“อีซี่ รันนิ่ง ออฟ เดอะ ไบรด์ส” วิ่งเจ้าสาวปีที่ 8 ชิงงานแต่งในฝันรวมมูลค่ากว่า 3 ล้านบาท เปิดรับสมัครคู่รักแบบไม่จำกัดแล้ว

“อีซี่ รันนิ่ง ออฟ เดอะ ไบรด์ส” วิ่งเจ้าสาว ปีที่ 8ชิงงานแต่งในฝันรวมมูลค่ากว่า 3 ล้านบาท พิเศษ!! เปิดรับสมัครคู่รักไม่จำกัด วิ่งเพื่อการกุศล

คลื่น “อีซี่ เอฟเอ็ม 105.5” เชิญร่วมกิจกรรมสุดยิ่งใหญ่แห่งปี กับภาระวิ่งเพื่อรักคว้างานแต่งในฝันฟรี ใน Eazy Running of The Brides 8 “Love Infinity”มาร่วมวิ่งพร้อมแบ่งปันความรักแบบไร้ข้อจำกัด ฉลองครบรอบปีที่ 8รางวัลใหญ่กว่าเดิม รวมมูลค่ากว่า 3 ล้านบาท!! พิเศษพร้อมเปิดรอบ FUN RUNเชิญชวนคู่รักมาวิ่งเพื่อการกุศล แสดงพลังความรักแบบไร้ข้อจำกัด เพื่อนำรายส่วนหนึ่งมอบให้กับมูลนิธิออทิสติกไทย “ร่วมวิ่งเพื่อรัก”วันอาทิตย์ที่ 24 พฤศจิกายน2562ณ บริเวณ หน้าหอศิลปวัฒนธรรมแห่งกรุงเทพมหานคร ถนนพระราม 1เปิดรับสมัครแล้ว ตั้งแต่วันนี้ – 15 พฤศจิกายน 2562

เป็นปีที่ 8 แล้ว สำหรับกิจกรรมวิ่งเจ้าสาว Eazy Running of The Bridesเพื่อชิงงานแต่งในฝัน ที่ “อีซี่ เอฟเอ็ม 105.5” เป็นผู้จัดขึ้นปีนี้รวมพลังรัก วิ่งใจกลางเมือง ณ บริเวณหน้าหอศิลปวัฒนธรรมแห่งกรุงเทพมหานคร ถนนพระราม 1 รวมระยะทาง 3 KM.สำหรับว่าที่คู่บ่าว-สาว ที่กำลังมีแผนจะแต่งงานในปีหน้า เตรียมชุดเจ้าสาว-เจ้าบ่าว มาให้เป๊ะ ซ้อมวิ่งมาให้พร้อม แล้วจับมือกันมาวิ่งพิสูจน์รัก ชิงงานแต่งในฝัน รวมรางวัลมูลค่า กว่า 3 ล้านบาท!!!สำหรับคู่ชนะเลิศจะได้รับห้องสำหรับจัดงานแต่ง ที่โรงแรม นิกโก้ กรุงเทพ,แหวนเพชรคู่ จาก Epiphany,ชุดแต่งงาน จาก Marriage Studio,แพ็กเกจที่พัก ที่มัลดีฟ จาก Club Med และที่พัก Devasom Sky Villa จาก Devasomเขาหลัก,ตั๋วเครื่องบินไป-กลับ กรุงเทพฯ-ภูเก็ต, ชุดเครื่องนอน จาก Dunlopillo,บัตรทำทรีตเม้นท์จาก Apex Medical Center ,บัตรออกกำลังกายจาก Jetts24 Fitness,บัตรทานอาหาร ที่ห้องอาหาร The Oasis-All-Day-Dinning จาก โรงแรม นิกโก้ กรุงเทพ , Gift voucher จาก เมเจอร์ ซีเนีเพล็กซ์และรางวัลสำหรับรองชนะเลิศอันดับ1-5 อีกมากมาย วิธีร่วมสมัคร เพียงโพสต์รูปคู่ ของคุณและคู่รักผ่านทาwww. eazyfm.com  หรือทางIG  (เปิดแบบ Public) แล้ว #EazyRunningOfTheBrides8รอลุ้นเป็น 150 คู่ผู้โชคดี ที่จะได้มาวิ่งคว้างานแต่งฟรีสมัครวิ่งเจ้าสาวฟรี ได้ตั้งแต่วันนี้ ถึง 15 พฤศจิกายน 2562

ส่วนรอบพิเศษ FUN RUNได้ “นิโคลีน พิชาภา”ตัวแทนของมูลนิธิออทิสติกไทย มาร่วมเป็นส่วนหนึ่งเพื่อสนับสนุนความสามารถของเด็กออทิสติก โดยงานนี้ได้ให้เด็กๆ ออกแบบลายเสื้อ และเหรียญที่ระลึก  สำหรับผู้ที่อยากร่วมวิ่งเพื่อการกุศล ภายในงาน Eazy Running of The Brides 8 “Love Infinity” กับภารกิจFUN RUN”เปิดโอกาสให้ทุกคนที่มีความรัก ไม่ว่าจะเป็นความรักแบบไหน ไม่มีข้อจำกัด ออกมาแสดงพลังความรัก ร่วมวิ่งไปด้วยกัน ภายใต้ธีม “Color of Loveวิ่งระยะทาง 4 KM. ผู้สมัครจะได้รับเสื้อวิ่ง พร้อมเหรียญ ดีไซน์จากArtstory By Autisticthaiนอกจากนี้ยังมีรางวัลให้ผู้ชนะ และแต่งกายแฟนซียอดเยี่ยม เป็นแพ็กเกจที่พักสุดหรู พร้อมตั๋วเครื่องบินไป-กลับกรุงเทพฯ-ภูเก็ต และอื่นๆอีกมากมายรวมมูลค่ากว่า 3 แสนบาท รายได้ส่วนหนึ่งมอบให้กับมูลนิธิออทิสติกไทย ร่วมสมัคร FUN RUN ได้ตั้งแต่วันนี้ ถึง8 พฤศจิกายน 2562 ค่าสมัคร ราคา 588 บาท

สามารถติดตามรายละเอียด Eazy Running of The Brides 8 “Love Infinity” เพิ่มเติมได้ที่ www.eazyfm.com  #EazyRunningOfTheBrides8  สามารถติดตามรายละเอียดEazy Running of The Brides 8 “Love Infinity”เพิ่มเติมได้ที่ www.eazyfm.com #EazyRunningOfTheBrides8 

เคล็ดลับเลือกสูทเจ้าบ่าวให้เป๊ะในวันงานแถมทรงพลังในภาพถ่าย

จะต้องยืนข้างกายเจ้าสาวแสนสวยสุดที่รักทั้งทีก็ต้องดูดีกันหน่อย ถึงแม้ว่าเจ้าบ่าวนั้นอาจจะมีทางเลือกในสไตล์เครื่องแต่งกายน้อยกว่าเจ้าสาว แต่ก็ใช่ว่าจะดูดีในวันสำคัญไม่ได้นะคะ เพราะ สูทเจ้าบ่าว แบบเดิมๆ ถ้าเลือกให้ดีก็สามารถเป๊ะปังทรงพลังได้ไม่แพ้ลุคของเจ้าสาวเลย แพรว wedding เลยนำเคล็ดลับการเลือกสูทมาฝากคุณว่า รับรองว่างานนี้เจ้าสาวต้องปลื้ม

1.สิ่งสำคัญที่สุดในวันแต่งงานที่เจ้าบ่าวจะต้องจดจำให้ดีนั้นไม่ได้เกี่ยวกับแค่ตัวคุณเองนะคะ แต่ต้องให้ความสำคัญกับเจ้าสาวของคุณด้วย เพราะฉะนั้นจงเปิดใจรับฟังเจ้าสาวของคุณว่าเขาอยากจะเห็นคุณในลุคแบบไหน และสไตล์แบบไหนที่เจ้าสาวของคุณนั้นปลื้ม

2. สูทของเจ้าบ่าวจะต้องให้ลุคที่ดูคลาสสิค เหมาะสมกับสไตล์และบุคลิกของเจ้าบ่าว รวมไปถึงการตัดเย็บอย่างประณีตไร้ที่ติด้วย เพราะฉะนั้นเมื่อได้รับชุดมาแล้วอย่าลืมตรวจสอบให้ดีว่า ตะเข็บกางเกงของคุณเย็บไว้อย่างดี จะไม่ปริแตกแยกจากกันหากต้องลุกยืนหรือนั่งบ่อยๆ โดยเฉพาะเจ้าบ่าวที่สวมสูทในช่วงพิธีไทย รวมไปถึงสูทนั้นต้องลองให้พอดีกับตัวคุณมากที่สุด ตรวจเช็กดูว่ายกแขนหรือเคลื่อนไหวลำบากหรือไม่ พร้อมกับเช็กความยาวของปลายแขนเสื้อสูทด้วย ซึ่งปลายแขนเสื้อกับข้อมือต้องห่างกันประมาณ 1.5 เซนติเมตร เพราะฉะนั้นการหาช่างมืออาชีพที่คุณไว้ใจจึงเป็นเรื่องสำคัญ เพราะเขาจะเป็นผู้ช่วยมือดีที่จะเนรมิตคุณให้เพอร์เฟกต์ในวันสำคัญ

3. สูทสีกรมท่าหรือสีน้ำเงิน เป็นสไตล์ที่ให้ความทันสมัยสุดๆ และเป็นสีที่ไม่เคยเอ้าท์สำหรับลุคของเจ้าบ่าวเลย แถมยังเป็นสีที่สามารถเข้ากันได้ดีกับเจ้าบ่าวทุกเฉดสีผิวและทุกสีผมอีกด้วย รับรองว่าไม่ว่าคุณจะเป็นเจ้าบ่าวสไตล์ไหนก็ดูดีได้ในสูทสีนี้อย่างแน่นอน

สูทเจ้าบ่าว

4. สูทสีเบอร์กันดี เป็นอีกหนึ่งเฉดสีที่ให้อารมณ์ดูดีและทันสมัย พร้อมแสดงออกเป็นนัยๆ ว่าเจ้าบ่าวคนนี้ต้องเป็นสายแฟชั่นแน่นอน

5. แน่นอนว่าสิ่งที่เจ้าบ่าวต้องการก็คือลุคที่ดูดีในภาพถ่าย เพราะฉะนั้นการเลือกสูทแบบทางการดูเป็นอะไรที่ปลอดภัยกับลุคของเจ้าบ่าวมากที่สุด หลีกเลี่ยงการแต่งตัวที่แฟชั่นจ๋ามากเกินไป เช่น เนคไทเส้นเล็ก, สีสันของสูทที่ฉูดฉาด, การสวมเสื้อกั๊กหรือสูทแบบเงาวาว ไปจนถึงเฉดสีที่อาจจะไปตรงกับสีชุดของเพื่อนเจ้าสาว เป็นต้น

6. ต้องให้ความสำคัญกับทรงผมด้วย เพราะฉะนั้นการตัดแต่งหรือทำผมให้เรียบร้อย พร้อมกับโกนหนวดเคราให้เกลี้ยงเกลาดูสะอาดก็จะช่วยทำให้ลุคของเจ้าบ่าวดูดีเป็นอมตะในภาพถ่ายได้แบบไม่ยาก

7. หากเจ้าบ่าวจัดงานแบบเอ้าท์ดอร์ทั้งในช่วงพิธีไทยและพิธีฉลอง และต้องใส่เชิ้ตขาวพร้อมสูททั้งสองพิธี แนะนำให้เจ้าบ่าวเตรียมเชิ้ตขาวไว้ 2 ตัว เพื่อใช้เปลี่ยนจากช่วงเช้าที่ชุ่มไปด้วยเหงื่อ และถ้าหากเป็นเชิ้ตที่เพิ่งซื้อมาใหม่แนะนำให้เจ้าบ่าวนำไปซักอบรีดให้เรียบร้อย เพื่อให้เนื้อผ้าอ่อนนุ่มลงจะได้สวมใส่ได้อย่างสบายเนื้อสบายตัวมากขึ้น

8. ชุดทักซิโด เป็นอีกหนึ่งลุคที่ได้รับความนิยมมาโดยตลอด และถือเป็นสไตล์ไอคอนของลุคเจ้าบ่าวเลยก็ว่าได้ และเป็นตัวเลือกที่ดีสำหรับงานแต่งงานที่เป็นทางการมากๆ โดยเฉพาะทักซิโดสีดำที่ให้ความร่วมสมัย และยังเข้ากับเจ้าบ่าวทุกสไตล์ได้อีกด้วย

9. ถ้าหากคุณแต่งงานในบรรยากาศแบบเอ้าท์ดอร์ แนะนำให้เลือกสูทสีสว่างและเสื้อผ้าที่โปร่งบางเพื่อช่วยระบายเหงื่อ ซึ่งถ้าหากเลือกเป็นผ้าลินิน 100 เปอร์เซ็นต์อาจจะต้องระวังในเรื่องของรอยยับและรอยย่นระหว่างการนั่งหรือทำกิจกรรมต่างๆ เพราะฉะนั้นอาจจะมองหาเนื้อผ้าอื่นๆ เช่น ผ้าฝ้ายผสมลินิน เป็นต้น

10. สีสันสดใสอย่างสีฟ้าอ่อนๆ เป็นสีที่หลุดกรอบออกมาจากความเป็นทางการเล็กน้อย แต่ก็ยังเป็นลุคที่ให้ความคลาสสิคในวันสำคัญอยู่ดี

11. สูทแบบกระดุมหนึ่งเม็ดพร้อมปกสูทแบบสลิม และเป็นลุคที่ให้ความทันสมัยแต่ยังคงไว้ซึ่งความสมาร์ทในสไตล์เจ้าบ่าว แถมเสร็จจากการใช้งานในวันสำคัญแล้ว ยังสามารถใส่ไปงานอื่นๆ ได้อีกด้วย

12. เจ้าบ่าวควรจะสวมสูทที่ให้ความสะดวกสบายในวันแต่งงานมากที่สุด เพราะฉะนั้นการเผื่อเวลาเตรียมหาชุดไว้ตั้งแต่เนิ่นๆ จึงสำคัญ ให้เวลาตัวเองในการมองหาสูทในสไตล์อื่นๆ เพราะการเร่งรีบหาสูทที่เหมาะกับตัวเองในช่วงใกล้วันสำคัญนั้นไม่ดีแน่ และเมื่อเลือกได้แล้วจงแน่ใจว่าคุณอยากจะจดจำตัวเองในลุคนั้นจริงๆ เพราะอย่าลืมว่าภาพถ่ายจะเป็นเหมือนตัวแทนของคุณไปจนตลอดชีวิตที่เหลืออยู่เลยทีเดียว

13. สูทแบบลายสก๊อตเหมาะกับเจ้าบ่าวที่ต้องการลุคแบบแคชชวลสบายๆ ด้านในสวมเชิ้ตผ้าแชมเบรย์ แมตช์กับเนคไทแบบไหมพรม ก็ช่วยให้ลุคของเจ้าบ่าวดูโดดเด่นและทันสมัยขึ้นมาทันที

14. สำหรับเจ้าบ่าวสายแฟชั่นที่มองไปข้างหน้าเสมอ ก็อาจจะใช้โอกาสนี้ในการสวมเสื้อผ้าที่ให้ความทันสมัยและฉีกกรอบลุคเจ้าบ่าวแบบเดิมๆ อย่างเช่น สูทแบบสลิม และไม่มีเนคไท ก็ช่วยสร้างความโดดเด่นได้อีกแบบ

สำหรับเจ้าบ่าวคนไหนที่พอจะได้ไอเดียในการเลือกสูทเจ้าบ่าวในวันสำคัญแล้ว ลองอ่านบทความดีๆ ทางด้านล่างเพื่อนำมาเสริมลุคของคุณให้โดดเด่นขึ้นในวันแต่งงานดูนะคะ

16 ลุคมิกซ์แอนด์แมตช์สูทเจ้าบ่าวให้โดดเด่นกว่าใครในงาน
ดูดีตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้ากับ 7 สไตล์รองเท้าเจ้าบ่าวที่ใส่ปุ๊บหล่อปั๊บ
หล่อให้สุดแบบฉุดไม่อยู่! ด้วยบูโทเนียร์หลากสไตล์เสริมความเก๋ให้ลุคเจ้าบ่าว

ภาพ : www.youtube.com, www.pinterest.com, gregorgomboc.com,
www.insideweddings.com, www.marthastewartweddings.com

ฟังคำแนะนำจากกูรู ไวน์ในงานแต่ง เลือกเสิร์ฟอย่างไรให้ปัง

มาฟังคำแนะนำจากกูรู ไวน์ในงานแต่ง เลือกเสิร์ฟอย่างไรให้ปังแบบเจาะลึกถึงชนิดของไวน์ในปัจจุบันและราคาของไวน์จากผู้เชี่ยวชาญเฉพาะ โดยแพรว weddding จะพาว่าที่บ่าวสาวมาพูดคุยกับคุณ Natt Lin , Certified Specialist of Wine ถึงวิธีการเลือกไวน์ในงานแต่งงานกันค่ะ ซึ่งบ่าวสาวคู่ไหนที่อยากจะเสิร์ฟไวน์ แต่ยังเป็นมือใหม่ของการชิมไวน์ เข้ามาอ่านได้เลย รับรองว่าได้ความรู้ไปเลือกไวน์ไว้ใช้ในงานแต่งแน่นอน

ไวน์ในงานแต่ง

ชนิดของ ไวน์ในงานแต่ง ในปัจจุบัน มีการแบ่งชนิดอย่างไร?

“ประเภทของไวน์ จำแนกง่ายๆ คือ ไวน์มีฟอง, ไวน์ไม่มีฟอง และไวน์หวาน ครับ ไวน์มีฟองคือ Sparkling จะจำแนกจากวิธีการผลิต และแหล่งผลิต โดยแบบที่ดีที่สุดคือ Champagne ครับ ส่วนใหญ่ควรดื่มตอนที่ใหม่ๆ มากกว่าจะเก็บไว้ดื่มครับ ส่วนไวน์ไม่มีฟองคือ Still จะจำแนกจาก สีของไวน์ เช่น แดง ขาว หรือชมพู, แหล่งผลิต, วิธีการเก็บเกี่ยว, ชนิดองุ่น และปีการปลูกครับ สุดท้ายไวน์หวานคือ ไวน์ที่จำเพาะเจาะจง ใช้กรรมวิธีให้มีน้ำตาลเหลือจากการบ่มครับ เช่น ไวน์พอร์ต หรือ ไวน์เชอรี่ (ที่ไม่ได้ทำจากลูกเชอรี่)”

ไวน์ในงานแต่ง

ไวน์ประเภทไหน เหมาะแก่การนำมาเสิร์ฟในงานแต่งงานมากที่สุด?

