บผมได้อย่างเรียบร้อยหากจะเกล้าผม ในขณะที่คนอื่นๆ เช่นเพื่อนของคุณ จ้างช่างมืออาชีพสำหรับงานนี้  ถ้าคุณไม่เคยจ้าง ช่างแต่งหน้าทำผม และไม่แน่ใจว่าจะไปหาผู้เชี่ยวชาญด้านการเสริมสวยอย่างไรดี จงทำตามขั้นตอนต่อไปนี้ เพื่อช่วยให้กระบวนการนี้ง่ายขึ้นและมั่นใจได้ว่าคนที่คุณเลือกจะทำให้คุณสวยที่สุดในงานนี้ค่ะ

ช่างแต่งหน้าทำผม
ภาพจาก : shutterstock.com

1. หาข้อมูล

จากการสอบถามญาติพี่น้อง หรือเพื่อนๆ ของคุณที่เคยใช้บริการช่างแต่งหน้าทำผม ให้ช่วยแนะนำช่างที่พวกเขาถูกใจ ขอข้อมูลการติดต่อ หากมีหน้าร้านคุณอาจลองไปสืบดูสักนิดว่ามีผู้เข้ามาใช้บริการมากแค่ไหน และขอดูพอร์ตผลงานที่ผ่านมา แต่ปัญหาคือคุณต้องแน่ใจว่ารูปที่คุณได้เห็นจะเป็นรูปที่ถูกแต่งผ่านโปรแกรมหรือแอปพลิเคชั่นน้อยที่สุด นอกจากนี้ ยังสามารถหาช่างแต่งหน้าและทำผมได้จากช่องทางออนไลน์หลากหลายช่องทาง ซึ่งควรเลือกช่างที่สามารถมาบริการคุณถึงที่บ้านหรือสถานที่จัดงาน เพื่อความสะดวกสบายและประหยัดเวลาได้ยิ่งขึ้น

2. พิจารณาธีมงานแต่งงานของคุณ

เตรียมภาพทุกสิ่งทุกอย่างไว้ในหัว ระลึกถึงธีมงานแต่งงานของคุณว่าจะเป็นรูปแบบไหน เช่น หากคุณเลือกธีมงานแต่งงานแบบวินเทจที่ดูคลาสสิค บรรยากาศภายในงานอบอุ่น แล้วแบบนี้บ่าวสาวจะมาในลุคที่ดูโฉบเฉี่ยวทันสมัยก็คงไม่เหมาะนะคะว่ามั้ย นอกจากการแต่งตัวที่ต้องเลือกสไตล์ชุดที่เข้ากับงานแล้ว การแต่งหน้าทำผมก็ต้องแต่งออกมาให้แมทช์กับชุดและธีมงานด้วยเช่นกันค่ะ ดังนั้น การเลือกช่างแต่งหน้าทำผมที่เคยมีประสบการณ์แต่งหน้าทำผมให้กับเจ้าสาวที่มีงานแต่งงานธีมคล้ายกับงานของคุณก็จะยิ่งดีมากๆ เลย

3. ดูความคิดเห็นจากทางออนไลน์

เดี๋ยวนี้อยู่ในยุคออนไลน์เห็นทีอะไรๆ ก็จะดูง่ายไปซะหมด อย่างเช่นเรื่องการรีวิวและการให้คะแนนจากลูกค้าที่เคยเข้ามาใช้บริการช่างแต่งหน้าทำผม จะเป็นตัวช่วยในการประกอบการตัดสินใจให้กับคุณได้มากยิ่งขึ้น แต่ก็ไม่ชัวร์ทั้งหมดนะคะ เพราะการจ้างรีวิวก็มีให้เห็นกันถมเถไปเนอะ ทั้งนี้ก็ขึ้นอยู่กับวิจารณญาณและการดูในส่วนอื่นๆ ประกอบด้วยค่ะ

ช่างแต่งหน้าทำผม
ภาพจาก : cocobellabride.com

4. เลือกใช้ช่างแต่งหน้าและช่างทำผมเป็นคนละคนกัน

สไตล์ลิสต์บางคนมีความเชี่ยวชาญทั้งการทำผมและแต่งหน้า แต่บางคนก็อาจทำเพียงอย่างใดอย่างหนึ่งได้ดีมากกว่า ควรสอบถามให้ดีเสียก่อนว่าช่างที่คุณเลือกมั่นใจแค่ไหนว่าจะสามารถทำผมและแต่งหน้าให้กับคุณได้ออกมาดีทั้งสองอย่าง ที่สำคัญจะต้องทำได้ทันเวลาด้วยน้า หากเป็นไปได้เราจึงอยากให้คุณหาช่างแต่งหน้าและช่างทำผมที่มีความถนัดตรงตามสายงานมากกว่า ถ้าคุณไม่ติดปัญหาเรื่องเงิน มีงบเหลือพอ ก็ควรที่จะจ้างแยกกันเลยก็จะดีที่สุดค่า

5. สอบถามราคา

ค่าใช้จ่ายเป็นปัจจัยที่สำคัญที่สุดสำหรับเจ้าสาวหลายๆ คน เมื่อพูดถึงบริการทำผมและแต่งหน้า หากคุณมีวงเงินการใช้จ่ายที่จำกัด คุณต้องพูดคุยเกี่ยวกับงบประมาณของคุณกับช่างเสริมสวยแต่ละคนที่คุณกำลังพิจารณาอยู่ เพราะค่าวิชาชีพแต่ละคนจะแตกต่างกันไปขึ้นอยู่กับปัจจัยต่างๆ เช่น ค่าเดินทาง ค่าผู้ช่วย และค่าจำนวนอุปกรณ์ที่จะมาตกแต่งใบหน้าและทรงผมของคุณเพิ่มเติม ตรวจสอบให้แน่ใจว่าคุณพอใจกับราคาที่พวกเขากำหนดก่อนที่จะจ่ายค่ามัดจำหรือเซ็นสัญญาใดๆ

