เคล็ดลับได้ชุดแต่งงานในฝันดีต่อใจแบบไม่ต้องเสียใจภายหลัง

เชื่อได้ว่าไม่ว่าเจ้าสาวคนไหนหากลองได้นั่งคิดเรื่อง ชุดแต่งงาน ก็คงเพ้อฝันไปไกลไม่หยุดหย่อน ยิ่งถ้าหากได้ลองเดินเข้าไปเลือกชุดแต่งงานในร้านที่มีชุดแต่งงานหลากแบบหลายสไตล์แขวนไว้เป็นราวยาวพร้อมให้เลือกด้วยแล้ว ความคิดก็อาจจะฟุ้งกระจายมากขึ้นไปอีก แพรว wedding เลยนำเคล็ดลับการเลือกชุดแต่งงานในฝันให้ได้ดั่งใจแบบไม่ต้องมาเสียใจภายหลังมาฝาก

1. ตั้งงบประมาณก่อนเดินเข้าร้านชุด

ตั้งงบประมาณสำหรับชุดแต่งงานไว้ประมาณ 10 เปอร์เซ็นต์ของงบประมาณค่าใช้จ่ายทั้งหมด แต่ก็ต้องดูด้วยว่าเจ้าสาวให้ความสำคัญกับความเป็นแฟชั่นในชุดแต่งงานมากน้อยแค่ไหน หากให้ความสำคัญกับชุดมากกว่าดอกไม้ การตกแต่ง หรือเรื่องอื่นๆ ในงานแต่งงาน ถ้าเป็นอย่างนั้นเจ้าสาวอาจจะต้องเจียดเงินจากส่วนนี้เพื่อไปลงกับค่าชุดแต่งงานแทน เพราะฉะนั้นต้องชั่งน้ำหนักและคิดให้ดีๆ นะคะว่าอยากจะให้น้ำหนักเรื่องไหนมากกว่ากัน และการมีงบไว้ในใจก่อนไปเลือกชุดก็ช่วยให้เจ้าสาวไปถึงจุดหมายได้แบบไม่ต้องเสียเวลาลองชุดที่เกินกว่างบที่ตั้งไว้ รับรองว่าได้ชุดแต่งงานในฝันที่ไม่เกินงบแน่นอน

2. เริ่มให้เร็วย่อมได้เปรียบ

ควรเริ่มดำเนินการเรื่องชุดแต่งงานล่วงหน้าก่อนถึงวันงานประมาณ 6-12 เดือน เพราะการออกแบบ ลงมือทำ หรือการปรับปรุงแก้ไขนั้นอาจจะต้องใช้เวลาประมาณ 4-5 เดือน เนื่องจากทางร้านไม่ได้มีคุณเป็นลูกค้าแค่คนเดียว และยังต้องมีเวลาสำหรับการฟิตติ้งอีกอย่างน้อย 3 ครั้งซึ่งใช้เวลาอีกประมาณหนึ่งเดือน เพื่อให้ชุดแต่งงานนั้นเป๊ะพอดีกับรูปร่างของเจ้าสาวมากที่สุด เพราะฉะนั้นการวางตารางเวลาให้ดีและรอบคอบจึงเป็นเรื่องสำคัญ เพราะนอกจากที่จะได้ชุดแต่งงานที่ตรงใจแล้ว ยังไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายเพิ่มเพื่อเร่งชุดให้เสร็จทันวันแต่งงานอีกด้วย

3. ทำการบ้านเรื่องแบบชุดแต่งงานก่อน

ก่อนที่จะไปร้านชุดแต่งงาน เจ้าสาวจะต้องคิดก่อนว่าคุณอยากได้ชุดประมาณไหน เพราะฉะนั้นการเตรียมภาพชุดแต่งงานที่อยากได้ไปให้ร้านหรือดีไซเนอร์ดูด้วยจึงเป็นเรื่องสำคัญ รวมไปถึงรายละเอียดในเรื่องอื่นๆ เช่น เนื้อผ้า การประดับตกแต่ง หรือกิมมิกที่เป็นซิกเนเจอร์ของเจ้าสาวที่อยากจะใส่ลงไปในชุด เพราะดีไซเนอร์หรือร้านจะได้รู้ว่าคุณกำลังมองหาอะไร และสไตล์ของคุณเป็นแบบไหนเพื่อที่จะได้นำเสนอหรือให้คำปรึกษากับเจ้าสาวได้อย่างถูกต้องและไปในทางเดียวกัน

