ใช้หรือไม่ใช้? เช็คความใช่ก่อนจ้างเวดดิ้งแพลนเนอร์มาดูแลงานแต่งของคุณ

พอรู้ว่าจะแต่งงาน บ่าวสาวหลายคู่ก็เริ่มนึกถึงภาพงานแต่งงานของตัวเองไปต่างๆ นานา จนมาถึงจุดที่คิดกันไปว่าเวลาจัดงานจริงจะจัดได้ไหม เลยเป็นที่มาของความคิดที่ว่า ถ้าอย่างนั้นจะใช้หรือไม่ใช้บริการ เวดดิ้งแพลนเนอร์ ดีล่ะ เอาล่ะค่ะ ถ้ายังไม่ชัวร์กับตัวเอง แพรว Wedding นำ 10 สิ่งที่อยากให้คุณเช็คความใช่กันก่อนตัดสินใจใช้เวดดิ้งแพลนเนอร์มาดูแลงานแต่งงานของคุณค่ะ

1. งานยุ่งทั้งวันวางมือไม่ได้เลย
เป็นคู่รักที่ชีวิตวุ่นวายมากแบบว่ากลางวันทำงานประจำ กลางคืนทำธุรกิจส่วนตัว หรือเข้ายิมเพาะกล้าม ออกกำลัง เรียนโยคะ ฯลฯ จะเลี่ยงจะลดสักโปรแกรมไม่ได้แน่นอนอะไรแบบนั้น คุณเป็นคู่รักประเภทนี้หรือเปล่าค่ะ ถ้าใช่ละก็…เรียกใช้เวดดิ้งแพลนเนอร์ได้เลย

2. ขี้ลืมเป็นนิสัย
ขนาดเห็นแล้วนะว่ามีเวดดิ้งแฟร์ แถมยังสำรองที่นั่งทันด้วย แต่ดันลืมโอนเงินซะงั้น นี่แหละค่ะนิสัยที่เราอยากให้คุณเช็คตัวเองดูสักหน่อยว่าเป็นนิสัยของคุณหรือเปล่า ถ้าคำตอบคือ “ใช่” และเป็นแบบนี้บ่อยๆ ละก็ เวดดิ้งแพลนเนอร์นี่น่าสนใจสำหรับงานแต่งงานของคุณมากนะคะ

3. ฝันถึงงานแต่งงานในที่แปลกตา
คนอื่นแต่งงานกันในโรงแรมหรือสถานที่รับจัดงานแต่งงาน แต่คู่คุณไม่ใช่แบบนั้น ที่ไหนที่ว่าสวย แปลกตา แม้จะห่างไกลแค่ไหน ถ้าใช่ที่ฝันละก็ พร้อมใจจะไปจัด แต่จะจัดยังไงละ อ้าว…นั่นสิ จัดเองยังลำบาก แล้วทำไมเวดดิ้งแพลนเนอร์จะไม่ใช่คำตอบของคุณ

4. จัดงานแต่งที่บ้านเกิด
แม้จะเป็นการจัดงานแต่งแบบบ้านๆ สไตล์ง่ายๆ แค่เอาโต๊ะจีนมาตั้ง แต่ถ้าคุณไม่ค่อยได้กลับภูมิลำเนาหรือเป็นแบบว่านานๆ ทีจะกลับไปเยี่ยมบ้านเกิดจนกลายเป็นว่าที่บ้านคือสถานที่แปลกตาแต่ก็อยากจัดให้ได้ ถ้าคิดแบบนี้ไม่ต้องรออะไร ยกโทรศัพท์ขึ้นมาค้นหาเวดดิ้งแพลนเนอร์ได้เลย จะเป็นแพลนเนอร์ท้องถิ่นหรือในเมืองกรุงได้หมด เพราะคุณคงต้องใช้แล้วล่ะ

5. ครอบครัวและทุกคนรอบตัวขอมีส่วนร่วม
เมื่อคนรอบตัวรู้ว่าคุณจะแต่งงานก็ล้วนหยิบยื่นความช่วยเหลือให้สารพัด แต่ที่หนักสุดแถมปฎิเสธยากคือคนในครอบครัว ซึ่งถ้าคุณรู้ว่าบ้านตัวเองมีความเยอะจนสามารถก่อให้เกิดสงครามย่อยๆ ได้ละก็ ให้เวดดิ้งแพลนเนอร์มาเป็นคนช่วยสงบศึกดีกว่านะ

6. ใช้ชีวิตสุดชิล
เป็นประเภทผลัดวันประกันพรุ่ง แต่ไม่ใช่ว่าไม่อยากแต่งนะคะ แค่มันเป็นนิสัยของคุณไปแล้วที่อะไรๆ ก็เดี๋ยวก่อนๆ เพราะฉะนั้นก็ยอมรับตัวเองแล้วหามือขวามาช่วยซะดีๆ

7. อย่ามาเยอะได้ไหม
ถ้าคุณเป็นคู่รักประเภทอะไรก็ได้ ชอบความสบายๆ ประมาณสายแมนคุยกัน แถมยังขี้รำคาญและเบื่อเรื่องจุกจิกสุดๆ แต่จำต้องมาจัดงานแต่งงานที่ลงรายละเอียด ซึ่งคุณแน่ใจว่าไม่พร้อมจะรับมือกับความเยอะทั้งหลายนั้นแน่ๆ ก็ไม่ต้องคิดอะไรมาก ใช้ชีวิตของคุณต่อไปแล้วให้เวดดิ้งแพลนเนอร์มาสางความเยอะแทน

8. เพื่อนเยอะ คนรู้จักแยะ
เป็นประเภทเซเลปหรือคู่รักสายสังคม ที่แค่นึกถึงปาร์ตี้สละโสดก็มีแขกปาไปไม่ต่ำกว่า 300 คนแน่ๆ แล้วงานแต่งละจะจัดงานช้างขนาดไหน ซึ่งแน่นอนว่างานใหญ่ปานนั้นพึ่งเวดดิ้งแพลนเนอร์เป็นคนช่วยจัดการแขกเหรื่อดีกว่าไหมอ่ะ

9. งานแต่งของฉันต้องเว่อว์วังทอร์คออฟเดอะทาวน์
ต่อเนื่องจากข้อที่แล้วอีกนิด ถ้างานของคุณจะใหญ่โตขนาดนั้นละก็ การตกแต่งต้องไม่ธรรมดา และถ้าคุณมีความคิดว่างานที่ว่าต้องเว่อร์วังอลังกาลคนเข้างานมาต้องร้องว้าวๆๆๆ แต่คุณไม่มีทีมงานเจ๋งๆ ดูแลเองละก็ ไม่ต้องลังเลแล้วค่ะ เวดดิ้งแพลนเนอร์รอรับงานจากคุณอยู่

10. สะดวก สบาย พร้อมจ่ายและทุ่มไม่อั้น
ถ้าคู่ของคุณเป็นคู่ที่มีคุณสมบัติ 4 คำที่ว่านี้ ไม่ต้องคิดอะไรแล้วค่ะ เพราะการใช้เวดดิ้งแพลนเนอร์จะนำมาซึ่งความสะดวกในการติดต่อประสานงานกับฝ่ายต่างๆ (เพราะนั่นคืออาชีพของเขานี่นา) คุณจะได้รับความสบายเพราะมีเวดดิ้งแพลนเนอร์ช่วยจัดงานให้ทั้งหมด ตัวคุณน่ะเหรอ แค่ชี้นิ้วและเปิดปากบอกในสิ่งที่ต้องการกับจ่ายเงินค่ะ

และสุดท้ายยิ่งคุณพร้อมจ่าย ทุ่มไม่อั้น ประมาณว่างบประมาณเท่าไหร่ว่ากันไป ไม่ได้เดือดร้อนเรื่องเงินๆ ทองๆ ละก็ ใช้เถอะค่ะ เวดดิ้งแพลนเนอร์คือคำตอบที่คุณไม่ต้องลังเลอีกต่อไป

ดูไอเดียงานแต่งงานและคำแนะนำดีๆ เพิ่มเติม คลิกเลย!

ภาพเปิด : www.ourweddingideas.com a

5 คีย์เวิร์ดบอกดีไซเนอร์เสกชุดเจ้าสาวให้สวยเหมือนเจ้าหญิงในเทพนิยาย

เพราะ ชุดเจ้าสาว ไม่ได้สวมใส่ได้ในทุกวัน จึงต้องเป็นชุดพิเศษที่บ่งบอกตัวตน พร้อมทั้งความฝันของคุณไปพร้อมๆ กัน

ในวันสำคัญอย่างวันแต่งงาน ว่าที่บ่าว-สาว ต่างพิถีพิถันในทุกรายละเอียดเพื่อให้งานแต่งออกมาพิเศษที่สุด สำหรับเจ้าสาวเรื่องที่สำคัญคือ ชุดเจ้าสาว ที่ทุกคนก็อยากดูดีในวันนี้ ซึ่งชุดเจ้าสาวนอกจากจะเสริมบุคลิกให้เจ้าสาวดูดีแล้ว ยังต้องเข้ากับรูปร่างด้วย แต่ที่พลาดไม่ได้อีกอย่างคือ ดีไซน์ของชุดแต่งงานในฝันที่อยากใส่ ก็แหม เรื่องนี้มันเป็นความฝันของผู้หญิงทุกคนจริงไหม

ซึ่งหนึ่งในชุดเจ้าสาวในฝันที่เจ้าสาวหลายคนอยากใส่คือ ชุดสไตล์นางฟ้าในเทพนิยาย เพราะทั้งสวย และมีเสน่ห์น่าหลงใหล แพรว wedding เลยมาชวนว่าที่เจ้าสาวทำความฝันให้กลายเป็นความจริง กับจุดสำคัญที่เจ้าสาวไม่ควรพลาดในการบอกดีไซเนอร์ เพื่อดีไซน์ชุดแต่งงานให้ออกมางดงามดังนางฟ้าในสไตล์เทพนิยาย

1. แขนกุด หรือสายเดี่ยว

ดีไซน์ของชุดที่จะบ่งบอกถึงความเป็นผู้หญิงได้ดีที่สุดคือ แขนกุด หรือสายเดี่ยว ซึ่งได้รับความนิยมเป็นอย่างมาก เพราะชุดเจ้าสาวแขนกุด หรือสายเดี่ยวนี้ สามารถดีไซน์ช่วงตัวและเพิ่มลูกเล่นต่างๆ ได้มากมาย ไม่ว่าจะเป็น แบบคอกลม คอกว้าง หรือคอวี ก็ช่วยทำให้เจ้าสาวดูมีเสน่ห์ เพียงแค่เลือกช่วงเนคไลน์ให้เหมาะกับรูปหน้าและลำตัวเท่านั้น แถมยังสะดวกต่อการเคลื่อนไหวให้กระฉับกระเฉงเพราะไม่ต้องกลัวเกาะอกหลุดอีกด้วย

ชุดเจ้าสาว

2. เปลือยหลัง

เพิ่มความดึดดูดให้ชุดเจ้าสาวด้วยการเผยแผ่นหลัง ซึ่งนอกจากจะทำให้เจ้าสาวมีลุคที่เซ็กซี่ขึ้นมาแล้ว ก็ไม่ทำให้ดูโป๊จนเกินงาม เพียงเลือกแมตช์ให้เข้ากับกระโปรงยาว แล้วเพิ่มดีเทลลูกเล่นให้กับช่วงบนของชุดเจ้าสาวเพื่อให้ดูมีอะไร แต่ก่อนใส่ชุดแบบนี้ก็อย่าลืมดูแลแผ่นหลังให้เรียบเนียนและฟิตแอนด์เฟิร์มกันด้วยนะ อ้อ! แล้วก็งดเด็ดขาดกับการสวมบราแบบมีสายใสๆ นะ สวมเป็นบราปีกนกเพื่ออวดแผ่นหลังเต็มๆ ไปเลย

ชุดเจ้าสาว

3. เดรสสไตล์เอ็มไพร์

ดีไซน์ที่เผยความเป็นผู้หญิงที่มาพร้อมกับความงดงามตามอุดมคติคือ ชุดเดรสทรงเอ็มไพร์ ดีไซน์ที่สะท้อนถึงความบริสุทธิ์และอ่อนหวานของผู้หญิง อีกทั้งยังช่วยพรางรูปร่างที่ไม่มั่นใจ ตั้งแต่ช่วงสะโพกลงไปจนถึงช่วงขา และชุดทรงเอ็มไพร์ยังช่วยเน้นช่วงอกให้ดูโดดเด่นขึ้นได้อีกด้วย

ชุดเจ้าสาว

4. สีพาสเทลเท่านั้น

นางฟ้าตามเทพนิยายที่เราเห็นตามภาพยนตร์ จะเห็นว่าชุดของเหล่านางฟ้าจะมีสีพาสเทล ซึ่งอ้างอิงมาจากประวัติศาสตร์แฟชั่นที่ผู้หญิงในอดีตนิยมการแต่งกายชุดเดรสทรงเอ็มไพร์ที่มีสีสันพาสเทลเท่านั้น จึงเป็นที่มาสู่ชุดเจ้าสาวสไตล์นางฟ้า แถมสีพาสเทลที่บางเบานี้ยังช่วยเพิ่มลุคให้เจ้าสาวดูอ่อนเยาว์และน่ารักได้ดีอีกด้วยนะ

ชุดเจ้าสาว

5. เบาบางและพลิ้วไหว

อีกสิ่งที่พลาดไม่ได้คือ ความบางเบาและพลิ้วไหวของกระโปรง ซึ่งดีไซน์ชุดเจ้าสาวทรงเอ็มไพร์ สามารถเน้นช่วงกระโปรงให้โดดเด่นขึ้นได้ด้วยการใช้ผ้าทูลล์ที่มีความบางเบา และสะบัดได้อย่างเป็นธรรมชาติ เพราะฉะนั้นไม่ต้องกังวลว่าชุดเจ้าสาวของคุณจะหนัก เหมือนชุดเจ้าสาวสไตล์อื่นๆ หรือถ้าอยากให้ชุดดูมีลุคที่ชวนฝันมากขึ้น อาจซ้อนผ้าให้เป็นเลเยอร์ หรือเลือกใช้ผ้าชีฟองให้ตัวกระโปรงดูมีความพลิ้วไหว ก็ช่วยเสริมเสน่ห์ให้กับชุดโดยรวมได้เป็นอย่างดี

ชุดเจ้าสาว

สำหรับว่าที่เจ้าสาวที่ยังกังวลกับรูปร่างตัวเองกลัวว่าจะใส่ชุดแต่งงานไม่สวย เรามี เทคนิคเลือกชุดแต่งงานให้เข้ากับรูปร่าง สวยด้วยแถมเป๊ะปั๊วะไปอีก แต่ยังไงก็ตาม สิ่งที่สำคัญความมั่นใจของสาวๆ นะ