6. ระบุรายละเอียดของรูปลักษณ์ของคุณ

บอกเลยค่ะว่าจุดเด่นจุดด้อยของใบหน้าคุณอยู่ตรงไหน คุณต้องการให้ช่างแต่งหน้าปกปิดในส่วนใด อยากให้ส่วนไหนในใบหน้าดูโดดเด่นขึ้น และขอคำแนะนำทรงผมที่จะเหมาะกับใบหน้าของคุณ โปรดเชื่อช่างผู้ที่มีประสบการณ์มากกว่าตัวคุณนะคะ เพราะเรามักจะพบเจอเหตุการณ์พวกนี้บ่อยค่ะ แบบว่าสมมติเจ้าสาวเป็นสาวอวบ มีใบหน้าใหญ่ ช่างทำผมเห็นว่าการปล่อยผมจะทำให้คุณดูดีมากกว่าเมื่อถ่ายรูป แต่ตัวคุณก็ยังจะดื้อรั้นอยากเก็บผมเกล้าขึ้นไปให้หมด แบบนี้ถ้ารูปที่ออกมาจะมาบ่นว่าหน้าบานทีหลังไม่ได้น้า ให้คุณเตือนใจตัวเองว่างานของพวกเขาคือทำให้คุณดูดีและดูสวยขึ้น เพราะฉะนั้นจงเชื่อใจช่างผมช่างหน้า และแชร์ความรู้สึกเรื่องรูปลักษณ์ของคุณไปตรงๆ นะคะ เพื่อที่ช่างจะได้ช่วยให้คุณดูสวยที่สุดในวันงาน

รู้วิธีเลือกช่างแต่งหน้าทำผมกันไปแล้ว ทีนี้คุณว่าที่เจ้าสาวเชิญมาส่องโปรไฟล์ช่างแต่งหน้าทำผมเจ้าสาวในเมืองไทยกันต่อได้เลยจ้า >> อัพเดทราคา 11 ช่างแต่งหน้าทำผมเจ้าสาว ที่น่าจับตามองในปีนี้!

Cr : insideweddings.com

สารพัดปัญหาพ่อตากับลูกเขยพร้อมวิธีจัดการที่ภรรยาต้องเตรียมตัว

เมื่อคุณแฟนสุดที่รักไม่ค่อยจะลงรอยกับคุณพ่อในดวงใจ คนกลางอย่างสาวๆ ก็ต้องอึดอัดสิคะ แต่วิธีสงบศึกก็มีนะ ลองทำกันดู แล้วรับรองว่า ปัญหาพ่อตากับลูกเขย จะหมดไป ทำให้ทั้งสองฝ่ายหันมารักใคร่กลมเกลียวกันได้แน่นอน

1. ทำความรู้จักแบบเนียนๆ

การที่พ่อเราไฝว้กับแฟนหนุ่มเรานั้น อาจเป็นเพราะทั้งสองฝ่ายยังไม่รู้จักกันดี หรือไม่รู้จักตัวตนที่แท้จริงของกันและกัน สาวๆ จึงต้องทำตัวเป็นทูตสัมพันธ์ไมตรีให้กับทั้งสองแต่ทริกคือทำแบบเนียนๆ ไม่โจ่งครึ้มจนเกินไป ค่อยๆ ป้อนข้อมูลในด้านดีของแต่ละฝ่ายให้อีกฝ่ายฟังจะได้ ค่อยๆ ซึมซับไปวันละนิดละหน่อย ก็แหม…ขนาดน้ำหยดลงหินทุกวัน หินมันยังกร่อน แล้วใจคนละคะ ไม่นานเกินรอ ชัวร์ !

2. ทำตัวเป็นคนกลางที่ดี

เข้าใจนะคะ ว่าคนกลางอย่างเราไม่รู้จะทำอย่างไร ให้คนที่เรารักทั้งสองคนสมานฉันท์กันได้ แต่อย่าพึ่งอารมณ์เสียไปเลยนะ ห้ามไปหงุดหงิดใส่คุณพ่อว่าทำไมถึงไม่เข้าใจแฟนของคุณ เพราะคุณพ่ออาจมีเหตุผลบางอย่าง หรือเป็นห่วงเรามากไปเลยไม่ไว้ใจว่าแฟนเราจะดูแลเราได้รึป่าว และก็ห้ามไปหงุดหงิดใส่คุณแฟน ว่าทำไมเธอถึงไม่ยอมๆ พ่อฉันบ้างละ เราต้องใจเย็นเข้าไว้นะคะ พยายามพูดเรื่องดีๆ ของอีกฝ่ายให้รับรู้เข้าไว้จะดีกว่า

3. หาโอกาสให้ได้มาเจอ และทำกิจกรรมร่วมกัน

ถ้าอะไรๆ ยังไม่ดีขึ้น แนะนำว่าลองหากิจกรรมทำร่วมกันดูสิคะเช่น แรกๆ อาจไปรับไปส่งที่บ้านเพื่อจะได้เจอหน้ากันวันละไม่กี่นาทีก็ยังดี จากนั้นจึงค่อยๆ เลื่อนขั้นไปทานอาหารร่วมกัน ออกทริปกระชับความสัมพันธ์โดยการไปเที่ยวต่างจังหวัดกันทั้งครอบครัว เปิดโอกาสให้คุณพ่อกับคุณแฟนได้อยู่ด้วยกันสองต่อสอง ลองทำกิจกรรมร่วมกัน เพื่อที่จะได้มีเวลาพูดคุยกันมากขึ้น ไม่แน่กลับจากทริปนี้อาจกอดคอกันมาเลยก็ได้นะ