ชุดแต่งงาน

4. นัดหมายร้านไว้ล่วงหน้าจะได้ไม่พลาด

เมื่อคุณมีไอเดียเรื่องชุดแต่งงานที่อยากได้แล้ว ลำดับต่อไปคือการนัดหมายกับร้านชุดหรือดีไซเนอร์ ซึ่งต้องนัดหมายกันไว้ล่วงหน้าก่อนที่จะเข้าไปเพื่อลดความเซอร์ไพร้ซ์ว่าไปแล้วร้านปิด ดีไซเนอร์ไม่อยู่ หรือติดบ่าวสาวคู่อื่นที่เข้าไปขอคำปรึกษาเหมือนกัน แต่ถ้าหากอยากจะวอร์คอินเข้าไป แนะนำให้เลือกไปวันธรรมดาในช่วงบ่ายจะดีที่สุด เพื่อหลีกเลี่ยงว่าที่บ่าวสาวคู่อื่นๆ ที่อาจจะเดินทางเข้ามาในวันหยุด แล้วอย่าลืมบอกร้านหรือดีไซเนอร์ถึงงบประมาณที่วางไว้ด้วยเพื่อที่ทางร้านจะได้ให้คำปรึกษาและออกแบบได้ตรงตามกับงบที่มีบนพื้นฐานในสิ่งที่เจ้าสาวต้องการ

5. จำกัดเพื่อนที่จะไปร่วมตัดสินใจ

ในชีวิตประจำวันคุณอาจจะสนุกที่ได้ไปช้อปปิ้งเป็นแพ็คคู่กับคุณแม่ หรือไปเป็นก๊วนกับแก๊งเพื่อนสาว แต่สำหรับชุดแต่งงานแล้วเจ้าสาวจะทำอย่างนั้นไม่ได้ เพราะชุดเจ้าสาวเป็นชุดที่ต้องให้ความสำคัญเป็นพิเศษ และต้องเป็นชุดที่แสดงถึงตัวตนของเจ้าสาวได้มากที่สุด เพราะฉะนั้นทริปสำคัญนี้เจ้าสาวควรเลือกบุคคลที่รู้จักตัวตนจริงๆ ของคุณไปด้วยแค่ 1-2 คน และคนๆ นั้นต้องเป็นคนที่เจ้าสาวไว้ใจและสามารถให้คำปรึกษากับเจ้าสาวได้ แต่ถ้าคุณกลัวคนที่เหลือจะน้อยใจก็ให้ชักชวนกันไปในวันที่คุณฟิตติ้งเป็นครั้งสุดท้ายก็ถือเป็นทริปที่สร้างเซอร์ไพรส์และประทับใจไม่น้อย

6. แต่งสวยพอประมาณไปเลือกชุดแต่งงาน

ในวันแต่งงานไม่ใช่ว่าคุณจะใส่ชุดเจ้าสาวแสนสวยแล้วเดินเข้างานได้เลยซะเมื่อไหร่ แต่ความสวยทั้งหมดทั้งมวลนั้นต้องประกอบไปด้วยความงามบนใบหน้า ทรงผม และเครื่องประดับต่างๆ ที่เจ้าสาวอยากจะสวมใส่ในวันสำคัญ เพราะฉะนั้นในวันที่ไปเลือกชุดแนะนำให้เจ้าสาวลองแต่งหน้าไปพอประมาณและทำผมไปสักหน่อย เพราะบางครั้งการที่เจ้าสาวหน้าสดผมฟูไปลองชุดก็อาจจะทำให้เจ้าสาวนึกภาพตัวเองในชุดนั้นไม่ออกจนอาจจะพลาดชุดเจ้าสาวดีๆ ไปแบบไม่รู้ตัว รวมไปถึงเครื่องประดับที่เจ้าสาวชอบอาจจะไม่เข้ากับชุดแต่งงานที่เลือกก็เป็นได้