“ขึ้นอยู่กับเจ้าของงานและผู้ดูแลงาน เช่น ช่วงก่อนตัดเค้กบ่าวสาวบางคู่อาจเลือกการรินแชมเปญก่อน ก็สามารถหาแชมเปญ หรือสปาร์คกิ้ง ไวน์ขวดใหญ่มาใช้ก็ได้เพื่อให้ดูสวยงาม ซึ่งหลายคนอาจจะเคยเห็นบางงานที่นำแชมเปญมาเทในแก้วสวยๆ แทนการตัดเค้กอันนี้ก็ได้ครับ  ส่วนการเสิร์ฟไวน์ในงานนั้น ปกติไวน์แดงจะเป็นที่นิยมของแขกและบ่าวสาวมากกว่า เนื่องจากมีราคาต่ำ ดื่มง่ายและเสิร์ฟง่าย แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นก็ขึ้นอยู่กับงบประมาณและความต้องการของผู้จัดครับ”

ไวน์ในงานแต่ง

สายพันธุ์ขององุ่น มีผลต่อรสชาติของไวน์ไหม?

“ไวน์ที่ปลูกในแต่ละประเทศและแต่ละเขต แม้มีสายพันธุ์เดียวกันก็จะมีรสชาติไม่เหมือนกัน หรือแม้กระทั่งเป็นไวน์ตัวเดียวกันแต่คนละปีก็รสชาติไม่เหมือนกันเช่นกันครับ ถ้าเราพูดถึงไวน์ราคาไม่แพงนัก คือ ต่ำกว่า 600 บาท ที่มักนิยมใช้ในงาน หลักการจำแนกคร่าวๆ คือ ในกรณีของไวน์แดง ไวน์ที่มาจากโลกเก่า (ฝรั่งเศส,อิตาลี) มักจะไม่เข้มหรือจัดจ้านเท่าไวน์ที่มาจากโลกใหม่ (ทวีปอเมริกา หรือออสเตรเลีย) ส่วนไวน์ขาวก็เช่นกัน ไวน์โลกใหม่มักจะหวานและดื่มง่ายกว่าไวน์โลกเก่าที่จะออกเปรี้ยวหรือฝาดกว่า

สำหรับไวน์ราคาไม่แพงสายพันธุ์องุ่นที่เห็นบ่อยสำหรับไวน์แดง ก็จะเป็น Cabernet Sauvignon และ Merlot โดยมากแล้ว Cabernet Sauvignon จะมีแอลกอฮอล์และความเข้มข้นสูงกว่า Merlot ที่จะทานง่ายกว่า ส่วนไวน์ขาวที่เห็นมากจะเป็น Chardonnay และ Sauvignon Blanc โดย Chardonnay จะมีกลิ่นเด่นค่อนไปทางถั่วและแพรสุก ให้รสชาติที่หวานกว่า ส่วน Sauvignon Blanc จะค่อนไปทางดอกไม้และแอปเปิ้ลเขียว และมีรสชาติที่เปรี้ยวกว่า แต่เรื่องสำคัญที่สุดคือ เจ้าของงานต้องได้ชิมก่อนซื้อครับซึ่งจำเป็นที่สุด เพราะถ้าเจ้าของงานดื่มแล้วไม่ชอบ ก็ไม่อยากแนะนำให้ซื้อครับ เพราะฉะนั้นอาจจะเลือกรสชาติที่ถูกปากเรามากที่สุด หรือจะชักชวนบุคคลใกล้ชิดที่ถนัดเรื่องไวน์ไปช่วยชิมก็ได้ครับ”

 

ไวน์ในงานแต่ง

ถ้าเราไม่มีความรู้เรื่องไวน์เลย สามารถอ่านฉลากข้างขวดได้หรือไม่ ว่าดีหรือไม่ดี?

“ศาสตร์เกี่ยวกับการเลือกไวน์ เป็นศาสตร์ที่ซับซ้อนมากครับ มีข้อมูลเยอะมากที่ต้องศึกษา แต่มีบางข้อที่บ่าวสาวต้องทราบก่อน คือ

1. จำเป็นต้องทราบก่อนว่า เราชอบไวน์ประเภทไหน เข้มหรือไม่เข้ม ออกหวานหรือออกฝาด

2. ไวน์ที่มีราคาแพง มักจะรสชาติดีกว่าไวน์ถูกเสมอ

3. แพงกว่าในที่นี้คือเปรียบเทียบระหว่าง 600 บาท กับ 3,000 บาท ครับ ถ้า 600 บาท กับ 1,000 บาท ก็มีลุ้นว่าขวด 600 บาทอาจจะจะอร่อยกว่าก็เป็นได้ครับ

4. สำหรับไวน์แดงอาจจะเลือกไวน์ที่ปีเก่าๆ หน่อย เช่น ปีนี้ 2018 ถ้าเราได้ปี 2015 รสชาติจะนุ่มนวลกว่าปี 2017 และหากเป็นไวน์ฝรั่งเศส จะมีข้อความระบุไว้ว่า Appellation d’origine contrôlée หรือ AOC ซึ่งหมายความว่ามีความเป็นไปได้ว่าจะไม่แย่เกินไป เช่นเดียวกับไวน์โลกใหม่ ถ้ามีคำว่า Reserve ส่วนมากจะค่อนไปทางดีครับ”

ไวน์ในงานแต่ง

บ่าวสาวสามารถปรึกษาเรื่องไวน์กับใครได้บ้าง หากไม่ใช่กับผู้เชี่ยวชาญด้านไวน์โดยเฉพาะ?

“ถามผู้ขายเลยครับ คนขายส่วนมากจะทราบดีว่าไวน์ที่เขาขายตัวไหนดีหรือไม่ดี แล้วถ้าเขาอยากจะขายตัวไหน เราควรจะแจ้งงบประมาณ และรสชาติที่เราชอบให้เขาทราบก่อน ถ้ายิ่งเป็นไวน์ที่จะนำไปใช้ในงานแต่งงาน ที่ต้องใช้เป็นจำนวนมาก อาจจะเป็นลัง จึงจำเป็นที่บ่าวสาวควรจะขอชิมก่อนครับ ว่าชอบรสชาตินั้นหรือไม่ แต่ขอให้คำนึงว่า ต้องเป็นไวน์ที่เราชอบ โดยเฉพาะงานแต่งที่มีแค่ครั้งเดียวในชีวิตด้วยแล้วยิ่งต้องให้ความสำคัญ เพราะฉะนั้นการประหยัดไป 10 บาทแล้วได้ไวน์ที่ไม่ชอบ ผมว่ามันก็ไม่คุ้มความรู้สึกหรอกครับ”

ทริกเรื่องไวน์ในงานแต่งที่สำคัญ คือ

1. ตอนที่ดีลกับโรงแรม ต้องแจ้งความจำนงว่าบ่าวสาวจะนำไวน์มาเอง ไม่เช่นนั้นจะโดนมัดมือชกในการสั่งไวน์กับโรงแรมซึ่งจะโดนบวกแพงครับ

2. วันเสิร์ฟควรมีคนที่เราไว้ใจคอยคุมจำนวนไวน์ เพราะเคยได้ยินมาเหมือนกันว่ามีไวน์หายในงานแต่งงานครับ

เป็นอย่างไรบ้างคะ สำหรับข้อมูลจากผู้เชี่ยวชาญด้านไวน์โดยเฉพาะ แพรว wedding หวังว่าข้อมูลนี้น่าจะเป็นไอเดียที่มีประโยชน์ให่แก่บ่าวสาวได้ แล้วอย่าลืมทำตามคำแนะนำของคุณ Natt ด้วยนะคะ ส่วนใครที่ไม่ใช่คู่บ่าวสาว แต่อยากลองชิมไวน์ก็สามารถนำข้อมูลนี้ไปทำตามได้ไม่ว่ากันค่ะ

อ่านเรื่องราวเกี่ยวกับการจัดงานแต่งงานและดูไอเดียต่างๆ เพิ่มเติมได้ที่นี่อีกเพียบ คลิกเลย!

ขอขอบคุณ Natt Lin – Certified Specialist of Wine , French Wine Scholar
ภาพจาก Pinterest.com

ลิสต์ไว้ถามตาม 8 คำถามเรื่องเงินๆ ทองๆ กับวงดนตรีในงานแต่ง

ไม่อยากเซอร์ไพร้ส์กับเรื่องเล็กๆ น้อยๆ อย่างเรื่องเงินที่ต้องจ่ายให้กับ วงดนตรีในงานแต่ง ละก็ แพรว wedding ขอให้บ่าวสาวทั้งหลายตาม 8  ข้อต่อไปนี้ก่อนเซ็นต์สัญญาจ้างงาน เพราะถ้าไม่เช็คให้ดีแล้วละก็ จะมาร้องทีหลังไม่ทันแล้วนะ

1. ราคาโดยรวมเท่าไหร่

คำถามนี้ควรถามก่อนที่จะถามว่าเล่นเพลงแนวไหน เพราะต่อให้เขาเล่นเพลงโดนใจคุณเหลือเกินแต่ถ้าราคาแรงมากคุณก็ไม่ไหวจริงไหม

2. ราคารวมอะไรบ้าง

ถามอย่างละเอียดที่สุด อย่าไปกลัวว่าจะโดนเม้าว่าจุกจิก โดยเฉพาะคำถามที่ว่า ราคานักร้องแยกกับนักดนตรีหรือเปล่า เครื่องเสียงเช่ามาใครจ่าย พูดง่ายๆ คือเงินก้อนสุดท้ายที่ต้องจ่ายให้วงดนตรี ครอบคลุมอะไรบ้างนั่นเอง

3. ราคานี้รวมเล่นช่วงก่อนงานเริ่มหรือช่วงเบรกพิธีการไหม

ถามให้ชัดค่ะว่า ถ้ามีช่วงเบรกเล็กๆ น้อยๆ หรือก่อนงานเริ่มเล่นฆ่าเวลาให้ไหม ราคารวมหรือคิดเพิ่ม

4. เล่นเกินเวลาคิดราคาเท่าไหร่

บางทีอาฟเตอร์ปาร์ตี้ก็มีติดลมนี่นา ฉะนั้นคำถามนี้ต้องถามไว้นะคะ จะได้เอาไว้ควบคุมความสนุกของตัวเองและแขกในกรณีที่งบจำกัดไงคะ

5. ค่าเดินทางออกกันเองหรือว่ายังไง

กรณีนี้ไม่ใช่แค่ไปจัดงานต่างจัดหวัดเท่านั้นที่ต้องถาม แต่คุณต้องถาม แม้จัดงานในกรุงเทพฯ นะคะ เพราะคำว่าค่าเดินทางนี้ อาจรวมค่าขนส่งเครื่องดนตรีด้วยนะคะ

6. รูปแบบการจ่ายเงินเป็นแบบไหน

แบ่งจ่ายกี่เปอร์เซ็นต์ มีมัดจำไหม จ่ายตอนไหน ต้องวางบิล มีภาษีอะไรหรือเปล่า ถ้าคิดค่านักร้องแยกต้องจ่ายแยกหรือจ่ายรวม ฯลฯ

7. ถ้ามีการเลื่อนหรือยกเลิกงานกะทันหันล่ะ

ใครจะรู้อนาคตจริงไหมค่ะ คุณอาจเลื่อนงานแต่งออกไป งานที่มัดจำไปแล้วจะคืนหรือยังไง  ต้องแจ้งในระยะเวลาก่อนถึงวันจริงนานแค่ไหน

8. ถ้าวงดนตรีเบี้ยวล่ะ จะจ่ายค่าเสียหายคืนบ่าวสาวยังไง

ไม่ใช่คุณเท่านั้นจะมีสิทธิ์ยกเลิกงานนะคะ บางครั้งหวยมาออกที่วงดนตรีที่เบี้ยวงานโดยที่คุณวางมัดจำไปแล้ว ทีนี้เงินที่วางไปจะยังไง ความเสียหายที่เกิดขึ้นจะจัดการแบบไหน คำถามนี้วงดนตรีต้องมีคำตอบให้คุณมั่นใจนะคะ

ดูไอเดียและคำแนะนำในการจัดงานแต่งงานเพิ่มเติมได้ที่นี่ คลิกเลย!

เรื่อง : Hoyamemoria
ภาพ : flickr, pixabay

7 ข้อเท็จจริงที่ว่าที่บ่าวสาวต้องรู้ถ้าคิดจะจัดงานแต่งริมทะเลให้ผ่านฉลุย

หลายคนอาจเคยเห็นไอเดียการจัด งานแต่งริมทะเล เจ๋งๆ สวยๆ มามากมาย อีกทั้งพร๊อพส์หลากหลายที่จะเนรมิตบีชเวดดิ้งให้สวยงามและสนุกสนานดั่งฝัน แต่รู้หรือไม่ว่าก่อนที่สิ่งเหล่านั้นจะเกิดขึ้นได้ มีข้อมูลสำคัญอะไรบ้างที่คุณต้องรู้และเตรียมตัวรับมือให้ดีก่อนเริ่มต้นจัดงาน วันนี้เรารวบรวม 7 เรื่องสำคัญที่คู่รักริมทะเลต้องรู้มาบอก!

1. สภาพอากาศวันงาน

สิ่งสำคัญอย่างแรกที่เราอยากให้คุณว่าที่บ่าวสาวเช็คให้ดีก็คือ วันแต่งงานของคุณอยู่ในฤดูอะไร ร้อน ฝน หรือหนาว รวมถึงดูพยากรณ์อากาศให้ดีด้วยว่า วันงานจริงแดดจะออกมากน้อยแค่ไหน ลมพัดแรงหรือไม่ ท้องฟ้าปลอดโปร่งหรือมีพายุ ฝนจะตกไหม คลื่มลมทะเลเป็นอย่างไร ทั้งนี้เพื่อเตรียมการรับมือกับสภาพอากาศในวันนั้นได้อย่างดี เช่น ถ้าวันงานแดดออกเปรี้ยงปร้าง แว่นกันแดดคือพร้อบส์สำคัญที่ไม่ควรพลาด แต่ถ้าฝนตกหรือมีลมแรง คุณจะได้เตรียมเต๊นท์ ร่ม และสถานที่สำหรับหลบฝนให้กับทุกคนในงาน

2. ระดับน้ำทะเลขึ้นลง

ข้อนี้เราไม่ได้จะให้คุณเอาไม้บรรทัดไปวัดว่าน้ำทะเลจะสูงต่ำกี่เซนติเมตรนะคะ แต่ให้คุณเตรียมหาข้อมูลมาว่า ในช่วงวันงานแต่งน้ำทะเลจะขึ้นตอนกี่โมง ลงตอนกี่โมง เช่น น้ำขึ้นตอนเช้า พอช่วงเย็นๆ น้ำจะลง รวมถึงหาข้อมูลมาด้วยว่า ในช่วงที่น้ำขึ้นและลงนั้นระดับน้ำจะอยู่ประมาณไหน ขึ้นจนมิดหาดทรายหรือว่ายังพอเหลือพื้นที่ให้จัดงานได้มากน้อยแค่ไหน เพราะเรื่องนี้จะส่งผลกับการจัดวางเวที ซุ้มประตู และองค์ประกอบต่างๆ ของงาน รวมถึงระยะเวลาดำเนินพิธีการในแต่ละขั้นตอนด้วย ถ้าไม่เช็คและวางแผนให้รอบคอบ มีหวังได้ยืนสาบานรักกันกลางน้ำแน่นอน!

3. ความกว้างของพื้นที่รับรองแขก

ความแตกต่างของงานแต่งริมหาดกับงานในโรงแรมก็คือ งานแต่งที่จัดในโรงแรมมักจะบอกตัวเลขชัดเจนว่าห้องจัดงานสามารถรองรับแขกได้กี่คน แต่งานแต่งริมหาดจะให้บอกเป๊ะๆ แบบนั้นก็คงยาก เพราะเรามีธรรมชาติ (ที่ไม่สามารถควบคุมได้) มาเกี่ยวข้อง คุณอาจจะเห็นว่าชายหาดแสนกว้างรองรับแขกได้เยอะแน่นอน แต่พอถึงวันจริงกลับเจอน้ำทะเลดันขึ้นมา หาดที่ว่ากว้างๆ อาจแคบลงจนไม่สามารถรองรับแขกได้เพียงพอ เพราะฉะนั้น กะเกณฑ์พื้นที่ตามจริงให้สอดคล้องกับจำนวนแขกที่จะเชิญมาด้วย

4. แผน 2 และพื้นที่สำรอง

อย่างที่บอกว่าเราควบคุมธรรมชาติไม่ได้ แต่เราเตรียมการรับมือได้ค่ะ ใครที่ดูพยากรณ์อากาศจนมั่นใจแล้วก็โล่งอกไปได้เปลาะหนึ่ง แต่เราแนะนำว่ากันไว้ดีกว่าแก้ เตรียมพื้นที่ในร่มสำรองไว้เผื่อว่าท้องฟ้าพิโรธ ลมฝนมากะทันหันแบบไม่บอกไม่กล่าวและไม่เกรงใจคำพยากรณ์ของกรมอุตุฯ คุณจะได้อพยพเหล่าแขกเหรื่อเข้าไปจัดพิธีต่อในที่ร่มได้ทันท่วงที จะได้ไม่ต้องยืนหนาวสวมแหวนท่ามกลางสายฝน รวมถึงถ้าหากมีแขกมาเยอะเกินที่คาดการณ์ไว้ พื้นที่สำรองตรงนี้ก็ยังใช้รับแขกได้อีกด้วยนะ

5. ที่พักสำหรับแขก

การจัดงานแต่งริมทะเลต้องมีแขกที่เดินทางมาจากต่างจังหวัดแน่นอน (ยกเว้นเสียแต่ว่าคุณจะเป็นคนในพื้นที่และเชิญแค่คนแถวบ้านน่ะนะ) เพราะฉะนั้นเรื่องที่จะให้คุณเช็คตามลิสต์ 2 ข้อ ต่อไปนี้

 5.1 ที่พักที่คุณเลือกสามารถรองรับแขกได้ครบทุกคนหรือไม่ บางครั้งถ้าคุณเชิญแขก 200 แต่รีสอร์ทที่คุณเลือกอาจมีห้องพอสำหรับแขก 100 คน แบบนี้วิธีแก้ไขก็คือ มองหาที่พักอื่นๆ ที่ใกล้เคียงกับสถานที่จัดงานและเดินทางสะดวก เพราะฉะนั้นเช็คให้ชัวร์ตั้งแต่เนินๆ จะได้เตรียมหาที่พักเสริมสำหรับแขกได้ทันการณ์