4. ใช้ตัวช่วย

คนเรานะ เวลามีคนใกล้ตัวบอกอะไรมักจะไม่ค่อยเชื่อจริงไหมคะ ? แต่ถ้ามีบุคคลที่ 3 บอกเมื่อไร จะเริ่มเอะใจ หรือลังเลขึ้นมาทันที ยิ่งถ้าคุณแม่ไม่ได้มีปัญหาอะไร ก็ลองให้คุณแม่ หรือเพื่อนของคุณที่สนิทกับคุณพ่อช่วยพูดดูสิค่ะ ส่วนคุณก็ไปพูดโน้มน้าวใจคุณแฟนเข้าไว้ ว่าให้เขาอดทน เพราะยังไงแล้วเป็นเด็กก็ต้องนอบน้อมเคารพผู้ใหญ่เป็นธรรมดา เชื่อว่าไม่นานต้องใจอ่อน รักใคร่กันแน่นอน

5. ดีจริงต้องย้ำสาร บกพร่องกล่อมให้ปรับปรุง

ถ้าแฟนหนุ่มของคุณดีจริง คุณก็ต้องมั่นใจและยืนยันกับคุณพ่ออย่างแน่วแน่ เพราะคุณพ่ออาจกำลังมองดูว่าผู้ชายคนนี้จะจริงใจกับลูกสาวเรารึเปล่า ? เพราะถ้าแฟนของคุณท้อกับปัญหาที่เจอ ก็แปลว่าในอนาคตถ้าเจอปัญหาที่หนักกว่านี้แล้วจะรับมือได้อย่างไร ทั้งนี้คุณก็ควรให้กำลังใจทั้งสองฝ่าย แต่ถ้าแฟนคุณมีข้อบกพร่องตรงไหนก็ต้องปรับปรุงนะคะ อย่าคิดที่จะให้คุณพ่อปรับปรุงเชียวละ เพราะยังไงแล้วไม้แก่ก็ต้องดัดยากกว่าไม้อ่อนอยู่แล้ว ยิ่งเด็กกว่าด้วยแล้วก็ต้องยอมผู้ใหญ่ถึงจะถูก

6. เปิดใจคุย

สุดท้ายแล้วถ้าคุณพ่อและคุณแฟนยังไม่ลงรอยกันจริงๆ ลองพูดกันตรงๆ หรือเปิดใจคุยกันไปเลย โดยการที่คุณอาจถามคุณพ่อว่าไม่ชอบอะไร ไม่พอใจอะไรในตัวคุณแฟน แล้วคุณแฟนละ เคารพพ่อตามากน้อยเพียงใด มีสัมมาคารวะหรือป่าว ทำตัวให้พ่อตาเชื่อถือได้ไหม ลองพาทั้งสองมาเปิดใจคุยกันต่อหน้าคุณ บ้างทีอาจไม่มีอะไรใหญ่โตเลย แค่อคติมันบังตาก็เท่านั้น

เป็นอย่างไรบ้างคะ กับวิธีสงบศึกเมื่อพ่อตาไฝว้กับลูกเขย คนกลางอย่างเราต้องอดทนเป็นพิเศษ และเข้าใจทั้งสองฝ่ายว่าเข้าต้องการอะไร ในที่สุดแล้วเวลาจะช่วยให้ทุกอย่างดีขึ้นเองนะจ๊ะ เป็นกำลังใจให้ทุกคนจ้า

อ่านเพิ่มเติม >> ไม่ง่ายแต่เอาอยู่! 5 วิธีการรับมือปัญหาแม่สามีกับลูกสะใภ้ <<

cr. photo : pinterest

เพิ่มเสน่ห์เจ้าสาวด้วยช่อดอกไม้ 5 เฉดสี ที่ไม่มีวันเอ้าท์!

เพิ่มเสน่ห์ของเจ้าสาวด้วย ช่อดอกไม้ ที่อยู่ในมือ

เจ้าเครื่องประดับทั้งหลายเป็นตัวช่วยเสริมให้เจ้าสาวสามารถแสดงถึงตัวตน บุคลิกภาพ และไลฟ์สไตล์อย่างชัดเจน แล้วจะยิ่งมีความโดดเด่นมากขึ้นเมื่อนำมามิกซ์แอนด์แมทช์เข้ากับ ช่อดอกไม้ ที่อยู่ในมือนั่นแหละค่ะ ถ้าช่อดอกไม้จะช่วยบ่งบอกความเป็นตัวตนของคุณขนาดนี้  ทำไมคุณไม่ลองเอาดอกไม้ที่คุณชื่นชอบมาสร้างแรงบันดาลใจประยุกต์ลงในงานแต่งงานของคุณในมีสีสันขึ้นล่ะจริงไหมคะ เราเชื่อว่ามันต้องน่าทึ่งมากแน่ๆ เลยทีเดียว งั้นแพรว wedding ขอทำหน้าที่เป็นสไตล์ลิสต์มาช่วยสร้างสรรค์ผลงานผ่านการแปลงโฉมเจ้าสาวให้ดูเฉิดฉายด้วยการจับคู่เครื่องประดับเข้ากับช่อดอกไม้เจ้าสาวแบบคุมโทนใน 5 สีที่ไม่มีวันเอ้าท์!

ช่อดอกไม้
Photo by : Lennart Weibull

ช่อดอกไม้

Classic Blush

เป็นโทนที่จะเน้นสีชมพูซะส่วนใหญ่ แต่ก็ยังมีโทนสีคลากสิคอื่นที่นำมาใช้แทนกันได้อยู่นะคะ ได้แก่ สีครีมขาว สีน้ำตาลอมเทา และสีทองชมพู เป็นสีที่บ่งบอกอารมณ์ของความรักที่ไร้กาลเวลาหรือเสมือนความรักที่เกิดขึ้นใหม่เสมอ ไม่มีวันจืดจางหายไป ที่สำคัญเจ้าสาวที่เลือกใช้เครื่องประดับบวกกับช่อดอกไม้โทนสีนี้ก็จะยิ่งช่วยให้ดูวัยรุ่น เพราะไม่ว่าจะผ่านไปกี่ปีๆ สีนี้ก็ยังคงดูทันสมัยนะคะว่ามั้ย โดยสามารถเลือกใช้ช่อดอกไม้ตระกูลกล้วยไม้สกุลฟาแลนอปซีสหรือที่บางคนเรียกว่าดอกผีเสื้อนั่นแหละค่า (ลักษณะคล้ายผีเสื้อ) หรือจะใช้ดอกกุหลาบก็ได้นะคะ ขอเป็นสีบลัชพิงค์ก็จะยิ่งสวยหวานมาก จากนั้นลองนำตาข่ายสีขาวมาผูกติดตกแต่งช่อดอกไม้ดูสิคะ ยิ่งน่ารักกิ๊บเก๋เลยล่ะ ตบท้ายด้วยรองเท้า สร้อยคอ และกระเป๋าประดับอัญมณีแวววาวเข้าไปด้วย