7. ก้าวออกจากคอมฟอร์ตโซน

อย่าตัดสินใจเพียงแค่สายตามองเห็น บางครั้งชุดที่อยู่บนไม้แขวนที่สุดแสนจะธรรมดาแต่เมื่อลองสวมใส่แล้วกลับให้ลุคสวยงามอย่างไม่น่าเชื่อ เพราะฉะนั้นลองเปิดตาและเปิดใจรับสิ่งใหม่ๆ ดูบ้าง เจ้าสาวบางคนอาจจะเข้ามาพร้อมกับความคิดที่ว่ายังไงก็จะไม่ใส่ชุดเกาะอกอย่างเด็ดขาด แต่เมื่อคุณได้ลองแล้วอาจจะเปลี่ยนความคิดนั้นของคุณไปเลยก็ได้ เพราะอย่าลืมว่าคุณไปเลือกและลองชุดโดยมีดีไซเนอร์หรือผู้เชี่ยวชาญที่คอยให้คำปรึกษาตลอดเวลา เพราะฉะนั้นเชื่อใจเถอะว่าเขาจะต้องคัดสรรสิ่งที่เข้ากับคุณได้มากที่สุดมาให้ พร้อมกับแก้ไขจุดบกพร่องที่เจ้าสาวไม่มั่นใจให้สวยแบบไร้ความกังวลใจแน่นอน

8. ลองถ่ายรูปในชุดแต่งงานในแต่ละมุม

หากทางร้านสามารถให้เจ้าสาวถ่ายรูปจากมือถือได้ก็ลุยเลยค่ะ เพราะบางครั้งการดูด้วยตาเปล่าผ่านกระจกเพียงอย่างเดียวก็อาจจะทำให้เจ้าสาวไม่ได้เห็นตัวเองในชุดนั้นผ่านมุมอื่นๆ หรือผ่านแสงและเงาจากการถ่ายรูป แต่หากทางร้านไม่อนุญาตอาจจะต้องใช้วิธีการจดให้ละเอียดสักหน่อยว่าต้องเพิ่มหรือลดดีเทลส่วนไหน ลดรายละเอียดที่ใดบ้าง เช่น ต้องเสริมช่วงหน้าอกให้เต็มกว่านี้ หรือช่วงบั้นท้ายไม่กระชับ เพื่อช่วยในการตัดสินใจก่อนที่จะไปเลือกชุดแต่งงานที่ตรงใจและพอดีกับรูปร่างต่อไป แถมยังช่วยให้เจ้าสาวมั่นใจได้ว่าไม่ว่าจะถ่ายจากมุมไหนก็สวยรอดทุกมุม

9. อ่านรายละเอียดการจองและรับชุดให้ละเอียด

หากคุณเกิดอาการพอใจชุดใดชุดหนึ่งขึ้นมา ทางร้านจะมีหนังสือการจองหรือจ่ายมัดจำมาให้ เพราะฉะนั้นขั้นตอนนี้ต้องใช้สมาธิและอ่านทำความเข้าใจให้ละเอียด ไม่ว่าจะเป็นเรื่องรูปแบบชุด เครื่องประดับที่มาพร้อมชุด (เช่น เข็มขัด ต่างหู สร้อย ฯลฯ) ชื่อ-นามสกุลผู้จอง, ค่าธรรมเนียม, ค่าปรับในกรณีชุดเสียหายหรือส่งคืนล่าช้า, เงื่อนไขการยกเลิกชุดแต่งงาน, ค่ามัดจำ ฯลฯ ก่อนที่คุณจะควักกระเป๋าจ่ายตังก้อนใหญ่

ชุดแต่งงาน

10. เคลื่อนไหวในทุกอิริยาบถในชุดแต่งงาน

อย่าลืมว่าในวันงานคุณไม่ได้แค่ยืนเฉยๆ หน้าแบ็กดร็อปอย่างเดียว แต่คุณต้องนั่ง เดิน หรือก้าวขึ้นบันได เพราะฉะนั้นคุณควรจะลองทำทุกอย่างในชุดแต่งงานในวันฟิตติ้ง เพื่อที่จะได้รู้ว่าชุดนั้นเหมาะกับการเคลื่อนไหวในอิริยาบถต่างๆ ของเจ้าสาวหรือไม่