5.2 การเดินทางมาสถานที่จัดงาน โดยคุณจะต้องคำนึงถึงว่าอาจมีแขกบางคนที่เดินทางจากบ้านมาสถานที่จัดงานในต่างจังหวัด ดังนั้นคุณควรทำแผนที่หรือนัดแนะเส้นทางการเดินทางกับแขกแต่ละท่านให้เรียบร้อย หรือแขกคนไหนที่มาพักโรงแรมใกล้ๆ สถานที่จัดงาน คุณอาจมีแผนที่สำหรับให้แขกเดินทางมาเอง หรือจะมีรถรับส่งแขกเหล่านั้นก็ได้ เรื่องนี้ก็แล้วแต่ความสะดวกและงบประมาณที่คุณมี อย่าลืมเตรียมที่จอดรถสำหรับแขกที่ขับรถมาเองด้วยนะคะ

6. ค่าใช้จ่ายเรื่องที่พัก  

เมื่อหาที่พักสำหรับแขกได้แล้ว สิ่งสำคัญที่ต้องทำคือ เช็คราคาที่พักให้เรียบร้อย ทั้งที่พักหลักและที่พักเสริมว่ามีเรทอัตราค่าให้บริการคืนละเท่าไหร่ แล้วคุณจะรับผิดชอบจ่ายทั้งหมดหรือไม่ แน่นอนว่าถ้าเชิญแขกเยอะก็จะเปลืองงบประมาณในส่วนนี้มากเป็นพิเศษ ว่าที่บ่าวสาวคู่ไหนที่คำนวณแล้วว่าไม่มีแรงจ่ายค่าที่พักให้กับแขกทุกคนได้ อย่าลังเลที่จะพูดเรื่องนี้ออกไปตรงๆ ว่าอาจต้องรบกวนให้แขกจ่ายค่าที่พักเอง แต่คุณจะเป็นคนจัดหาที่พักให้

สำหรับบ่าวสาวคู่ไหนที่มีงบในเรื่องนี้อยู่บ้างแต่ไม่สามารถจ่ายได้ทั้งหมด อาจใช้วิธีการคัดกรองแขกเฉพาะคนสำคัญที่คุณอยากให้เขามาร่วมงานจริงๆ และจะออกค่าใช้จ่ายเรื่องที่พักให้ ซึ่งแขกกลุ่มนี้คุณอาจต้องเชิญเป็นการส่วนตัวนิดนึงเนอะ จะได้ป้องกันปัญหาน้อยอกน้อยใจว่า ทำไมจ่ายให้คนนั้นได้แต่จ่ายให้ฉันไม่ได้ เดี๋ยวจะปวดหัวกันไปใหญ่

7. แจ้งธีมสีของงานให้ชัดเจน

บรรยากาศงานแต่งริมทะเลส่วนใหญ่จะชิลๆ สบายๆ ไม่อลังการอะไรมากมายเหมือนในโรงแรม แขกเหรื่ออาจแต่งกายง่ายๆ ไม่จำเป็นต้องให้ลากชุดราตรียาวหรือใส่สูทตัวหนามางาน แต่สิ่งสำคัญที่จะลืมไม่ได้เลยคือ ธีมสีของงาน ว่าที่บ่าวสาวควรแจ้งแขกให้ชัดเจนว่า อยากให้แขกใส่สีโทนไหน สีอะไร และขอความร่วมมือจากแขกให้ได้มากที่สุด ย้ำอีกครั้งสักหนึ่งสัปดาห์ก่อนวันงาน รับรองว่าเมื่อทุกๆ คนใส่เสื้อธีมสีเดียวกันภายใต้แสงไฟสีสวยและบรรยากาศริมทะเล จะต้องเป็นภาพที่สวยงามสุดแน่นอน

สุดท้ายนี้ หลังจากว่าที่บ่าวสาวเตรียมความพร้อมกับทุกรายละเอียดของงานแล้ว อย่าลืมเลือกชุดเจ้าบ่าวและชุดเจ้าสาวให้เข้ากับสถานที่และบรรยากาศด้วยนะจ๊ะ

ดูไอเดียและคำแนะนำเกี่ยวกับการจัดงานแต่งงานที่นี่อีกเพียบ คลิกเลย!

ภาพ : creativeeventsasia.com

พิม พิมประภา สวยหรูเว่อร์กับดีไซน์ชุดแต่งงานไทยในแบบฉบับเจ้าสาวยุคใหม่

พิม – พิมประภา ตั้งประภาพร นางเอกสาวหน้าหวานจากช่องหลากสี กับแฟชั่น ชุดแต่งงานไทย หลากสไตล์ ที่การันตีว่าเจ้าสาวรุ่นใหม่ใส่แล้วไม่ต้องกลัวเชย เผลอๆ ใส่แล้วหวานเหมือนสาวพิมแน่นอน เพราะขนาดทีมงานยังอดยิ้มตามในความหวานของเธอเลย ติดตามแฟชั่นสวยๆ ได้ในนิตยสารแพรวเวดดิ้ง ฉบับเดือนตุลาคม 2562 ได้แล้วที่ร้านหนังสือนายอินทร์ทุกสาขา และหนังสือชั้นนำทั่วประเทศ

ชุดจากร้าน Monique Wedding
โทร. 0-2108-7800, 08-0279-7800
เฟซบุ๊ก : Monique Wedding
ไอจี : @moniqueweddingbkk

แต่งหน้า : ภาสุ เหมียนบุตร
ทำผม : Alexandul
ช่างภาพ : ดวงพร ใบพลูทอง
ผู้ช่วยช่างภาพ : ประเมศฐ์ พิพิธชนินันท์, ณัฐฐาพร เจริญธรรม
สไตลิสต์ : up_kamphoo
ผู้ช่วยสไตลิสต์ : ธัชกร ศักดิ์ศรี
สถานที่ : The Siam Hotel

เลือกชุดได้แล้วก็อ่าน >>> วิธีเลือกชุดแต่งงานไทยให้เหมาะกับเจ้าสาวและแมตช์กับเจ้าบ่าวด้วย <<< ต่อเลย

คำแนะนำการเลือก วงดนตรีในงานแต่ง จากกูรู…เลือกอย่างไรให้ปัง

วงดนตรีในงานแต่ง เป็นอีกสิ่งที่จะช่วยทำให้งานแต่งงานออกมาสนุกสนาน มีชีวิตชีวา และเพิ่มบรรยากาศให้งานแต่งยิ่งโรแมนติกมากขึ้น แต่บ่าวสาวหลายคู่ที่กำลังจะแต่งงาน ต้องมีคำถามเกิดขึ้นแน่ๆ ว่า แล้วเราควรจะเลือกวงดนตรีแบบไหน อย่างไรดีน้า ให้ภาพรวมของงานออกมาดี และเข้ากับงานของเราด้วย

ไม่ต้องเครียดไปค่ะ เพราะแพรว wedding ได้ไปพูดคุยกับกูรูด้าน วงดนตรีในงานแต่ง ถึง 2 วง นั่นคือวง Soulsweet และ วงก๋ำปุ๊ง ให้มาไขความกระจ่างและช่วยเหลือบ่าวสาวในเรื่องนี้ รับรองว่าบ่าวสาวจะได้คำแนะนำดีๆ จากทั้งสองวงดนตรีนี้แน่นอน

ปัจจุบัน วงดนตรีในงานแต่งงานมีกี่แบบให้บ่าวสาวเลือกใช้บริการ

วง Soulsweet : ต้องขอบอกก่อนเลยว่า วงดนตรีงานแต่งสมัยนี้มีหลากหลายประเภทมาก แยกย่อยเยอะมาก ไม่ว่าจะเป็น วงบรรเลง วงวาไรตี้ และอีกหลายๆ แบบค่ะ แต่หลักๆ สามารถแบ่งตามการจัดงานได้ค่ะ คือ สำหรับช่วงพิธีการ และสำหรับช่วงอาฟเตอร์ปาร์ตี้

วงก๋ำปุ๊ง : นอกจากนี้ยังสามารถแบ่งแบบมีนักร้อง และเป็นดนตรีบรรเลงอย่างเดียวด้วย โดยบ่าวสาวสามารถปรึกษากับวงดนตรีได้ ว่าอยากให้ใช้เครื่องดนตรีแบบใด ทางวงก็จะให้คำปรึกษาและให้คำแนะนำในการเลือกจับคู่เครื่องดนตรีให้เข้ากันกับงานได้เช่นเดียวกัน

วงดนตรีในงานแต่ง

วิธีเลือกวงดนตรีให้เหมาะสมกับธีมงาน มีวิธีการเลือกแบบใดบ้าง

วง Soulsweet : ถ้าจัดงานในสวน ริมทะเล หรือแบบเอาท์ดอร์ ควรเลือกวงอะคูสติก แต่ถ้าจัดแบบอบอุ่นเป็นกันเอง แขกไม่เยอะมาก วงดนตรีแบบอะคูสติกก็สามารถตอบโจทย์ได้เช่นกัน เพราะด้วยเรื่องเสียงที่ควบคุมง่าย และเล่นเพลงแบบ chilling song บรรเลงคลอเบาๆ ให้งานดูอบอุ่นยิ่งขึ้น แต่ถ้างานที่จัดในโรงแรมหรือสถานที่ที่เป็นห้องจัดเลี้ยง ก็สามารถเลือกได้หลากหลายเลย หรือเจ้าบ่าวเจ้าสาวที่เป็นสายปาร์ตี้อยากให้มีอาฟเตอร์ปาร์ตี้ ก็อาจจะเลือกเป็น Fullband หรือเรียกว่าจัดเต็มกับเครื่องดนตรีไปเลย

วงก๋ำปุ๊ง : แต่ถ้าบ่าวสาวชื่นชอบวงดนตรีแบบไหน ก็สามารถเลือกได้ตามความชอบของทั้งคู่เช่นกัน แต่ก็ต้องดูด้วยว่าวงดนตรีที่เราเลือกมานั้นเข้ากับบรรยากาศงานของเราไหม ซึ่งไม่ควรเลือกวงดนตรีกับลักษณะงานให้ขัดแย้งกันมากจนเกินไป ไม่อย่างนั้นภาพรวมของงานจะออกมาดูไม่ดี

ถ้าพูดถึงวงดนตรีในงานแต่งงาน แต่ละวงจะมีราคาที่แตกต่างกัน เนื่องมาจากสาเหตุอะไร

วง Soulsweet : เป็นเรื่องของคุณภาพของนักดนตรีค่ะ บางคนมีประสบการณ์ในวงการดนตรีมาเป็น 10 ปี เพราะฉะนั้นราคาที่ต่างกันก็จะมาจากความเป็นมืออาชีพ เพราะฉะนั้นหากบ่าวสาวจะเลือกวงดนตรีไปเล่นในงาน ก็อาจจะต้องเลือกจากคุณภาพของวงด้วย โดยสามารถตัดสินใจได้จากการดูวิดีโอพรีเซ้นท์ หรือจากการบอกต่อของเพื่อนๆ ที่ให้วงดนตรีนั้นๆ ไปเล่นแล้วประทับใจ นั่นจึงทำให้ราคาแตกต่างกันไปตามประสบการณ์ของนักดนตรี ก็เหมือนกับศิลปินต่างๆ ถ้าเขามีผลงานจนเป็นตำนานก็แสดงว่าศิลปินท่านนั้นต้องเก่งและมีคุณภาพ

วงก๋ำปุ๊ง : อีกหนึ่งสิ่งที่ทำให้ราคาต่างกันก็คือ ระยะทางของการเดินทางไปแสดงด้วย ถ้าวงนั้นอยู่ใกล้ๆ กับสถานที่จัดงานของบ่าวสาว ก็อาจจะเสียค่าเดินทางน้อยหน่อย แต่ถ้าระยะทางค่อนข้างไกล ก็อาจจะต้องเพิ่มค่าน้ำมัน หรือค่าที่พักสำหรับวงดนตรีด้วยเช่นกัน

วงดนตรีในงานแต่ง

สิ่งที่บ่าวสาวควรจะต้องพูดคุยกับวงดนตรีก่อนจ้างมีสิ่งใดบ้าง

วง Soulsweet : บ่าวสาวต้องแจ้งรายละเอียดกับทางวงดนตรีว่า งานแต่งเป็นแบบไหน ธีมงานเป็นอย่างไร อยากได้วงสไตล์ไหน หรือแนวเพลงที่อยากให้เล่นในงาน รวมไปถึงเรื่องสถานที่จัดงานด้วยว่าเป็นแบบไหน ทางสถานที่สามารถรองรับวงดนตรีที่เจ้าบ่าวเจ้าสาวอยากใช้ในงานได้หรือเปล่า และมีแขกประมาณกี่คน ซึ่งสำหรับบ่าวสาวที่ไม่ทราบเรื่องเกี่ยวกับวงดนตรีเลย ก็ควรปรึกษาและสอบถามเรื่องต่างๆ ที่สงสัยกับวงดนตรีไปตรงๆ เพื่อที่ทางวงจะได้ให้คำแนะนำลักษณะวงที่เข้ากับงานแต่งของบ่าวสาวได้มากที่สุด

วงก๋ำปุ๊ง : อย่างแรกเลยคือบ่าวสาวอาจจะต้องเช็กว่าทางสถานที่จัดงานมีเครื่องเสียงให้หรือไม่ ซึ่งสิ่งนี้สำคัญมาก รวมไปถึงพวกลำโพง มิกซ์เซอร์ หรือมอนิเตอร์ด้วย เพราะบางสถานที่อาจจะสามารถให้ใช้เครื่องเสียงของทางสถานที่ได้ แต่ถ้าสถานที่จัดงานไม่มีอุปกรณ์เหล่านี้ ทางเจ้าบ่าวเจ้าสาวก็อาจจะต้องจ้างเครื่องเสียงจากข้างนอกมาเพิ่ม

มีสิ่งที่อยากฝาก หรือแนะนำเพิ่มเติมให้บ่าวสาวเกี่ยวกับการจ้างวงดนตรีในงานแต่งไหม

วง Soulsweet : อยากฝากถึงบ่าวสาวในอนาคตว่า วงดนตรีมีหลากหลาย แต่ละวงดนตรีก็จะมีความแตกต่างกัน ทั้งสไตล์การเล่น และรูปแบบของวงดนตรี อยากให้ค่อยๆ เลือก ใช้เวลากับการเลือกวงดนตรีให้ได้มากที่สุด ถึงแม้ในส่วนของวงดนตรีงานแต่งจะเป็นสิ่งที่บ่าวสาวจะนึกถึงเกือบสุดท้าย แต่วงดนตรีในงานแต่งเป็นอีกส่วนประกอบหนึ่งในงานที่สำคัญมากๆ ถ้าบ่าวสาวเลือกออกมาได้ตรงใจ ตรงกับคาแรกเตอร์ของงาน งานของคุณก็จะออกมาประทับใจทุกคนที่อยู่ในงานวันนั้นแน่นอน

วงก๋ำปุ๊ง : อยากฝากให้บ่าวสาวตัดสินใจจากคุณภาพและความพอใจ ซึ่งคุณภาพในที่นี่คือการเล่นของแต่ละวงดนตรี ว่าฟังแล้วชอบไหม ไพเราะถูกใจเราและผู้ใหญ่ในงานหรือไหม ถ้าเจ้าบ่าวเจ้าสาวพึงพอใจและตัดสินใจเลือกวงดนตรีแล้ว ทุกๆ คนในวงก็จะมีกำลังใจ ตั้งใจ และทุ่มเทแสดงความสามารถออกมาได้อย่างเต็มที่ เพราะวงดนตรีทุกวงตระหนักดีว่างานแต่งงานเป็นงานที่สำคัญมากสำหรับเจ้าบ่าวเจ้าสาวทุกคู่ ในฐานะนักร้องนักดนตรีจึงถือว่าเป็นเกียรติมากที่ทางบ่าวสาวไว้ใจให้วงนั้นๆ ไปเล่นในวันสำคัญ

วงดนตรีในงานแต่ง

เป็นอย่างไรคะ กับคำแนะนำจากสองวงดนตรีมืออาชีพ พอจะมีไอเดียกันบ้างแล้วใช่ไหมเอ่ย … ถ้าตัดสินใจเลือกวงดนตรีได้แล้ว มาดูคำถามที่ ต้องถาม! 12 คำถามก่อนจ้างวงดนตรี

ขอบคุณข้อมูลจาก : วง Soulsweet (โทร. 09-3013-9999) และวง วงก๋ำปุ๊ง (โทร. 08-8993-5519)
ภาพจาก : tallypress.com , benmallare.com , bespoke-experiences.com , easyweddings.co.uk

เช็คก่อนเชิญ 7 คำถามช่วยตัดสินใจว่าควรเชิญใครมางานแต่งงานของคุณ

จะเชิญใครมา งานแต่งงาน บ้างดีนะ?

นี่คงเป็นคำถามของว่าที่เจ้าบ่าว-เจ้าสาวที่กำลังนั่งลิสต์รายชื่อแขกใน งานแต่งงาน ของคุณกันอยู่ ซึ่งรายชื่อแขกถือว่ามีส่วนสำคัญอย่างมากในการตัดสินใจว่าจะเชิญใครมาร่วมฉลองวันสำคัญในชีวิตของคุณทั้งคู่บ้าง และยังส่งผลไปถึงเรื่องของการเลือกสถานที่จัดงานแต่งงาน อาหาร การจัดที่นั่งต่างๆ และงบประมาณที่คุณต้องทุ่มอีกด้วย บางคู่ยิ่งนั่งลิสต์ก็ยิ่งมีเยอะขึ้นเรื่อยๆ ก็อย่างว่า คนเราต้องพบเจอคนมากมายที่ผ่านเข้ามาในชีวิต แต่ใครกันน้าที่มีความสนิทสนมมากพอที่คุณจะเชิญพวกเขามางานแต่งงานในฝันของพวกคุณ ลองใช้วิธีจากการตั้งคำถามต่อไปนี้ เพื่อลิสต์ชื่อคนสำคัญและตัดคนที่คุณรู้สึกลำบากใจออกไป แค่นี้คุณก็ไม่ต้องมานั่งปวดหัวกับรายชื่อแขกอีกแล้วค่ะ

งานแต่งงาน

พวกเขาเป็นครอบครัวที่ยังคุ้นเคยหรือไม่?