ช่อดอกไม้
Photo by : Lennart Weibull

ช่อดอกไม้

Purple Passion

มาในสีม่วงอ่อนที่ต้องไล่ระดับจากสีม่วงเข้มที่สุดลงมาจนถึงสีม่วงเฉดพาสเทล ทำให้รู้สึกผ่อนคลาย เป็นอิสระ ให้ใช้ดอกไลเซนทัส ที่เป็นไม้ดอกขนาดเล็กคล้ายดอกกุหลาบ แต่ออกดอกเป็นช่อ มีกลีบบางอ่อน ดูนุ่มนวล ผสมเข้ากับดอกเดลฟินเนียมที่มีสีเข้มขึ้นมาช่วยให้ช่อดอกไม้โดดเด่นในทันที จากนั้นลองผูกด้วยริบบิ้นขนาดใหญ่สีม่วงเผือก จับคู่กับกระเป๋ากำมะหยี่และสร้อมคอสีม่วงสไตล์โบฮีเมียนก็ดูมีเสน่ห์ไม่น้อยเลยทีเดียว

ช่อดอกไม้
Photo by : Lennart Weibull

ช่อดอกไม้

Spring Greens

ช่อดอกรักเร่ที่มิกซ์เข้ากับดอกอนิโมเนของญี่ปุ่น ซึ่งให้ความกลมกลืนกับใบสีเขียวและสีน้ำตาล กลายเป็นช่อดอกไม้สีเขียว แต่ก็มีการแต่งแต้มด้วยสีขาวบริสุทธิ์ของดอกทิวลิป มองกี่ทีก็ให้ความรู้สึกสดชื่น สบายตา แบบนี้ทุกคนในงานก็ยิ่งอยากมองมาที่เจ้าสาวแน่นอน อิอิ ดอกไม้ทั้งหมดนี้ถูกมัดด้วยริ้บบิ้นสีขาวมีลวดลายสีเขียวเล็กน้อยให้แลดูน่ารักยิ่งขึ้น จับเซทเข้ากับกระเป๋าและรองเท้าสีขาวล้วนแบบเรียบๆ ติดเครื่องประดับผม หรือหวีสับดอกไม้ก็ช่วยให้คุณดูมีชีวิตชีวามากยิ่งขึ้น

Photo by :Lennart Weibull

Golden Hour

หากคุณชื่นชอบสีที่แสดงถึงความหรูหรา อลังการ ลองใช้กุหลาบโทนสีเหลืองดูสิคะ โดยนำมาจัดช่อดอกไม้ด้วยดอกคาร่าลิลลี่ ดอกรานังคูลัส และดอกหงอนไก่ เพิ่มเติมด้วยใบบีชและดอกกล้วยไม้ที่มีสีน้ำตาล แซมด้วยดอกซูก้าเบบี้เล็กๆ สีขาวเพิ่มให้ช่อดอกไม้โดดเด่นขึ้นมาทันที รวมดอกไม้ทุกชนิดแล้วมัดด้วยเชือกสีทองแบบเงา ทางด้านเครื่องประดับก็อาจจะใช้รองเท้าทำจากผ้าซาตินปักเย็บลายผึ้งเข้ากับสีทองโทนเหลืองอย่างสวมงาม และเครื่องประดับอื่นๆ ที่เป็นสีทองเปล่งประกายระยิบระยับ

Photo by : Lennart Weibull

Lady in Red

ถ้างานแต่งงานของคุณต้องการโทนสีเจ็บๆ แซ่บลื้มม ก็ต้องเป็นสีแดงเข้มเท่านั้นจริงไหมคะ โดยนำดอกรักเร่ ดอกหน้าวัว ดอกแกลดิโอลัส ดอกหญ้า และเฟิร์น ไปฟอกสีแดงจากดอกกุหลาบหรืออาจเพิ่มความหวานด้วยสีชมพูเพียงเล็กน้อย สุดท้ายนำตาข่ายสีแดงมัดรวม ส่วนเครื่องประดับจะเป็นกระเป๋าหนังวัวสีแดงสดใบกลมมาคู่กับรองเท้าลูกฟูกเพิ่มขนเฟอร์มิงค์ฟูฟ่องสีแดง ช่วยเปลี่ยนลุคเป็นสาวเปรี้ยวได้ทันที

และนี่ก็เป็นเทคนิคการมิกซ์แอนด์แมทช์ช่อดอกไม้ให้เข้ากับเครื่องประดับแบบง่ายๆ และขอบอกเลยว่า 5 เฉดสีนี้ไม่มีเอ้าท์แน่นอนจ้า ดูไอเดียเกี่ยวกับเจ้าสาวเพิ่มเติม คลิกเลย >> https://praewwedding.com/dresses-and-suits/bride

Cr : marthastewartweddings.com, pinterest.com

สอน ว่าที่เจ้าสาว เลือก ผลิตภัณฑ์ล้างหน้า ให้เข้ากับสภาพผิวของคุณ

ผิวสะอาดมีชัยไปเกินครึ่ง! ว่าที่เจ้าสาวทั้งหลาย มาเลือก ผลิตภัณฑ์ล้างหน้า ที่เหมาะกับสภาพผิวของคุณกันค่ะ