11. เลือกร้านชุดที่ไม่ไกลจากที่พักมากจนเกินไป

บางครั้งเรื่องระยะทางก็เป็นสิ่งสำคัญ เพราะอย่าลืมว่าคุณไม่ได้ไปแค่วันเดียว แต่เจ้าสาวจะต้องไปฟิตติ้งอย่างน้อย 2-3 ครั้ง และหากต้องมีการเปลี่ยนแปลงแก้ไขหรือเพิ่มเติมสิ่งใดทุกสิ่งทุกอย่างจะต้องเกิดขึ้นที่ร้านเท่านั้น ซึ่งอาจจะใช้เวลาอีกหลายครั้งไม่รวมกับการฟิตติ้ง เพราะฉะนั้นต้องคิดดูดีๆ นะคะว่าคุ้มหรือไม่หากต้องใช้เวลาขับรถเป็นวันเพื่อไปทำภารกิจ

12. เลือกชุดชั้นในให้เข้ากับชุดแต่งงาน

ชุดชั้นในเป็นสิ่งสำคัญที่จะช่วยเสริมให้ชุดแต่งงานนั้นดูสวยยิ่งขึ้นไปอีก ไม่ว่าจะช่วยเสริมอก เสริมสะโพก หรือเสริมบั้นท้าย เพราะฉะนั้นเราอยากให้เจ้าสาวลงทุกสักนิดแล้วเลือกซื้อชุดชั้นในชุดใหม่แล้วนำไปฟิตติ้งกับชุดแต่งงานเพื่อที่จะได้ดูว่าชุดชั้นในนั้นสอดรับและพอดีเข้ากับชุดแต่งงานของเจ้าสาวหรือไม่ เพื่อที่จะได้มองเห็นตัวเองในชุดแต่งงานได้อย่างสมบูรณ์แบบ

ดูไอเดียเกี่ยวกับชุดแต่งงานเพิ่มเติม คลิกเลย!

Cr. www.marthastewartweddings.com, www.lowsbridal.com, www.pinterest.com

รีดชุดแต่งงานให้เรียบกริบด้วยตัวเองแค่มี 1 ใน 4 อุปกรณ์เครื่องใช้ในบ้าน

ทำยังไงดีถ้าอยู่ๆ ชุดแต่งงานที่รับมาจากร้านเกิดอาการยับในจุดต่างๆ จนทำให้คุณไม่มั่นใจที่จะสวมใส่ จะส่งรีดใหม่ก็คงไม่ทัน วันนี้เราเลยนำเคล็ดลับในการ รีดชุดแต่งงาน เองที่บ้านมาฝาก แค่มีอุปกรณ์เครื่องใช้ในบ้านด้านล่างนี้ คุณก็รีดชุดได้เรียบแน่ค่ะ

 

  • เครื่องทำน้ำอุ่นในห้องน้ำ

หากชุดของคุณไม่ได้ยับมากจนเกินไป เพียงแขวนชุดไว้ในห้องน้ำ และเปิดเครื่องทำน้ำอุ่นให้ร้อนสุดๆ ความร้อนจากไอน้ำในห้องน้ำจะช่วยทำให้ชุดแต่งงานของคุณเรียบขึ้นได้ แต่วิธีการนี้ไม่เหมาะกับชุดที่ซับซ้อนหลายชั้นหรือยับมาก เพราะอาจจะเรียบได้ไม่ทั่วถึงค่ะ

  • ไดร์เป่าผม

คุณสามารถใช้ไดร์เป่าผมช่วยทำให้ชุดเรียบได้ เหมาะสำหรับชุดที่มีเนื้อผ้าบางเบา เพียงคุณใช้ไดร์เป่าผมเปิดลมให้เบาสุด แล้วค่อยๆไล่เป่าไปตามเนื้อผ้า แต่ระวังอย่าเป่าใกล้ผ้ามากเกินไป เพราะอาจจะเกิดการผิดพลาดและทำลายเนื้อผ้าของคุณได้

  • เครื่องรีดผ้าไอน้ำ

เครื่องรีดผ้าไอน้ำสามารถรีดเนื้อผ้าได้เกือบทุกชนิด อีกทั้งยังไม่ทำลายเนื้อผ้า เพียงคุณค่อยๆ ไล่หัวของเครื่องรีดผ้าไปตามชุดสวยของคุณ โดยเริ่มจากส่วนช่วงบนก่อน และถ้าส่วนกระโปรงมีหลายชั้น ให้เริ่มรีดจากด้านในออกมาด้านนอก และอย่าใช้อุณหภูมิที่แรงเกินไป