ญาติห่างๆ ที่คุณไม่ได้คุ้นเคย ขาดการติดต่อกันไปนานแล้ว คุณสามารถยกเว้นในการเชิญพวกเขามางานแต่งงานได้เช่นกัน แต่ด้วยจารีตประเพณีของสังคมไทยคุณก็อาจจะต้องปรึกษาพ่อแม่ของคุณด้วยว่าต้องการเชิญให้พวกเขามางานแต่งงานของลูกหรือไม่ ถึงแม้ญาติผู้ใหญ่บางท่านคุณอาจไม่ได้คุ้นเคยสนิทกัน แต่สำหรับพ่อแม่ของคุณแล้วพวกเขาอาจจะรู้จักกันดี ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับเรื่องมารยาททางสังคมของทางพวกผู้ใหญ่แล้วล่ะค่ะ ส่วนทางด้านพ่อ-แม่ ปู่-ย่า ตา-ยาย ลุง-ป้า น้า-อา ที่เป็นญาติพี่น้องทางสายเลือดของคุณแท้ๆ และเป็นญาติพี่น้องของพ่อแม่ของคุณ พวกท่านควรที่จะได้รับคำเชิญอย่างยิ่งเลยค่ะ

พวกเขาเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตประจำวันของคุณหรือไม่?

บางทีเพื่อนเก่าของคุณที่ไม่ได้สนิทสนมกันมากอาจทำให้คุณลำบากใจ เพียงเพราะโซเชียลมีเดียอย่างเฟซบุ๊กที่คุณได้เพิ่มการเป็นเพื่อนกับพวกเขา มีการทักอินบ็อกคุยกันบ้างแบบนานๆ ที แต่ในชีวิตประจำวันพวกคุณก็ไม่ได้มานัดสังสรรค์เจอกันเหมือนเพื่อนสนิทในสมัยมัธยมหรือสมัยมหาลัย ที่คุณตัดสินใจแน่นอนว่าจะเชิญเพื่อนสนิทมาร่วมงานแต่งงาน ส่วนเพื่อนที่ไม่ได้สนิทสนมรู้ใจกันและไม่ได้เจอกันในชีวิตประจำวันเลย ขอให้คุณอย่าคิดมากที่จะตัดรายชื่อพวกเขาออกไป ดีกว่าเชิญพวกเขามาร่วมงานแต่งงานเพียงเพราะเป็นเพื่อนกันในโลกโซเชียลเลยค่ะ

คุณใช้เวลากับพวกเขานอกเวลางานหรือไม่?

สำหรับเพื่อนร่วมงานก็ไม่ได้จำเป็นต้องได้รับคำเชิญทุกคน ถ้าจะเลี้ยงทั้งบริษัทงี้คุณคงเลี้ยงกันไม่ไหวมั้งคะ เลือกชวนเฉพาะเพื่อนร่วมงานที่มีความสำพันธ์ส่วนตัว เพื่อนที่ดีให้คำปรึกษาคอยช่วยเหลือเรื่องการทำงานของเรา หากยังกังวลว่าคนอื่นจะโกรธจะน้อยใจเราไหมแบบนั้นแสดงว่าคุณแคร์พวกเขาแล้วล่ะ และคุณก็ควรที่จะเชิญพวกเขามาร่วมงานแต่งงานของคุณด้วยเช่นกัน มันก็เป็นมารยาททางสังคมเหมือนกันนะคะในเรื่องนี้ นอกจากนี้คนที่ควรถูกเชิญก็จะเป็นหัวหน้างาน แม้คุณไม่ได้ใช้เวลากับเขาข้างนอกที่ทำงานก็ตาม รวมไปถึงรุ่นพี่ที่คุณเคารพในที่ทำงานด้วยค่ะ

พวกเขาเป็นเพื่อนที่ดีของคุณจริงๆ หรือไม่?

ตัดสินได้จากการกระทำที่เขาปฏิบัติทำให้คุณสัมผัสได้ โดยเฉพาะเมื่อเขาทราบว่าคุณจะแต่งงาน เพื่อนที่ดีจะต้องร่วมยินดีกับคุณด้วยความจริงใจ บางคนถึงกับยื่นมือเขามาช่วยเหลือคุณในขั้นตอนการเตรียมงาน หรือเพียงแค่คอยให้กำลังใจคุณถามถึงสารทุกข์สุขดิบ เท่านี้ก็แสดงถึงความห่วงใยของเพื่อนที่ดีที่ควรทำต่อกันแล้วค่ะ และเพื่อนประเภทที่คุณอยู่ด้วยแล้วรู้สึกลำบากใจ คุณสามารถละเว้นการเชื้อเชิญพวกเขาได้นะคะ ต้องอย่าลืมว่างานนี้เป็นงานแต่งงานในฝันของคุณ คุณก็ควรที่จะมีความสุขสบายใจที่สุดในงานค่ะ

คุณต้องการมีน้องๆ หนูๆ มาร่วมสร้างสีสันในงานไหม?

บ่าว-สาวบางคนอาจไม่ได้อยู่ในขั้นรักเด็กขนาดที่จะยอมให้เด็กเล็กเด็กน้อยมาวิ่งเล่นในงานแต่งงานของคุณ ซึ่งบางทีคนที่คุณเชิญมาเขามีครอบครัวมีลูกแล้ว จึงมีความจำเป็นที่จะต้องนำลูกมาร่วมงานแต่งงานของคุณด้วย คุณจึงต้องยอมทำใจนิดนึงหากลูกของเขาเป็นเด็กที่ดูมีความอะเลิทมากจนเกินไป อาจต้องมีการบอกอ้อมๆ หน่อย ใช้เหตุผล เช่น งานของคุณเลิกดึกนะอยากให้เพื่อนของคุณอยู่จนจบงานด้วย ก็เป็นวิธีหลีกเลี่ยงที่เพื่อนของคุณจะนำลูกน้อยมาร่วมงานด้วยได้วิธีหนึ่ง อย่างไรก็ตามการมีเด็กในงานก็ช่วยทำให้บรรยากาศดูมีสีสันมากขึ้น บ่าว-สาวคู่ไหนที่รักเด็กๆ เต็มใจให้เด็กมาร่วมงานก็อย่าลืมเตรียมตัวรับมือวางแผนงานแต่งงานกันดีๆ นะคะ อย่าลืมว่าเด็กยังไงก็คือเด็ก มีซุกซนกันบ้างเป็นเรื่องปกตินะคะ

พวกเขาเป็นหนึ่งในเพื่อนสนิทของคุณพ่อ-คุณแม่ของคุณหรือไม่?

การที่คุณประกาศแต่งงาน นอกจากตัวคุณเองจะมีความสุขแล้ว พ่อแม่ของคุณก็ดีใจไม่แพ้คุณเลยแหละค่ะ ท่านอาจจะดีใจถึงขั้นไปบอกคนรอบข้างของพวกท่านว่าลูกสาว-ลูกชายจะแต่งงาน ทีนี้ด้วยความต่างของช่วงวัย ผู้ใหญ่บางท่านก็อยากที่จะมาแสดงความยินดีมาร่วมงานแต่งงานของคุณด้วย ก็เป็นหน้าที่ของคุณแล้วที่คุณต้องคัดกรองเพื่อนของคุณพ่อคุณแม่ของคุณ ซึ่งคุณสามารถเชิญมาได้นะคะ แต่ควรเลือกเชิญเฉพาะคนที่คุณพ่อคุณแม่ของคุณสนิทเท่านั้น ให้คุณอธิบายใช้เหตุลให้พ่อแม่เข้าใจถึงงบที่จะบานปลายจนปัญหาต่างๆ ตามมาในที่สุด

คุณต้องการพวกเขาในงานแต่งงานจริงๆ หรือไม่?

คำถามนี้คุณต้องถามกับตัวเองดีๆ เลยค่ะว่า แขกทั้งหมดที่คุณจะเชิญมาคุณอยากให้เขามาร่วมงานแต่งงานของคุณจริงๆไหม ยิ่งถ้าคุณลิสต์รายชื่อทั้งหมดแล้วต้องตกใจเมื่อดูจำนวนแขกทั้งหมดที่จะเชิญมา ให้คุณใช้วิธีย้อนกลับไปดูตั้งแต่รายชื่อแรกไล่มาจนถึงรายชื่อสุดท้ายว่าเขาเป็นใคร มีความสำคัญกับเราอย่างไร และใจของคุณอยากให้เขามาร่วมงานนี้จริงๆ ไหม หากคุณยังลังเล คุณก็สามารถตัดเขาออกจากลิสต์รายการได้ แต่ขอให้แน่ใจจริงๆ ว่าจะไม่เกิดปัญหาตามมาภายหลังที่ถึงกับมองหน้ากันไม่ติดแบบนี้ก็อย่าตัดออกเลยจะดีกว่าค่ะ

ทั้งหมดนี้ก็คือคำถามที่อยากให้คุณถามตัวเองดีๆ ก่อนร่อนการ์ดเชิญแจกแขกผู้ร่วมงานทั้งหมด เพราะเป็นงานที่สำคัญครั้งหนึ่งในชีวิตของคุณทั้งคู่ ไม่ควรมีใครมาทำให้งานนี้หมดสนุกไร้รอยยิ้มบนใบหน้าเจ้าบ่าว-เจ้าสาว และควรเป็นงานแต่งงานที่เป็นจุดเริ่มต้นของความสุขในการใช้ชีวิตคู่ ไม่ควรนำปัญหาจากการจัดงานแต่งงานให้ล่วงเลยมาจนถึงการใช้ชีวิตคู่นะคะ

ลิสต์รายชื่อกันเรียบร้อยแล้วขั้นตอนต่อไปมาเลือกการ์ดเชิญเก๋ๆ ที่ไม่ซ้ำใครกันดูสิคะกับ รวมไอเดียการ์ดแต่งงานสุดครีเอท ที่เห็นแล้วอยากจะแต่งบ้างซักวันนี้พรุ่งนี้! รับรองร่อนการ์ดหาใครคนนั้นต้องอยากมาร่วมงานแต่งงานของคุณแน่นอนเลย^^

Cr : marthastewartweddings.com, citymash.com, c21grandlake.com

8 เรื่องที่บ่าวสาวต้องเช็คให้ดีก่อนเซ็นจองสถานที่แต่งงาน

เช็คทั้ง 8 เรื่องนี้ให้ดีก่อนเซ็นจอง สถานที่แต่งงาน กันน้าาา ^^

เรื่องสถานที่จัดงานแต่งงานไม่ใช่แค่มีเงินก็จบนะจ๊ะว่าที่บ่าวสาวทั้งหลาย แม้จะเป็นโรงแรมชั้นนำ 5 ดาว หรือโรงแรมหรูใจกลางกรุงก็ไม่ได้การันตี 100% ว่าจะถูกใจทุกคู่รัก วันนี้ แพรว wedding เลยสรุปหลักการง่ายๆ ให้คุณได้นำไปใช้ประกอบการตัดสินใจก่อนจะจรดปากกาเซ็นจอง สถานที่แต่งงาน

1. จำนวนแขก

จำนวนแขกเป็นสิ่งสำคัญลำดับแรกที่จะเป็นตัวกำหนดสถานที่ที่คุณจะเลือก โดยต้องคำนวณให้แน่ใจว่า แขกทั้งสองฝ่ายมีจำนวนกี่คน เนื่องจากจะต้องมองหาสถานที่ที่สามารถรองรับแขกได้เพียงพอ ไม่แคบเกินไปจนแขกรู้สึกอึดอัดเหมือนถูกยัดเป็นปลากระป๋อง

2. จัดเลี้ยงแบบไหน

รูปแบบการจัดเลี้ยงอันได้แก่ โต๊ะจีน บุฟเฟต์ ค็อกเทล และซิทดาวน์ดินเนอร์ ก็เป็นอีกหนึ่งปัจจัยที่จะช่วยให้คุณตัดสินใจเลือกสถานที่จัดงานแต่งได้ง่ายขึ้น ซึ่งคุณและคนรักควรจะปรึกษากันก่อนว่าจะจัดเลี้ยงแบบใด เนื่องจากการวางโต๊ะ เก้าอี้ รวมถึงซุ้มอาหารจะต้องคำนึกถึงพื้นที่ของสถานที่ด้วย เช่น หากต้องการจัดเลี้ยงแบบโต๊ะจีน ก็ควรคำนวณให้รู้ว่าต้องมีกี่โต๊ะ ห้องจัดเลี้ยงต้องมีพื้นที่แค่ไหนที่จะวางจำนวนโต๊ะได้พอดีและไม่อึดอัด เดินเหินได้สะดวกสบาย รวมถึงสถานที่บางแห่งอาจรองรับแค่การจัดเลี้ยงประเภทโต๊ะจีนกับค็อกเทลเท่านั้น ไม่สามารถจัดเลี้ยงแบบซิทดาวน์ดินเนอร์หรือแบบอื่นๆ ได้

3. จัดกี่พิธี แล้วจะใช้สถานที่เดียวกันหมดหรือไม่

ไม่ว่าจะงานแต่งแบบไทยหรืองานแต่งแบบจีน ก็มักจะมีพิธีเช้าและงานฉลองตอนเย็นแยกกันเสมอ ดังนั้นว่าที่บ่าวสาวควรจะคิดเผื่อไปด้วยว่า ทั้งสองพิธีคุณจะจัดในสถานที่เดียวกันหรือไม่ บางคู่จะจัดพิธีเช้าที่บ้านแล้วค่อยมาจัดงานฉลองที่โรงแรม หรือจะจัดที่โรงแรมเดียวกันทั้งเช้าและเย็นเพื่อความสะดวก ทั้งนี้รูปแบบการจัดงานเช้าและเย็นก็จะมีผลกับค่าใช้จ่าย เพราะฉะนั้นอย่าลืมเช็คเรื่องงบประมาณของตัวเองด้วยนะ

4. ความสะดวกสบายในการเดินทาง

การเดินทางมาร่วมงานของบ่าวสาวและแขกก็เป็นอีกหนึ่งปัจจัยที่ควรนำมาพิจารณาก่อนเลือกสถานที่จัดงานแต่งด้วยเช่นกัน ว่าที่บ่าวสาวบางคู่อาจจะเลือกสถานที่ที่อยู่ใกล้บ้านหรือเรือนหอของตนเอง เพื่อความสะดวกสบายในการเดินทางไปและกลับ หรือบางครั้งอาจเลือกสถานที่ที่แขกสามารถเดินทางมาร่วมงานได้ง่าย เช่น ติดกับสถานีรถไฟฟ้า เป็นต้น

5. สภาพห้องและการตกแต่ง

ห้องจัดงาน 1 ห้อง ไม่ได้สร้างมาแล้วใช้เพียงแค่งานเดียว และก่อนหน้าที่คุณจะแต่งงาน ห้องๆ นั้นอาจผ่านการจัดงานมาแล้วเป็นร้อยครั้ง ดังนั้นควรตรวจดูสภาพห้องให้ดีว่าสมบูรณ์แค่ไหน ผนังห้อง พื้นพรม ความสูงของเพดานห้อง รวมถึงสไตล์ห้องว่าตรงกับธีมงานที่ตั้งใจไว้หรือไม่ เพราะหากว่าห้องยังสวยงามและตรงกับธีมงานที่วางไว้ก็จะช่วยประหยัดงบในการตกแต่งได้มาก แต่ถ้าไม่ดูให้ดีๆ ได้ห้องที่มีตำหนิ คุณก็จะต้องเสียเงินในการตกแต่งเพื่อปกปิดตำหนิเหล่านั้นเพิ่มขึ้นโดยไม่จำเป็น

6. เงื่อนไขต่างๆ

ก่อนจะเลือกสถานที่ใดๆ สิ่งสำคัญอีกหนึ่งอย่างที่จะต้องพิจารณาให้ถี่ถ้วนก็คือ เงื่อนไขต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น เงื่อนไขการจ่ายเงิน การวางมัดจำ และการใช้สถานที่ เช่น ต้องวางมัดจำเท่าไหร่ และมีเงื่อนไขและข้อกำหนดในการใช้ห้องอย่างไรบ้าง รวมถึงอย่าลืมดูกฎและข้อห้ามของการใช้สถานที่ด้วยว่ารับได้ไหม โดยเฉพาะเงื่อนไขนั้นๆ เอื้อต่อการจัดงานหรือเปล่า และหากเกิดข้อผิดพลาด คุณจะต้องรับผิดชอบตามเงื่อนไขที่กำหนดไว้ได้หรือไม่

7. ที่จอดรถ

การจัดงานแต่งงานคงไม่ได้มีแค่เจ้าบ่าว เจ้าสาว พ่อแม่และครอบครัวเพียงไม่กี่คน แต่ยังมีแขกเหรื่ออีกมากมายที่คุณแจกการ์ดเชิญให้เขามาร่วมงาน และแน่นอนว่าที่จอดรถจะต้องรองรับเพียงพอกับจำนวนแขกด้วย รวมถึงหากต้องมีการประทับตรางานแต่งลงในใบจอดรถ ทางเจ้าภาพก็ต้องเตรียมตราประทับและแจ้งแขกให้ชัดเจน ไม่เช่นนั้นแขกอาจจะต้องจ่ายเงินค่าที่จอดรถเอง

8. ทางหนีไฟ

เหตุฉุกเฉินสามารถเกิดขึ้นได้เสมอ เพราะฉะนั้นในงานที่มีคนมารวมกันมากๆ อย่างงานแต่งงาน สิ่งหนึ่งที่คุณควรจะพิจารณาประกอบกับกันเลือกสถานที่จัดงานก็คือ ทางหนีไฟ โดยควรเช็คว่าสถานที่นั้นๆ มีทางหนีไฟอยู่ในจุดไหนบ้าง ใกล้กับห้องจัดเลี้ยงหรือไม่ รวมถึงถ้ามีการตกแต่งสถานที่ก็ควรจะทำให้เห็นทางหนีไฟอย่างชัดเจน

การเลือกสถานที่จัดงานแต่งไม่ใช้เรื่องยากเกินความสามารถของว่าที่บ่าวสาว เพียงแค่คุณรู้ความต้องการของตัวเอง และเช็คสิ่งสำคัญทั้ง 8 ข้อตามที่เราบอกไปนี้ รับรองว่าคุณจะได้ห้องจัดเลี้ยงที่คุ้มค่าและตอบโจทย์ความต้องการของคุณแต่นอน

แล้วมาเช็ค จุดไหนขายได้จุดไหนต้องระวังในสถานที่แต่งงาน กันต่อเลย

ภาพ : www.jonathanivyphoto.com

มาฟังทิปส์จาก ดีเจปาร์ตี้ ชื่อดังกับทิปส์ที่จะทำให้แขกในงานมาร่วมแดนซ์ฟลอร์

เบื่อไหมจ๊ะ เวลาจัดงานแต่งงานมีเพลงแดนซ์มันๆ แต่แขกในงานกลับนั่งกันเฉยๆ เล่นมือถือ ถ่ายรูป ไม่กล้าออกมาเปิดฟลอร์แดนซ์กัน แบบนี้สงสัย ดีเจปาร์ตี้ คงเหงาแย่