ล้างหน้า ดูเหมือนเรื่องง่ายที่ใครก็ทำเป็นใช่ไหมละ! แต่ผิดถนัดค่ะ! เรื่องการเลือก ผลิตภัณฑ์ล้างหน้า นี่แหละที่ทำเอาสาวๆหลายคนตกม้าตายมานักต่อนัก ไม่ว่าจะเป็นการทำความสะอาดผิวหน้าที่ไม่สะอาดเพียงพอจนเกิดสิวหรือผิวหมองคล้ำตามมา หรือในทางตรงกันข้าม ใช้ผลิตภัณฑ์ล้างหน้าที่ไม่เหมาะกับสภาพผิวตัวเองจนกลายเป็นทำร้ายผิวไปซะยังงั้น! ยิ่งว่าที่เจ้าสาวที่จะต้องเตรียมพร้อมดูแลผิวเพื่อความสวยในวันสำคัญ ต้องเซ็ทศูนย์ เริ่มต้นใหม่จากการเลือกผลิตภัณฑ์ล้างหน้าที่เหมาะกับสภาพผิวเราก่อนเป็นอย่างแรก มาดูกันเลยค่ะ

 

  • ผิวธรรมดา

สภาพผิว: ไม่มัน ไม่แห้ง ไม่ค่อยมีปัญหาผิวอะไรเท่าไร

ผลิตภัณฑ์ล้างหน้าที่เหมาะกับคุณ: ผิวธรรมดาคือผิวที่รูขุมขนผลิตน้ำมันออกมาไม่มากเกินหรือน้อยเกินไป ผลิตภัณฑ์ล้างหน้าที่เหมาะกับคุณควรเน้นการรักษาสมดุลผิวโดยไม่เข้าไปรบกวนการทำงานของรูขุมขนหรือขจัดสิ่งตกค้างบนผิวมากเกินไปจนกลายเป็นเอาน้ำมันเคลือบผิวตามธรรมชาติที่ดีออกไปจนหมด

ส่วนผสมที่ควรมองหา: Hyaluronic acid กรดไฮยาลูโรนิค เพิ่มความชุ่มชื่นให้ผิวหน้า และ Ceramides เซราไมด์ สร้างเกราะป้องกันผิวที่แข็งแรง

 

  • ผิวมัน

สภาพผิว: รูขุมขนกว้าง ระหว่างมีความมันบนใบหน้าไม่เว้นแม้แต่บริเวณข้างแก้ม

ผลิตภัณฑ์ล้างหน้าที่เหมาะกับคุณ: ปัญหาของผิวมันคือรูขุมขนกว้างทำให้สิ่งสกปรกเข้าไปได้ง่าย จึงควรมองหาผลิตภัณฑ์ล้างหน้าที่ช่วยทำความสะอาดรูขุมขนแต่ในขณะเดียวกันก็ไม่ดึงน้ำมันออกจากผิวจนกลายเป็นว่าผิวแห้งตึงเกินไปหลังล้าง

ส่วนผสมที่ควรมองหา: ลองมองหาผลิตภัณฑ์ล้างหน้าที่ช่วยดูดซับสิ่งสกปรกได้ดี

 

  • ผิวแห้ง

สภาพผิว: หลังล้างหน้าสักพัก ผิวจะรู้สึกแห้งตึงเร็วมาก และมักจะประสบปัญหาผิวลอก มีริ้วรอยง่ายกว่าคนอื่น

ผลิตภัณฑ์ล้างหน้าที่เหมาะกับคุณ: ผลิตภัณฑ์ล้างหน้าที่ช่วยทำความสะอาดผิวโดยไม่ดึงเอาน้ำมันตามธรรมชาติของผิวออกไป

ส่วนผสมที่ควรมองหา: เอสเซนเชียล ออยล์ หรือกลีเซอรีน ซึ่งเป็นส่วนผสมที่ช่วยกักเก็บความชุ่มชื่นและกระตุ้นให้ผิวดึงความชุ่มชื้นในอากาศเข้ามาสู่ตัวเอง

 

  • ผิวผสม

สภาพผิว: ผิวมีความมันบริเวณเหนือคิ้ว จมูก คาง และรอบๆจมูก แต่บริเวณแก้มอาจจะแห้งหรือเป็นผิวธรรมดา

ผลิตภัณฑ์ล้างหน้าที่เหมาะกับคุณ: ผลิตภัณฑ์ล้างหน้าสำหรับผิวผสมโดยเฉพาะที่มีส่วนผสมที่ช่วยทำความสะอาดรูขุมขนล้ำลึกแต่ในขณะเดียวกันก็รักษาความชุ่มชื่นตามธรรมชาติของผิวไว้

ส่วนผสมที่ควรมองหา: ส่วนผสมจากธรรมชาติที่ช่วยคงความชุ่มชื่นของผิวแต่ในขณะเดียวกันก็ทำความสะอาดผิวอย่าง Witch Hazel

 

  • ผิวแพ้ง่าย

สภาพผิว: มักจะมีปัญหาผื่นแพ้ สิวผดที่เกิดจากการแพ้ คัน ระคายเคืองง่าย

ผลิตภัณฑ์ล้างหน้าที่เหมาะกับคุณ: หลีกเลี่ยงผลิตภัณฑ์ล้างหน้าที่มีฟอง เพราะฟองเหล่านี้ทำให้ค่า pH หรือค่าความเป็นกรดด่างของผิวสูญเสียไป และยิ่งทำให้ผิวมีแนวโน้มระคายเคืองง่ายขึ้นกว่าเดิม

ส่วนผสมที่ควรมองหา: ส่วนผสมที่ช่วยรักษาค่า pH ของผิว รวมทั้งส่วนผสมตามธรรมชาติที่ช่วยเติมความชุ่มชื่นอย่าง อะโล เวรา

อย่าลืมนะคะว่า กุญแจสำคัญของผิวสวยแบบธรรมชาติสุดๆ ก็คือผิวที่สะอาดและแข็งแรง เพราะฉะนั้นเหล่า ว่าที่เจ้าสาว ที่กำลังเตรียมผิวสวยให้ทันวันวิวาห์ อย่าลืมใส่ใจกับการเลือกสกินแคร์ที่ใช่สำหรับตัวเรา รวมทั้งมีวินัยในการดูแลผิวสวยอย่างต่อเนื่องด้วยนะคะ ว่าแล้วก็คลิกอ่านเรื่องราวเกี่ยวกับความสวยความงามและสุขภาพเพิ่มเติมที่นี่ได้เลย คลิกเลย!