  • เตารีดธรรมดา

เบสิคและเป็นสิ่งที่คุ้นเคยสุดๆ กับเตารีดธรรมดาๆ เพียงใช้ความร้อนต่ำประมาณ 110-150 องศาเซลเซียส และขณะรีดควรมีผ้าฝ้ายหรือกระดาษหนาๆ ไม่มีสี นำมาทับที่ด้านบน เพื่อป้องกันชุดสวยสัมผัสกับผิวหน้าของเตารีดโดยตรง การสัมผัสโดยตรงจากเตารีดจะทำให้ความเงางามของผ้าสูญเสียเร็ว

ข้อควรระวังในการรีดชุดแต่งงานด้วยตัวเอง คือต้องดูที่เนื้อผ้าของชุดแต่งงานของคุณว่าเป็นผ้าชนิดใด เพราะผ้าบางประเภท เช่น ผ้าไหม  ผ้าลูกไม้ ต้องใช้ความระมัดระวังในการดูแลเป็นอย่างมาก ถ้าไม่มั่นใจว่าจะสามารถดูแลด้วยตัวเองได้ การปรึกษามืออาชีพ เช่น ร้านรับซักชุดแต่งงาน ก็เป็นการช่วยถนอมชุดแต่งงานสุดสวยของคุณให้สวยพร้อมในวันงานสำคัญได้

ทั้งนี้การซัก ควรส่งร้านซักแห้งจะดีที่สุด แต่ถ้าต้องการซักเพราะเกิดรอยเปื้อนโดยไม่ตั้งใจเพียงเล็กน้อย ให้ใช้น้ำอุ่นผสมสบู่ แล้วใช้ผ้าอีกผืน จุ่มน้ำผสมสบู่ ป้ายคราบให้หลุดออกมาอย่างเบามือ จากนั้นใช้ทิชชูซับน้ำให้แห้ง แล้วนำไปผึ่งในร่ม สิ่งสำคัญคือคุณต้องนำชุดสวยใส่ไม้แขวนแล้วแขวนไว้ตลอดเวลา เพราะการวางแม้ระวังอย่างดีก็สามารถเกิดรอยยับย่นได้ และถ้าชุดเจ้าสาวที่คุณต้องรีดเองเป็นผ้าไหม ควรพรมน้ำให้ทั่วผ้าจากนั้นใส่ถุงพลาสติก นำไปแช่ไว้ในตู้เย็น แล้วจะรีดได้ง่ายขึ้นค่ะ

ดูไอเดียเกี่ยวกับชุดแต่งงานเพิ่มเติม คลิกเลย!

10 เคล็ดลับสุดเจ๋งช่วยว่าที่บ่าวสาวประหยัดเงินค่าทำการ์ดเชิญ

จะประหยัดค่า การ์ดเชิญ ยังไงให้งบไม่บานปลายดีนะ?? … มาดูเคล็ดลับดีๆ จากเรากันเลยค่ะ

เพราะ การ์ดเชิญ เป็นเรื่องที่บ่าวสาวทุกคู่เลี่ยงไม่ได้ที่จะต้องออเดอร์มาใช้ในงานแต่งงาน แต่สิ่งที่เลี่ยงได้คือการจ่ายค่าการ์ดเชิญราคาสูงเกินจำเป็นค่ะ ซึ่งในเรื่องนี้ แพรว wedding ขอคอนเฟิร์มว่าประหยัดได้จริงแน่แท้ทรู ส่วนวิธีการจะมีอะไรบ้าง ลองไปดูเคล็ดลับพร้อมๆ กับเราทีละข้อเลยค่ะ

1. เลือกการ์ดเชิญแบบสำเร็จรูป

ถ้าคิดจะประหยัดขอให้มองการ์ดเชิญแบบสำเร็จรูปที่ดูแล้วเรียบง่ายสุดๆ ค่ะ ไม่เน้นความหวือหวาใดๆ เป็นการ์ดเชิญแบบที่เห็นๆ กันทั่วไป แต่มีหลายแบบให้เลือกโดยไม่ต้องเสียค่าออกแบบใหม่ เพราะทางร้านจะทำแบบไว้เรียบร้อยแล้ว คุณทำหน้าที่แค่จิ้มแบบการ์ดที่ชอบ แล้วเลือกกระดาษแบบที่ใช่ จากนั้นใส่รายละเอียดงานแต่งงานขอคุณลงไป แค่นี้ก็ได้การ์ดเชิญที่ราคาคุมได้แล้วค่ะ