ภาพจาก Pinterest

รวบตึง 5 รายละเอียดสำคัญที่ไม่ควรมองข้ามใน การจัดโต๊ะอาหาร

ถ้าพูดถึงงานแต่งงานที่ต้องมี การจัดโต๊ะอาหาร สวยๆ คงหนีไม่พ้นงานแต่งงานแบบ Sit-Down Dinner เอกลักษณ์อยู่ที่โต๊ะอาหารที่มีการตกแต่งอย่างมีสไตล์เข้ากับธีม ถือได้ว่าเป็นงานที่มีความละเอียดอ่อนจำเป็นต้องอาศัยประสบการณ์และความรู้เกี่ยวกับการจัดโต๊ะอาหารให้เข้ากับบรรยากาศภายในงาน บางงานเก็บรายละเอียดไปถึงเรื่องอาหารที่เสิร์ฟก็ต้องมีความสอดคล้องกับการจัดโต๊ะ เลือกเมนูที่มีสีสันโดดเด่นเมื่ออยู่ในภาชนะใส่อาหาร การจัดโต๊ะอาหารเลยมีความยากขึ้น เป็นเรื่องที่มองข้ามไม่ได้เลยค่ะ

การจัดโต๊ะอาหาร

การเลือกอาหาร

ความสำคัญของการเลือกอาหารอยู่ที่ รสชาติ ควรเลือกอาหารแต่ละจานให้มีรสชาติที่หลากหลาย ผู้ร่วมงานจะได้ไม่เบื่อ ไม่เลี่ยน และรสชาตินั้นยังต้องเข้าถึงแขกได้ทุกคนด้วย เพราะอย่าลืมว่าแต่ละคนชอบรสชาติอาหารที่แตกต่างกันออกไป ซึ่งในต่างประเทศนั้นมักจะเลือกอาหารให้ตรงตามฤดูกาล เพราะสามารถหาวัตถุดิบได้ง่าย ราคาถูก และหากเลือกสถานที่จัดงานแบบเอ้าท์ดอร์การเลือกอาหารให้ตรงตามฤดูกาลจะส่งผลให้เข้ากับบรรยากาศรอบๆ ได้อีกด้วย

การเลือกโทนสี

เลือกโทนสีในที่นี้รวมไปถึงเรื่องของธีมงานที่มีผลต่อการเลือกพร๊อพบนโต๊ะอาหารด้วยนะคะ โดยเทคนิคการใช้สีสำหรับจัดโต๊ะอาหารง่ายๆ คือ ไม่เน้นการจับคู่สีแต่จะใช้โทนสีและเฉดสีที่มีความแตกต่างกันนำมาแมตช์กัน เช่น งานแต่งในสวนของฤดูใบไม้ร่วง อาจเลือกใช้โทนสีแดงเมอร์ลอตเป็นหลัก โดยภาชนะบางอย่างจะเลือกใช้เป็นทองเหลืองหรือใช้สีทองแล้วนำของตกแต่งบนโต๊ะอาหารที่มีสีครีมเข้ามาช่วยแซมก็ได้ ซึ่งเทคนิคการแมตช์เฉดสีแบบง่ายๆ นั้นคือการเลือกใช้สีขาวเข้ามาแมตช์ เพราะเป็นเฉดที่สามารถเข้าได้กับทุกสีและช่วยให้ง่ายต่อการตกแต่งนั่นเองค่ะ

การเลือกดอกไม้

พร๊อพที่หาได้ง่ายที่สุดไม่ว่าจะตกแต่งอะไรก็ตามเห็นทีจะเป็นดอกไม้นี่แหละค่ะ ดอกไม้บนโต๊ะอาหารหากอยากให้มีความโดดเด่น แนะนำให้เลือกใช้ดอกไม้สีที่แตกต่างจากพร็อพอื่นๆ แต่ต้องเป็นสีที่ไปในทิศทางเดียวกันนะคะ และอาจเลือกใช้ดอกไม้บางชนิดที่มีโทนสีเดียวกับพร๊อพหรือภาชนะเข้ามาช่วยแซมเล็กน้อยเพื่อให้ดูมีความเข้ากัน และดอกไม้จะได้ไม่โดดเด่นมากจนเกินไปด้วยค่ะ

การเลือกภาชนะ

จาน ชาม แก้วน้ำ รวมไปถึงช้อน ส้อม มีด ฯลฯ หัวใจหลักคือเลือกให้เข้ากับธีมทั้งรูปทรงลักษณะของภาชนะและสีสันควรให้เป็นสีในโทนเดียวกัน ซึ่งเดี๋ยวนี้มีเซตอุปกรณ์ภาชนะรับประทานอาหารที่หาซื้อได้ง่าย สะดวกกว่าการที่เราจะมามิกซ์แอนด์แมตช์เอง อ้อ! แล้วอย่าลืมนะคะว่าอุปกรณ์รับประทานอาหารทุกอย่างต้องครบ ดูได้จากเมนูอาหารว่ามีอะไรบ้าง และในแต่ละเมนูมีวิธีรับประทานอย่างไร

บรรยากาศ

สำหรับการจัดโต๊ะอาหารในสถานที่แบบเอ้าท์ดอร์ควรคำนึงถึงบรรยากาศโดยรอบในการเลือกใช้วัสดุอุปกรณ์และเลือกใช้โทนสีให้เข้ากับบรรยากาศด้วย หากจัดงานแต่งงานในสวนที่เต็มไปด้วยแมกไม้อาจเลือกจัดโต๊ะที่เน้นการตกแต่งด้วยดอกไม้เป็นหลัก เน้นภาชนะแบบสีเขียวพาเทส เป็นต้น และอาจเลือกผ้าปูโต๊ะที่มีสีตัดกับภาชนะก็จะทำให้การตกแต่งโต๊ะอาหารมีความสวยงามเข้ากับบรรยากาศแล้วค่ะ

ดูไอเดียงานแต่งงานและคำแนะนำดีๆ อีกเพียบได้ที่นี่ คลิกเลย!

ภาพจาก : elledecor.com, thesimplyluxuriouslife.com

ทั้ง ออกกำลังกาย ทั้ง ไดเอท ทำไมน้ำหนักไม่ลด? อาจเป็นเพราะเหตุผลเหล่านี้ก็ได้!

ว่าที่เจ้าสาวที่กำลังคร่ำเคร่งกับการ ออกกำลังกาย และควบคุมอาหาร เพื่อเตรียมหุ่นสวยให้ทันวันวิวาห์ แน่นอนว่าต้องคาดหวังให้ตัวเลขบนตราชั่งขยับเขยื้อนลงให้เป็นกำลังใจบ้าง แต่ทว่าทำม๊ายย ทำไม ทุกครั้งที่ขึ้นชั่งน้ำหนักที่ตื่นเต้นยิ่งกว่าลุ้นผลสลากกินแบ่ง กลับกลายเป็นว่าน้ำหนักแทบไม่ลดลงเลย? เราทำอะไรผิดไป?  หรือจะเป็นเพราะสาเหตุเหล่านี้หรือเปล่าที่ทำให้น้ำหนักเราไม่ลด แม้จะออกกำลังกายหรือคุมอาหารมากแค่ไหนก็ตาม สาเหตุอะไรบ้าง? มาดูกัน

ออกกำลังกาย

1. คุณยังออกกำลังกายและคุมอาหารไม่นานพอ

เหตุผลที่ง่ายแสนง่าย เพราะผู้หญิงส่วนใหญ่คาดหวังผลลัพธ์ที่เร็วเกินไป ทุกครั้งที่ออกกำลังกายเสร็จก็จะรีบขึ้นชั่งน้ำหนักเพื่อคาดหวังให้ตัวเลขบนตราชั่งลดลงเร็วๆ ทว่าในความเป็นจริงแล้วนั้นร่างกายต้องใช้เวลานานกว่า 2-3 เดือน หรือสำหรับบางคน 5-6 เดือน เพื่อที่จะให้เห็นผลจากการออกกำลังกายและควบคุมน้ำหนักอย่างชัดเจน เพราะฉะนั้น อย่าเพิ่งเป็นกังวลมากไปในระยะเวลาอันสั้นๆค่ะ

2. คุณลืมไปว่ากล้ามเนื้อหนักกว่าไขมัน

ฟิตเนสเทรนเนอร์ หรือฟิตเนสไอดอลหลายคนที่หุ่นเฟิร์มสวยเป๊ะ กลับมีน้ำหนักตัวที่มากกว่าที่เราคิด เพราะความเป็นจริงนั้นคือกล้ามเนื้อมีความหนาแน่นมากกว่าไขมัน และกล้ามเนื้อที่เพิ่มเข้ามามากขึ้นมีผลกับน้ำหนักตัวด้วยเช่นกัน เพราะฉะนั้นหากเราเริ่มรู้สึกว่าใส่กางเกงแล้วสบายตัวขึ้น รูปร่างกระชับขึ้น แต่ตัวเลขน้ำหนักไม่ค่อยลดลงก็อย่ากังวลใจไป หรือถ้าอยากรู้ให้ชัวร์ ลองชั่งน้ำหนักจากเครื่องชั่งน้ำหนักที่มีฟังค์ชั่นการวัดเปอร์เซ็นกล้ามเนื้อและไขมันในร่างกายดูค่ะออกกำลังกาย

3. คุณคาร์ดิโอไม่เพียงพอ

เพราะว่าที่เจ้าสาวหลายคนเอาแต่เวทเทรนนิ่ง เพราะอยากมีกล้ามเล็กๆ ลีนสวยเหมือนเหล่านางแบบวิคตอเรีย ซีเครต แต่คุณๆอย่าลืมนะ เวทเทรนนิ่งนั้นต้องทำควบคู่กับการออกกำลังกายแบบคาร์ดิโอ หรือการออกกำลังกายที่เน้นจังหวะการเต้นของหัวใจ เพราะการคาร์อิโอนั้นจะช่วยให้ร่างกายเผาผลาญไขมัน หากคุณจดจ่ออยู่กับการเวทเทรนนิ่งโดยไม่คาร์ดิโอ เป็นไปได้ว่าน้ำหนักของคุณจะลดลงช้ากว่าปกติค่ะ

4. คุณทานน้อยเกินไป!

เมื่อเรารับประทานอาหารน้อยกว่าที่ร่างกายต้องการพลังงานต่อวัน แทนที่จะเป็นผลดีกลับกลายเป็นผลเสียค่ะ!  เพราะร่างกายของเราจะเข้าสู่โหมดประหยัดพลังงาน คล้ายๆโหมดจำศีลของสัตว์ ร่างกายจะกักเก็ยสารอาหารและไขมันที่เราทานเข้าไปเอาไว้ โดยไม่ยอมดึงออกมาใช้ หรือดึงออกมาใช้ให้น้อยที่สุด ยิ่งถ้าเราออกกำลังกายหนัก และทานน้อย ร่างกายของเราก็จะยิ่งไม่ยอมเผาผลาญพลังงานส่วนเกิน ทำให้นอกจากน้ำหนักเราจะไม่ลง ร่างกายเราจะยิ่งเหนื่อยและอ่อนแอด้วยค่ะ ไม่แนะนำสุดๆออกกำลังกาย

5. คุณเครียดและพักผ่อนน้อย

เหตุผลคล้ายกับข้อข้างบน เพราะเมื่อร่างกายของเราเครียดหรือพักผ่อนน้อย สมองจะหลั่งฮอร์โมนที่ทำให้เรารู้สึกหิว กระตุ้นให้เรากินมากขึ้นจนอ้วนไม่รู้ตัวได้ นอกจากนั้นการพักผ่อนไม่เพียงพอยังทำให้ระบบเผาผลาญลดลง มีส่วนทำให้น้ำหนักของเราลดช้าลงด้วยค่ะ

6. คุณมีความผิดปกติทางร่างกายหรือเปล่า?

ถ้าหากทั้ง 5 ข้อที่ผ่านมา คุณแน่ใจมากๆว่าไม่ได้เข้าข่ายข้อใด และหากคุณมีอาการดังต่อไปนี้ เช่น รู้สึกกล้ามเนื้ออ่อนแรงช่วงแขนและขา เหนื่อยง่าย เหงื่อออกมาก ท้องผูก อารมณ์แปรปรวน นอนหลับยาก ขี้หนาวผิดปกติ ผมร่วง เราแนะนำให้คุณไปปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญค่ะ เพราะอาการเหล่านี้อาจเป็นข้อบ่งชี้ของอาการต่อมไทรอยด์เป็นพิษ หรือ Hypothyroidism ซึ่งกระทบกับระบบการเผาผลาญ ทำให้เราอ้วนง่ายแม้จะออกกำลังกายหรือควบคุมอาหารเป็นอย่างดีค่ะ (แต่ทั้งนี้อย่าเพิ่งรีบตื่นตระหนก! เราแนะนำให้หาข้อมูลเพิ่มเติมจากเว็บไซด์ทางการแพทย์ที่เชื่อถือได้ร่วมด้วยนะคะ)

สรุปแล้ว เหล่าว่าที่เจ้าสาวที่กำลังตั้งใจฟิตเฟิร์มหุ่นก่อนวันแต่งงาน อย่าเพิ่งเครียดและจริงจังจนเกินไปนะคะ ตัวเลขบนตราชั่งไม่ใช่ตัววัดเสมอไปว่าเราสุขภาพดีขึ้นหรือหุ่นฟิตเฟิร์มขึ้นจริงหรือไม่ ลองหาวิธีอื่นๆที่ช่วยวัดผลมาเป็นตัวช่วย และจงมีวินัยกับการออกกำลังกายอย่างถูกต้องต่อไปเรื่อยๆนะคะ

หากชอบคอนเท้นต์นี้ของเรา ลองคลิกอ่าน ทิปส์การเลือกทานอาหารเพื่อลดน้ำหนักให้หุ่นลีนทันวันวิวาห์ ที่นี่เลยค่ะ

credit photo: livestrong.com

10 เคล็ดลับสุดเจ๋งช่วยว่าที่บ่าวสาวประหยัดเงินค่าทำการ์ดเชิญ

จะประหยัดค่า การ์ดเชิญ ยังไงให้งบไม่บานปลายดีนะ?? … มาดูเคล็ดลับดีๆ จากเรากันเลยค่ะ

เพราะ การ์ดเชิญ เป็นเรื่องที่บ่าวสาวทุกคู่เลี่ยงไม่ได้ที่จะต้องออเดอร์มาใช้ในงานแต่งงาน แต่สิ่งที่เลี่ยงได้คือการจ่ายค่าการ์ดเชิญราคาสูงเกินจำเป็นค่ะ ซึ่งในเรื่องนี้ แพรว wedding ขอคอนเฟิร์มว่าประหยัดได้จริงแน่แท้ทรู ส่วนวิธีการจะมีอะไรบ้าง ลองไปดูเคล็ดลับพร้อมๆ กับเราทีละข้อเลยค่ะ

1. เลือกการ์ดเชิญแบบสำเร็จรูป

ถ้าคิดจะประหยัดขอให้มองการ์ดเชิญแบบสำเร็จรูปที่ดูแล้วเรียบง่ายสุดๆ ค่ะ ไม่เน้นความหวือหวาใดๆ เป็นการ์ดเชิญแบบที่เห็นๆ กันทั่วไป แต่มีหลายแบบให้เลือกโดยไม่ต้องเสียค่าออกแบบใหม่ เพราะทางร้านจะทำแบบไว้เรียบร้อยแล้ว คุณทำหน้าที่แค่จิ้มแบบการ์ดที่ชอบ แล้วเลือกกระดาษแบบที่ใช่ จากนั้นใส่รายละเอียดงานแต่งงานขอคุณลงไป แค่นี้ก็ได้การ์ดเชิญที่ราคาคุมได้แล้วค่ะ