credit story: harpersbazaar.com , birchbox.com 

ไม่อยากให้เพื่อนแฟนเบือนหน้าหนีมาเช็ก 10 นิสัยได้ใจเพื่อนแฟนมาเป็นพวก

“ฉันไม่ถูกกับเพื่อนแฟน” ปัญหาหยุมหยิมที่อาจกลายเป็นปัญหาใหญ่ หากใครที่กำลังเผชิญกับปัญหานี้อยู่ แพรวเวดดิ้งอยากให้ลองสังเกตตัวเองดูว่าคุณมีนิสัยตรงข้ามกับ 10 ข้อนี้หรือเปล่า เหล่า เพื่อนแฟน ถึงพากันเบือนหน้าหนี 

1. อัธยาศัยดี
เมื่อต้องพบปะกับเพื่อนแฟน สิ่งแรกที่คุณควรทำคือยิ้มแย้มแจ่มใส เพราะแสดงถึงความเป็นมิตร อัธยาศัยดี และเป็นกันเอง ซึ่งทำให้พวกเขากล้าที่จะเข้ามาพูดคุยกับคุณมากขึ้นโดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับคนที่พูดไม่เก่ง รอยยิ้มสวยๆ ช่วยได้ เพราะถ้ามัวแต่ทำหน้าบูดบึ้งตึงดึงหน้าตลอดเวลา นอกจากจะทำให้เสียบรรยากาศแล้ว ยังทำให้ไม่มีใครกล้าเข้ามาสานสัมพันธ์กับคุณอีกด้วย

2. มีเหตุผล
เพื่อนแฟนชอบแฟนเพื่อนที่เป็นคนมีเหตุผล อย่าทำตัวเป็นมนุษย์แฟนประเภทที่เอาแต่ใจ ไม่ฟังเหตุผลใดๆ ของใครทั้งสิ้น เพราะแน่นอนว่าคุณต้องเจอสถานการณ์ที่แฟนต้องไปสังสรรค์กับเพื่อนบ้าง ไปเที่ยวกับเพื่อนบ้าง อย่างนี้แหละที่คุณต้องเข้าใจและใช้เหตุผลมากกว่าอารมณ์ เหงาได้ น้อยใจได้ แต่ต้องไม่พร่ำเพรื่อ รู้จักเวร่ำเวลาและสถานการณ์

3. ให้เกียรติ 

การให้เกียรติเป็นเรื่องพื้นฐานที่ทุกๆ คู่รักควรปฏิบัติต่อกัน ไม่ว่าจะเป็นต่อหน้าหรือลับหลัง โดยเฉพาะอย่างยิ่งต่อหน้าเพื่อนๆ ของอีกฝ่าย เพราะหากคุณแสดงความไม่ให้เกียรติแฟนของคุณ เช่น แสดงตัวว่ามีอำนาจเหนือกว่า แสดงความเป็นเจ้าเข้าเจ้าของจนเกินงาม หรือทะเลาะกันต่อหน้าเพื่อนๆ คนที่ไม่พอใจนอกจากจะเป็นแฟนของคุณแล้ว บรรดาเพื่อนแฟนก็จะไม่ชอบคุณตามไปด้วย เพราะแสดงให้เห็นว่าคุณไม่ให้เกียรติพวกเขาเช่นกัน

4. มีน้ำใจ 

ความมีน้ำใจ เอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ รู้จักช่วยเหลือแบ่งปันเป็นสิ่งที่สำคัญมากๆ สำหรับการอยู่ร่วมกัน ไม่ว่าจะเป็นในสังคมใดก็ตาม คงไม่ต้องสาธยายความดีงามกันให้มากสำหรับนิสัยข้อนี้ ขอแค่พกติดตัวไว้ ไม่ว่าเพื่อนแฟนคนไหนๆ ก็ต้องเทใจให้คุณแน่นอน

5. สนุกสนานเฮฮา

เพราะคนสนุกสนานเฮฮาดูเป็นคนที่เข้าถึงง่ายและช่วยสร้างบรรยากาศที่ดีในการอยู่ร่วมกัน ทำให้ไม่ว่าใครๆ ก็สบายอกสบายใจที่จะพูดคุยหรือคบค้าสมาคมด้วย นี่จึงเป็นอีกนิสัยที่ดึงคะแนนจากเพื่อนแฟนได้มาก แต่หากคุณไม่ใช่คนที่มีความตลกเป็นพื้นฐาน ก็ส่งยิ้มหวานๆ แสดงความเป็นมิตรอย่างนิสัยในข้อแรกแทนก็ได้

6. ไม่เรื่องเยอะ 

แน่นอนว่าคุณกับเพื่อนแฟนต้องไปไหนมาไหนหรือทำอะไรร่วมกันบ้าง อย่างน้อยก็พบปะสังสรรค์หรือไปเที่ยว ดังนั้นการเป็นคนง่ายๆ สบายๆ ไม่เรื่องมาก ช่วยทำให้เพื่อนแฟนคลายความกังวลและความอึดอัดใจไปได้ แถมยังทำให้พวกเขากล้าเข้ามากระชับความสัมพันธ์กับคุณมากขึ้นอีกด้วย

7. ไม่ตามจิก
อย่างที่บอกไปแล้วว่าเพื่อนแฟนชอบแฟนเพื่อนที่มีเหตุผล ซึ่งนิสัยข้อนี้ก็แตกย่อยมาจากความมีเหตุผลที่ว่านั่นเอง คงไม่มีใครชอบถูกตามจิกตามจี้เวลาอยู่กับเพื่อน และไม่ใช่เพียงแฟนของคุณเท่านั้นที่ไม่ชอบ เพื่อนของแฟนคุณก็ต้องไม่ชอบด้วยเช่นกันลองนึกถึงใจเขาใจเรา หากคุณต้องตกอยู่ในสถานการณ์แบบนั้นก็คงอึดอัดใจน่าดู