2. เลือกการ์ดเชิญแบบแผ่นเดียว

อีกทางเลือกที่ช่วยให้การ์ดเชิญของคุณไม่ต้องมีราคาแพงเกินจำเป็นคือ การเลือกการ์ดเชิญแบบแผ่นเดียวแล้วใส่รายละเอียดไว้ทั้งสองด้าน แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นการ์ดเชิญที่ว่านี้ต้องไม่มีรายละเอียดหรือเทคนิคพิเศษใดๆ นะคะ

3. พิมพ์การ์ดเชิญเองง่ายๆ

ทางออกของความประหยัดในข้อนี้อาจต้องลงทุนสักหน่อยในเรื่องของการซื้อเครื่องพิมพ์ที่มีประสิทธิภาพในการพิมพ์การ์ดเชิญแบบที่ชอบ รวมถึงหมึกพิมพ์และกระดาษที่ต้องคำนวณไว้แบบเผื่อๆ ซึ่งแม้จะดูว่ายุ่งยาก แต่หลายคู่ก็เลือกทางนี้ เพราะมีแผนในการใช้เครื่องพิมพ์ต่อไปในอนาคต นอกจากนี้หลังบวกลบทุกสิ่งแล้ว สิ่งที่ได้มากกว่าความประหยัดคือความภูมิใจในความทรงจำนี้ร่วมกัน

การ์ดเชิญ

4. เลี่ยงการใช้การ์ดที่มีเทคนิคหรือวัสดุพิเศษทั้งหลาย

อย่างที่บอกไปแล้วการ์ดเชิญที่ดูเรียบง่ายจะช่วยประหยัดเงินมากๆ ฉะนั้นเทคนิคพิเศษประเภทที่มีการปั๊มฟอยด์ ปั๊มนูน ฉลุลายหรือใส่ของตกแต่งทั้งหลายทั้งผ้าลูกไม้ เชือกพัน เม็ดคริสตัล รวมถึงวัสดุพิเศษอย่าง อะคริลิคขอให้ตัดไป เพราะคือต้นทุนที่เพิ่มเข้ามาในการผลิตโดยไม่จำเป็นค่ะ

5. เชิญแขกบางส่วนผ่านทางเว็บไซต์ให้บริการส่งฟรี

เพราะธรรมเนียมการส่งการ์ดเชิญเป็นใบๆ ให้กับผู้ใหญ่สำหรับบ่าวสาวชาวไทยยังคงเลี่ยงไม่ได้ ถ้าอย่างนั้นก็ลดปริมาณการพิมพ์เท่าที่จำเป็นโดยใช้เทคนิคการพิมพ์เองแบบข้อ 3 ที่บอกไปแล้วเข้าช่วย ส่วนแขกที่เหลือ ซึ่งอาจเป็นคนสนิทวัยเดียวกันอย่างบรรดาเพื่อนๆ ก็ใช้โซเชียลมีเดียเป็นเครื่องมือเชิญแขกมางานแต่ง

6. ตรวจทานทุกอย่างให้ดี

วิธีการช่วยประหยัดอีกอย่างคือ ความรอบคอบก่อนเซย์เยสให้ทางร้านพิมพ์ หรือพูดง่ายๆ คือ ตรวจทานรายละเอียดทุกอย่างให้ดี อย่ามีที่ผิดจะได้ไม่ต้องพิมพ์แก้ เพราะนั่นหมายถึงค่าใช้จ่ายที่เพิ่มขึ้นอย่างเลี่ยงไม่ได้เว้นเสียแต่ว่าความผิดพลาดที่เกิดขึ้นมาจากทางร้านหรือมีข้อตกลงกับทางร้านการ์ดว่าสามารถแก้ไขได้ (กี่ครั้งๆ ก็ว่าไป)