2. เลือกการ์ดเชิญแบบแผ่นเดียว

อีกทางเลือกที่ช่วยให้การ์ดเชิญของคุณไม่ต้องมีราคาแพงเกินจำเป็นคือ การเลือกการ์ดเชิญแบบแผ่นเดียวแล้วใส่รายละเอียดไว้ทั้งสองด้าน แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นการ์ดเชิญที่ว่านี้ต้องไม่มีรายละเอียดหรือเทคนิคพิเศษใดๆ นะคะ

3. พิมพ์การ์ดเชิญเองง่ายๆ

ทางออกของความประหยัดในข้อนี้อาจต้องลงทุนสักหน่อยในเรื่องของการซื้อเครื่องพิมพ์ที่มีประสิทธิภาพในการพิมพ์การ์ดเชิญแบบที่ชอบ รวมถึงหมึกพิมพ์และกระดาษที่ต้องคำนวณไว้แบบเผื่อๆ ซึ่งแม้จะดูว่ายุ่งยาก แต่หลายคู่ก็เลือกทางนี้ เพราะมีแผนในการใช้เครื่องพิมพ์ต่อไปในอนาคต นอกจากนี้หลังบวกลบทุกสิ่งแล้ว สิ่งที่ได้มากกว่าความประหยัดคือความภูมิใจในความทรงจำนี้ร่วมกัน

การ์ดเชิญ

4. เลี่ยงการใช้การ์ดที่มีเทคนิคหรือวัสดุพิเศษทั้งหลาย

อย่างที่บอกไปแล้วการ์ดเชิญที่ดูเรียบง่ายจะช่วยประหยัดเงินมากๆ ฉะนั้นเทคนิคพิเศษประเภทที่มีการปั๊มฟอยด์ ปั๊มนูน ฉลุลายหรือใส่ของตกแต่งทั้งหลายทั้งผ้าลูกไม้ เชือกพัน เม็ดคริสตัล รวมถึงวัสดุพิเศษอย่าง อะคริลิคขอให้ตัดไป เพราะคือต้นทุนที่เพิ่มเข้ามาในการผลิตโดยไม่จำเป็นค่ะ

5. เชิญแขกบางส่วนผ่านทางเว็บไซต์ให้บริการส่งฟรี

เพราะธรรมเนียมการส่งการ์ดเชิญเป็นใบๆ ให้กับผู้ใหญ่สำหรับบ่าวสาวชาวไทยยังคงเลี่ยงไม่ได้ ถ้าอย่างนั้นก็ลดปริมาณการพิมพ์เท่าที่จำเป็นโดยใช้เทคนิคการพิมพ์เองแบบข้อ 3 ที่บอกไปแล้วเข้าช่วย ส่วนแขกที่เหลือ ซึ่งอาจเป็นคนสนิทวัยเดียวกันอย่างบรรดาเพื่อนๆ ก็ใช้โซเชียลมีเดียเป็นเครื่องมือเชิญแขกมางานแต่ง

6. ตรวจทานทุกอย่างให้ดี

วิธีการช่วยประหยัดอีกอย่างคือ ความรอบคอบก่อนเซย์เยสให้ทางร้านพิมพ์ หรือพูดง่ายๆ คือ ตรวจทานรายละเอียดทุกอย่างให้ดี อย่ามีที่ผิดจะได้ไม่ต้องพิมพ์แก้ เพราะนั่นหมายถึงค่าใช้จ่ายที่เพิ่มขึ้นอย่างเลี่ยงไม่ได้เว้นเสียแต่ว่าความผิดพลาดที่เกิดขึ้นมาจากทางร้านหรือมีข้อตกลงกับทางร้านการ์ดว่าสามารถแก้ไขได้ (กี่ครั้งๆ ก็ว่าไป)

 7. กรองรายละเอียดที่จำเป็นและใส่ไว้ในการ์ดใบเดียว

การอัดแน่นรายละเอียดทุกสิ่งลงไปในการ์ดเชิญอาจดูเหมือนว่าจะมากมายเกินไป ฉะนั้นคัดกรองสิคะ เลือกแค่ข้อมูลสำคัญที่แขกพึงรู้ โดยพยายามกระชับและให้ทางร้านการ์ดจัดอาร์ทเวิร์คออกมาให้ลงตัว อย่าหลงกลคำเชียร์ให้แบ่งข้อมูลย่อยใส่กระดาษเป็นชิ้นๆ หรือทำเป็นการเซ็ตเด็ดขาด ถ้างบไม่ถึงและอยากประหยัดเงินในกระเป๋า

8. ทำการ์ดเองแบบ DIY ด้วยวัสดุต้นทุนต่ำ

ถ้าเชิญแขกไม่มาก และมีเวลาทำการ์ดเชิญเองก็เป็นทางเลือกให้ประหยัดเงินในกระเป๋าได้นะคะ แต่ขอบอกสักหน่อยว่า ต้องวางแผนการทำการ์ดให้ดีๆ อย่าออกแบบให้ซับซ้อน โดยเฉพาะเรื่องวัสดุที่เลือกใช้ รวมถึงวิธีการผลิตที่ไม่ควรยากจนเกินไป เพราะนอกจากจะท้อแท้ก่อนทำเสร็จ บางทีต้นทุนอาจมากกว่าการสั่งพิมพ์ได้

การ์ดเชิญ

9. ใช้การ์ดรูปทรงปกติ

บางคนฝันไกลว่าการ์ดแต่งงานของฉันต้องเป็นวงกลม วงรีหรือแบบสี่เหลี่ยมมุมมนสวย ถ้าคุณอยากประหยัด ตื่นจากฝันและหันไปหาการ์ดเชิญทรงสี่เหลี่ยมมุมแหลมทั่วๆ ไปค่ะ เพราะนอกจากการ์ดรูปทรงแปลกๆ จะมีต้นทุนที่แพงแล้ว บางแบบอาจทำให้ต้องจ่ายค่าซองเพิ่มเพราะมีขนาดแปลกว่าทั่วไป

10.สั่งการ์ดที่มีซองมาให้เสมอ

ปกติแล้วร้านการ์ดแต่งงานจะให้ซองคู่มาด้วยตามจำนวนการ์ดที่สั่ง แต่ไม่ใช่ว่าจะไม่มีร้านการ์ดที่บวกเพิ่มราคาซองเข้าไปนะคะ ฉะนั้นคุณจึงควรเช็คให้ดีและมั่นใจว่าร้านการ์ดที่คุณสั่งทำมีซองมาให้ด้วยอยู่แล้ว

เคลียร์กว่านี้ไม่มีอีกแล้ว! เขียนการ์ดเชิญงานแต่งไทยยังไงไม่ให้แขกงง

เรื่อง : ดอกปีบ
ภาพเปิด : www.pexels.com a a

รีดชุดแต่งงานให้เรียบกริบด้วยตัวเองแค่มี 1 ใน 4 อุปกรณ์เครื่องใช้ในบ้าน

ทำยังไงดีถ้าอยู่ๆ ชุดแต่งงานที่รับมาจากร้านเกิดอาการยับในจุดต่างๆ จนทำให้คุณไม่มั่นใจที่จะสวมใส่ จะส่งรีดใหม่ก็คงไม่ทัน วันนี้เราเลยนำเคล็ดลับในการ รีดชุดแต่งงาน เองที่บ้านมาฝาก แค่มีอุปกรณ์เครื่องใช้ในบ้านด้านล่างนี้ คุณก็รีดชุดได้เรียบแน่ค่ะ

 

  • เครื่องทำน้ำอุ่นในห้องน้ำ

หากชุดของคุณไม่ได้ยับมากจนเกินไป เพียงแขวนชุดไว้ในห้องน้ำ และเปิดเครื่องทำน้ำอุ่นให้ร้อนสุดๆ ความร้อนจากไอน้ำในห้องน้ำจะช่วยทำให้ชุดแต่งงานของคุณเรียบขึ้นได้ แต่วิธีการนี้ไม่เหมาะกับชุดที่ซับซ้อนหลายชั้นหรือยับมาก เพราะอาจจะเรียบได้ไม่ทั่วถึงค่ะ

  • ไดร์เป่าผม

คุณสามารถใช้ไดร์เป่าผมช่วยทำให้ชุดเรียบได้ เหมาะสำหรับชุดที่มีเนื้อผ้าบางเบา เพียงคุณใช้ไดร์เป่าผมเปิดลมให้เบาสุด แล้วค่อยๆไล่เป่าไปตามเนื้อผ้า แต่ระวังอย่าเป่าใกล้ผ้ามากเกินไป เพราะอาจจะเกิดการผิดพลาดและทำลายเนื้อผ้าของคุณได้

  • เครื่องรีดผ้าไอน้ำ

เครื่องรีดผ้าไอน้ำสามารถรีดเนื้อผ้าได้เกือบทุกชนิด อีกทั้งยังไม่ทำลายเนื้อผ้า เพียงคุณค่อยๆ ไล่หัวของเครื่องรีดผ้าไปตามชุดสวยของคุณ โดยเริ่มจากส่วนช่วงบนก่อน และถ้าส่วนกระโปรงมีหลายชั้น ให้เริ่มรีดจากด้านในออกมาด้านนอก และอย่าใช้อุณหภูมิที่แรงเกินไป

  • เตารีดธรรมดา

เบสิคและเป็นสิ่งที่คุ้นเคยสุดๆ กับเตารีดธรรมดาๆ เพียงใช้ความร้อนต่ำประมาณ 110-150 องศาเซลเซียส และขณะรีดควรมีผ้าฝ้ายหรือกระดาษหนาๆ ไม่มีสี นำมาทับที่ด้านบน เพื่อป้องกันชุดสวยสัมผัสกับผิวหน้าของเตารีดโดยตรง การสัมผัสโดยตรงจากเตารีดจะทำให้ความเงางามของผ้าสูญเสียเร็ว

ข้อควรระวังในการรีดชุดแต่งงานด้วยตัวเอง คือต้องดูที่เนื้อผ้าของชุดแต่งงานของคุณว่าเป็นผ้าชนิดใด เพราะผ้าบางประเภท เช่น ผ้าไหม  ผ้าลูกไม้ ต้องใช้ความระมัดระวังในการดูแลเป็นอย่างมาก ถ้าไม่มั่นใจว่าจะสามารถดูแลด้วยตัวเองได้ การปรึกษามืออาชีพ เช่น ร้านรับซักชุดแต่งงาน ก็เป็นการช่วยถนอมชุดแต่งงานสุดสวยของคุณให้สวยพร้อมในวันงานสำคัญได้

ทั้งนี้การซัก ควรส่งร้านซักแห้งจะดีที่สุด แต่ถ้าต้องการซักเพราะเกิดรอยเปื้อนโดยไม่ตั้งใจเพียงเล็กน้อย ให้ใช้น้ำอุ่นผสมสบู่ แล้วใช้ผ้าอีกผืน จุ่มน้ำผสมสบู่ ป้ายคราบให้หลุดออกมาอย่างเบามือ จากนั้นใช้ทิชชูซับน้ำให้แห้ง แล้วนำไปผึ่งในร่ม สิ่งสำคัญคือคุณต้องนำชุดสวยใส่ไม้แขวนแล้วแขวนไว้ตลอดเวลา เพราะการวางแม้ระวังอย่างดีก็สามารถเกิดรอยยับย่นได้ และถ้าชุดเจ้าสาวที่คุณต้องรีดเองเป็นผ้าไหม ควรพรมน้ำให้ทั่วผ้าจากนั้นใส่ถุงพลาสติก นำไปแช่ไว้ในตู้เย็น แล้วจะรีดได้ง่ายขึ้นค่ะ

ดูไอเดียเกี่ยวกับชุดแต่งงานเพิ่มเติม คลิกเลย!

เคล็ดลับได้ชุดแต่งงานในฝันดีต่อใจแบบไม่ต้องเสียใจภายหลัง

เชื่อได้ว่าไม่ว่าเจ้าสาวคนไหนหากลองได้นั่งคิดเรื่อง ชุดแต่งงาน ก็คงเพ้อฝันไปไกลไม่หยุดหย่อน ยิ่งถ้าหากได้ลองเดินเข้าไปเลือกชุดแต่งงานในร้านที่มีชุดแต่งงานหลากแบบหลายสไตล์แขวนไว้เป็นราวยาวพร้อมให้เลือกด้วยแล้ว ความคิดก็อาจจะฟุ้งกระจายมากขึ้นไปอีก แพรว wedding เลยนำเคล็ดลับการเลือกชุดแต่งงานในฝันให้ได้ดั่งใจแบบไม่ต้องมาเสียใจภายหลังมาฝาก

1. ตั้งงบประมาณก่อนเดินเข้าร้านชุด

ตั้งงบประมาณสำหรับชุดแต่งงานไว้ประมาณ 10 เปอร์เซ็นต์ของงบประมาณค่าใช้จ่ายทั้งหมด แต่ก็ต้องดูด้วยว่าเจ้าสาวให้ความสำคัญกับความเป็นแฟชั่นในชุดแต่งงานมากน้อยแค่ไหน หากให้ความสำคัญกับชุดมากกว่าดอกไม้ การตกแต่ง หรือเรื่องอื่นๆ ในงานแต่งงาน ถ้าเป็นอย่างนั้นเจ้าสาวอาจจะต้องเจียดเงินจากส่วนนี้เพื่อไปลงกับค่าชุดแต่งงานแทน เพราะฉะนั้นต้องชั่งน้ำหนักและคิดให้ดีๆ นะคะว่าอยากจะให้น้ำหนักเรื่องไหนมากกว่ากัน และการมีงบไว้ในใจก่อนไปเลือกชุดก็ช่วยให้เจ้าสาวไปถึงจุดหมายได้แบบไม่ต้องเสียเวลาลองชุดที่เกินกว่างบที่ตั้งไว้ รับรองว่าได้ชุดแต่งงานในฝันที่ไม่เกินงบแน่นอน

2. เริ่มให้เร็วย่อมได้เปรียบ

ควรเริ่มดำเนินการเรื่องชุดแต่งงานล่วงหน้าก่อนถึงวันงานประมาณ 6-12 เดือน เพราะการออกแบบ ลงมือทำ หรือการปรับปรุงแก้ไขนั้นอาจจะต้องใช้เวลาประมาณ 4-5 เดือน เนื่องจากทางร้านไม่ได้มีคุณเป็นลูกค้าแค่คนเดียว และยังต้องมีเวลาสำหรับการฟิตติ้งอีกอย่างน้อย 3 ครั้งซึ่งใช้เวลาอีกประมาณหนึ่งเดือน เพื่อให้ชุดแต่งงานนั้นเป๊ะพอดีกับรูปร่างของเจ้าสาวมากที่สุด เพราะฉะนั้นการวางตารางเวลาให้ดีและรอบคอบจึงเป็นเรื่องสำคัญ เพราะนอกจากที่จะได้ชุดแต่งงานที่ตรงใจแล้ว ยังไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายเพิ่มเพื่อเร่งชุดให้เสร็จทันวันแต่งงานอีกด้วย

3. ทำการบ้านเรื่องแบบชุดแต่งงานก่อน

ก่อนที่จะไปร้านชุดแต่งงาน เจ้าสาวจะต้องคิดก่อนว่าคุณอยากได้ชุดประมาณไหน เพราะฉะนั้นการเตรียมภาพชุดแต่งงานที่อยากได้ไปให้ร้านหรือดีไซเนอร์ดูด้วยจึงเป็นเรื่องสำคัญ รวมไปถึงรายละเอียดในเรื่องอื่นๆ เช่น เนื้อผ้า การประดับตกแต่ง หรือกิมมิกที่เป็นซิกเนเจอร์ของเจ้าสาวที่อยากจะใส่ลงไปในชุด เพราะดีไซเนอร์หรือร้านจะได้รู้ว่าคุณกำลังมองหาอะไร และสไตล์ของคุณเป็นแบบไหนเพื่อที่จะได้นำเสนอหรือให้คำปรึกษากับเจ้าสาวได้อย่างถูกต้องและไปในทางเดียวกัน

