ชุดเดรสคลาสสิก ที่ครองใจผู้หญิงกับดีไซน์ที่เผยความเป็นผู้หญิงอย่างมีเสน่ห์

ชุดเดรสคลาสสิก จากความงดงามของแฟชั่นในอดีตที่ยังคงสร้างความตราตรึงใจให้เหล่าดีไซน์เนอร์นำแรงบันดาลใจในยุคเอ็ดเวอร์เดียน (Edwardian Era) ที่ถูกเรียกว่า ลา เบล ลาป๊อก (La Belle Époque) ในภาษาฝรั่งเศส แปลว่า ช่วงเวลาที่สวยงาม เป็นยุคที่ค่านิยมทางสังคมมองโลกในแง่ดี สดใส เต็มไปด้วยชนชั้นสูงซึ่งเป็นผู้นำความคิดทางสังคมและแฟชั่น แต่ชนชั้นกลางก็มีพื้นที่ในสังคมมากขึ้น ทำให้แฟชั่นของผู้หญิงสะท้อนถึงความมั่งคั่งและความฟุ้งเฟ้อ ฟุ่มเฟือย 

ด้วยความนิยมของผู้หญิงที่อยากมีรูปร่างที่ขึ้นชื่อว่าเพอร์เฟกต์คือ เอวต้องคอดเล็ก คอยาวระหง อกตั้ง ไหล่ตรง ในแบบ Gibson Girl แฟชั่นของคนสมัยนั้นเสื้อผ้าจึงมีลักษณะเป็นเสื้อรัดรูปดันอก และใช้สายรัดเอวหรือ Corset มามัดเอวเพื่อเน้นรูปร่างให้ดูเด่นชัดเป็นรูปตัว S โดยเฉพาะดีไซน์ที่หรูหราและขับเสน่ห์ความเป็นหญิง โดยชุดเป็นเสื้อคอต่ำ เพื่อที่จะประดับประดาสวมสร้อยเพชร ดอกไม้ และเครื่องประดับต่างๆ ต่อมาก็เริ่มเปลี่ยนไปใส่ชุดทรง Empire line กันมากขึ้น 

เพราะดีไซน์เอวสูง กระโปรงมีทั้งแบบเข้ารูปและแบบปล่อยยาวลงมาตรงๆ อีกทั้งยังช่วยซ่อนส่วนของร่างกายที่ไม่มั่นใจได้ ซึ่งเป็นที่มาสู่ชุดเดรสคลาสสิกที่ประทับใจทั้งเจ้าสาวและเพื่อนเจ้าสาวในปัจจุบัน แพรว wedding จึงได้รวบรวมแฟชั่นจากโอต์ กูตูร์และคอลเลคชั่นบนรันเวย์ของชุดเดรสคลาสสิกที่มีกลิ่นอายและน่าค้นหาจากยุคเอ็ดเวอร์เดียนมาฝากทุกคน แล้วคุณจะหลงใหลไปกับความงามที่เต็มไปด้วยเสน่ห์ของหญิงสาว ><

Elie Saab

เผยเรือนร่างและสัดส่วน S-curve ของผู้หญิง ความพลิ้วไหวและแวววาวจากการปักเย็บที่ประณีต รวมไปถึงจุดเด่นของสไตล์เอ็ดเวอร์เดียน คือ เสื้อคอสูง ที่ช่วยให้คอดูเรียวเพรียวยาว รวมไปถึงผ้าลูกไม้ที่มีเอกลักษณ์และเสริมให้ช่วงไหล่ของหญิงสาวให้ดูสง่า สะท้อนบุคลิกที่ดีและมั่นใจ อีกทั้งสีของชุดเดรสยังขับสีผิวให้โกลด์ขึ้นอีกด้วย

Temperley London Autumn

โทนสีพาสเทลเป็นที่นิยมในช่วงนั้น สีนู้ดช่วยให้สีผิวดูมีน้ำมีนวล ดีไซน์ที่เน้นความเรียบง่าย แต่ดูชิคทันสมัยด้วยเสื้อแขนกุดคอกลม แต่ช่วงหน้าอกตลอดจนผ้าที่ยาวพาดแขนประดับด้วยผ้าลูกไม้ประดับคริสตัล จึงช่วยทำให้ลุคนี้ดูโดดเด่น ละสายตาไม่ได้จริงๆ

Alexander McQueen

ชุดเดรสสีขาวอาจจะธรรมดาไป แต่เมื่อเพิ่มผ้าเข็มขัดสีดำที่ประดับด้วยกลิตเตอร์ระยิบระยับบริเวณช่วงคอ แขนเสื้อ และเอว รวมถึงดีไซน์ช่วงเนินอกที่เก๋ไก๋ จึงช่วยดึงดูดสายตาให้ชุดเดรสนี้น่าสนใจยิ่งขึ้น

Elizabeth Fillmore 

คอลเลคชั่นเพื่อเจ้าสาวโดยเฉพาะกับการใช้ผ้าลูกไม้ล้วนๆ ในการตัดเย็บทั้งชุดนี้เพื่อให้เจ้าสาวเต็มไปด้วยความอ่อนหวาน ดีไซน์การเล่นเลเยอร์ผ้าแนวเอวบริเวณใต้หน้าอกและชายกระโปรงยาวเป็นหางปลา ทำให้ชุดนี้ดูคลาสสิกและงดงามเหนือกาลเวลา