 7. กรองรายละเอียดที่จำเป็นและใส่ไว้ในการ์ดใบเดียว

การอัดแน่นรายละเอียดทุกสิ่งลงไปในการ์ดเชิญอาจดูเหมือนว่าจะมากมายเกินไป ฉะนั้นคัดกรองสิคะ เลือกแค่ข้อมูลสำคัญที่แขกพึงรู้ โดยพยายามกระชับและให้ทางร้านการ์ดจัดอาร์ทเวิร์คออกมาให้ลงตัว อย่าหลงกลคำเชียร์ให้แบ่งข้อมูลย่อยใส่กระดาษเป็นชิ้นๆ หรือทำเป็นการเซ็ตเด็ดขาด ถ้างบไม่ถึงและอยากประหยัดเงินในกระเป๋า

8. ทำการ์ดเองแบบ DIY ด้วยวัสดุต้นทุนต่ำ

ถ้าเชิญแขกไม่มาก และมีเวลาทำการ์ดเชิญเองก็เป็นทางเลือกให้ประหยัดเงินในกระเป๋าได้นะคะ แต่ขอบอกสักหน่อยว่า ต้องวางแผนการทำการ์ดให้ดีๆ อย่าออกแบบให้ซับซ้อน โดยเฉพาะเรื่องวัสดุที่เลือกใช้ รวมถึงวิธีการผลิตที่ไม่ควรยากจนเกินไป เพราะนอกจากจะท้อแท้ก่อนทำเสร็จ บางทีต้นทุนอาจมากกว่าการสั่งพิมพ์ได้

การ์ดเชิญ

9. ใช้การ์ดรูปทรงปกติ

บางคนฝันไกลว่าการ์ดแต่งงานของฉันต้องเป็นวงกลม วงรีหรือแบบสี่เหลี่ยมมุมมนสวย ถ้าคุณอยากประหยัด ตื่นจากฝันและหันไปหาการ์ดเชิญทรงสี่เหลี่ยมมุมแหลมทั่วๆ ไปค่ะ เพราะนอกจากการ์ดรูปทรงแปลกๆ จะมีต้นทุนที่แพงแล้ว บางแบบอาจทำให้ต้องจ่ายค่าซองเพิ่มเพราะมีขนาดแปลกว่าทั่วไป

10.สั่งการ์ดที่มีซองมาให้เสมอ

ปกติแล้วร้านการ์ดแต่งงานจะให้ซองคู่มาด้วยตามจำนวนการ์ดที่สั่ง แต่ไม่ใช่ว่าจะไม่มีร้านการ์ดที่บวกเพิ่มราคาซองเข้าไปนะคะ ฉะนั้นคุณจึงควรเช็คให้ดีและมั่นใจว่าร้านการ์ดที่คุณสั่งทำมีซองมาให้ด้วยอยู่แล้ว

เคลียร์กว่านี้ไม่มีอีกแล้ว! เขียนการ์ดเชิญงานแต่งไทยยังไงไม่ให้แขกงง

เรื่อง : ดอกปีบ
ภาพเปิด : www.pexels.com a a

ทั้ง ออกกำลังกาย ทั้ง ไดเอท ทำไมน้ำหนักไม่ลด? อาจเป็นเพราะเหตุผลเหล่านี้ก็ได้!

ว่าที่เจ้าสาวที่กำลังคร่ำเคร่งกับการ ออกกำลังกาย และควบคุมอาหาร เพื่อเตรียมหุ่นสวยให้ทันวันวิวาห์ แน่นอนว่าต้องคาดหวังให้ตัวเลขบนตราชั่งขยับเขยื้อนลงให้เป็นกำลังใจบ้าง แต่ทว่าทำม๊ายย ทำไม ทุกครั้งที่ขึ้นชั่งน้ำหนักที่ตื่นเต้นยิ่งกว่าลุ้นผลสลากกินแบ่ง กลับกลายเป็นว่าน้ำหนักแทบไม่ลดลงเลย? เราทำอะไรผิดไป?  หรือจะเป็นเพราะสาเหตุเหล่านี้หรือเปล่าที่ทำให้น้ำหนักเราไม่ลด แม้จะออกกำลังกายหรือคุมอาหารมากแค่ไหนก็ตาม สาเหตุอะไรบ้าง? มาดูกัน