ชุดแต่งงาน

4. นัดหมายร้านไว้ล่วงหน้าจะได้ไม่พลาด

เมื่อคุณมีไอเดียเรื่องชุดแต่งงานที่อยากได้แล้ว ลำดับต่อไปคือการนัดหมายกับร้านชุดหรือดีไซเนอร์ ซึ่งต้องนัดหมายกันไว้ล่วงหน้าก่อนที่จะเข้าไปเพื่อลดความเซอร์ไพร้ซ์ว่าไปแล้วร้านปิด ดีไซเนอร์ไม่อยู่ หรือติดบ่าวสาวคู่อื่นที่เข้าไปขอคำปรึกษาเหมือนกัน แต่ถ้าหากอยากจะวอร์คอินเข้าไป แนะนำให้เลือกไปวันธรรมดาในช่วงบ่ายจะดีที่สุด เพื่อหลีกเลี่ยงว่าที่บ่าวสาวคู่อื่นๆ ที่อาจจะเดินทางเข้ามาในวันหยุด แล้วอย่าลืมบอกร้านหรือดีไซเนอร์ถึงงบประมาณที่วางไว้ด้วยเพื่อที่ทางร้านจะได้ให้คำปรึกษาและออกแบบได้ตรงตามกับงบที่มีบนพื้นฐานในสิ่งที่เจ้าสาวต้องการ

5. จำกัดเพื่อนที่จะไปร่วมตัดสินใจ

ในชีวิตประจำวันคุณอาจจะสนุกที่ได้ไปช้อปปิ้งเป็นแพ็คคู่กับคุณแม่ หรือไปเป็นก๊วนกับแก๊งเพื่อนสาว แต่สำหรับชุดแต่งงานแล้วเจ้าสาวจะทำอย่างนั้นไม่ได้ เพราะชุดเจ้าสาวเป็นชุดที่ต้องให้ความสำคัญเป็นพิเศษ และต้องเป็นชุดที่แสดงถึงตัวตนของเจ้าสาวได้มากที่สุด เพราะฉะนั้นทริปสำคัญนี้เจ้าสาวควรเลือกบุคคลที่รู้จักตัวตนจริงๆ ของคุณไปด้วยแค่ 1-2 คน และคนๆ นั้นต้องเป็นคนที่เจ้าสาวไว้ใจและสามารถให้คำปรึกษากับเจ้าสาวได้ แต่ถ้าคุณกลัวคนที่เหลือจะน้อยใจก็ให้ชักชวนกันไปในวันที่คุณฟิตติ้งเป็นครั้งสุดท้ายก็ถือเป็นทริปที่สร้างเซอร์ไพรส์และประทับใจไม่น้อย

6. แต่งสวยพอประมาณไปเลือกชุดแต่งงาน

ในวันแต่งงานไม่ใช่ว่าคุณจะใส่ชุดเจ้าสาวแสนสวยแล้วเดินเข้างานได้เลยซะเมื่อไหร่ แต่ความสวยทั้งหมดทั้งมวลนั้นต้องประกอบไปด้วยความงามบนใบหน้า ทรงผม และเครื่องประดับต่างๆ ที่เจ้าสาวอยากจะสวมใส่ในวันสำคัญ เพราะฉะนั้นในวันที่ไปเลือกชุดแนะนำให้เจ้าสาวลองแต่งหน้าไปพอประมาณและทำผมไปสักหน่อย เพราะบางครั้งการที่เจ้าสาวหน้าสดผมฟูไปลองชุดก็อาจจะทำให้เจ้าสาวนึกภาพตัวเองในชุดนั้นไม่ออกจนอาจจะพลาดชุดเจ้าสาวดีๆ ไปแบบไม่รู้ตัว รวมไปถึงเครื่องประดับที่เจ้าสาวชอบอาจจะไม่เข้ากับชุดแต่งงานที่เลือกก็เป็นได้

7. ก้าวออกจากคอมฟอร์ตโซน

อย่าตัดสินใจเพียงแค่สายตามองเห็น บางครั้งชุดที่อยู่บนไม้แขวนที่สุดแสนจะธรรมดาแต่เมื่อลองสวมใส่แล้วกลับให้ลุคสวยงามอย่างไม่น่าเชื่อ เพราะฉะนั้นลองเปิดตาและเปิดใจรับสิ่งใหม่ๆ ดูบ้าง เจ้าสาวบางคนอาจจะเข้ามาพร้อมกับความคิดที่ว่ายังไงก็จะไม่ใส่ชุดเกาะอกอย่างเด็ดขาด แต่เมื่อคุณได้ลองแล้วอาจจะเปลี่ยนความคิดนั้นของคุณไปเลยก็ได้ เพราะอย่าลืมว่าคุณไปเลือกและลองชุดโดยมีดีไซเนอร์หรือผู้เชี่ยวชาญที่คอยให้คำปรึกษาตลอดเวลา เพราะฉะนั้นเชื่อใจเถอะว่าเขาจะต้องคัดสรรสิ่งที่เข้ากับคุณได้มากที่สุดมาให้ พร้อมกับแก้ไขจุดบกพร่องที่เจ้าสาวไม่มั่นใจให้สวยแบบไร้ความกังวลใจแน่นอน

8. ลองถ่ายรูปในชุดแต่งงานในแต่ละมุม

หากทางร้านสามารถให้เจ้าสาวถ่ายรูปจากมือถือได้ก็ลุยเลยค่ะ เพราะบางครั้งการดูด้วยตาเปล่าผ่านกระจกเพียงอย่างเดียวก็อาจจะทำให้เจ้าสาวไม่ได้เห็นตัวเองในชุดนั้นผ่านมุมอื่นๆ หรือผ่านแสงและเงาจากการถ่ายรูป แต่หากทางร้านไม่อนุญาตอาจจะต้องใช้วิธีการจดให้ละเอียดสักหน่อยว่าต้องเพิ่มหรือลดดีเทลส่วนไหน ลดรายละเอียดที่ใดบ้าง เช่น ต้องเสริมช่วงหน้าอกให้เต็มกว่านี้ หรือช่วงบั้นท้ายไม่กระชับ เพื่อช่วยในการตัดสินใจก่อนที่จะไปเลือกชุดแต่งงานที่ตรงใจและพอดีกับรูปร่างต่อไป แถมยังช่วยให้เจ้าสาวมั่นใจได้ว่าไม่ว่าจะถ่ายจากมุมไหนก็สวยรอดทุกมุม

9. อ่านรายละเอียดการจองและรับชุดให้ละเอียด

หากคุณเกิดอาการพอใจชุดใดชุดหนึ่งขึ้นมา ทางร้านจะมีหนังสือการจองหรือจ่ายมัดจำมาให้ เพราะฉะนั้นขั้นตอนนี้ต้องใช้สมาธิและอ่านทำความเข้าใจให้ละเอียด ไม่ว่าจะเป็นเรื่องรูปแบบชุด เครื่องประดับที่มาพร้อมชุด (เช่น เข็มขัด ต่างหู สร้อย ฯลฯ) ชื่อ-นามสกุลผู้จอง, ค่าธรรมเนียม, ค่าปรับในกรณีชุดเสียหายหรือส่งคืนล่าช้า, เงื่อนไขการยกเลิกชุดแต่งงาน, ค่ามัดจำ ฯลฯ ก่อนที่คุณจะควักกระเป๋าจ่ายตังก้อนใหญ่

ชุดแต่งงาน

10. เคลื่อนไหวในทุกอิริยาบถในชุดแต่งงาน

อย่าลืมว่าในวันงานคุณไม่ได้แค่ยืนเฉยๆ หน้าแบ็กดร็อปอย่างเดียว แต่คุณต้องนั่ง เดิน หรือก้าวขึ้นบันได เพราะฉะนั้นคุณควรจะลองทำทุกอย่างในชุดแต่งงานในวันฟิตติ้ง เพื่อที่จะได้รู้ว่าชุดนั้นเหมาะกับการเคลื่อนไหวในอิริยาบถต่างๆ ของเจ้าสาวหรือไม่

11. เลือกร้านชุดที่ไม่ไกลจากที่พักมากจนเกินไป

บางครั้งเรื่องระยะทางก็เป็นสิ่งสำคัญ เพราะอย่าลืมว่าคุณไม่ได้ไปแค่วันเดียว แต่เจ้าสาวจะต้องไปฟิตติ้งอย่างน้อย 2-3 ครั้ง และหากต้องมีการเปลี่ยนแปลงแก้ไขหรือเพิ่มเติมสิ่งใดทุกสิ่งทุกอย่างจะต้องเกิดขึ้นที่ร้านเท่านั้น ซึ่งอาจจะใช้เวลาอีกหลายครั้งไม่รวมกับการฟิตติ้ง เพราะฉะนั้นต้องคิดดูดีๆ นะคะว่าคุ้มหรือไม่หากต้องใช้เวลาขับรถเป็นวันเพื่อไปทำภารกิจ

12. เลือกชุดชั้นในให้เข้ากับชุดแต่งงาน

ชุดชั้นในเป็นสิ่งสำคัญที่จะช่วยเสริมให้ชุดแต่งงานนั้นดูสวยยิ่งขึ้นไปอีก ไม่ว่าจะช่วยเสริมอก เสริมสะโพก หรือเสริมบั้นท้าย เพราะฉะนั้นเราอยากให้เจ้าสาวลงทุกสักนิดแล้วเลือกซื้อชุดชั้นในชุดใหม่แล้วนำไปฟิตติ้งกับชุดแต่งงานเพื่อที่จะได้ดูว่าชุดชั้นในนั้นสอดรับและพอดีเข้ากับชุดแต่งงานของเจ้าสาวหรือไม่ เพื่อที่จะได้มองเห็นตัวเองในชุดแต่งงานได้อย่างสมบูรณ์แบบ

ดูไอเดียเกี่ยวกับชุดแต่งงานเพิ่มเติม คลิกเลย!

Cr. www.marthastewartweddings.com, www.lowsbridal.com, www.pinterest.com

ว่าที่บ่าวสาวได้สถานที่จัดงานแต่งโดนใจแน่…แค่คลิกอ่าน!! คอนเฟิร์ม

หลายคู่ไฝว้กันไม่ลงตัวซะทีกับเรื่อง สถานที่จัดงานแต่ง ไม่ว่าจะเป็นจัดงานอินดอร์หรือเอาทดอร์ จัดที่กทม. หรือ ตจว. พอได้สถานที่มาในลิสต์แล้วก็ตัดใจไม่ลง แล้วแบบนี้เมื่อไหร่จะได้ข้อสรุปสักที วันนี้เราจึงหาวิธีดีๆ แบบเป็นขั้นเป็นตอนที่จะทำให้คุณว่าที่ทั้งหลาย ได้สถานที่จัดงานแต่งงานอย่างใจปรารถนามาให้ รับรองว่า แค่คุณตั้งใจอ่านและทำตาม อาการไฝว้แบบหาข้อสรุปไม่ได้จะยุติลงทันใด เริ่มตั้งแต่

1. สรุปรูปแบบงานแต่งที่ชอบ

kandhavas-wedding
โรงแรมพลาซ่า แอทธินี

จำไว้ค่ะว่า รูปแบบงานคือตัวกำหนดสถานที่ ดังนั้นคุณจะเลือกสถานที่ไม่ได้แน่นอน ถ้าคุณยังไม่รู้แน่ชัดว่า คุณจะจัดงานทั้งหมดกี่พิธี เมื่อจัดพิธีเสร็จแล้วจะจัดเลี้ยงฉลองต่อเลยหรือเว้นวันเว้นชั่วโมงในการจัดงานเลี้ยงฉลอง เราจึงขอให้คุณสรุปเรื่องรูปแบบงานให้ได้ก่อน แล้วจึงหาพื้นที่จัดงานเป็นขั้นตอนต่อไป นอกจากนี้ถ้าภาพในในหัวมีบรรกากาศแวดล้อมแทรกมาได้ก็แทรกเลย เช่น รูปแบบงานแต่งที่อยากได้จะต้องอยู่ในบรรยากาศแวดล้อมของเสียงคลื่น เสียงน้ำ หรือความเขียวขจีของต้นไม้หรือเปล่า เพราะสิ่งเหล่านี้จะกลายเป็นโจทย์ย่อยๆ ประกอบการเลือกพื้นที่จัดงานต่อไป

2. เลือกพื้นที่จัดงาน (กทม. หรือ ตจว.)

เอาล่ะ เมื่อคุณรู้แล้วว่า รูปแบบงานแต่งงานที่เลือกเป็นแบบไหน การหาสถานที่จัดงานจะง่ายขึ้นมาอีกหนึ่งสเต็ป แต่ยังไม่ต้องผลีผลามเลือกเป็นที่ๆ ไปนะคะ ค่อยๆ ลดสโคปงานของตัวเองก่อน โดยตอนนี้เราอยากให้คุณเลือกให้ได้ว่า งานพิธีที่ว่าจัดจะอยู่ในพื้นที่ใดในประเทศบ้าง เช่น ถ้าฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งมีภูมิลำเนาอยู่ต่างจังหวัด จะจัดงานที่บ้านเกิดด้วยไหม หรือถ้ามีภูมิลำเนาอยู่ต่างจังหวัดทั้งคู่ จะต้องจัดทั้งสองจังหวัดหรือเปล่า แล้วจะมีงานฉลองกับเพื่อนๆ ในกรุงเทพฯ ด้วยไหม ซึ่งถ้าคุณได้ข้อสรุปตรงนี้แล้ว การบ้านของคุณในการมองหาสถานที่ก็จะถูกจำกัดอยู่ในพื้นที่ที่แคบลงไปอีกสเต็ปไงล่ะคะ

3. เลือกประเภทสถานที่จัดงาน (โรงแรม, รีสอร์ท, หอประชุมโรงเรียน, สมาคม ฯลฯ + มีบรรยากาศอย่างฝันไหม เช่น ริมทะเลหรือในสวน)

pnwedding_180007
โรงแรมมิลเลนเนียม ฮิลตัน

เมื่อเลือกได้แล้วว่าจะจัดที่จังหวัดไหน คุณก็มาลงลึกถึงพื้นที่นั้นๆ กันเลยว่ามีสถานที่ไหนรับจัดงานแต่งงานบ้าง โดยในขั้นตอนนี้ อาจแบ่งลงไปอีกนิดว่า สถานที่จัดงานที่ว่าเป็นประเภทไหนบ้าง เช่น โรงแรม รีสอร์ท หอประชุม สมาคม หรือเป็นสถานที่รับจัดงานแต่งงานโดยเฉพาะ จากนั้นถามใจคุณเลยค่ะ ว่าอยากได้สถานที่ประมาณไหน เพราะแต่ละที่มีข้อดีข้อเสียต่างกัน ซึ่งส่วนใหญ่จะมีเงื่อนไขกันประมาณนี้ค่ะ