แพรว wedding ได้ไปเจอคำแนะนำนดีๆ จาก ดีเจปาร์ตี้ ตัวพ่อของวงการที่จะมาให้คำแนะนำวิธีทำให้ แขกในงานแต่งมาร่วมแดนซ์ในฟลอร์เต้นรำ ซึ่งดีเจที่ว่าก็คือ DJ Neza ผู้มีประสบการณ์ในการเป็นดีเจมากกว่า 10 ปี จัดว่าเป็นมือโปรในด้านดีเจก็ว่าได้ เพราะเขาเคยเป็นดีเจในงานสำคัญของ โอปราห์ วินฟรีย์ และ คิม คาร์ดาเชียน 

ดีเจปาร์ตี้
www.nbarrettphotography.com

DJ Neza ได้แนะนำทิปส์เล็กๆ น้อยๆ ที่สามารถนำมาปรับใช้ได้ รับประกันเลยว่าฟลอร์เต้นรำในงานแต่งจะลุกเป็นไฟ ถ้าหากคุณทำตามข้อแนะนำดังต่อไปนี้

แขกในงานแต่ง

  • เลือกดีเจดี มีชัยไปกว่าครึ่ง

บอกได้เลยว่าไม่ใช่เรื่องง่ายกับการเลือกดีเจ เพราะดีเจเป็นส่วนหนึ่งในการเอนเตอร์เทนแขกในงานแต่ง ซึ่งถ้าดีเจที่บ่าวสาวเลือกมาเป็นมือโปรแล้วล่ะก็ เชื่อได้ว่าเขาจะสามารถดึงดูดให้แขกสนุกตามๆ กันไปได้ และยังไงฟลอร์เต้นรำของคุณก็จะมีสีสันแน่นอน DJ Neza แนะนำต่อว่า ถ้าเราหาดีเจที่ดีและถูกใจได้แล้วควรจองล่วงหน้าเป็นปี เพราะดีเจเหล่านี้จะมีคิวทองและต้องจองล่วงหน้ากันนานทีเดียว (สำหรับดีเจที่มีชื่อเสียงระดับประเทศหรือระดับโลกก็น่าจะประมาณนี้) นอกจากนี้อย่าเลือกดีเจจากราคานะจ๊ะเพราะเป็นเรื่องที่บอกเลยว่าพลาดมาก ทางที่ดีควรเลือกจากผลงานและประสบการณ์จะดีสำหรับงานของคุณที่สุด

  • ปล่อยให้ดีเจทำหน้าที่ของเขาให้เต็มที่

หลายครั้งที่งานกร่อย เพราะบ่าวสาวไปขอข้ามเพลงที่ดีเจได้เตรียมเอาไว้แล้ว แน่นอนว่าบ่าวสาวกับดีเจมีมุมมองที่แตกต่างกัน บางเพลงบ่าวสาวอาจจะมองว่าไม่สนุก น่าเบื่อ แต่ใครจะไปรู้ล่ะว่าเพลงที่ดีเจเขาคัดสรรมานั้น มันต้องถูกใจแขกที่มาร่วมในงานสิ ดังนั้นเป็นไปได้ควรปล่อยให้ดีเจเป็นคนควบคุมเพลงเอง ส่วนเราก็มีหน้าที่แดนซ์ แดนซ์ แดนซ์ แล้วก็แดนซ์ไปนะจ๊ะ

  • เลือกเพลงสไตล์เดียวกัน

บ่าวสาวสามารถบอกกับดีเจก่อนเริ่มงานได้ว่าชอบแนวเพลงแบบใด ต้องการให้มิกซ์แบบใด ถ้าเป็นเพลงสากลก็เน้นเป็นเพลงสากลไปเลย ไม่ใช่เปิดเพลงสากล มิกซ์กับเพลงลูกทุ่งไทย มันก็จะดูแปลกๆ ปรับสเต็ปแดนซ์กันแบบงงๆ และอาจทำให้อารมณ์ที่กำลังแดนซ์อยู่อย่างเมามันสะดุดลงได้

  • ไว้ใจดีเจที่จ้างมา

ปล่อยอารมณ์ ปล่อยความสนุกไปกับดีเจที่เราเลือกมาเลย ถึงแม้บางเพลงจะสนุกหรือไม่สนุก ก็ปล่อยให้ทุกอย่างเป็นไปตามที่ดีเจทำการควบคุมเพลง เพราะหากว่าถ้าบรรยากาศเริ่มกร่อย ดีเจก็จะสามารถมิกซ์เพลงให้บรรยากาศกลับมาครึกครื้นได้อีกรอบแน่นอน

แขกในงานแต่ง

และนี่คือคำแนะนำจาก DJ Neza ลองเอาไปทำตามดูนะจ๊ะ เพื่อที่ฟลอร์เต้นรำจะได้สนุกสนานและลุกเป็นไฟด้วยสเต๊ปการแดนซ์ของบ่าวสาว และแขกในงานแต่ง … แต่ถ้าอยากจะลองเปลี่ยนบรรยากาศลองดู  เพลย์ลิสต์ 10 เพลงรักอินเตอร์สุดโรแมนติกน่าเปิดในงานแต่ง ก็เก๋ไปอีกแบบน้า

ขอขอบคุณข้อมูลจาก : marthastewartweddings.com
ภาพจาก : Pinterest.com , marthastewartweddings.com

มาทำความรู้จักกับเวดดิ้งแพลนเนอร์ ก่อนเข้ารับบริการกันสักนิด

เวดดิ้งแพลนเนอร์ คืออะไร ? ทำไมต้องใช้ เวดดิ้งแพลนเนอร์ ?

เดี๋ยวนี้การจัดงานแต่งงานมีบริการต่างๆ รองรับมากขึ้น ทำให้ช่วยเบาแรงบ่าวสาวไปได้เยอะ โดยเฉพาะบริการจาก เวดดิ้งแพลนเนอร์ ที่กำลังมาแรงแซงโค้งในตอนนี้ แต่ก็ยังมีความเข้าใจผิดๆ เกี่ยวกับบริการของเวดดิ้งแพลนเนอร์อยู่ไม่น้อย บางคนคิดว่าการใช้เวดดิ้งแพลนเนอร์จะเป็นคนจัดการตกแต่งภายในงานให้กับคุณเหมือนกับออแกไนซ์ที่จะเนรมิตแบ็คดรอปสวยๆ ตกแต่งงานแต่งงานให้เข้ากับธีมได้ ช้าก่อนนะคะ! ถ้าคุณกำลังเข้าใจแบบนี้อยู่ งั้นวันนี้เรามาคลายความสงสัยกันดีกว่าว่าหน้าที่ของเวดดิ้งแพลนเนอร์นั้นจะช่วยเหลืออะไรคุณในการจัดงานแต่งงานได้บ้าง มาศึกษาให้ดีก่อนเข้ารับการบริการกันค่ะ ซึ่งผู้ที่จะมาช่วยไขข้อข้องใจในเรื่องนี้ก็คือ คุณเปิ้ล แห่ง Marisa The Planner and Organizer นั่นเอง

เวดดิ้งแพลนเนอร์

เวดดิ้งแพลนเนอร์คืออะไร และทำไมคู่บ่าวสาวต้องใช้เวดดิ้งแพลนเนอร์?

การทำงานของเวดดิ้งแพลนเนอร์มีลักษณะงานเกี่ยวกับการวางแผนงานแต่งงานให้กับคู่บ่าวสาว เช่น เรื่องกำหนดการในพิธี ซึ่งคนที่ไม่เคยแต่งงานมาก่อนก็แทบจะไม่รู้เลยว่าต้องทำอะไร ใช้อะไรในงานบ้าง เกิดความงงงวยไม่รู้จะต้องเริ่มจากตรงไหนดี ถ้าคุณมีเวดดิ้งแพลนเนอร์ก็เหมือนมีผู้ช่วยหรือเป็นเลขาฯ ส่วนตัวให้กับคู่บ่าวสาวที่ต้องการคำปรึกษาและคำแนะนำในการจัดงานแต่งงาน ดังนั้นบริการเวดดิ้งแพลนเนอร์ที่คุณจะได้รับจะเน้นไปในทางการบริการที่คอยให้คำปรึกษา และตัวเวดดิ้งแพลนเนอร์จะคอยเลือกสรรสิ่งที่ดีที่สุดให้กับงานแต่งงานตามที่คุณต้องการนั่นเอง

โดยทั่วไปแล้วเวดดิ้งแพลนเนอร์มีบริการอะไรบ้าง?

การบริการของเวดดิ้งแพลนเนอร์นั้น นอกจากให้คำปรึกษาแก่คู่บ่าวสาว ก็ยังมีบริการติดต่อประสานงานในส่วนต่างๆ ดำเนินการแบบ one stop service ซึ่งก็จะคอยให้คำแนะนำหากมีจุดไหนของงานที่ขาดตกบกพร่องไป พร้อมกับติดต่อประสานงานทำการล็อคคิวกับทุกทีมที่ทางบ่าวสาวสนใจ เริ่มตั้งแต่พาทั้งคู่ไปถ่ายภาพพรีเวดดิ้ง ถ่ายพรีเซ็นเทชั่น หากยังตัดสินใจเรื่องธีมไม่ได้ เวดดิ้งแพลนเนอร์ก็จะช่วยแนะนำคอนเซ็ปต์ที่ดูเข้ากับคู่ของคุณ พูดคุยเรื่องการ์ด เรื่องของชำร่วย ใส่ใจเรื่องชุดเจ้าบ่าวเจ้าสาวให้ทั้งคู่ออกมาสวยหล่อเปล่งประกายในงาน ตลอดจนเข้าพูดคุยประสานงานกับทางสถานที่ อาหาร เครื่องดื่ม ส่วนในวันงานแต่งงานของคุณเวดดิ้งแพลนเนอร์ก็จะเป็นผู้ควบคุมภาพรวมของงานทั้งหมด รันคิวงานให้ออกมาอย่างราบรื่น

งบประมาณในการใช้บริการเวดดิ้งแพลนเนอร์

ถ้าคุณต้องการใช้บริการเวดดิ้งแพลนเนอร์ คุณควรแบ่งงบประมาณหลักๆ ออกเป็น 3 ส่วนด้วยกัน ได้แก่ หนึ่ง. ค่าใช้จ่ายส่วนตัว ซึ่งจะเป็นพวกค่าแต่งหน้า ทำผม ค่าชุดแต่งงาน ค่าออกแบบและทำการ์ดเชิญ ของชำร่วยที่จะต้องแจกแขกในงาน สอง. ค่าสถานที่จัดงานแต่งงาน ในส่วนนี้ก็จะรวมไปถึงค่าอาหารและเครื่องดื่ม ค่านำเข้าต่างๆ ที่ทางโรงแรมจะเรียกเก็บเพิ่มเติม และสาม. ค่าจัดตกแต่งสถานที่ในงานทั้งหมด แต่ถ้าคุณเหมาแพ็คเกจกับทางโรงแรม ทุกอย่างจะถูกรวมไปในค่าสถานที่แล้ว ซึ่งงบประมาณทั้ง 3 ส่วนนี้ จะมากหรือน้อยขึ้นอยู่กับจำนวนแขก สถานที่จัดงาน และลักษณะงานแต่งงานที่คุณอยากได้ จึงไม่มีราคาที่ตายตัวแน่ชัด

ข้อดีของการใช้เวดดิ้งแพลนเนอร์

สิ่งที่เห็นได้ชัดที่สุดหากคุณจะใช้เวดดิ้งแพลนเนอร์ นั่นก็คือ คุณจะมีตัวช่วยส่วนตัวในการจัดงานแต่งงาน คอยช่วยเตือนในสิ่งที่ขาดหาย ให้คำปรึกษาอย่างมืออาชีพและพร้อมแก้ไขสถานการณ์เฉพาะหน้าได้อย่างทันท่วงที ด้วยผู้มีประสบการณ์การจัดงานแต่งงานมาแล้วนับครั้งไม่ถ้วน เรียกได้ว่าเวดดิ้งแพลนเนอร์เป็นตัวช่วยที่ดีที่บ่าวสาวจะเบาแรงได้อย่างไร้กังวล มีเวลาไปเตรียมความสวยความหล่อรอวันแต่งงานกันได้เลย

เทคนิคการเลือกเวดดิ้งแพลนเนอร์

สิ่งสำคัญที่สุดควรเลือกจากประสบการณ์การทำงานของบริษัทหรือตัวเวดดิ้งแพลนเนอร์เอง เพราะในวันงานของคุณอาจเจอกับเหตุการณ์ที่ไม่คาดคิด ต้องใช้สกิลการแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้ากันสักหน่อย ยิ่งเวดดิ้งแพลนเนอร์ที่มีประสบการณ์มากเท่าไหร่ยิ่งดีเลยค่ะ เพราะเขาต้องเคยผ่านเหตุการณ์ที่ต้องแก้ไขอย่างเร็วที่สุดมาหลายต่อหลายครั้ง โดยอาจจะเลือกได้จากการศึกษาหาข้อมูล ดูพอร์ตการทำงานของบริษัท หลังจากนั้นอาจนัดพูดคุยกัน ซึ่งครั้งแรกให้เชื่อความรู้สึกแรกพบของตัวเอง ว่าการพูดคุยกับเวดดิ้งแพลนเนอร์คนนี้มีทัศนคติ มุมมองในการทำงานอย่างไร และจะสามารถจูนเข้ากับคุณติดไหม เพราะบ่าวสาวจะต้องทำงานร่วมกับเขาไปอีกหลายเดือน และเพื่อเพิ่มความมั่นใจในการเลือกเวดดิ้งแพลนเนอร์มากขึ้น อาจใช้การสอบถามจากผู้คนรอบตัว เช่น เพื่อนที่เคยใช้บริการ หรือคำแนะนำจากสถานที่ที่คุณจะไปจัดงานแต่งงาน เนื่องจากทางสถานที่จะเป็นอีกคนที่รู้ดีเกี่ยวกับการทำงานของเวดดิ้งแพลนเนอร์ที่เข้ามาทำงานร่วมกับทางสถานที่นั่นเอง

อ้อ! จะใช้บริการเวดดิ้งแพลนเนอร์ทั้งทีก็ต้องดูสไตล์งานส่วนใหญ่ที่ทางเวดดิ้งแพลนเนอร์เจ้านั้นๆ ถนัดด้วยนะคะ ว่าจะตรงตามคอนเซ็ปต์ที่คุณคิดไว้ไหม และเราก็มีเหล่าเวดดิ้งแพลนเนอร์มือโปรที่ได้รวบรวมไว้ หากใครกำลังมองหาเวดดิ้งแพลนเนอร์อยู่สามารถเข้าไปส่องกันต่อได้ที่ 35 เวดดิ้งแพลนเนอร์สุดเก๋ที่บ่าวสาวห้ามพลาด!

ขอขอบคุณข้อมูลจาก : คุณเปิ้ล Wedding Planner – Marisa The Planner and Organizer
ภาพจาก : oto-praca.pl, stillandmotionpictures.com

วิธีคำนวณ การ์ดแต่งงาน และของชำร่วย พร้อมเกร็ดเล็กเกร็ดน้อยที่ไม่ควรพลาด!!

สั่ง การ์ดแต่งงาน และของชำร่วย ยังไงให้เป๊ะ พร้อมความสวยเก๋ถูกใจ

แม้ในยุคที่บ่าวสาวสามารถเชิญแขกผ่านโซเชียลเน็ตเวิร์กได้ แต่ยังไงบัตรเชิญหรือ การ์ดแต่งงาน ที่จับต้องได้ก็ยังมีความจำเป็นและแขกมักจะถามถึงเสมอ แต่จะทำยังไงให้บัตรเชิญหรือการ์ดแต่งงาน รวมไปถึงของชำร่วยนั้นสวยเก๋เท่ถูกใจทั้งผู้ให้และผู้รับ แพรว wedding มีไอเดียดีๆ มาฝาก พร้อมหลักการคำนวณการสั่งของทั้งสองอย่างให้เป๊ะอีกด้วย

การ์ดแต่งงาน หรือบัตรเชิญ

– เมื่อวางแผนจะแต่งงานให้ว่าที่บ่าวสาวลิสต์รายชื่อแขกของตัวเองอย่างละเอียด เช่น บ้านคุณยาย…(ชื่อ) 1 ซอง 4 คน, เจ้านาย…(ชื่อ) 1 ซอง 2 คน ฯลฯ จากนั้นนำทุกรายชื่อมารวมกันแล้วสั่งการ์ดเผื่อ 50-100 ซอง (แล้วแต่จำนวนแขก) ซึ่งข้อมูลนี้จะเป็นประโยชน์ในการเลือกขนาดห้องจัดเลี้ยงด้วย

– ถ้าคำนวณการ์ดขาดไปแล้วต้องสั่งเพิ่ม ร้านส่วนใหญ่จะรับออเดอร์อย่างต่ำ 100 ใบ (สำหรับการ์ดสำเร็จ) หรือ 200-250 ใบ (สำหรับการ์ดดีไซน์) ดังนั้นถ้าพิมพ์น้อยราคาอาจสูงกว่าเดิม หรือบางร้านแม้ราคาเท่าเดิมแต่ถ้าต้องการงานด่วนก็ต้องจ่ายเพิ่มอยู่ดี

– ควรขอซองเกินจำนวนการ์ดเผื่อไว้ในกรณีจ่าหน้าซองผิด หรือวางไว้หน้างานเผื่อแขกขอ

– สะกดชื่อ-นามสกุลแขกอย่างถูกต้อง และระบุให้ชัดว่า…และครอบครัว หรือ…และภรรยา แขกจะได้รับทราบว่าได้รับเชิญกี่คน หรือแขกจะได้สะดวกใจว่าสามารถพาครอบครัว หรือภรรยาไปร่วมงานด้วยได้ และอาจจะหลีกเลี่ยงการจ่าหน้าซองด้วยหมึกสีดำสำหรับการจ่าหน้าซองให้กับผู้ใหญ่ เพราะผู้ใหญ่บางท่านอาจจะถือเรื่องนี้

การ์ดแต่งงาน

ข้อควรรู้ก่อนสั่งทำการ์ดแต่งงานแบบ Made to Order

– อันดับแรกบ่าวสาวต้องกำหนด Mood & Tone และอารมณ์ของการ์ดแต่งงานไปคุยกับร้านการ์ด โดยอาจจะกำหนดจากธีมงานบวกกับความชอบส่วนตัวของบ่าวสาวก็ได้ และถ้าหากบ่าวสาวมีแบบหรือสไตล์ที่ชอบก็อาจจะนำภาพหรือการ์ดจริงๆ มาให้ทางร้านได้ดูเป็นตัวอย่าง เพื่อที่ทางร้านจะได้ออกแบบได้อย่างตรงใจ พร้อมกำหนดเนื้อหรือรูปแบบกระดาษให้กับทางร้านด้วยว่าบ่าวสาวอยากได้แบบไหน เช่น กระดาษแบบแข็งหรือกระดาษแบบอ่อน รวมไปถึงเรื่องเทคนิคการพิมพ์ต่างๆ ที่บ่าวสาวต้องการด้วย เช่น ปั๊มนูนหรือปั๊มฟรอยด์ เป็นต้น

– บ่าวสาวควรเคลียร์กับทางร้านให้ชัดเจนถึงคำว่า “ออกแบบ” เพราะคำนี้สำหรับทางร้านนั้นหมายถึง การออกแบบใหม่ตั้งแต่ศูนย์เพื่อคู่ของบ่าวสาวโดยเฉพาะ หรือหมายถึงการปรับเปลี่ยนรายละเอียดจากแบบที่มีอยู่ เพื่อที่จะได้เข้าใจตรงกัน แฮปปี้ทั้งสองฝ่าย

– การ์ดออกแบบใหม่ราคาเริ่มต้นอยู่ที่ประมาณ 40-50 บาท และถ้าสั่งจำนวนมากราคาจะถูกลง

– หากบ่าวสาวต้องการการ์ดแต่งงานในรูปแบบอี-การ์ดด้วย อาจจะลองเจรจากับทางร้านเพื่อขอไฟล์และนำไปปรับใช้ แต่ยังไงก็ต้องไม่ลืมว่าสังคมไทยเป็นสังคมที่ละเอียดอ่อน ถึงยังไงการส่งการ์ดแต่งงานของจริงก็ยังเป็นการแสดงถึงความตั้งใจในการเชิญและเพื่อให้ผู้ได้รับเชิญเกิดความสบายใจที่จะไปร่วมงานด้วยเช่นกัน โดยเฉพาะสำหรับแขกผู้ใหญ่ และเพื่อเป็นการตัดปัญหาที่ว่า “ทำไมคนอื่นได้การ์ด แล้วฉันได้แค่อี-การ์ด!!”