8. ไม่ขี้งก
ความขี้งกเป็นอีกหนึ่งนิสัยที่ทำให้อยู่ร่วมกับคนอื่นได้ยาก ในสังคมของเพื่อนแฟนก็เช่นกัน เพราะอย่างน้อยก็ต้องกินข้าวร่วมกัน ทำกิจกรรมร่วมกัน ค่าใช้จ่ายก็ต้องแชร์กันหารกันเป็นธรรมดา ดังนั้นถ้าคุณมัวแต่ตระหนี่ถี่เหนียวจนเกินไปก็คงไม่ดีนัก ประเภทที่ฉันกินเท่านี้ขอจ่ายเท่านี้ ขอบอกเลยว่ายากถ้าอยากจะได้ใจเพื่อนแฟนมาครอง

9. ไม่ขี้โม้ขี้อวด
ความขี้โม้ขี้อวดมีแต่จะเป็นภัยกับตัวคุณ ถ้าอยากชนะใจเพื่อนแฟนได้ขอบอกเลยว่าไม่ควรทำ เพราะเพื่อนแฟนเขาไม่ใช่เพื่อนแท้หรือแฟนที่รู้นิสัยใจคอจริงๆ ของคุณ ทั้งนี้คุณอาจเป็นคนขี้โม้ขี้อวดไปเรื่อยตามเรื่องตามราว ซึ่งจริงๆ แล้วไม่มีพิษมีภัยอะไร แต่ใครๆ เขาไม่เข้าใจด้วยหรอก ยิ่งจะทำให้เกิดความหมั่นไส้และไม่ชอบหน้ากันเสียมากกว่า

10. ไม่ขี้บ่น
ความจู้จี้ขี้บ่นของมนุษย์แฟน หลายคนอาจมองว่าเป็นเรื่องเล็กๆ แต่ถ้าสะสมมากๆก็สร้างความรำคาญใจได้ไม่เบาอย่างบางคนบ่นแฟนคนเดียวไม่พอลามไปถึงเพื่อนแฟนด้วย แบบนี้ก็ไม่ไหว ถ้าบ่นมากๆ เข้า ระวังครั้งหน้าเพื่อนแฟนจะยกมือไหว้เพราะเข้าใจผิดคิดว่าเป็นญาติผู้ใหญ่นะคะ

สำหรับใครที่ยังมีไม่ครบ 10 ข้อนี้ก็ไม่เป็นไร ลองปรับกันทีละเล็กทีละน้อย รับรองว่าได้ใจเพื่อนเขาเพื่อนเธอมาเป็นพวกในไม่ช้าแน่นอน

>> อ่านเรื่องราวเกี่ยวกับความรักและความสัมพันธ์เพิ่มเติมได้ที่นี่อีกเพียบ คลิกเลย! <<

วิธีรับมือกับรักต่างวัย พร้อม How To คบกันอย่างไรให้ความรักลงตัว

ไม่ว่าจะเป็นหนุ่มใหญ่ที่ไปตกหลุมรักผู้หญิงอายุน้อยกว่าหรือหนุ่มน้อยที่ไปรักสาวใหญ่  หากเป็นคู่รักหรือคู่แต่งงานที่มีอายุห่างกันมากมักเกิดช่องว่างของความต่างของวัย ยิ่งดีกรีอ่อนแก่พุ่งสูงถึงระดับ 10 ปีขึ้นไป มาตรวัดปัญหาในชีวิตคู่อาจเริ่มกระดิก ถ้าอย่างนั้นมาดูกันดีกว่าว่า รักต่างวัย คบกันอย่างไรจึงลงตัว

รักต่างวัย คบกันอย่างไรจึงลงตัว

Photo by sept commercial on Unsplash

ประเด็นความขัดแย้งของฝ่ายอายุมากกว่าที่มักพบบ่อยคือ

  • ขาดความอดทน เวลาที่อีกฝ่ายแสดงความด้อยประสบการณ์หรือแสดงอารมณ์แบบเด็กๆ ตามวัย
  • ทำตัวเป็นพ่อหรือเป็นผู้ปกครอง ด้วยอายุที่มากกว่า ก็อดไม่ได้ที่จะอยากแนะนำ หรือสั่งให้ทำอย่างที่ตัวเองคิดว่าดี จนฝ่ายที่เด็กกว่ารู้สึกเหมือนถูกสอน และอาจแสดงการต่อต้าน
  • ถือว่าเหนือกว่า ฝ่ายที่อายุมากกว่ามักมีความพร้อมในทุกด้านโดยเฉพาะด้านการงานและเศรษฐกิจ จนทำให้รู้สึกเหนือกว่าอีกฝ่าย มีสิทธิ์ตัดสินใจทุกอย่างในครอบครัว มองข้ามความเห็นและความต้องการของอีกฝ่าย
  • หึงหวง เพราะตนเองอายุมากกว่า จึงรู้สึกหวาดระแวงว่าจะไม่สามารถดึงดูดใจคู่ของตนได้ จึงใช้วิธีควบคุมให้อีกฝ่ายตกอยู่ภายใต้อำนาจของตน ไม่ยอมปล่อยให้มีชีวิตตามลำพัง
Photo by Toa Heftiba on Unsplash