  • “โรงแรม” มีห้องจัดเลี้ยงให้ มีบริการอาหารและพนักงานเสร็จสรรพ ที่จอดรถก็โอเค แต่งบประมาณที่มีสมดุลหรือเปล่า
  • “รีสอร์ต” น่าจะตอบโจทย์ได้ดีกับกลุ่มคู่รักนิยมธรรมชาติ แต่พื้นที่จัดงานอาจไม่ได้ใหญ่โต มีเรื่องการเหมาห้องมาเป็นตัวกำหนดหรือเปล่า รวมถึงถ้าต้องเหมารีสอร์ตคุณโอเคไหม ที่สำคัญคือ ถ้าไม่เหมาต้องจัดงานแบบเกรงใจแขกเหรื่อที่มาพักคนอื่นๆ ด้วยนะ ซึ่งบางครั้งบางรีสอร์ตจะมีกฎให้จัดงานได้ถึงแต่ 22.00 น. เท่านั้น คุณโอเคหรือเปล่า
  • “หอประชุมโรงเรียนและสมาคมต่างๆ” อาจได้ความดีงามที่ความใหญ่โต๊ะมโหฬาร แต่คงไม่มีอาหารและคนมาบริการ นั่นแปลว่าต้องไปหาทุกสิ่งมาลงเองแน่นอน คุณโอเคไหมละ

4. เปรียบเทียบความดีงามและงบประมาณที่มี

ถ้าคุณเลือกได้แล้วว่าจะจัดงานแต่งงานยังสถานที่ประมาณใดประเภทหนึ่ง ให้นำหลายๆ สถานที่ในประเภทเดียวกันมาเทียบหาความแตกต่างค่อยตัดสินใจเลือก เช่น ถ้าคุณเลือกจัดงานในโรงแรมก็ให้หาโรงแรมที่มีคุณสมบัติตรงใจมาสัก 3-4 โรงแรม แล้วนำรายละเอียดต่างๆ มาเทียบกันเลย ไม่ว่าจะเป็นรองรับแขกได้ตามต้องการไหม รายละเอียดแพ็กเกจให้อะไรไม่ให้อะไรต่างกันแค่ไหน และคุณรับได้หรือเปล่า ค่าใช้จ่ายบวกลบต่างกันแค่ไหน และในความต่างกันนั้น ตอบโจทย์ความต้องการที่ตั้งไว้มากน้อยแค่ไหน อาหารแต่ละที่รสชาติเป็นยังไงบ้าง  เดินทางมาถึงลำบากมากไหม เป็นต้น

ที่สำคัญ การเปรียบเทียบที่ว่านี้ ต้องไม่ลืมเทียบกับงบประมาณที่คุณกำหนดเสมอว่า สมเหตุสมผลหรือเปล่า บางครั้งงบที่ตั้งไว้อาจไม่พอ แต่ความดีงามถูกใจในสถานที่นั้นๆ มากพอให้คุณยอมควักเงินจ่ายเพิ่มหรือเปล่า เรื่องนี้คุณเท่านั้นที่จะตอบได้

5. เลือกสถานที่จัดงานแต่งงานได้เลย

dsc04652
โรงแรม S31

เมื่อเทียบข้อดีข้อเสียเรียบร้อย คุณก็จะได้สถานที่จัดงานแต่งงานที่โดนใจหรือใกล้กับความต้องการในใจคุณมากที่สุดค่ะ

ดูเรื่องราวเกี่ยวกับสถานที่แต่งงานและสถานที่ฮันนีมูนเพิ่มเติมได้ที่นี่ คลิกเลย! a a a a a a

อย่าปล่อยให้ ดนตรีในงานแต่ง มาทำให้งานของคุณพัง มาดูวิธีรับมือกันดีกว่า

งานแต่งงานคืองานในฝันของบ่าวสาวทุกคน ที่อยากจะเนรมิตให้งานออกมาสมบูรณ์แบบและเพอร์เฟกต์มากที่สุด ดังนั้นเราควรจะต้องมีการวางแผนงานที่ดีในทุกๆ ด้าน เพื่อให้งานออกมาดีที่สุด แต่มีอีกสิ่งที่ไม่ควรจะมองข้ามเลยก็คือ ” ดนตรีในงานแต่ง “

ดนตรีในงานแต่ง ถึงแม้จะเป็นเพียงดีเทลเล็กๆ น้อยๆ ในงานที่บ่าวสาวบางคนอาจจะมองข้ามไป แต่เราอยากให้บ่าวสาวได้ลองหันกลับมาดูกันสักหน่อยและอย่าละเลยเลยนะคะ เพราะดนตรีในงานแต่งคืออีกหนึ่งสิ่งที่จะช่วยเพิ่มสีสันและความสนุกให้งานได้ไม่น้อย ดังนั้นเราอย่าปล่อยให้ดนตรีในงานแต่งมาทำให้งานของเราพัง ว่าแล้วก็มาดูวิธีการรับมือกับเรื่องนี้กันเลยดีกว่า 

1. อย่าเริ่มต้นงานด้วยความเงียบ

แน่นอนว่าน่าจะเป็นบรรยากาศที่ไม่ดีเท่าไหร่ ถ้าแขกที่เข้ามาในงานแต่งงานเดินเข้างานมาแบบเงียบๆ ไร้เสียงเพลงบรรเลงใดๆ และงานแต่งงานคืองานมงคล และงานที่ทุกคนมีความสุข ดังนั้นบ่าวสาวควรหาเพลงมาเปิดคลอเบาๆ หรือหาวงดนตรีมาเล่นบรรเลง อย่าปล่อยให้งานเงียบเหงาเลยนะจ๊ะ อย่างน้อยก็เป็นการช่วยบิ้วด์อารมณ์ให้กับแขกภายในงาน รวมไปถึงตัวบ่าวสาวเองด้วย

ดนตรีในงานแต่ง

2. ควรพูดคุยกับนักดนตรีก่อนงานเริ่ม

โดยคุยตกลงถึงความต้องการที่อยากได้ อย่าปล่อยให้นักดนตรีดีไซน์เพลงออกมาเอง คุณควรพูดคุยเพื่อความเข้าใจของทั้งบ่าวสาวและวงดนตรีให้ตรงกัน ว่าต้องการให้เพลงในงานออกมาในรูปแบบใด ดีกว่าออกมาแบบมึนๆ แบบหลงธีมงานแต่งนะจ๊ะ

ดนตรีในงานแต่ง

3. เลือกเพลงให้ถูกต้องเหมาะสม

ที่พูดมานี้ คือการเลือกเพลงให้เข้ากับช่วงพิธีการ และช่วงเวลาที่เหมาะสม หากกำลังเป็นช่วงพิธีการ ลองเลือกเพลงเบาๆ ซอฟต์ๆ แล้วหลังจากนั้นในช่วงอาฟเตอร์ปาร์ตี้ จะสนุกสุดเหวี่ยงก็ตามแต่ความต้องการของคู่บ่าวสาวเลยจ้าาาา

ดนตรีในงานแต่ง

4. ควบคุมความดังของเสียง

คงเป็นอะไรที่ไม่ดีนัก ถ้าเปิดดนตรีในงานแต่งให้ดังจนเกินไป จนทำให้แขกในงานต้องตะโกนคุยกันจนคอแห้ง ควรเลือกระดับเสียงที่พอดี ไม่ทำลายสุขภาพหูของแขกในงานนะจ๊ะ เพราะแขกในงานคงจะเซ็งแย่ ถ้าต้องทนฟังเพลงดังๆ และค้องตะโกนคุยกันตลอดงาน

ดนตรีในงานแต่ง

5. อย่าปล่อยให้ช่วงเวลาเปิดเพลงยาวนานเกินไป

การที่ไม่เปิดเพลงเลย ก็ทำให้บรรยากาศดูจืดๆ ลงไป แต่ถ้าเปิดตลอดจนยืดเยื้อไม่พอดีก็อาจจะทำให้แขกเบื่อได้ ดังนั้นลองหากิจกรรมอื่นๆ มาแทรกให้พิธีการให้ดูน่าสนุกสนาน แล้วค่อยพักเบรคด้วยการฟังเพลงเพราะๆ น่าจะเป็นไอเดียที่ดีกว่านะคะ

ดนตรีในงานแต่ง

อะไรที่มากจนเกินไป หรือน้อยจนเกินไปมันก็จะไม่สมดุล เพราะฉะนั้นบ่าวสาวลองวางแผนให้ดีๆ อย่าปล่อยให้เรื่องของดนตรีในงานแต่งมาทำให้งานพังนะจ๊ะ … นอกจากนี้ลองมาดู คำแนะนำการเลือก วงดนตรีในงานแต่ง จากกูรู…เลือกอย่างไรให้ปัง

ภาพจาก : Pinterest.com

ไขข้อข้องใจเรื่อง “ค่าน้ำนม” ส่วนต่างใน สินสอด ที่ใครหลายคนสงสัยทำไมต้องจ่าย

“ค่าน้ำนม” ที่รวมอยู่ใน สินสอด คืออะไร? เหตุไฉนทำไมต้องจ่ายกันนะ?

หนึ่งใน สินสอด ที่เรามักจะได้ยินก็คือ เงินค่าน้ำนม แต่คุณเคยสงสัยกันไหมว่าเงินส่วนนี้คือเงินอะไร แล้วเงินค่าน้ำนมที่ว่านี้มีทั้งในประเพณีแต่งงานไทยและจีนหรือเปล่า หากว่าที่บ่าวสาวคู่ไหนสนใจใคร่รู้เหมือนกันละก็ เราเสิร์ชและสรุปมาให้กระจ่างแล้ว

ความหมายของเงินค่าน้ำนม

ขอเริ่มต้นอย่างเป็นทางการกับคำว่า “ค่าน้ำนม” ตามพจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน ฉบับ 2554 ที่ได้ให้ความหมายไว้ว่า “เป็นเงินที่ฝ่ายชายต้องจ่ายให้แก่บิดามารดาฝ่ายหญิงในการสู่ขอเพื่อตอบแทนเป็นค่าที่ได้เลี้ยงดูมา” นอกจากนี้ยังระบุว่าคนไทยมักนิยมใช้คำว่า “ค่าน้ำนม” เข้าคู่กับคำว่า ข้าวป้อน เป็น ค่าน้ำนมข้าวป้อน ดังคำโบราณที่ว่า ให้คิดเอาค่าน้ำนมข้าวป้อน ค่าเลี้ยงรักษาแก่มันแลชายซึ่งภาเอาหญิงไปเลี้ยงนั้นให้มันช่วยหญิงเสียกึ่ง

แต่ในปัจจุบัน เงินค่าน้ำนม หมายถึง เงินที่ฝ่ายชายต้องจ่ายให้กับพ่อ-แม่ของฝ่ายหญิง เพื่อเป็นการตอบแทนค่าน้ำนมที่ใช้เลี้ยงว่าที่ภรรยามาจนเติบใหญ่นั่นเอง ส่วนการให้ในแต่ละประเพณีจะแตกต่างกันอย่างไร มาดูกันจ้า

ความแตกต่างของเงินค่าน้ำนมในประเพณีไทยและจีน

ในการแต่งงานของคนไทย ค่าน้ำนม จะเรียกรวมอยู่กับเงินสินสอด เพื่อเป็นการให้เกียรติพ่อ-แม่ฝ่ายหญิง ซึ่งในอดีตมักจะเรียกค่าสินสอดกันประมาณ 30 หรือ 40 บาท พอเป็นพิธี เพราะหากเรียกมากกว่านั้นอาจถูกชาวบ้านนินทาได้ว่า บ้านนี้ขายลูกสาวกิน! และพ่อ-แม่จะมอบคืนให้กับคู่แต่งงาน เพื่อเป็นเงินทุนสำหรับสร้างครอบครัวต่อไป ซึ่งในปัจจุบันเงินค่าน้ำนมของคนไทยจะให้กันตามเห็นแต่สมควรตามกำลังจะให้ได้หรือตกลงกันทั้งสองฝ่าย ไม่มากหรือน้อยจนเกินไป โดยส่วนใหญ่ที่เห็นก็หลักใกล้หมื่นถึงหมื่นขึ้นไป หากบ้านไหนมีฐานะก็อาจให้มากกว่านั้นก็ได้

สำหรับประเพณีจีน ความหมายของเงินค่าน้ำนมมีความเหมือนกันกับของคนไทย แต่จะต่างกันตรงที่มีการแยกเงินค่าน้ำนมออกจากเงินสินสอดอย่างชัดเจน โดยจำนวนเงินจะขึ้นอยู่กับการตกลงกันของพ่อ-แม่ทั้งสองฝ่าย ซึ่งพ่อ-แม่ของเจ้าบ่าวจะเป็นฝ่ายทำการจัดซองแดง 4 ซอง สำหรับมอบให้กับพ่อ-แม่เจ้าสาวโดยเฉพาะ ได้แก่

  • ซองสำหรับค่าน้ำนม
  • ซองสำหรับค่าเสื้อผ้า
  • ซองสำหรับค่าเสริมสวย
  • ซองสำหรับเป็นทุนตั้งตัว

ซึ่งเราขอแอบกระซิบบอกบ่าว-สาวว่าเงินทั้ง 4 ซองนี้ จะได้คืนเป็นขวัญถุงหรือไม่ขึ้นอยู่กับความปราณีของพ่อ-แม่เจ้าสาวเท่านั้นนะจ๊ะ

ทั้งหมดนี้เราจะเห็นได้ว่าไม่ว่าจะเป็นเงินค่าน้ำนมของไทยหรือจีน ก็มีความหมายที่เหมือนๆ กัน แต่จะแตกต่างกันก็เพียงแค่วิธีการให้เท่านั้น จึงทำให้ใครหลายๆ คนมักตีความเหมารวมว่ามันคือเงินส่วนเดียวกันนั่นเองจ้า

เมื่อทราบถึงที่มาที่ไปของค่าน้ำนมในสินสอดแล้ว ก็ต้องเตรียม >>> สคริปต์งานไทย 2 ภาษาจัดเต็มทั้ง เจรจา สู่ขอ นับสินสอด และสวมแหวน

ขอบคุณภาพและเนื้อหาจาก : www.luckpermpoon.com, dictionary.sanook.com

10 คำถาม-คำตอบ สัมภาษณ์บ่าวสาว บนเวที เตรียมไว้ให้ดีจะได้ไม่สตั๊นท์

เตรียมการไว้ให้ดีกับช่วง สัมภาษณ์บ่าวสาว บนเวทีให้ไม่มีสะดุด

ช่วง สัมภาษณ์บ่าวสาว บนเวที เป็นอีกช่วงเวลาหนึ่งที่ช่วยสร้างความบันเทิงให้กับแขกด้านล่างเวทีไม่น้อย แต่หัวใจสำคัญของการถามคือ คำถามต้องสนุก ดึงดูดคนฟัง และที่สำคัญไม่ยืดเยื้อเกินไป เพราะเดี๋ยวจะกลายเป็นกร่อยซะเปล่าๆ แพรว wedding เลยมีไอเดียคำถามที่ควรถามบนเวทีมาให้บ่าวสาวได้เลือกใช้กันตามความชอบและนิสัยของแต่ละคู่ ลองไปเช็คดูว่า ข้อไหนเหมาะกับคู่ของคุณบ้าง