ของชำร่วย

– ควรสั่งของชำร่วยเผื่อไว้อย่างน้อย 50-100 ชิ้น (แล้วแต่จำนวนแขก) เพราะถึงแม้ว่บ่าวสาวจะกำหนดของชำร่วยไว้ 1 ชิ้นต่อ 1 ซอง แต่แขกบางท่านอาจขอเพิ่ม ถ้าเกิดกรณีเช่นนี้ควรบอกให้แขกมารับเพิ่มหลังงาน เพื่อให้แขกที่มาทีหลังได้รับของชำร่วยอย่างทั่วถึง เพราะฉะนั้นอย่าลืมกระซิบบอกผู้ที่ทำหน้าที่อยู่ที่โต๊ะลงทะเบียนด้วยนะคะ ว่าให้ใจแข็งสักนิดและต้องพูดจาด้วยความนอบน้อมและยิ้มแย้มด้วยน้า

– ของชำร่วยเหลือดีกว่าขาด เพราะหากสั่งเพิ่มราคาจะสูงขึ้นอีกเล็กน้อย อีกทั้งการส่งของตามทีหลังจะยุ่งยากและไม่ได้ความรู้สึกดีๆ เหมือนรับจากหน้างาน แต่ถ้ากรณีที่บ่าวสาวสั่งของชำร่วยมาเยอะจนเหลือก็อาจจะนำไปแจกคนที่เราไม่ได้เชิญมางานแต่ง หรือเชิญแล้วเขาไม่สะดวกมาก็ได้ เพื่อเป็นการแสดงถึงความมีน้ำใจไปในตัว

– เมื่อบ่าวสาวได้รับของชำร่วยและการ์ดแต่งงานจากร้านแล้ว อย่าลืมเก็บของทั้งสองอย่างไว้เป็นที่ระลึกสำหรับตัวเองและพ่อแม่ของบ่าวสาวด้วย หากมาคิดได้ทีหลังไม่เหลือให้เก็บและจะเสียใจภายหลังเอาได้น้า

รู้แล้วก็มาดูแบบการ์ดแต่งงานสวยๆ กันต่อเลย 8 ไอเดียการ์ดแต่งงานสุดเก๋ที่บ่งบอกสไตล์ของบ่าวสาวได้

ภาพ : pexels.com, pinterest.com

เพชรยังอยู่สตอรี่ไม่หาย ด้วยการแปลงร่างแหวนมรดกสู่แหวนแต่งงานวงใหม่สวยให้กิ๊ง

แปลงร่าง แหวนแต่งงาน วงเก่ารุ่นคุณแม่ให้ใหม่กิ๊ง แต่สตอรี่ยังคงเดิม

หลังจากได้รับมรดก แหวนแต่งงาน มาจากคุณแม่ว่าที่สามีแล้ว เจ้าสาวบางนางอยากเปลี่ยนแหวนดีไซน์เดิมให้เป็นแหวนดีไซน์ใหม่ที่มีกลิ่นอายของความทรงจำเก่าๆ แต่ก็นึกไม่ออกว่าขั้นตอนก่อนหลังเป็นอย่างไร งัดเพชรไปทำแล้วจะแตกหักพังเสียให้ใจแป้วหรือเปล่า เราไปสืบความจริงและวิธีการมาให้คุณหายนอยด์แล้วค่ะ

ส่วนใหญ่เพชรเก่าจะยังสวยอยู่แม้เวลาจะผ่านไปแล้ว 30 – 40 ปี และมีคุณค่าทางจิตใจ อีกทั้งประหยัดต้นทุนในการทำแหวนวงใหม่ เหตุผลในการนำแหวนเก่ามาทำใหม่ มีทั้งที่ไม่ชอบดีไซน์ ปรับไซส์ เติมเพชรล้อม ซึ่งไม่ว่าจะเป็นด้วยเหตุผลใดว่าที่เจ้าสาวต้องเช็กให้ชัวร์ก่อนว่าเจ้าของเดิมไฟเขียวให้ทำทุกสิ่งอย่างที่คุณต้องการได้จริงๆ เพราะแหวนเก่าที่ให้สืบทอดกันมามักจะมีเรื่องราวความทรงจำที่ประทับใจพ่วงมาด้วยเสมอ เมื่อนำไปเข้าตัวเรือนใหม่แล้วจะกลับมาเหมือนเดิมคงยาก เพราะตัวเรือนเก่าถูกชำแหละไปแล้ว ถึงจะขึ้นตัวเรือนใหม่ก็ไม่เหมือนเดิม 100% แต่ถ้าชัวร์ว่าทำได้ ก็คิดแบบแหวนวงใหม่ไว้ได้เลย

ตรวจเช็กวัตถุดิบที่มี

เรื่องที่ต้องคิดคู่ไปกับการออกแบบแหวนใหม่คือ เพชรที่มีอยู่ในแหวนเก่าเพียงพอที่จะเข้าตัวเรือนทำแหวนใหม่หรือไม่ คุณอาจออกแบบแหวนอย่างที่ฝันไว้ก่อนแล้วค่อยมาดูว่าเพชรที่อยู่ในแหวนเก่าใหญ่พอไหม หรือคุณอาจจะเช็กก่อนว่าแหวนเก่ามีเพชรทรงไหนและจำนวนเท่าไร แล้วจึงมาออกแบบแหวนใหม่ให้ล้อกัน

เราขอแนะนำให้เช็กเพชรด้วยการจำแนกว่ามีกี่ขนาด ขนาดละกี่เม็ด เพื่อที่จะได้ออกแบบคู่กันไปอย่างลงตัวและไม่เสียเวลามาก หากเพชรที่มีอยู่เดิมเพียงพอกับดีไซน์แหวนวงใหม่ทุกอย่างก็จบ แต่หากมีน้อยกว่าก็ต้องเพิ่มจำนวนเพชรเพื่อให้แหวนใหม่สมบูรณ์ที่สุด เช่น ถ้าแหวนเดิมเป็นแหวนแถวที่เพชรมีขนาดเท่ากันทั้งหมด แต่ต้องการขึ้นตัวเรือนใหม่ให้เป็นแหวนชู สิ่งที่ต้องทำแน่นอนคือการปรับเพิ่มจำนวนเพชร อาจแค่หาเพชรเม็ดใหญ่เพียง 1 เม็ด แล้วใช้เพชรเก่ามาทำบ่าข้างแทน

ร้านไหนไว้ใจได้จริง

เป็นคำถามที่เกิดขึ้นในใจเจ้าของแหวนเก่าทุกคน ยิ่งถ้าเป็นคนที่ไม่เคยเข้าร้านเพชรด้วยแล้วยิ่งคิดหนัก สิ่งที่สามารถทำได้ก็คือเช็กว่าร้านนั้นๆ มีหน้าร้านหรือเปล่า เพราะการมีหน้าร้านจะช่วยเพิ่มความมั่นใจได้ว่าเป็นร้านที่มีหลักแหล่งให้ตามผลงาน ไม่ใช่ร้านที่มีแต่ชื่อลอย ๆ เท่านั้น ยิ่งถ้าเป็นร้านที่มีโรงงานผลิตเครื่องประดับเป็นของตัวเองยิ่งดีเพราะคุณสามารถเข้าไปตรวจเช็กและตามงานได้จริง นอกจากนี้อย่าลืมใช้โซเชียลเน็ตเวิร์คให้เกิดประโยชน์เพื่อย้ำความมั่นใจด้วยการเข้าเฟซบุ๊กหรือเว็บไซต์ของทางร้านเพื่อดูพอร์ตผลงาน รวมถึงอ่านคอมเมนต์และรีวิวจากลูกค้าคนอื่นๆ ซึ่งเป็นสิ่งที่ทางร้านจะปิดไม่ให้คุณตรวจเช็กไม่ได้

ส่วนความกังวลในเรื่องการสับเปลี่ยนเพชร ป้องกันง่าย ๆ ด้วยการเช็กหมายเลขเพชรให้ตรงกับใบรับประกันทั้งก่อนและหลังนำแหวนเก่าไปทำตัวเรือนใหม่ แต่ถ้าเป็นเพชรเก่าที่ยังไม่เคยมีการยิงหมายเลขเพชร ให้วัดความกว้างหน้าเพชรเก่าเอาไว้เพื่อเช็กหน้าเพชรหลังได้รับแหวนใหม่

เกี่ยวกับตัวเรือนเก่า

หลายคนสงสัยว่าแล้วจะนำตัวเรือนแหวนเก่าไปทำอะไรได้บ้าง เรามีทางเลือกให้ดังนี้

  • แปรสภาพเป็นเงินหรือส่วนลด ขายตัวเรือนตามราคาทองจริง ณ ขณะนั้น โดยทางร้านจะนำตัวเรือนเก่าไปหลอมใหม่เพื่อแยกเอาทองคำบริสุทธิ์ออกมาคำนวณ อย่าลืมว่าแหวนที่ใส่อยู่นั้นแม้จะเป็นแหวนทองก็จะต้องมีการผสมโลหะบางอย่างเพื่อให้ขึ้นรูปได้ เมื่อแยกทองออกมาแล้ว คุณอาจเลือกให้ที่ร้านนำมาเป็นส่วนลดในการทำแหวนใหม่หรือขอเป็นตัวเงินเลยก็ไม่ผิด
  • ผสมกับตัวเรือนใหม่ ทองจากตัวเรือนแหวนเก่าที่แยกออกมาแล้วคือทองบริสุทธิ์สามารถนำไปขึ้นตัวเรือนใหม่ได้ แต่จะต้องเพิ่มน้ำหนักทองเข้าไปด้วย เช่น ต้องการแหวนน้ำหนัก 5 กรัม ทางร้านไม่สามารถใช้ทองเพียง 5 กรัมมาขึ้นรูปเป็นตัวเรือนได้ เนื่องจากต้องมีขั้นตอนการปรับแต่งตัวเรือนให้สวยงามตามแบบ เช่น การตะไบทรงแหวนให้เข้ารูป การขัดแต่งให้สวยงามฉะนั้นจากทอง 5 กรัมที่มีก็ต้องเพิ่มเป็น 10 กรัมหรือมากกว่าเพื่อขั้นตอนต่าง ๆ ที่ว่ามานั่นเอง
  • สร้างสรรค์เป็นงานศิลปะ เก็บสะสมตัวเรือนแหวนเก่าสารพัดแบบสารพัดสีที่ใช้การไม่ได้มาสร้างเป็นงานศิลปะ แหวนเก่าในความทรงจำทุกวงก็จะอยู่กับคุณตลอดไป (ทั้งหมดนี้ คุณควรซื้อแหวนทองไม่ใช่แพลทินัมหรือทองคำขาว ซึ่งทำได้แค่เขวี้ยงลงน้ำอย่างเดียว)

ค่าแรงแพงไหม

การนำเพชรจากแหวนเก่ามาทำแหวนใหม่จะช่วยลดต้นทุนในการทำแหวนแต่งงานเสียด้วยซ้ำ เพราะการทำแหวนใหม่จากแหวนเก่านั้นมีขั้นตอนเพิ่มมาเพียงขั้นตอนเดียวคือ การแกะเพชรจากแหวนเก่ามาใส่ตัวเรือนใหม่ ซึ่งร้านเพชรส่วนใหญ่จะไม่คิดค่าแรงในส่วนนี้ว่าที่เจ้าสาวคนไหนกำลังกังวลเรื่องราคาค่าแรงขอบอกว่าสบายใจได้

แหวนแต่งงาน

วิธีการแปลงร่างแหวนมรดกสู่แหวนแต่งงานวงใหม่ทำกันแบบนี้

ช่างจะนำแหวนเก่ามาติดกับครั่งที่เครื่องยึด จากนั้นจะค่อยๆ ใช้อุปกรณ์ดันหนามเตยออกทีละอัน โดยเริ่มจากเพชรเม็ดใหญ่สุดไล่มาจนถึงเพชรเม็ดเล็กสุด ซึ่งไม่ว่าจะเป็นการฝังหนามเตยหรือฝังจิกไข่ปลาก็จะใช้วิธีการแกะเพชรแบบนี้เหมือนๆ กันจากนั้นถ้าต้องการให้ทางร้านเช็กคุณภาพเพชร เพื่อเป็นการยืนยันอีกครั้งก่อนเข้าตัวเรือนใหม่ ช่างก็จะนำเพชรทุกเม็ดไปเข้าเครื่องล้างทำความสะอาดเพชรก่อนแล้วจึงตรวจเช็กคุณภาพอีกครั้งตามที่คุณต้องการ ก่อนจะนำเพชรนั้นไปเข้าตัวเรือนแหวนใหม่

ในกรณีที่ไม่ต้องเช็กคุณภาพเพชรช่างจะนำเพชรที่แกะมาไปเข้าตัวเรือนใหม่ทันที เสร็จแล้วจึงนำแหวนทั้งวงไปล้างทำความสะอาด ทั้งนี้เพราะในขั้นตอนต่างๆ ระหว่างที่ฝังเพชรขึ้นตัวเรือนจะต้องมีคราบสกปรกเกาะติดอยู่แล้ว ฉะนั้นจะล้างก่อนหรือหลังขึ้นตัวเรือนก็ได้ทั้งนั้นเพราะเพชรก็คือเพชร ไม่มีวันหมองลงได้

นอกจากแหวนมรดกที่ได้รับมาแล้วหากมีเครื่องประดับชิ้นอื่นๆ ที่เพชรยังสวยแจ่มก็สามารถนำมาดัดแปลงเป็นเครื่องประดับชิ้นใหม่ได้เช่นกัน นั่นเพราะเพชรมีความสวยในตัว ขอแค่หยิบมาใช้ตามแบบที่ชอบ ไม่ว่าจะเป็นเพชรเก่าหรือใหม่ก็สามารถสร้างความทรงจำในแบบของคุณได้เสมอ

ดูแบบแหวนแต่งงานและเครื่องประดับเพิ่มเติมอีกเพียบ คลิกเลย!

ขอขอบคุณข้อมูลจาก GD Jewelry 
ภาพเปิด : http://www.ringjewellery.co.uk

7 เรื่องนี้ต้องสตรองให้มาก เมื่อเหล่าว่าที่บ่าวสาวเริ่มจัดงานแต่งงาน

เมื่อเริ่มวางแผนเรื่อง จัดงานแต่งงาน 7 เรื่องนี้ก็ตามมาทันที!!