ส่วนฝ่ายที่อายุน้อยกว่าก็อาจมีปัญหาไม่ยิ่งหย่อนไปกว่ากัน

  • ยอมตกอยู่ภายใต้อำนาจอีกฝ่าย ความที่ฝ่ายแก่กว่ามักเป็นหลักของครอบครัว เป็นคนตัดสินใจทุกอย่างเอง ทำให้ฝ่ายที่เด็กกว่ารู้สึกขาดความมั่นใจ ยอมศิโรราบกับการตัดสินใจของอีกฝ่าย
  • มองอีกฝ่ายเป็นผู้ปกครองแทนที่จะเป็นคู่ ยอมให้อีกฝ่ายดูแลเอาใจใส่เหมือนตัวเองเป็นเด็กๆ รอถาม รอคำแนะนำ โดยไม่กล้าตัดสินใจเอง
  • มีปัญหาเรื่องกิจกรรมทางสังคม จากวัยที่ต่างกัน ความสนใจ กิจกรรมทางสังคม กลุ่มเพื่อน จึงแตกต่างกันไปด้วยบางคู่อาจเกิดความขัดแย้ง เพราะต้องมีฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดเปลี่ยนพฤติกรรมของตัวเองซึ่งส่วนใหญ่มักจะเป็นฝ่ายที่เด็ก เมื่อบ่อยเข้าก็อาจเกิดความเบื่อหน่าย

ไม่ว่าปัญหาจะเกิดจากฝ่ายไหน ทางออกของชีวิตคู่อยู่ที่การยอมรับในความแตกต่างอย่างเข้าใจและพร้อมให้เกียรติซึ่งกันและกัน เรื่องอายุอาจเป็นปัจจัยให้ความรักสะดุดได้บ้าง แต่ถ้าสองคนเชื่อมั่นในกันและกัน และพยายามปรับตัวเข้าหากันอย่างจริงใจ ไม่ปล่อยให้ตัวเลขของวัยหรืออีโก้ในตัวเองมาครอบงำความประพฤติ อายุที่ต่างก็จะไม่ใช่อุปสรรคของรักอีกต่อไป ยังไงแพรวเวดดิ้งขอเป็นกำลังใจให้คู่รักต่างวัยทุกคู่นะคะ

>> อ่านเรื่องราวเกี่ยวกับความรักและความสัมพันธ์เพิ่มเติมได้ที่นี่อีกเพียบ คลิกเลย! <<

เช็กกันดูกับคู่รัก 4 แบบ คู่ของคุณเป็นแบบไหน ไปสำรวจพร้อมๆ กัน

คนๆ เดียวยังมีหลากแบบหลายนิสัย แล้วคนสองคนที่วนมารักกันจะมีแบบเดียวได้อย่างไร ถ้าอยากรู้ว่าคุณเป็น คู่รัก แบบไหน ไปสำรวจพร้อมๆ กับเราได้เลยค่ะ

ยิ่งรู้จักยิ่งรักกัน

หากคุณทั้งคู่ชอบอะไรหลายๆ อย่างเหมือนกัน ชอบทำกิจกรรมคล้ายๆ กัน และมักทำกิจกรรมร่วมกันเสมอ ก็บอกได้เลยว่าคุณคือคู่รักที่ยิ่งรู้จักยิ่งรักกัน ซึ่งคู่รักแบบนี้จะรู้ทุกสิ่งทุกอย่างเกี่ยวกับคู่ของตัวเอง เพราะมักจะใช้เวลาร่วมกันและแบ่งปันเรื่องราวต่อกันเสมอ ด้วยเหตุนี้จึงกลายเป็นคู่รักที่ครองรักกันยั่งยืนบนพื้นฐานของความใส่ใจและความเข้าใจที่มีให้แก่กัน

ยิ่งไฟต์ยิ่งรัก

คนอยู่ด้วยกันเป็นธรรมดาที่ต้องกระทบกระทั่งกันบ้างอย่างลิ้นกับฟัน ดังนั้นการถกเถียงหรือทะเลาะเบาะแว้งของคู่รักจึงถือเป็นเรื่องปกติ โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับคู่รักคู่ไฟต์ เพราะคู่รักแบบนี้ไม่ว่าจะไฟต์กันหนักหน่วงแค่ไหน แต่สุดท้ายก็ปรองดองรักใคร่จุ๊บปากกันอยู่ดี เรียกว่าทะเลาะเพื่อเปิดใจ เถียงเพื่อปรับความเข้าใจ ยิ่งไฟต์กันมากแค่ไหนก็ยิ่งรักกันมากเท่านั้น

rsz_couple_by_lake

ดราม่าเป็นงานหลัก

ทะเลาะกันทุกวี่วันตั้งแต่เรื่องสากกะเบือไปยันเรือรบ พฤติกรรมของคู่คุณกำลังเป็นแบบนี้หรือเปล่า ถ้าใช่ก็คงต้องปวดหัวปวดใจกันหน่อย เพราะความรักของคู่คุณกำลังเข้าข่ายสร้างดราม่าเป็นงานหลัก ซึ่งไม่ว่าจะเป็นปัญหาเล็กหรือใหญ่ก็สรรหามาสร้างความร้าวฉานได้เสมอ อีกประเด็นสำคัญคือไม่มีฝ่ายไหนยอมลดราวาศอกให้กัน เป็นน้ำร้อนด้วยกันทั้งคู่ ซึ่งถ้าเป็นแบบนี้ก็ฟันธงได้เลยว่าอยู่ไม่ยืดแน่

คู่รัก สังคมจัด

คู่รักสังคมจัด คือคู่รักประเภทที่มีเพื่อนเยอะด้วยกันทั้งคู่ และที่สำคัญคือเป็นเพื่อนกลุ่มเดียวกัน รู้จักกันทั้งสองฝ่าย ซึ่งถือเป็นข้อดีอย่างหนึ่ง เพราะเพื่อนกลายเป็นปัจจัยที่ช่วยกระชับความสัมพันธ์ของคุณทั้งคู่ให้แน่นแฟ้นมากยิ่งขึ้น ไม่ว่าจะต้องไปสังสรรค์กับฝ่ายไหนคุณทั้งคู่ก็สามารถไปด้วยกันได้อย่างไม่ขัดเขิน และไม่ต้องงอนง้อกันให้วุ่นวายใจอย่างคู่อื่นๆ ด้วยนะเออ

>> อ่านเรื่องราวเกี่ยวกับความรักและความสัมพันธ์เพิ่มเติมได้ที่นี่อีกเพียบ คลิกเลย! <<

ข้อมูลและภาพจาก : www.brides.com, seinstitute.com,Relate Institute