1. รู้จักกันได้อย่างไร : เพื่อเป็นการบอกเล่าให้แขกในงานได้รู้จักคุณทั้งคู่ เพราะแขกที่มางานมีหลากหลาย ซึ่งบางคนคุณเองก็เพิ่งเคยเห็นหน้าครั้งแรกเช่นแขกของคุณพ่อคุณแม่ ฉะนั้นการมีคำถามเปิดตัวเพื่อแนะนำเรื่องราวของคุณทั้งคู่ให้ได้รู้จักกัน จึงไม่ควรพลาด (ในกรณีที่คุณมีวิดีโอพรีเซนเทชั่นมาแสดง คำถามนี้อาจไม่จำเป็น)

2. ความรู้สึกแรกที่เห็นหน้า : เป็นคำถามที่บางคนถามเพื่อเอาฮา เพราะเจ้าบ่าวเจ้าสาวบางคู่เลือกที่จะตอบแบบสนุกสนานและหยอกเอินแซวเรื่องหน้าตากันบนเวทีแบบพอน่ารัก ขณะที่บางคู่จะเขินอายแอบซึ้งแอบชมกันเนียนๆ ต่อหน้าธารกำนัลก็มี ฉะนั้นจึงอยู่ที่พระเอกนางเอกของงานว่าจะตอบไปทางแนวไหน

3. กลยุทธการจีบ : คำถามนี้ต้องระวังเวลาถามให้ดี เพราะถ้าเจ้าบ่าวเจ้าสาวที่ไม่ได้เรียนย่อความมา อาจเกิดอาการเล่ายาวยืดเยื้อจนแขกเลิกสนใจไปเลย ฉะนั้นสิ่งทั้งคู่พึงตระหนักคือ เล่าได้แต่ให้กระชับจะดีที่สุด

4. เกิดความประทับใจอีกฝ่ายตอนไหน : คำถามนี้เรียกได้ว่าเป็นคำถามแถลงการณ์ความนัยของแต่ละฝ่ายว่าเหตุผลกลใดจึงเซย์เยสรับรักอีกฝ่ายมาไว้ในดวงใจ เจอคำถามนี้เมื่อไหร่ เตรียมซึ้งไว้ล่วงหน้าได้เลย

5. จำวันที่ตกลงเป็นแฟนกันได้ไหม : เตือนไว้ก่อนสำหรับคู่รักที่รู้ว่าตัวเองความจำสั้นควรคุ้ยหาคำตอบเรื่องวันที่เตรียมไว้บ้าง แต่หากจำไม่ได้จริงๆ แนะนำให้เลี่ยงพูดถึงตัวเลขวันที่แต่ให้เล่าเหตุการณ์ในวันที่ได้ตกลงปลงใจเป็นแฟนกันแทน

6. เล่าวันที่ขอแต่งงาน : อาจเล่าเป็นเหตุการณ์ที่ทำเซอร์ไพร้ส์หรือโมเม้นต์ที่คุกเข่าขออีกฝ่ายแต่งงาน อย่าลืมแทรกความรู้สึกทั้งหมดที่มีของหัวใจลงไปด้วย รับรองว่า อรรถรสและเสียงกรี๊ดแห่งความอิจฉาของเพื่อนๆ มาเต็ม

7. ของขวัญชิ้นแรกหรือเซอร์ไพร้ส์แรก : เป็นคำถามที่อาจถามเพื่อนำทางสู่การให้ของขวัญหรือเซอร์ไพร้ส์กันบนเวที แต่เตือนไว้อย่างว่า ถ้าจะเซอร์ไพร้ส์ต้องให้เนียนและเก็บเป็นความลับให้มิดชิดที่สุด ไม่อย่างนั้นแป้กแน่ๆ

8. คำสัญญา : เป็นการนำทางสู่ความซึ้งช่วงท้ายบนเวทีที่เปิดโอกาสให้แต่ละฝ่ายกล่าวถึงความตั้งใจของตัวเองในการใช้ชีวิตร่วมกันในอนาคต พูดเสร็จอย่าลืมสบตาซึ้งและหอมแก้มกันหนักๆ บนเวทีด้วยล่ะ

9. จะมีลูกกี่คน : อาจใช้คำถามนี้ทิ้งท้ายเพื่อสร้างสีสันในงานและนำทางสู่คำถามปิดท้ายข้อต่อไป…

10. คืนนี้จะทำอะไรกัน : แน่นอนว่าคำถามนี้ห้ามเตี๊ยมกับบ่าวสาวเด็ดขาด เพราะเป็นคำถามเรียกเสียงฮาส่งท้าย ซึ่งถ้าถามกับบ่าวสาวที่เรียบร้อย ภาพที่ได้จะออกแนวสะท้านอายพูดไม่ออก บอกไม่ได้

          แต่ถ้าเมื่อไหร่ถามกับคู่รักที่มีนิสัยสนุก การันตีได้เลยว่า คำตอบที่ได้ฮาน้ำตาเล็ดแน่นอน

นอกจากเตรียมคำถาม-คำตอบบนเวทีแล้ว ช็อตเปิดตัวบ่าวสาวก็ต้องเตรียมไว้เหมือนกันนะ คู่ไหนยังคิดไม่ออก ตามไปดู 12 ไอเดียเปิดตัวบ่าวสาวเก๋ๆ ที่น่าจดจำในภาพถ่ายไม่รู้ลืม กันเลย

ภาพเปิด : stocksnap.io

4 เรื่องต้องระวังเมื่อคิดจะทำพรีเซนเทชั่นงานแต่ง

เทรนด์การทำ พรีเซนเทชั่นงานแต่ง มีอยู่อย่างต่อเนื่องในทุกยุคค่ะ แต่แพรว wedding ขอเตือนตรงนี้ว่า ไม่ใช่แค่คิดอยากทำ มีตังค์คือจบ แต่ควรคิดถึง 4 เรื่องนี้ที่เรารวบมาฝาก ก่อนตัดสินใจนัดแนะคนทำงานจัดถ่าย 

1. พรีเซนเทชั่นที่ยาวเว่อร์

จริงอยู่ที่ยุคนี้คือยุคของการทำคลิปวิดีโอ ยุคแห่งภาพเคลื่อนไหวบนโลกโซเชียล ซึ่งขอบอกเลยว่า พรีเซนเทชั่นงานแต่งก็ไม่ต่างกัน เรื่องความยาวที่มากไปจะทำให้แขกเบื่อได้ง่ายๆ แถมยังเมื่อยคออีกด้วยนะคะ เพราะจอฉายส่วนใหญ่อยู่สูงกว่าระดับสายตาเสมอ ทำให้แขกเกิดอาการแหงนคอมองจอ ซึ่งถ้ามากกว่า 5 นาที แถมพรีเซนเทชั่นยังไม่น่าดึงดูด แขกทั้งงานไม่อยากดูหรอกค่ะ

2. พรีเซนเทชั่นที่มีในงานมากกว่า 2 ชิ้น

เคยเจอไหมคะที่ไปงานแต่งงานแล้วแบบว่าอารมณ์เหมือนยืนดูทีวีอยู่กับบ้าน เพราะก่อนเปิดตัวบ่าวสาวก็เปิดมา 1 ชิ้นเรียกน้ำย่อย อ่ะ! อันนี้ไม่ว่ากัน จากนั้นพอประธานลงไปก็เปิดอีก 1 ชิ้น อืม…อันนี้เริ่มงงๆ ว่าทำไมต้องมี จากนั้นก็ขอบคุณพ่อแม่ก็อีก 1 ชิ้น โอ๊ย…ซึ้งกันไป  นี่ยังไม่นับรวมพรีเซนเทชั่นเซอไพร้ส์อีกด้วยนะคะ แบบว่า…ไม่ขอบรรยายดีกว่า เอาเป็นว่า ที่บอกมาคือจำนวนพรีเซนเทชั่นที่เคยมีคนเปิดจริงในงานแต่ง ซึ่งแบบว่าแม้งบประมาณจะไม่จำกัด แต่แขกก็ไม่ได้แฮปปี้เสมอไปนะคะ

พรีเซนเทชั่นงานแต่ง

3. พรีเซนเทชั่นที่มีแต่บทพูดและหน้าคน

รูปแบบและวิธีการนำเสนอในพรีเซนเทชั่นสำคัญมากนะคะ เพราะอย่างที่บอกว่าอย่ายาวไปจะดีกว่า อย่ามีจำนวนมากจะดีมากเท่านั้นยังไม่พอ เพราะเนื้อหาควรดึงดูดด้วย ไม่ใช่ว่าบ่าวสาวพูดไม่เก่งเลยใช้การอัดคลิปมาเปิดแทนแค่นั้น คือถ้าพูดไปแล้ววิธีนี้ก็ช่วยได้ค่ะ แต่ควรมีการนำรูปภาพหรือคั่นด้วยภาพเคลื่อนไหวอะไรมาบ้าง ไม่ใช่ตั้งกล้องนิ่งๆ จ่อหน้าบ่าวสาวแล้วอัดมาเปิดเท่านั้นค่ะ

4. พรีเซนเทชั่นที่ดูแล้วปวดตาในความมืด

บ่าวสาวอาจไม่เชี่ยวชาญเรื่องเทคนิคการถ่ายทำ แต่เคยดูจากภาพยนตร์ต่างๆ แล้วชอบก็เกิดอินอยากให้ครั้งหนึ่งในชีวิตตัวเองได้มีพรีเซนเทชั่นสวยๆ ออกแนวอาร์ทๆ มาเก็บไว้ ทำได้ค่ะ ไม่ได้ห้าม เพียงแต่ว่าอย่าลืมว่าเวลาเปิดจะต้องปิดไฟทั้งห้อง ซึ่งถ้าภาพในพรีเซนเทชั่นทำให้คนดูปวดตามากไปก็ไม่ควรเสี่ยงนะคะ เพราะนอกจากแขกจะบ่นแล้ว ยังส่งผลถึงสุขภาพดวงตาอีกด้วยนะคะ เอาเป็นว่าภาพสวยแสงแปลกเลียนแบบหนังที่ปลื้มได้ แต่อาจต้องปรับความความเหมาะสมของสภาพแวดล้อมที่จัดงานด้วยนะคะ

ดูไอเดียงานแต่งงานอีกเพียบได้ที่นี่ คลิกเลย!

เรื่อง : Hoyamemoria
ภาพ : planyourperfectwedding.com

รู้จักและเข้าใจเพชร H&A และ 3Ex ก่อนเลือกซื้อเพชรมาทำแหวนแต่งงาน

รู้ไหมคะว่า Heart & Arrow และ 3 Excellent เป็นคุณสมบัติที่ควรให้ความสำคัญในการเลือกซื้อเพชรเป็นที่สุด เราจึงได้เชิญคุณอรพินท์ พงษ์ประพัฒน์ ผู้บริหารบริษัทเพชร Thye Seng Hong มาบอกเล่าถึงความสำคัญของสองสิ่งนี้เพื่อให้บ่าวสาวได้ แหวนแต่งงาน ที่ดีที่สุดมาครอบครอง

Q : สองคุณสมบัติที่ว่าคืออะไรบ้าง

A : H&A คือเพชรทรงกลม (Round Brilliant) ที่ได้รับการเจียระไนอย่างสมบูรณ์แบบ ทำให้มีประกายแสงแวววาว คุณสามารถมองเห็นลูกศร 8 ดอกจากด้านบนของเพชรและรูปหัวใจ 8 ดวงบริเวณด้านล่างเพชรด้วยการส่องกล้อง โดยต้องมีขนาดเท่าๆ กันเท่านั้น ส่วนคำว่า Excellent หรือเรียกสั้นๆ ว่า Ex คือการประเมินเพชรจากสถาบันอัญมณีซึ่งแบ่งออกเป็น การขัดเงา (Polish) ความสมมาตร (Symmetry) และการเจียระไนโดยรวม (Cut Grade) ซึ่งเพชรเม็ดไหนที่ได้การประเมินดีเยี่ยมระดับ Excellent ทั้ง 3 ส่วน ในใบเซอร์ (Certificate) เราจะเรียกเพชรเม็ดนั้นว่าเป็นเพชร 3Ex

Q : เพชร H&A ต้องเป็น 3 Ex เสมอไปหรือเปล่า

A : ไม่จำเป็นค่ะ เพราะเพชร H&A อาจจะได้รับการประเมินเรื่องความสมมาตรและการเจียระไนโดยรวมในระดับ Excellent แต่ในเรื่องการขัดเงาเพชรเม็ดนั้นอาจจะได้แค่ระดับ Very Good ก็เป็นได้ ซึ่งการเลือกซื้อแหวนเพชรคุณจะต้องเลือกจากพื้นฐาน 4C รวมถึง H&A และ 3Ex ประกอบกันไป

เลือกเพชร

Q : H&A และ 3Ex มีผลต่อราคามากน้อยแค่ไหน

A : เพชรที่เป็น H&A และ 3Ex จะมีราคาสูงกว่าเพชรที่ไม่มี H&A และ 3Ex ประมาณ 5-10 % เพราะการเจียระไนให้ได้เพชร H&A และ 3Ex จะต้องเสียเนื้อเพชรดิบมากกว่าการเจียระไนที่ด้อยกว่า ซึ่งหากจะให้แนะนำ บ่าว-สาวก็ควรเลือกเพชรที่มีคุณสมบัติสองสิ่งนี้ เพราะจะทำให้คุณได้แหวนเพชรที่คุ้มค่าและดีที่สุดไปครอบครอง

Q : อะไรคือสิ่งทำให้คุณสมบัติของ Heart&Arrow และ 3 Excellent ลดลง

A : อยู่ที่การใช้งานของแต่ละคนค่ะ บริเวณขอบเพชรจะเป็นส่วนที่บางที่สุด หากไม่ทันระวังแหวนอาจไปกระทบกับวัตถุแข็งจนทำให้เพชรเกิดรอยร้าวและแตกได้ ส่วนความหมองที่เกิดขึ้นจากคราบเหงื่อและแป้งไม่ส่งผลกระทบใดๆ ต่อ H&A และ 3Ex แน่นอน

Q : วิธีการเก็บรักษาและการทำความสะอาดเพชรให้คงคุณค่า Heart&Arrow และ 3 Excellent

A : ทำความสะอาดง่ายๆ ด้วยการใช้น้ำอุ่นผสมกับน้ำยาล้างจานจากนั้นให้คุณนำแหวนเพชรลงไปแช่ไว้ซักพัก นำแปรงสีฟันที่ไม่ได้ใช้งานแล้วมาแตะเบาๆ โดยห้ามใช้แปรงสีฟันถูหรือขัดเด็ดขาด เสร็จแล้วนำไปเช็ดให้แห้งและเก็บใส่ถุงแยกเป็นชิ้นๆ เพื่อป้องกันไม่ให้เพชรเสียดสีกันเองเพราะจะทำให้เกิดรอยได้ หรือจะเลือกใช้บริการทำความสะอาดตามร้านขายเพชรทั่วไปก็ได้เช่นกัน

ดูไอเดียและคำแนะนำเกี่ยวกับแหวนแต่งงานและเครื่องประดับเพิ่มเติม คลิกเลย!