ด้วยรักและหวังดี แพรว wedding จึงมีเรื่องอยากมาสะกิดเตือนบ่าวสาว ให้เตรียมตัวตั้งรับอย่างมีสติกับเรื่องที่อาจจะต้องเผชิญในช่วงที่คุณกำลังเตรียม จัดงานแต่งงาน โดยเฉพาะ เพราะ 7 เรื่องเหล่านี้ สำหรับบางคู่ทำให้ปวดหัว ทำให้คิดไปเอง เกิดอาการกังวลและไม่มีความสุขโดยไม่จำเป็น

เชื่อมั่นในสิ่งที่เลือก

อย่างแรกที่เราอยากบอกคุณทั้งคู่คือ จงมั่นใจในสิ่งที่คุณเองเป็นผู้เลือก เมื่อไหร่ก็ตามที่คุณคิดมาดีแล้ว หาข้อมูลมาดีแล้ว และสั่งการให้ทุกอย่างดำเนินไปแล้ว จงเชื่อมั่น ปล่อยวาง และวางใจให้เงินทำงานแทนบนพื้นฐานความมั่นใจที่คุณได้เป็นผู้เลือก

จงอดทน อย่าใจร้อน

ไม่มีอะไรได้มาทันที และไม่มีอะไรที่ดีดนิ้วแล้วจะได้มา อย่างเรื่องของแพลนเนอร์ที่ถูกใจ หรือชุดเจ้าสาวที่ใช่ อาจต้องใช้เวลาในการเสาะหากว่าจะเจออะไรที่ลงตัว หรือแม้แต่เรื่องของใบราคาที่คุณต้องอ่านอย่างละเอียด เงื่อนไขการบริการต่างๆ ค่อยๆ อ่านอย่างอดทน เพราะสิ่งเสียหายตามมาได้ถ้าประมาทและใจร้อน

eva-kyle-msrw-mwds108838-02_vert

มันจะดีกว่าหากคุณไม่ได้รู้ทุกสิ่ง

รู้ทุกเรื่องแล้วอาจก่อให้เกิดทุกข์ได้ ฉะนั้นอะไรปล่อยผ่านได้ก็ปล่อยซะเถอะ อย่างประเภทปัญหาเล็กๆ น้อยๆ พวกแก้วน้ำตกแตกหรือปากกาเขียนอวยพรไม่พอ ก็ไม่ต้องเอามาคิดหรือรับรู้ให้ปวดหัว เพราะของแบบนี้เกิดขึ้นได้

อย่าคิดเปรียบเทียบ

อย่าได้เป็นประเภทช่างเปรียบเทียบเลยค่ะ โดยเฉพาะว่างานเพื่อนคนนั้นใหญ่กว่าเพื่อนคนนี้ งานแต่งของเราทำไมเล็กจัง หรือแม้แต่ว่าดอกไม้งานเขาบานสวย ดอกไม้ของฉันทำไมมันหุบ และหนักหนาอย่างประเภทที่ว่า แหวนเพชรของเธอทำไมใหญ่กว่าทั้งที่กะรัตก็เท่ากัน เพราะคิดไปก็ปวดหัว ในเมืองคุณเลือกแล้ว และจงพอใจ สุขใจกับสิ่งที่อยู่ตรงหน้า

sara-matt-wedding-ceremony-1774-s111990-0715_vert

อย่ากลัวที่จะต้องทะเลาะกันช่วงเตรียมงาน

เลี่ยงไม่ได้ค่ะ ถ้าคุณจะมีอาการไฝว้กันกับคุณแฟนในช่วงที่เตรียมงานแต่งงาน และอย่าได้คิดท้อแท้ว่า แล้วอย่างนี้ชีวิตแต่งงานจะรอดไหม จะต้องหย่ากันในอนาคตหรือเปล่า คิดในแง่บวกสิคะว่า การที่คุณไฝว้กันคือคุณได้แลกเปลี่ยนความคิด ได้รู้จักตัวตน แบบนั้นดีกว่าไหมคะ

อย่าคิดเล็กคิดน้อยกับคำพูดคน

คำพูดไหนฟังแล้วทำให้ใจห่อเหี่ยว ทำให้เกิดอาการบั่นทอนหัวใจแค่ฟังให้ทะลุหูไปก็พอ เพราะมันเลี่ยงไม่ได้จริงๆ ที่ปากคนเอาแต่พูดและวิจารณ์ไปอย่างสนุกสนาน เพราะคุณเองรู้แก่ใจว่าทำอะไรอยู่ อย่าลืมว่าช่วงการเตรียมงานแต่งงานเป็นจุดเริ่มต้นของความสุข ไม่ต้องสนคำพูดลมๆ ของคนไม่เข้าท่าดีกว่า โดยเฉพาะกับคนประเภทว่ารู้ดีจังเคยแต่งงานก็แค่ครั้งเดียว หรือแบบว่ายังไม่เคยแต่งแต่พูดจัง พวกนั้นฟังๆ ไปแต่อย่าใส่ใจ เชื่อเราเถอะ ปวดหัวเปล่าๆ

ข้ามๆ ไปบ้าง ไม่เห็นเป็นไร

บางประเพณี บางพิธีการ ถ้าไม่ซีเรียสก็ข้ามๆ ไปบ้างเถอะ ยุคนี้สมัยนี้แล้ว ถ้าอยากนักก็ไม่ต้องลำบาก อันนี้ไม่ได้ให้คุณแหวกม่านประเพณี แต่ถ้าบางบ้านมีความเชื่อประหลาดที่นำมาซึ่งความลำบากมากกว่าความมงคลจะปล่อยผ่านข้ามๆ ไปก็ไม่ผิด แต่ก่อนจะปล่อยผ่าน อย่าลืมแจ้งความคิดและอธิบายให้บุพการีเข้าใจในเหตุผลด้วยนะคะ

ส่วนเคล็ดลับนี้บางทีอาจจะช่วยให้ว่าที่บ่าวสาวยิ้มได้ เคล็ดลับจัดการ งบจัดงานแต่งงาน ให้อยู่หมัดแบบง่ายๆ ไม่ซับซ้อน

ภาพ : marthastewartweddings.com, aboutdetailsdetails.com, theurbantwist.com

ทิปส์เด็ดแต่งสูทเจ้าบ่าว หล่อได้ง่ายๆ แบบไม่ต้องพยายาม

ใส่ สูทเจ้าบ่าว ให้หล่อเป๊ะเหมือนมีสไตลิสต์ส่วนตัว

ถึงแม้ว่าที่เจ้าบ่าวจะมีตัวเลือกในการแต่งตัวได้น้อยกว่าเจ้าสาว แต่หนุ่มๆ อย่างเราก็ไม่ควรมองข้ามความหล่อนะจ๊ะ เพราะอย่าลืมว่าถึงแม้จะเป็นแค่ สูทเจ้าบ่าว แต่ก็ต้องเป๊ะทั้งตัวจริงและในภาพถ่าย แพรว wedding เลยจัดทิปส์เด็ดเทคนิคการแต่งสูทมาให้ รับรองว่าหากทำตามทั้ง 12 ข้อนี้ ความหล่ออยู่ไม่ไกลเกินเอื้อมแน่นอน อ่อ แล้วอย่าลืมแบ่งปันความหล่อดูดีนี้ให้แก๊งเพื่อนเจ้าบ่าวของคุณด้วยนะคะ ^^

1. หากคุณว่าที่เจ้าบ่าวจัดงานในช่วงเช้าลากยาวไปถึงกลางวัน แถมพิธีแต่งงานก็ไม่ได้เน้นความเป็นไทยจ๋ามาก เราขอแนะนำให้คุณว่าที่เจ้าบ่าวแต่งตัวสไตล์ daytime suit เช่น รองเท้าสีดำใส่กับสูทสีน้ำเงิน และรองเท้าสีน้ำตาลใส่กับสูทสีเทา เท่านี้ว่าที่เจ้าบ่าวก็หล่อดูดีท้าแสงแดดอ่อนๆ ได้แล้ว

2. ทักซิโดสไตล์คลาสสิคสำหรับงานสังสรรค์ตอนกลางคืนที่เหมาะสมสำหรับการสวมใส่คือ สูทผ้าวูลสีดำ หรือสีมิดไนท์บลู ส่วนปกคอเสื้อด้านหน้าแนะนำให้เป็นผ้าซาตินหรือผ้าแพรต่วน และแมตช์กับคอเสื้อเป็น Peak Collar จะดีกว่า Notch Collar ซึ่งแบบนั้นจะนิยมใส่ในงานเลี้ยงธุรกิจมากกว่า

สูทเจ้าบ่าว

3. สูทที่ดีควรมีซิลลูเอตต์ หรือเค้าโครงรูปร่างดีเทลแบบเรียบๆ เส้นคมชัดและช่วงไหล่ตรง ซึ่งจะทำให้คุณมั่นใจโดยดูไม่พยายามมากไป

4. ถ้าเป็นคนตัวใหญ่ อย่าคิดว่าการใส่สูทที่ฟิตพอดีกับรูปร่างจะทำให้อึดอัด แล้วหันไปเลือกสูทตัวใหญ่กว่าไซส์ตัวเอง แต่คุณควรปรึกษาช่างตัดสูทอย่างใกล้ชิด เพราะเขาคือเพื่อนที่ดีที่สุดของคุณ และเขาจะทำสูทตัวนั้นให้พอดีกับรูปร่างของคุณมากที่สุดถึงแม้ว่าคุณจะตัวใหญ่มากแค่ไหนก็ตาม

5. เมื่อใส่สูทหรือทักซิโดแล้วลองยกแขนสูงๆ แกว่งไปมา เพื่อดูว่าช่วงรักแร้ของตัวสูทขยับได้คล่องหรือเปล่า เพราะหากสูทคับเกินไปหากคุณขยับตัวเมื่อไหร่อาจจะดูเหมือนหุ่นยนต์ที่ขยับแขนได้แบบฝืดๆ เอาน้า

6. เปลี่ยนจากการใส่เนคไทมาเป็นโบไทแทนจะดีกว่า และหนุ่มๆ อาจจะลองเรียนรู้ที่จะผูกโบไทเองแบบสวยๆ ซึ่งมีวิดีโอสอนมากมายในยูทูป หรือจะส่งลิงค์นั้นไปให้ว่าที่เจ้าสาวเขาไว้ซ้อมแล้วมาผูกให้คุณก็ได้นะ ^^

7. เอานิ้วสอดเข้าไประหว่างคอเสื้อและคอของคุณ ถ้ายัดนิ้วลำบากหรือแทบจะเอาทั้งมือสอดลงไปได้ แสดงว่าเสื้อเชิ้ตของคุณมีปัญหา เพราะเสื้อเชิ้ตที่พอดีคอต้องสอดนิ้วเข้าไปตรงช่องคอได้ 2 นิ้วแบบสบายๆ

8. สำหรับสูทกระดุมสองเม็ด ไม่ว่าจะเป็นแบบใด คุณต้องกลัดกระดุมแค่ 1 เม็ดเท่านั้น ซึ่งกระดุมเม็ดที่กลัดจะเป็นตัวควบคุมบุคลิกทั้งหมดของคุณ และตำแหน่งกระดุมที่กลัดควรอยู่ตรงสะดือพอดี เพราะตำแหน่งนี้จะทำให้คุณดูสมาร์ท เท่ และคูลสุดๆ

9. ปลายแขนเสื้อเชิ้ตควรโผล่พ้นแขนเสื้อสูทหรือทักซิโดออกมาประมาณครึ่งนิ้ว

10. เทรนด์ฮิตของหนุ่มฮิปคือกางเกงขาที่เต่อขึ้นมาเหนือข้อเท้าแบบดีไซน์ของ Thom Browne แต่ถ้าบุคลิกคุณแครี่สไตล์นั้นไม่ได้ ขากางเกงที่ปิดคลุมข้อเท้านิดหน่อยคือสไตล์คลาสสิคที่ใช้ได้ทุกโอกาส

11. การพับทบขากางเกงชุดทักซิโดเป็นสิ่งที่อภัยไม่ได้เด็ดขาด!!

12. รองเท้าหนังมีส้นสำหรับผู้ชายเป็นเรื่องที่ยอมรับได้ แต่ผู้ชายส่วนมากมักคิดว่ามันดูแต๋วเกินไป เพราะฉะนั้นอาจเลือกรองเท้าหนังลูกวัวแบบผูกเชือกที่ด้านหน้าก็จะดูแมนกว่า และเลี่ยงรองเท้าหนังที่เจาะรูพรุนไปทั่ว หรือมีดีเทลเยอะจนเกินไป เพราะอาจจะขัดกับลุคเนี้ยบๆ และสไตล์สุดคลาสสิคของทักซิโดได้

รู้ทิปส์ดีๆ แล้วก็ตามไปส่อง รวมมิตร 11 ร้านสูทเจ้าบ่าวสุดเท่หลากสไตล์ทั่วกรุงพร้อมราคา กันต่อเลย

ภาพ pexels.com, sea.askmen.com, www.railso.com

ถอดรหัส 4Cs อ่านป้ายบนแหวนแต่งงานให้เป็นไม่ถูกหลอก

ก่อนซื้อ แหวนแต่งงาน มาอ่านเรื่องที่ต้องรู้กันก่อนนะ

เคยสงสัยไหมว่า ตัวหนังสือภาษาอังกฤษบนป้ายเล็กๆ ที่ห้อยอยู่กับเครื่องประดับเพชรแต่ละชิ้นในร้านมีความหมายอย่างไร แล้วถ้าได้ใบรับรองคุณภาพเพชรมาจะอ่านเป็นไหม เอาเป็นว่าถ้าคุณคิดจะซื้อเพชรหรือ แหวนแต่งงาน ก็ควรถอดรหัสบนป้ายให้เป็น ตีความหมายในใบเซอร์ให้ถูก รับรองว่าได้เพชรตรงใจไม่ถูกหลอกชัวร์
ป้ายที่ว่าจะมีรูปแบบการเขียนต่างกันในแต่ละร้าน แต่มีรายละเอียดเหมือนกันอยู่ 2 อย่างเสมอ คือ“น้ำหนักของเพชร” ไม่ว่าจะเป็นแบบแยกเม็ดเดี่ยวโฟกัสเฉพาะน้ำหนักเม็ดกลางหรือน้ำหนักเพชรโดยรวมทั้งชิ้น และ “น้ำหนักของทอง” ที่ใช้ทำตัวเรือน ส่วนคุณสมบัติเพชรอื่น ๆ บางร้านจะระบุไว้บนป้าย แต่บางร้านให้ลูกค้าดูจากใบเซอร์ที่แนบมาแทน ที่เหลือคือรหัสที่แต่ละบริษัทจัดทำขึ้นมาเพื่อให้ง่ายต่อการเช็กสต๊อกตรวจนับจำนวนสินค้า

แต่ไหน ๆ ถ้าคุณตั้งใจซื้อเพชรไว้ในครอบครองก็ควรมองหาเพชรที่มีการการันตีด้วยใบรับรองคุณภาพเพชรจากสถาบันต่าง ๆ ซึ่งจะระบุคุณสมบัติพื้นฐานของเพชรที่เรียกว่า 4Cs ไว้ครบถ้วน ดังนี้

1. น้ำหนักของเพชร (C-Carat)

cr. http://www.blankadiamonds.be/

คือหน่วยวัดน้ำหนักเพชร 1 กะรัต เท่ากับ 200 มิลลิกรัม หรือ 5กะรัต เท่ากับ 1 กรัม น้ำหนักของเพชรเป็นคุณสมบัติแรกที่มองหาง่ายที่สุดทั้งจากป้ายและจากใบรับรอง เช่น1.70 ct. 0.89 ct. เป็นต้น โดยป้ายที่คุ้นตาส่วนใหญ่จะบอกเป็น 2 ชุดตัวเลข คือ น้ำหนักเพชรเม็ดกลางและน้ำหนักเพชรรวมทั้งหมด เช่น “D1 = 2.00 ct.” D หมายถึง Diamond เลข 1หมายถึงจำนวนเม็ดเพชร ในที่นี้คือ 1 เม็ด แปลความได้ว่า เพชรเม็ดเดียวที่อยู่บนตัวเรือน มีน้ำหนัก 2 กะรัตแต่ถ้าเป็น “D18 = 0.36 ct.” จะหมายถึง เพชรทั้งหมด 18 เม็ด มีน้ำหนักรวม 0.36 กะรัต ทั้งนี้บางร้านอาจไม่ใส่ตัว D ลงไป แต่จะเขียนโต้ง ๆ เลยว่า 24 – 48 หมายถึง เพชร 24 เม็ด น้ำหนัก 0.48 กะรัต

2. สีของเพชร (C-Color)

cr. https://www.pricescope.com

หรือที่คนไทยเรียกว่า“น้ำ” จะแสดงด้วยอักษรภาษาอังกฤษ ตั้งแต่ตัว D – Zหรือแสดงตัวเลขเปอร์เซ็นต์ตั้งแต่ 100% ลงไปเรื่อย ๆ โดยสีระดับ D – F (100 – 98%) ถือเป็นเกรดไร้สี (Colorless)และสีระดับ G – J (97 – 94%) ถือว่าเป็นเกรดเกือบไร้สี (Near Colorless) การบอกระดับสีเพชรบนป้ายอาจมีแค่ตัวอักษรภาษาอังกฤษอย่างเดียวหรือจะบอกคู่กับเปอร์เซ็นต์ก็ได้แต่ส่วนใหญ่จะเลือกเขียนอย่างใดอย่างหนึ่งไปเลย เช่น ระบุแค่ D Color อย่างเดียว หมายถึงน้ำ 100%เป็นต้น ซึ่งส่วนใหญ่การบอกสีที่ว่านี้จะหมายถึงสีของเพชรเม็ดกลางที่เด่นที่สุดในตัวเรือนนั้น ๆ แต่ก็อาจมีบางร้านที่ระบุระดับสีของเพชรประดับมาด้วย โดยหากเพชรที่นำมาประดับมีสีเพชรอยู่ระหว่างสองระดับสีก็จะระบุว่า E – F Color นั่นเอง

3. ความบริสุทธิ์ของเพชร (C-Clarity)

cr. http://magicdiam.com

คือความสะอาดในเนื้อเพชร เพชรยิ่งขาวยิ่งแพง ยิ่งสะอาดยิ่งดี ยิ่งไร้ตำหนิยิ่งเลอค่า ฉะนั้นในเบื้องต้นถ้ายังไม่ได้ส่องกล้องดูตำหนิ ให้ลองหาตัวย่อระดับความสะอาดของเพชรบนป้ายเสียก่อน เพราะบางร้านก็ใจดีระบุความบริสุทธิ์นี้ไว้ให้ด้วย แต่ถ้าไม่มีก็ไม่ถือว่าผิด ระดับความบริสุทธิ์ของเพชรมีตั้งแต่ไร้ตำหนิจนถึงมีตำหนิขนาดใหญ่แบบที่กวาดตามองไปก็เห็นเลย ฉะนั้นถ้าเจอตัวย่อดังต่อไปนี้ ให้รู้ไว้เลยว่าเป็นตัวย่อที่บอกถึง

ความสวยใสของเพชร

  • FL (Flawless) และ IF (Internal Flawless) หมายถึง เพชรเม็ดนี้ไร้ตำหนิเมื่อมองผ่านกล้องกำลังขยาย 10 เท่า
  • VVS1 และ VVS2 (Very Very Slightly Included 1 – 2) หมายถึงเพชรเม็ดนี้มีตำหนิขนาดเล็กมาก ๆไม่สามารถมองเห็นได้ด้วยตาเปล่า เมื่อมองผ่านกล้องกำลังขยาย 10 เท่าจึงจะเห็นตำหนิ แต่ก็เล็กมาก ๆขนาดกูรูเพชรเองยังต้องใช้เวลาสักพักกว่าจะหาเจอ
  • VS1-VS2 (Very Slightly Included 1 – 2) หมายถึงเพชรเม็ดนี้มีตำหนิขนาดเล็กมาก ไม่สามารถมองเห็นได้ด้วยตาเปล่า แต่กูรูเพชรสามารถเห็นได้หากมองผ่านกล้องกำลังขยาย 10 เท่า (หาเจอง่ายกว่าระดับVVS)
  • SI1-SI2 (Slightly Included 1 – 2) หมายถึงเพชรเม็ดนี้มีตำหนิขนาดเล็ก สามารถมองเห็นตำหนิได้ง่ายด้วยกล้องกำลังขยาย 10 เท่า โดยไม่จำเป็นต้องเป็นกูรูเพชรและอาจมองเห็นตำหนิได้ด้วยตาเปล่าในบางกรณี
  • I1-I3 (Imperfect 1 – 3) หมายถึงเพชรเม็ดนี้มีตำหนิขนาดใหญ่ ส่องกล้องปุ๊บเห็นตำหนิปั๊บและยังสามารถมองเห็นได้ด้วยตาเปล่า