Erdem 

ดีไซน์ของชุดเดรสที่เต็มไปด้วยเสน่ห์น่าค้นหาสไตล์เอ็ดเวอร์เดียน ทั้งความโดดเด่นของผ้าลูกไม้ตลอดชุด และเสื้อคอสูงที่เสริมลุคให้ดูเป็นสาวทันสมัย และการเล่นเลเยอร์ผ้าตั้งแต่ช่วงเอวลงมา พร้อมทั้งสีพาสเทลอย่างสีบลูสกาย ช่วยทำให้ชุดหรูหราและมีเสน่ห์ความเป็นหญิงอย่างเลอค่า

เพราะผู้หญิงกับความอ่อนโยนเป็นเสน่ห์ที่น่าดึดดูด เสื้อผ้าก็ช่วยเสริมลุคด้วยเช่นกัน ลองตามไปดู 7 แบรนด์ชุดแต่งงานสวยๆ สไตล์กูตูร์เผยเสน่ห์ความสวยหวานขั้นสุด

ภาพจาก Vogue/ wwd

ก่อนฤดูกาล Bridal Fashion Week 2019 จะเริ่มต้นในเดือนหน้า แพรว wedding ขอพาทุกคนย้อนไปดูคอลเลคชั่น ตั้งแต่ยุค 1900 ว่ากว่าจะมาเป็น ชุดเจ้าสาว สุดอลังการในยุคนี้ได้ ต้องผ่านอะไรมาบ้าง และเผื่อเป็นไอเดียสำหรับเจ้าสาวสายวินเทจ จะได้มีไอเดียชุดเก๋ๆ มาใส่ในงานแต่งงานของตัวเอง

1900’s

เป็นช่วงที่ชุดแต่งงานมีความมิดชิดม๊าก มาก คอเต่า ชายกระโปรงยาว แขนยาว หรือแขนสั้นแต่ก็ใส่ถุงมือยาวอยู่ดี เรียกได้ว่าปิดทุกสัดส่วน เหลือเพียงแค่มือที่โผล่ออกมาแม้แต่เวลก็ยังยาวแข่งกับชายกระโปรง เป็นยุคแรกเริ่มของชุดแต่งงานสีขาว ซึ่งได้อิทธิพลมาจากชุดแต่งงานของควีนวิคตอเรีย ชุดแต่งงานนิยมเป็นทรงเอ มีความโดดเด่นที่ช่วงแขนจะพองเป็นช่วงๆ แบบที่ไทยเราเรียกว่า แขนหมูแฮม ตัวชุดไม่นิยมปักมุกหรือเลื่อม แต่จะไปเล่นลวดลายกันที่ลูกไม้และระบายของผ้ามากกว่า เวลนิยมทำเป็นหมวกสีขาวสวมบนศีรษะของเจ้าสาว ในขณะที่ทรงผมก็จะรวมทั้งหมดเก็บไว้ด้านหลัง หรือเก็บไว้ในหมวกของเวลนั่นแหละ

1910’s

เป็นช่วงบูมของชุดแต่งงานทรงเอ็มไพร์ที่โดดเด่นด้วยการต่อเอวตั้งแต่ช่วงใต้หน้าอก แต่คอก็ยังมีทั้งแบบปีนสูง และแบบกว้างที่เกือบถึงไหล่ ชุดแต่งงานมีความพลิ้วไหวมากขึ้นไม่ต้องแข็งเป็นทรงอย่างก่อนหน้านี้ ลูกไม้ได้รับความนิยมมากขึ้น หลายอย่างถูกลดทอนจากยุคแรกให้น้อยลง แต่เวลกลับนิยมให้ใหญ่ขึ้น ประดับดอกไม้หรือเป็นหมวกที่มีความยิ่งใหญ่อลังการ ในขณะที่ทรงผมมักจะดัดลอนใหญ่รวบเก็บด้านหลังไม่ปล่อยยาว

1920’s

เป็นยุคที่เรียกกันว่า Flapper  เสื้อผ้าหน้าผมมีสีสันมากขึ้น เริ่มต้นที่ชุดแต่งงานจากที่ยาวๆ ก็สั้นขึ้นมาประมาณเข่า ในยุคนี้คอวีมาแรงมาก พร้อมๆ กับที่ชุดแต่งงานทรงตรงก็มาเช่นเดียวกัน ในขณะที่ชุดก็เริ่มมีการตกแต่งด้วยเลื่อมวิบวับมากขึ้น เข้ากับท่วงทำนองเพลงแจ๊ซที่กำลังเฟื่องฟูในยุคนั้น แดนซ์กันทีก็เล่นแสงไฟเชียวละ แต่ถึงแม้ชุดจะสั้นลง แต่เวลก็ยังคงยาว และใหญ่อลังการกว่าเดิม โดยเฉพาะส่วนที่ติดกับผมเรียกได้ว่าครอบทั้งหัวเป็นหมวกกันเลยทีเดียว เพราะได้อิทธิพลมาจาก หมวกจูเลียต ส่วนการแต่งหน้าก็เน้นแบบเบ้าตาลึกๆ คิ้วบางๆ  ผมก็ลอนเปียกกันไปจร้า