ขอบคุณกูรูผู้ให้คำตอบเรื่องเพชร  คุณอรพินท์ พงษ์ประพัฒน์ ผู้บริหารบริษัทเพชร Thye Seng Hong

เตรียมให้พร้อมคำถามงานแต่งที่แขกมักถามที่โต๊ะลงทะเบียนบ่อยๆ

ในวันแต่งงานว่าที่บ่าวสาวก็จะหมดภาระหน้าที่ในการจัดการต่างๆ และต้องปล่อยให้ผู้จัดงาน เวดดิ้งแพลนเนอร์ หรือเพื่อนเจ้าบ่าวเจ้าสาวเป็นผู้รับผิดชอบงานหลักๆ ตามความรับผิดชอบที่ได้รับมอบหมาย และอีกหนึ่งภารกิจที่ว่าที่บ่าวสาวจะต้องเตรียมผู้ช่วยในวันแต่งงานไว้ให้พร้อมก็คือ ผู้ที่จะต้องอยู่ที่โต๊ะลงทะเบียน เพราะพวกเขาเหล่านี้จะต้องเจอกับ คำถามงานแต่ง ต่างๆ จากบรรดาแขกที่มาถึง ซึ่งหากไม่เตี๊ยมกับบ่าวสาวให้ดีอาจจะเกิดอาการอ้ำอึ้งจนให้ข้อมูลกับแขกไม่ถูก โดยเฉพาะกับแขกผู้ใหญ่ที่ต้องการคำตอบ

 และนี่คือคำถามที่ผู้รับผิดชอบตรงจุดลงทะเบียนอาจจะต้องเจอ เพราะฉะนั้นเตี๊ยมกันไว้ให้ดีก่อนถึงวันงานนะ

 

“เมื่อไหร่จะเข้าไปนั่งในงานได้?”

ส่วนมากแขกผู้ใหญ่มักจะมาถึงงานก่อนที่บ่าวสาวจะลงมาถึงจุดถ่ายภาพเสียอีก และแน่นอนว่าคำถามตรงจุดลงทะเบียนที่มักเจอบ่อยๆ คือ “เมื่อไหร่จะเข้าไปในงานได้? หรือ เมื่อไหร่บ่าวสาวจะลงมา?” เพราะฉะนั้นบ่าวสาวจะต้องแจ้งกำหนดการหรือเวลาคร่าวๆ ไว้ให้ผู้ที่อยู่ตรงจุดลงทะเบียนได้ทราบด้วย พร้อมกันนี้อาจจะจัดให้มีเครื่องดื่มไว้รองรับแขกที่มาถึงก่อนเวลา เพื่อให้แขกรู้สึกว่าได้รับการใส่ใจเมื่อมาถึงหน้างานแม้จะยังไม่เจอบ่าวสาวก็ตามที

และถ้าหากงานแต่งงานของบ่าวสาวเป็นโต๊ะจีน อย่าลืมเตรียมข้อมูลรายชื่อแขกพร้อมกับหมายเลขโต๊ะไว้ให้กับผู้ที่อยู่ตรงจุดลงทะเบียนด้วย เพราะถึงแม้จะมีป้ายบอกหน้างานว่าแขกคนไหนหรือกลุ่มไหนนั่งโต๊ะอะไร แต่เชื่อเถอะว่า แขกผู้ใหญ่บางท่านก็จะต้องเดินมาถามที่โต๊ะลงทะเบียนเพื่อความชัวร์อีกรอบอยู่ดี และเมื่อถึงเวลาให้เข้างานบ่าวสาวก็ต้องจัดเตรียมผู้ที่จะพาแขกเดินไปยังโต๊ะของตัวเองด้วย ถือเป็นการอำนวยความสะดวกให้แขกรู้สึกอุ่นใจว่าบ่าวสาวให้ความใส่ใจกับพวกเขา พร้อมกันนี้ยังเป็นการป้องกันการนั่งผิดโต๊ะที่อาจจะสร้างความปวดหัวตามมาในภายหลังอีกด้วย

 

“อาหารจะเสิร์ฟเมื่อไหร่?”

เมื่อถึงเวลาที่แขกสามารถเข้าสู่งานได้ บางทีก็ไม่ได้หมายความว่าไลน์อาหารจะพร้อมให้บริการเลยนะ เช่น เปิดให้แขกงานได้ 18.00 น. แต่อาหารอาจจะเสิร์ฟเวลา 18.30 น. เพราะฉะนั้นเรื่องนี้ก็เป็นอีกหนึ่งเรื่องที่ผู้อยู่ตรงจุดลงทะเบียน หรือแก๊งเพื่อนเจ้าบ่าวเจ้าสาวจะต้องให้ข้อมูลกับแขกได้ ซึ่งตรงนี้อาจจะต้องมีการพูดคุยกับแคเทอริ่งหรือทางสถานที่จัดงานให้ดีเพื่อที่จะได้มีความเข้าใจที่ตรงกัน

 

 

“เสิร์ฟเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ตอนไหน?”

เมื่อแขกรับประทานอาหารจนอยู่ท้อง สิ่งต่อมาที่แขกมักถามหาคือ เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ซึ่งแขกบางคนอาจจะไม่ได้เดินไปถามที่จุดลงทะเบียน แต่อาจเดินไปขอที่บาร์เครื่องดื่มด้วยตัวเองเลยก็มี เพราะฉะนั้นนอกจากที่บ่าวสาวจะต้องแจ้งกับผู้ที่อยู่โต๊ะลงทะเบียน หรือแก๊งเพื่อนเจ้าบ่าวเจ้าสาวแล้ว เราขอแนะนำให้แจ้งพนักงานที่จุดบริการเครื่องดื่มไว้ด้วย (และต้องกำชับให้ใจแข็งสักนิด) เพราะหากพลาดเสิร์ฟให้แขกคนใดคนหนึ่งไปแค่แก้วเดียวก่อนเวลาอันควร เชื่อเถอะว่าไม่มีทางเบรกแก้วที่ 2, 3, 4 ได้แน่นอน หรือถ้าจะให้ดีก็เปิดบาร์แบบเต็มที่ในช่วงอาฟเตอร์ปาร์ตี้ไปเลย

ดูไอเดียและคำแนะนำดีๆ เกี่ยวกับการจัดงานแต่งงานเพิ่มเติมอีกเพียบได้ที่นี่ คลิกเลย!

ภาพ pexels.com

เรื่องเล็กๆ น้อยๆ กับสารพัดเมนูอาหารมงคลบนโต๊ะจีนที่บ่าวสาวควรรู้

ปัญหาอย่างหนึ่งที่บ่าวสาวเจอกันบ่อยๆ หลังจากตัดสินใจเลือก โต๊ะจีน มาเลี้ยงแขกในงานแต่งงานคือ ควรเลือกเมนูไหนดีที่จะเป็นเมนูอร่อย ให้ความมงคลและแขกกินง่าย เพราะแต่ละเซ็ตเมนูก็มีตั้ง 8 เมนูเป็นอย่างต่ำ เราจึงขอเปิดโต๊ะจีนพาคุณว่าที่บ่าวสาวส่องอาหารมงคลบนโต๊ะจีนกันเลยค่า 

 

  • หมู ไก่ เป็ด กุ้ง ปลา อาหารมงคลต้องมี

ตามความเชื่อของจีนอาหารมงคลมีมากมาย แต่ที่นิยมตลอดกาลคือ หมู ไก่ กุ้ง เป็ด ปลา และอาหารเส้น ซึ่งแต่ละอย่างก็มีความหมายดีๆ ทั้งนั้น

หมู มีความหมายสื่อถึงความมั่งคั่ง ความสมบูรณ์พูนสุขกินดีอยู่ดี และถ้าเป็นหมูหันก็จะเพิ่มเติมเรื่องความบริสุทธ์และสดใสของชีวิตคู่

 

กุ้ง โดยมากแล้วมักจัดเป็นกุ้งมังกร ซึ่งก็ตามชื่อเลยคร้า สื่อถึง มังกร สัตว์เทพในตำนานของชาวจีน ความมีอำนาจ ลาภ ยศ อีกทั้งยังสื่อถึงเงินทองไหลมาเทมาด้วยนะ เมนูกุ้งยอดฮิตคือ สลัดกุ้งทอง ยำตะไคร้กุ้งสด กุ้งอบวุ้นเส้น เป็นต้น

ไก่  มีมังกรแล้ว จะปราศจากหงส์ได้อย่างไร ไก่ คือตัวแทนของหงส์ หมายถึงความก้าวหน้า มีกุ้งและไก่อยู่คู่กันในชุดอาหารก็จะทำให้ชีวิตคู่เกื้อหนุนกัน ไก่มักนำมาทำเป็นอาหารอย่าง ซุปไก่ตุ๋นยาจีน ไก่ผัดเม็ดมะม่วงหิมพานต์

เป็ด เป็นตัวแทนของสัตว์ปีก เป็นมงคลของชีวิต ทำให้ชีวิตมีแต่สันติ ร่มเย็น เมนูเป็ดๆคือ  เป็ดย่างอบน้ำผึ้ง เป็ดปักกิ่ง เป็ดพะโล้สับ

ปลา เป็นอีกอาหารที่มีความมงคลในเรื่องเงินๆ ทองๆ ทำให้มีเงินเหลือกินเหลือใช้  เมนูยอดฮิตแบบอมตะนิรันดร์กาลมีทั้งนึ่งซีอิ๋ว นึ่งมะนาว และนึ่งบ๊วย

อาหารเส้น เส้นที่ยาวสื่อถึงการใช้ชีวิตคู่ที่ยืนยาว ยิ่งยาวยิ่งดี เพราะงั้นแล้วเวลากินจึงมีเคล็ดเล็กๆว่า ห้ามกัดขาดต้องกินทั้งเส้น และเมนูที่นิยมคือ หมีผัด โกยซีหมี่ หมี่ฮ่องกง เป็นต้น

 

  • เลขมงคล บนโต๊ะอาหาร

 

อาหารบนโต๊ะจีนมักจะถูกจัดออกมา 8  เมนูไม่รวมของหวาน  ที่เป็นอย่างนี้ก็เพราะว่า เลขแปด (bā)  พ้องกับคำว่า “โชคลาภ” (fā)   ในภาษาจีน  จึงถือกันว่าจัดมาแปดอย่าง คนจัดงานก็จะมีแต่โชคลาภ แต่บางครั้งอาหารก็มี 8-10 อย่างก็ได้

แต่ถ้าไม่ไหวจะจัดให้ถึง 8 ก็อย่าจัดอาหารไว้ 4 อย่าง เนื่องจากว่าเลขสี่ (sì) ดันไปพ้องกับคำว่าตาย (sĭ) เสียอย่างนั้น

หลังจากรู้ชนิดอาหารและจำนวนมงคลแล้ว ที่นี้ก็มาดูการจัดกลุ่มอาหารสำหรับเสิร์ฟบนโต๊ะจีนกันบ้างดีกว่า อาหารบนโต๊ะจีนสามารถรวมเป็นกลุ่มใหญ่ๆได้ 6 กลุ่มค่ะ

 

กลุ่มที่ 1 คือ ออเดิร์ฟ อาหารรองท้องเรียกน้ำย่อยให้ออกมาอาละวาดรอกวาดล้างอาหารทั้งหมดในกระเพาะ

กลุ่มที่ 2 คือ ซุปน้ำข้น อย่าง ซุปกระเพาะปลา

กลุ่มที่ 3 คือ กลุ่มกับข้าวจากเนื้อสัตว์มงคลทั้งหลาย กลุ่มนี้จะมีอยู่สักประมาณ 4 – 6 รายการ แล้วแต่บ่าวสาวเลย

กลุ่มที่ 4 คือ ซุปใส จัดมาเพื่อล้างปาก ดับความเลี่ยน อย่างพวก ซุปไก่ตุ๋นยาจีน

 

กลุ่มที่ 5 คือ เมนูอิ่ม เป็นเมนูปิดท้ายของอาหารคาว ไม่ว่าจะเป็น ข้าว หรืออาหารเส้น ที่เมนูอิ่มมาอยู่ลำดับหลังสุดก็เนื่องมาจากความเชื่อของชาวจีนที่จะต้องเลี้ยงดูแขกอย่างดี จึงจัดอาหารดีๆมาก่อน และส่งท้ายด้วยเมนูหนักๆสำหรับแขกที่ยังไม่อิ่ม

กลุ่มที่ 6 ด้วยกลุ่มของหวานที่จะทำให้ชีวิตคู่หวานไปยาวนาน ปราศจากความขมขื่น

เป็นไงค่ะ ไม่งงกับโต๊ะจีนแล้วเนอะ แม้ว่าจะดูเรื่องเยอะกว่าการจัดเลี้ยงแบบบุฟเฟ่ต์และค็อทเทล แต่ว่าอาหารแต่ละอย่างก็มีความหมายในทางมงคลทั้งนั้น และสำหรับแขกท่านใดหรือว่าที่บ่าวสาวคู่ไหนที่ได้รับเชิญให้ไปงานแบบโต๊ะจีนก็อย่าลืม เรียนรู้อุปกรณ์พร้อมมารยาทงานแต่งแบบโต๊ะจีน กันด้วยนะคะ

ขอบคุณข้อมูล คุณอำนาจ เชาว์วันกลาง Chinese Chef แห่งห้องอาหารหล่งฟ่งโรงแรมสวิสโซเทล เลอคองคอร์ด

เลือกช่างภาพพรีเวดดิ้งอย่างไรไม่ให้พัง อ่านก่อนดีกว่าปวดหัวทีหลังนะจ๊ะ

ถ่ายภาพพรีเวดดิ้งทั้งทีก็ต้องถ่ายให้ดีให้ปังสิ เจ้าบ่าวพร้อม เจ้าสาวพร้อม แต่ช่างภาพล่ะจ๊ะหาได้หรือยัง … แต่บอกก่อนเลยนะ ว่าหาได้แล้วก็อย่าเพิ่งวางใจไป เพราะเราเห็นได้บ่อยๆ จากกรณีที่บ่าวสาวออกมาบ่นลงโซเชียลถึงเหตุการณ์ ช่างภาพพรีเวดดิ้ง  ถ่ายภาพออกมาแล้วพังแทนที่จะปังเสียนี่

แต่ไม่ต้องเครียดกันค่ะ เพราะทุกปัญหามีทางออกนะจ๊ะ เพียงแต่เราต้องรู้วิธีแก้เท่านั้นเอง … แพรว wedding เลยขอนำเทคนิคการเลือก ช่างภาพพรีเวดดิ้ง อย่างไรให้ปังมาแนะนำค่ะ

1. ดูจากผลงานเป็นหลัก

ผลงานที่ว่าคือทั้งผลงานภาพถ่ายและชื่อเสียงของภาพนะจ๊ะ ลองดูว่าชื่นชอบแนวภาพถ่ายไหม เพราะช่างภาพที่ถ่ายสวยก็ไม่ได้หมายความว่าจะเป็นแนวภาพที่เราชอบ และแนวภาพที่เราไม่ชอบก็ไม่ได้หมายความว่ามันไม่สวย (ยังไม่งงกันเนอะ) เพราะฉะนั้นอันดับแรกว่าที่บ่าวสาวต้องหาสไตล์ภาพพรีเวดดิ้งที่ตัวเองชอบให้ได้ก่อน แล้วค่อยติดต่อหาช่างภาพคนนั้นๆ โดยดูจากชื่อเสียง และการรีวิวของลูกค้านั่นเองค่ะ และที่สำคัญต้องเลือกช่างภาพที่มีสไตล์ตรงกับภาพถ่ายที่เราอยากได้ด้วยนะคะ