หมายเหตุ เลข 1 2 และ 3 ที่ต่อท้าย ไม่ได้หมายถึงจำนวนตำหนิในเม็ดเพชร แต่หมายถึงระดับของตำหนิที่ต่างกัน จำง่าย ๆ คือ 1 จะมีคุณภาพดีกว่า 2และ 2 จะมีคุณสมบัติดีกว่า 3 เสมอ

4. การเจียระไน (C-Cut)

cr. http://www.isadoras.com

คือความสมบูรณ์แบบในการเจียระไนเพชรแต่ละเม็ด ซึ่งส่งผลต่อการส่องประกายแวววาวของเครื่องประดับชิ้นนั้น ๆ ส่วนใหญ่ไม่ค่อยระบุลงบนป้ายสินค้า แต่จะเจอเสมอในใบเซอร์ถ้าอยากรู้ว่าเพชรที่กำลังสนใจอยู่มีคุณภาพการเจียระไนระดับไหน ให้หาคำว่า Excellent, Very Good, Good,Fair และ Poor ซึ่งเป็นคำบอกถึงระดับการเจียระไนที่พิจารณาจากคุณสมบัติ 3 อย่าง คือ การเจียระไน(Cut) คุณภาพการขัดเงาที่ผิวเพชร (Polish) และความสมมาตรของเพชร (Symmetry) ยกตัวอย่างเช่น Excellent/Very Good/VeryGood แปลว่า การเจียระไนระดับ Excellent คุณภาพการขัดเงาในระดับ Very Good ความสมมาตรในระดับVery Good ถ้าเจอตัวย่อ “3EX” หรือเห็นคำว่าExcellent ถึง 3 ครั้ง ให้รู้ไว้เลยว่า คุณกำลังดูเพชรที่อยู่ในระดับดีเลิศ เพราะมีเกรดเพชรโดยรวมในระดับที่สูงที่สุดทั้งสามด้าน นั่นคือเป็นเพชรที่มีการเจียระไนสุดยอดแวววาวสุด ๆ และมีความสมมาตรได้สัดส่วนเต็มร้อย

นอกจากนี้ยังมีรหัสตัวย่ออีก 2 – 3 ตัวที่ไม่ควรมองข้าม เพราะจะเป็นส่วนสำคัญที่จะช่วยให้คุณตัดสินใจว่าจะซื้อหรือจะขอบายเครื่องประดับตรงหน้า

H & A รหัสบอกความสวยเป๊ะ

H & A (Hearts & Arrows) คืออีกหนึ่งตัวย่อที่แม้ไม่ได้เจอบนป้ายแต่ก็ไม่ควรมองข้ามเมื่อไรที่คนขายบอกว่าเพชรบนเครื่องประดับชิ้นนี้มีคุณสมบัติ H & A ให้ส่องเพชรจากด้านหน้า จะสังเกตเห็นลูกศรจำนวน 8 ดอกเมื่อส่องจากก้นเพชรจะเห็นหัวใจ 8 ดวง นั่นหมายความว่า เพชรเม็ดนี้ได้รับการเจียระไนอย่างสมบูรณ์แบบมากที่สุด ทั้งในเรื่องสัดส่วน(Proportion) ความสมมาตร (Symmetry)และการขัดเงา (Polish) โดยต้องอาศัยความชำนาญ ความประณีต และความแม่นยำในการเจียระไนทุกเหลี่ยมให้ได้ตำแหน่ง โดยที่ขนาดไม่ผิดเพี้ยน จึงทำให้เพชร Hearts &Arrows เปล่งประกายสะท้อนความงดงามออกมาได้อย่างเต็มที่

 “GIA, HRD, IGI, AGS” เพชรเม็ดนี้การันตีด้วยใบเซอร์ชัวร์

สำหรับมือใหม่หัดซื้อเพชร ถ้าเจอตัวอักษรภาษาอังกฤษที่ว่านี้ ให้สบายใจได้เลยว่าเพชรเม็ดเป้งบนตัวเรือนในมือได้รับการตรวจสอบคุณภาพและการันตีคุณสมบัติเพชรจากสถาบันที่มีชื่อเสียงต่างๆ ดังนี้

  • GIA ย่อมาจาก Gemological Institute of America
  • HRD ย่อมาจาก Hoge Raad Voor Diamant
  • IGI ย่อมาจาก International Gemo-logical Institute
  • AGS ย่อมาจาก American Gem Society

ควรสอบถามกับทางร้านเสมอว่า เพชรเม็ดนั้น ๆ มีใบรับรองหรือไม่ ถ้ามีก็อย่าลืมทวงถามนำกลับบ้านมาด้วยเสมอ และอย่าเพิ่งตีปีกไปว่า เพชรทุกเม็ดบนตัวเรือนนั้นได้รับการการันตี เพราะส่วนใหญ่จะหมายถึงเพชรเม็ดกลางที่โดดเด่นที่สุดเพียงเม็ดเดียว และจำ ไว้เสมอว่า ใบเซอร์ 1 ใบรับรองเพชรเพียง 1 เม็ดเท่านั้น

“WG/YG/RG” ตัวเรือนนี้สีอะไร

รหัสสุดท้ายที่เดากันได้ง่ายที่สุดได้แก่รหัสตัวย่อบอกตัวเรือน ซึ่งมีเพียง 3 สีหลักๆ คือ WG = White Gold หรือว่าทองขาว

YG = Yellow Gold หรือตัวเรือนทอง และ RG = Rose Gold หรือตัวเรือนทองชมพู ที่บางครั้งก็เรียกทับศัพท์ว่าโรสโกลด์ มักจะตามด้วยตัวเลขน้ำหนัก เช่น 2.4 หรือ 15.8ซึ่งหมายถึงน้ำหนักทองที่ใช้ทำตัวเรือนนั่นเอง

ถอดรหัสบนป้ายได้ อ่านใบเซอร์เป็น ซื้อเพชรเมื่อไรก็ถูกใจแน่นอน

ดูแบบเครื่องประดับสวยๆ เพิ่มเติมได้ที่นี่อีกเพียบ คลิกเลย!

9 ไอเดียงานแต่ง ช่วยเนรมิตงานให้หรูแบบไม่ต้องจ่ายเงินเพิ่ม

ไอเดียงานแต่ง และเทคนิคการจัดงานให้ออกมาเรียบหรู ไม่มากและไม่น้อยเกินไป

คนแต่งตัวดีไม่จำเป็นต้องประโคมของแบรนด์เนมแพงๆ ตั้งแต่หัวจรดเท้า แต่ขึ้นอยู่กับว่าจะเลือกให้ความสำคัญกับของชิ้นไหนบ้าง งานแต่งงานโก้หรูดูดีก็ไม่จำเป็นต้องเยอะไปซะทุกอย่างเหมือนกัน พิสูจน์ได้จาก 9 ไอเดียงานแต่ง ต่อไปนี้ที่แพรว wedding นำมาฝาก รับรองว่าบ่าวสาวไม่ต้องควักกระเป๋าจ่ายเพิ่มงานก็ออกมาหรูหราหลักล้านได้

 

1. โทนสี

งานหรูส่วนใหญ่มักใช้สีน้อยๆ เช่น คู่สีน้ำเงิน-เงิน และน้ำตาล-ทอง ซึ่งเป็นสีที่ดูหรูหราและยังช่วยส่งเสริมกัน สัดส่วนของสีที่ใช้ก็สำคัญ ถ้าสีหลักเป็นสีโทนขรึม สีรองที่จับมาคู่กันก็ควรเป็นโทนที่ช่วยขับสีหลักให้เด่นขึ้น เคล็ดลับสำคัญของการจัดงานให้หรูโดยใช้สีน้อยๆ คือ ต้องอิงจากสีของสถานที่จัดงานเป็นหลัก ไม่เน้นการเปลี่ยนรูปลักษณ์ของสถานที่นั้นมากนัก

ไอเดียงานแต่ง

และที่สำคัญบ่าวสาวต้องแยกความหรูหรากับความอลังการออกจากกันเสียก่อน หากต้องเน้นความอลังการ เราจะโฟกัสไปที่การเปลี่ยนลุคของสถานที่นั้น แต่กับงานเรียบหรูโก้จะต้องคำนึงถึงสีเดิมของสถานที่ เลือกใช้สีที่เข้ากับสถานที่เดิมทำให้งานดูเรียบหรูได้ง่าย เพราะไม่ต้องแตกไปใช้โทนสีอื่นให้กระจัดกระจาย ทั้งยังประหยัดงบประมาณ เพราะไม่ต้องทุ่มงบไปกับการปรับแต่งอะไรมาก เน้นโชว์ความสวยงามของโครงสร้างเดิม ซึ่งโรงแรมห้าดาวส่วนใหญ่ก็ตกแต่งได้หรูหราอยู่แล้ว

2. ความวิ้งวับ

จิเวลรี่และคริสตัลต่างๆ ช่วยให้งานดูดีขึ้น แต่ท่องไว้ว่า อย่าประโคมเยอะ ไม่เช่นนั้นจะกลายเป็นงานเกินๆ ได้

TIPS : หากพื้นพรมเดิมของโรงแรมเป็นสีทึบ อาจปรับให้กลายเป็นสีขาวเพื่อทำให้ทางเดินเข้างานดูกว้างขวางและขับให้ชิ้นงานอื่นๆ ที่ตกแต่งอยู่ดูเด่นขึ้น

3. การ์ด

แม้ไม่ได้มีส่วนกับการตกแต่งในวันงาน แต่การ์ดคือด่านแรกที่แขกจะได้เห็นงานของคุณ โดยอาจจะเลือกเพิ่มลูกเล่นให้กับการ์ดแต่งงานใบสี่เหลี่ยมแบบเดิมๆ เช่น ปรับไซส์ให้ใหญ่ขึ้นกว่าปกติ ปรับเป็นแนวนอน ปรับความหนาความบางของวัสดุ เช่น ใช้ไม้วีเนียร์ แผ่นอะคริลิก หรือกระดาษแปลกๆ มาทำเป็นการ์ด เป็นต้น
4. โลโก้

งานเรียบหรูมักไม่แตกดีไซน์ออกไปไกล แต่ใช้ประโยชน์จากโลโก้ที่ออกแบบมาแล้ว พูดง่ายๆ ก็คือ ใช้ประโยชน์จากตัวการ์ดให้มากที่สุด ดึงดีไซน์จากการ์ดมาใช้กับกล่องใส่ซอง แบ็กดร็อป และเวทีในงาน โดยไม่จำเป็นต้องแตกไอเดียออกไปให้วุ่นวาย แค่รู้จักปรับและต่อยอดจากสิ่งที่มีอยู่แล้ว

ขน ชุดเจ้าสาว ขึ้นเครื่องบินยังไงให้รอดปลอดภัยไม่เสียหายแน่นอน

ชุดเจ้าสาว จะขนขึ้นเครื่องบินเพื่อไปถ่ายพรีเวดดิ้งหรือแต่งงานต่างประเทศ ต้องทำยังไงถึงจะปลอดภัยและสะดวกสบายกับเรามากที่สุด แพรว เวดดิ้ง หาคำตอบมาให้แล้ว

เดี๋ยวนี้ เทรนด์การถ่ายพรีเวดดิ้งต่างประเทศ รวมทั้งต่างจังหวัด กำลังมาแรงสุดๆเลยนะคะ แต่ปัญหาใหญ่ของเหล่าว่าที่เจ้าสาวที่กำลังจะเตรียมตัวแพ็คของลงกระเป๋าเพื่อบินไปถ่ายภาพพรีเวดดิ้งสวยๆ ก็คือ ชุดเจ้าสาว นั้นจะหอบหิ้วกันขึ้นเครื่องบินยังไงละเนี่ย? แถมบางทีเป็นชุดเช่าที่เราต้องรักษาให้อยู่ในสภาพที่ดีไม่งั้นโดนปรับอานแน่ๆด้วยสิ! อย่าเพิ่งเครียดไป เพราะ แพรวเวดดิ้ง หาคำตอบมาให้แล้วว่า หากเราจะต้องขนชุดเจ้าสาว ขึ้นเครื่องบินจริงๆ มีวิธีไหนที่ทำได้บ้าง และวิธีไหนบ้างที่เหมาะกับประเภทชุดและขนาดชุดของเราที่สุด รวมทั้งวิธีการรักษาชุดระหว่างการเดินทางไม่ให้เสียหายด้วยค่ะ

ชุดเจ้าสาว

สิ่งแรกที่ต้องนำไปด้วยคือเตารีดไอน้ำขนาดพกพา

เพราะแน่นอนว่าถึงเราจะพยายามดูแลรักษาชุดมากแค่ไหน ชุดสวยก็มีโอกาสยับได้เมื่อไปถึงที่หมาย เตารีดไอน้ำขนาดพกพาจึงกลายเป็นตัวช่วยคลายรอยยับอย่างดีเมื่อไปถึงโรงแรม แต่ทั้งนี้เราไม่แนะนำให้ใช้เตารีดไฟฟ้าตามปกติที่โรงแรมมักจะเตรียมไว้ให้ในห้องพัก เพราะไม่เหมาะกับการใช้รีดชุดที่เนื้อผ้าละเอียดอ่อนอย่างชุดเจ้าสาว และถ้าเราปรับความร้อนไม่ถูกต้องชุดอาจจะเกิดความเสียหายได้ค่ะ

ชุดเจ้าสาว

หากเป็นชุดสั้นขนาดกะทัดรัดไม่ใหญ่โตมาก

เมื่อจองตั๋วเครื่องบิน แนะนำให้เช็คกับสายการบินว่า เครื่องบินที่เราจะใช้เดินทาง มีตู้สำหรับเก็บเสื้อสูทหรือไม่ เพราะถ้าหากมี เราสามารถใส่ชุดสวยๆลงในกระเป๋าสูทไปพร้อมๆกับสูทของเจ้าบ่าว แล้วหิ้วขึ้นเครื่องไปได้เลย โดยฝากแอร์ฯ แขวนชุดไว้ในตู้เก็บเสื้อสูทภายในเครื่องบินระหว่างเดินทาง วิธีนี้ชุดของเราจะเสี่ยงต่อการยับเยินเมื่อไปถึงที่หมายน้อยที่สุดค่ะ (เครื่องบินที่มีตู้เก็บเสื้อสูท มักจะเป็นเครื่องบินที่ใช้กับการบินระยะไกล เช่น ไปยุโรป หรือญี่ปุ่น หากเป็นเครื่องบินลำเล็กที่บินระยะใกล้ มักจะไม่มีตู้เก็บเสื้อสูท)

แต่ถ้าเช็คแล้วว่าไม่มีตู้สำหรับเก็บเสื้อสูท แนะนำให้แพ็คชุดของเราในถุงสุญญากาศเพื่อประหยัดเนื้อที่ (ถุงสุญญากาศมีขายตามร้านขายของใช้จากญี่ปุ่น) แล้วใส่ลงในกระเป๋าใบเล็กที่สามารถหิ้วขึ้นเครื่องได้ แต่ชุดอาจจะยับนิดหน่อยเมื่อไปถึงปลายทาง

หากเป็นชุดเจ้าสาวขนาดใหญ่

ควรใส่กระเป๋าเดินทางขนาดใหญ่เพื่อโหลดลงใต้ท้องเครื่อง กระเป๋าควรมีขนาด 24 นิ้วขึ้นไปเพื่อที่จะมีเนื้อที่เพียงพอ โดยแพ็คชุดเจ้าสาวลงในถุงพลาสติก หรือถุงผ้าแยกต่างหากไม่ปะปนกับของอื่นๆ และหากกระโปรงเจ้าสาวมีสุ่มที่แยกออกจากกันได้ ควรแพ็คสุ่มใส่ถุงแยกต่างหาก เช่นกันกับเวลหรือผ้าคลุมหน้าเจ้าสาวที่ควรแพ็คใส่ถุงแยกต่างหากด้วย ทั้งนี้เพื่อป้องกันไม่ให้เลื่อม คริสตัล ตะเข็บ หรือตะขอต่างๆ ทำให้ส่วนใดส่วนหนึ่งของชุดโดนเกี่ยวขาดหรือเสียหายค่ะ

หากเป็นชุดไทย

ควรหากล่องพลาสติกใสขนาดพอดีกับชุดเมื่อพับแล้ว ใส่แยกเป็นส่วนๆ ไม่ปะปนกัน เพื่อป้องกันไม่ให้เลื่อม คริสตัล ตะเข็บ หรือตะขอต่างๆ ทำให้ส่วนใดส่วนหนึ่งของชุดโดนเกี่ยวขาดหรือเสียหายเช่นกัน แยกส่วนสะพัก สไบชั้นใน ผ้านุ่ง ออกจากกันคนละกล่อง เช่นกันกับเครื่องประดับชุดไทยที่ควรแยกเก็บแต่ละชิ้นในถุงพลาสติกใบเล็ก แล้วค่อยนำมารวมกันในถุงใบใหญ่อีกชั้นหนึ่ง

รองเท้าเจ้าสาว

ใส่ในถุงพลาสติกใส ก่อนนำไปใส่ในถุงรองเท้า (ปัจจุบันนี้มีถุงผ้าใส่รองเท้าสำหรับเดินทางโดยเฉพาะด้วย) อย่าลืมหากระดาษม้วนเป็นก้อนแน่นๆ ยัดไว้บริเวณหัวรองเท้า เพื่อป้องกันรองเท้าเสียรูปทรงจากการโดนกดทับด้วยละคะ

ได้ความรู้กันไปแน่นเชียวสำหรับการขนชุดเจ้าสาวสุดล้ำค่าของเราขึ้นเครื่องบิน หวังว่าคราวนี้ เหล่าว่าที่เจ้าสาวที่กำลังวางแผนแพ็คของไปถ่ายพรีเวดดิ้งสุดอลังที่ต่างจังหวัดหรือต่างประเทศจะหมดข้อกังวงใจ ได้รูปสวยๆกลับมาเพียบแถมไม่เจอค่าปรับเพราะชุดพังด้วยจ้า ^^

ชอบคอนเท้นต์นี้ของเรา คลิกอ่าน รวมสถานที่ถ่ายพรีเวดดิ้ง ริมทะเล มาเริงร่าท้าแดดรับซัมเมอร์กันเถอะ