พรีเวดดิ้ง

2. ราคา

เราไม่ได้มาหลอกให้ว่าที่บ่าวสาวต้องเลือกช่างภาพจากราคานะจ๊ะ แต่แค่ต้องลองดูให้สมเหตุสมผล ว่าถูกไปหรือแพงไปไหม โดยอาจจะตัดสินจากผลงานเป็นหลัก อย่าเพิ่งเอาราคามาตัดสิน และขอเน้นยำเลยว่า ของถูกและดีมันไม่มีในโลกนะจ๊ะ หรือถ้ามีก็แค่ 0.01% เท่านั้น เพราะฉะนั้นบางครั้งการลงทุนก็เป็นเรื่องจำเป็น เพราะภาพถ่ายนั้นเป็นสิ่งที่จะอยู่กับว่าที่บ่าวสาวไปตลอด แล้วคุณจะยอมเอาภาพถ่ายครั้งสำคัญในชีวิตไปแลก เราว่ามันไม่คุ้มกันเลยน้าาา

พรีเวดดิ้ง

3. เลือกช่างภาพตามท้องถิ่น

สำหรับกรณีที่บ่าวสาวจะออกเดินทางไปถ่ายภาพพรีเวดดิ้งนอกสถานที่ ลองหาช่างภาพตามแต่ละท้องถิ่นดู เพราะว่าช่างภาพจะรู้มุมเด็ดๆ ของแต่ละสถานที่นั้นๆ และรู้ว่าจะต้องปฎิบัติตัวอย่าไร เตรียมอะไรเข้าไปถ่ายได้บ้าง และแน่นอนว่าภาพก็จะออกมาเป๊ะปัง ส่วนในเรื่องของผลพลอยได้ ว่าที่บ่าวสาวก็อาจจะได้ราคาที่ถูกลงเพราะช่างภาพไม่ต้องเดินทางค่ะ

พรีเวดดิ้ง

4. อุปกรณ์

อันนี้ลองสังเกตดูเนอะ ว่าช่างภาพมีอุปกรณ์พร้อมไหม ไม่ว่าจะไฟเสริม แผ่นรีเฟล็ก กล้อง หรือเลนส์ต่างๆ ยิ่งถ้าหากออกนอกสถานที่ด้วยแล้วทุกอย่างต้องพร้อม และช่างภาพที่เป็นมืออาชีพจะมีลูกทีมและอุปกรณ์ที่ครบครัน ดังนั้นลองสังเกตก่อน อ่านรีวิวเยอะๆ และลองเข้าไปส่องตามเพจ ตามไอจีดูกันก่อนเนอะ

พรีเวดดิ้ง

5. ฟีดแบคจากลูกค้า

โลกเราพัฒนาไปไกลมาก ลองอ่านรีวิวจากเฟซบุ๊ก เว็บบล็อกต่างๆ ให้เยอะ ซึ่งเป็นสิ่งที่สำคัญมาก อย่ามองแต่พอร์ทที่สวยงามเพียงอย่างเดียว เพราะบางครั้งงานดีจริง แต่อาจใช้เวลาส่งงานลูกค้านาน 2-3เดือน แบบนี้ก็ไม่ไหวเนอะ เพราะอาจจะรอจนไม่อยากดูไปเลย!!

พรีเวดดิ้ง

ถ้าอยากได้ภาพพรีเวดดิ้งสวยๆ ไม่ต้องมานั่งเซ็งหาเวลากลับไปถ่ายใหม่ก็ลองทำตามที่เราแนะนำไปนะคะ … และได้อ่านคำแนะนำดีๆ เกี่ยวกับช่างภาพพรีเวดดิ้งไปแล้ว ก็มาต่อกันกับ 3 ข้อแนะนำ จาก 3 ช่างภาพเวดดิ้งมือโปร รวมสิ่งที่ควรรู้ก่อนจ้างช่างภาพงานแต่ง

ภาพจาก : Pinterest.com

หล่อได้แบบไม่ยากกับ 5 เทคนิคเลือกสูทเจ้าบ่าวให้เป๊ะในวันสำคัญ

ถึงแม้จะเป็นแค่ สูทเจ้าบ่าว แต่ก็ไม่ใช่ว่าจะใส่แบบไหนยังไงก็ได้นะจ๊ะ เพราะอย่าลืมว่าวันนี้เป็นวันสำคญของคุณที่จะมีภาพถ่ายบันทึกไว้ให้ได้หยิบมาดูอีกหลายรอบ เพราะฉะนั้นจะเลือกสูทที่ดีทั้งทีก็ต้องมีเทคนิคกันหน่อย กับ 5 หลักง่ายๆ ที่เรานำมาฝาก รับรองว่าคิดและทำตามนี้สูทเจ้าบ่าวที่ดูดีอยู่ใกล้แค่เอื้อม

1. หาข้อมูลเตรียมไว้นิดๆ หน่อยๆ

เจ้าบ่าวอาจจะไม่ได้สนใจเรื่องแฟชั่นว่าตอนนี้เทรนด์ของผู้ชายกำลังฮิตหรืออินอะไรกันอยู่ แต่ร้อยทั้งร้อยเจ้าบ่าวก็คงไม่อยากที่จะดูแย่ในวันแต่งงานของตัวเองใช่ไหมล่ะค่ะ เพราะฉะนั้นถึงแม้จะไม่ได้เป็นหนุ่มแฟชั่นนิสต้าตัวยง ก็ต้องใช้การหาข้อมูลเข้ามาช่วย ซึ่งเจ้าบ่าวไม่จำเป็นต้องเดินเข้าร้านสูทเป็น 10 หรือ 20 ร้าน แต่เพียงแค่คุณเข้าไปท่องโลกอินเตอร์เน็ตหรือเปิดนิตยสารแฟชั่นชั้นนำเพื่อหาสไตล์ของสูทที่คุณชอบ เชื่อเถอะว่ามันจะต้องมีลุคสุดเท่ที่คุณตามหาและเหมาะกับคุณแน่นอน จากนั้นก็เป็นขั้นตอนของการตามหาร้านหรือปรึกษาช่างผู้เชี่ยวชาญแล้ว

2. เลือกสูทจากรูปร่างตัวเอง

หากเจ้าบ่าวมีงบเพียงพอและอยากได้สูทแบรนด์เนมดีๆ สักตัวก็ไม่ใช่ว่าจะใส่แบรนด์ไหนเหมือนเหล่านายแบบก็ได้นะคะ เพราะสูทแต่ละแบรนด์ต่างก็มีรายละเอียดและการตัดเย็บที่แตกต่างกันออกไป ทั้งความยาว,  เนื้อผ้า และเส้นตะเข็บหรือฝีด้ายอันเป็นเอกลักษณ์

สูทเจ้าบ่าว

จากซ้าย: Dior, Tom Ford, Hugo Boss

3. ปรับเปลี่ยนทรงจากสูทตัวเก่า

เนื้อผ้าหรือการตัดเย็บของสูทที่ดีนั้นขึ้นอยู่กับงบประมาณที่มีด้วย เพราะฉะนั้นหากเจ้าบ่าวมีงบเป็นข้อจำกัดเทคนิคที่จะได้สูทที่ดูดีคือ การเลือกซื้อสูทราคาไม่แพงมากแล้วนำเงินที่เหลือมาใช้ในการปรับเปลี่ยนรูปทรงของสูทให้เหมาะกับตัวเอง แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นเพื่อให้ง่ายต่อการแก้ทรงควรเลือกซื้อสูทที่พอดีกับช่วงไหล่ แล้วนำมาให้ช่างมืออาชีพปรับแก้ช่วงเอวให้เข้ารูป เท่านี้ก็ได้สูทที่ถูกใจในงบประมาณที่ตั้งไว้แล้ว

4. โชว์ความเป็นตัวเองด้วยแอคเซสซอรี่

ไม่ว่าจะเป็น เสื้อเชิ้ต, เนคไท หรือพ็อคเก็ตสแควร์ ก็สามารถบ่งบอกถึงสไตล์ของเจ้าบ่าวได้เป็นอย่างดี อย่างเช่น สูทสีเทาแมตช์กับเสื้อเชิ้ตสีขาว เนคไทสีดำ และพ็อคเกตสแควร์สีขาว หรือจะจับคู่สูทสีเทาเข้ากับเสื้อเชิ้ตลายตารางสีน้ำเงิน และเนคไทสีสดใสสำหรับเจ้าบ่าวที่ต้องการลุคแบบแคชชวลสบายๆ ไม่เป็นทางการ และอย่าเคอะเขินหากจะลองให้ถุงเท้าโผล่ออกมาจากปลายขากางเกงนิดๆ หน่อยๆ ก็ช่วยให้ลุคของเจ้าบ่าวดูทันสมัยมากขึ้นไปอีก

สูทเจ้าบ่าว

5. อย่าลืมแก๊งเพื่อนเจ้าบ่าว

แก๊งหนุ่มๆ จะดูดีเสมอหากได้รวมกลุ่มกันในชุดสูทสุดเท่ เพราะฉะนั้นการพูดคุยตกลงถึงสไตล์กับเพื่อนเจ้าบ่าวให้เข้าใจจึงเป็นอีกหนึ่งเรื่องที่สำคัญ อาจกำหนดธีมสูท, สีสูท หรือแอคเซสซอรี่อื่นๆ เพื่อให้ลุคของทุกคนไปในทางเดียวกัน โดยต้องไม่ลืมสิ่งสำคัญที่ว่า เจ้าบ่าวจะต้องดูโดดเด่นจากเหล่าเพื่อนชายด้วยนะคะ

สูทเจ้าบ่าว

ดูไอเดียชุดเจ้าบ่าวและแก๊งเพื่อนเจ้าบ่าวเพิ่มเติมได้ที่นี่ คลิกเลย!

ภาพ : www.youtube.com, blog.trueromanceweddings.com, www.vogue.com, www.moss.co.uk, www.pinterest.com a

ทริคเลือกดนตรีในงานแต่งเบื้องต้นที่บ่าวสาวต้องรู้ก่อนตัดสินใจจ้าง

ดนตรีในงานแต่ง ช่วยสร้างบรรยากาศให้โรแมนติก แต่ก่อนอื่นมาทำความเข้าใจเรื่องพื้นฐานก่อนตัดสินใจจ้างกันก่อนนะ

มาทำความเข้าใจกันก่อนว่า ดนตรีในงานแต่ง สำคัญกับงานแต่งงานอย่างไร เพื่อจะได้ตั้งหลักเลือกวงดนตรีอย่างถูกต้อง

  • ดนตรีในช่วงพิธีการ

มักจะใช้เพลงบรรเลงหรือมีนักร้องเพื่อช่วยสร้างบรรยากาศให้โรแมนติกมากขึ้นในช่วงการเปิดตัวบ่าวสาว ตัดเค้ก อื่มอวยพร และโยนช่อดอกไม้

  • ดนตรีช่วงหลังพิธีการ หรืออาฟเตอร์ปาร์ตี้

อาจใช้วงดนตรีแบบเต็มวงก็ได้ แต่ถ้าอยากแดนซ์แบบจัดหนักก็ต้องเป็นดนตรีแนวอิเล็กทรอนิกส์สนุกๆ โดยมีดีเจเปิดแผ่น หรือคู่ไหนที่อยากชิลก็อาจเลือกวงอะคูสติกที่ฟังง่ายและสามารถโยกตามได้

ดนตรีในงานแต่ง

แล้วจะเลือกวงดนตรีแบบไหนดี แนะนำให้เริ่มคิดจาก

  • เครื่องดนตรี

ให้บ่าวสาวลองนึกถึงเครื่องดนตรีหรือเสียงของเครื่องดนตรีที่ชอบ และควรเลือกให้เหมาะกับธีมงานจะดีที่สุด

  • สไตล์เพลง

เลือกสไตล์เพลงที่ชอบ และตกลงกันให้ดีว่าจะเลือกเพลงแนวไหนให้เข้ากับงานมากที่สุด จากนั้นลองลิสต์รายชื่อเพลงที่ชอบหรือเพลงพิเศษที่อยากให้วงดนตรีเล่นเพื่อจะได้เลือกรูปแบบวงดนตรีได้ถูกต้อง

สิ่งที่ควรนำมาพิจารณาเพิ่มเติม ในการเลือกวงดนตรีหรือแนวเพลง

  • ความเป็นมืออาชีพ ด้วยประสบการณ์ที่สั่งสมมานานทำให้วงดนตรีทราบถึงลำดับพิธีการ จึงสามารถเลือกเพลงที่เหมาะสมและเล่นได้หลากหลายแนว ที่สำคัญคือ แก้ไขปัญหาเฉพาะหน้าได้และมีความรับผิดชอบ
  • งบประมาณ เป็นสิ่งสำคัญที่บ่าวสาวต้องคิดถึงเป็นอันดับแรกๆ เพราะค่าใช้จ่ายมักจะขึ้นอยู่กับขนาดและประเภทของวงดนตรีที่เลือก เช่น เพลงคลาสสิคอาจมีราคาสูงกว่าเพลงแจ๊ซ เพราะใช้เครื่องดนตรีที่แตกต่างกัน และยังขึ้นอยู่กับจำนวนชิ้นของเครื่องดนตรีที่ใช้ด้วย ซึ่งการใช้เครื่องดนตรี 3 ชิ้นขึ้นไปเป็นรูปแบบพื้นฐานของวงดนตรีเพื่อให้เกิดความสมบูรณ์ของเสียงเพลงมากที่สุด แต่หากงบน้อยหรือสถานที่จัดงานเล็กมาก จะเลือกใช้เครื่องดนตรีเพียงชิ้นเดียวในการบรรเลงโดยสามารถปรึกษากับวงดนตรีได้ว่าชิ้นไหนเหมาะสมที่สุด
  • จำนวนแขก ถ้าแขกมีจำนวนไม่มากนักอาจเลือกวงดนตรีขนาดเล็ก เพื่อเป็นการประหยัดค่าใช้จ่าย
  • ลักษณะแขกที่มาร่วมงาน เพื่อให้บ่าวสาวเลือกแนวเพลงให้เหมาะสม เช่น ถ้าจัดงานในหมู่เพื่อนฝูงอาจเลือกเป็นเพลงแดนซ์เพื่อความสนุกสนาน แต่ถ้าเป็นแขกผู้ใหญ่ เพลงแจ๊ส หรือเพลงคลาสสิคอาจจะเวิร์คที่สุดเพื่อความสบายหู
  • สถานที่ การจัดงานแต่งงานในโรงแรมสุดหรูกับงานแต่งสไตล์เอ้าท์ดอร์ วงดนตรีและแนวเพลงก็อาจจะต้องแตกต่างกันเพื่อให้เข้ากับสถานที่
  • ระบบเสียงของสถานที่จัดงาน ควรเช็กให้เรียบร้อยว่าต้องนำอุปกรณ์มาติดตั้งเพิ่มเติมหรือไม่
  • ขนาดของห้องจัดเลี้ยง หากห้องจัดเลี้ยงมีขนาดเล็ก แต่เลือกวงดนตรีวงใหญ่จัดเต็มมาเล่นในงาน ก็อาจจะกลายเป็นงานแสดงดนตรีไปได้

อ่านเรื่องดนตรีในงานเพิ่มเติม วงดนตรีในงานแต่งระหว่างดนตรีสด vs. เปิดแผ่น แบบไหนเวิร์กกว่ากัน

ภาพ classicshowentertainment.com, weddingroma.matrimonioromalowcost.it