ออกกำลังกาย

1. คุณยังออกกำลังกายและคุมอาหารไม่นานพอ

เหตุผลที่ง่ายแสนง่าย เพราะผู้หญิงส่วนใหญ่คาดหวังผลลัพธ์ที่เร็วเกินไป ทุกครั้งที่ออกกำลังกายเสร็จก็จะรีบขึ้นชั่งน้ำหนักเพื่อคาดหวังให้ตัวเลขบนตราชั่งลดลงเร็วๆ ทว่าในความเป็นจริงแล้วนั้นร่างกายต้องใช้เวลานานกว่า 2-3 เดือน หรือสำหรับบางคน 5-6 เดือน เพื่อที่จะให้เห็นผลจากการออกกำลังกายและควบคุมน้ำหนักอย่างชัดเจน เพราะฉะนั้น อย่าเพิ่งเป็นกังวลมากไปในระยะเวลาอันสั้นๆค่ะ

2. คุณลืมไปว่ากล้ามเนื้อหนักกว่าไขมัน

ฟิตเนสเทรนเนอร์ หรือฟิตเนสไอดอลหลายคนที่หุ่นเฟิร์มสวยเป๊ะ กลับมีน้ำหนักตัวที่มากกว่าที่เราคิด เพราะความเป็นจริงนั้นคือกล้ามเนื้อมีความหนาแน่นมากกว่าไขมัน และกล้ามเนื้อที่เพิ่มเข้ามามากขึ้นมีผลกับน้ำหนักตัวด้วยเช่นกัน เพราะฉะนั้นหากเราเริ่มรู้สึกว่าใส่กางเกงแล้วสบายตัวขึ้น รูปร่างกระชับขึ้น แต่ตัวเลขน้ำหนักไม่ค่อยลดลงก็อย่ากังวลใจไป หรือถ้าอยากรู้ให้ชัวร์ ลองชั่งน้ำหนักจากเครื่องชั่งน้ำหนักที่มีฟังค์ชั่นการวัดเปอร์เซ็นกล้ามเนื้อและไขมันในร่างกายดูค่ะออกกำลังกาย

3. คุณคาร์ดิโอไม่เพียงพอ

เพราะว่าที่เจ้าสาวหลายคนเอาแต่เวทเทรนนิ่ง เพราะอยากมีกล้ามเล็กๆ ลีนสวยเหมือนเหล่านางแบบวิคตอเรีย ซีเครต แต่คุณๆอย่าลืมนะ เวทเทรนนิ่งนั้นต้องทำควบคู่กับการออกกำลังกายแบบคาร์ดิโอ หรือการออกกำลังกายที่เน้นจังหวะการเต้นของหัวใจ เพราะการคาร์อิโอนั้นจะช่วยให้ร่างกายเผาผลาญไขมัน หากคุณจดจ่ออยู่กับการเวทเทรนนิ่งโดยไม่คาร์ดิโอ เป็นไปได้ว่าน้ำหนักของคุณจะลดลงช้ากว่าปกติค่ะ

4. คุณทานน้อยเกินไป!

เมื่อเรารับประทานอาหารน้อยกว่าที่ร่างกายต้องการพลังงานต่อวัน แทนที่จะเป็นผลดีกลับกลายเป็นผลเสียค่ะ!  เพราะร่างกายของเราจะเข้าสู่โหมดประหยัดพลังงาน คล้ายๆโหมดจำศีลของสัตว์ ร่างกายจะกักเก็ยสารอาหารและไขมันที่เราทานเข้าไปเอาไว้ โดยไม่ยอมดึงออกมาใช้ หรือดึงออกมาใช้ให้น้อยที่สุด ยิ่งถ้าเราออกกำลังกายหนัก และทานน้อย ร่างกายของเราก็จะยิ่งไม่ยอมเผาผลาญพลังงานส่วนเกิน ทำให้นอกจากน้ำหนักเราจะไม่ลง ร่างกายเราจะยิ่งเหนื่อยและอ่อนแอด้วยค่ะ ไม่แนะนำสุดๆออกกำลังกาย

5. คุณเครียดและพักผ่อนน้อย

เหตุผลคล้ายกับข้อข้างบน เพราะเมื่อร่างกายของเราเครียดหรือพักผ่อนน้อย สมองจะหลั่งฮอร์โมนที่ทำให้เรารู้สึกหิว กระตุ้นให้เรากินมากขึ้นจนอ้วนไม่รู้ตัวได้ นอกจากนั้นการพักผ่อนไม่เพียงพอยังทำให้ระบบเผาผลาญลดลง มีส่วนทำให้น้ำหนักของเราลดช้าลงด้วยค่ะ

6. คุณมีความผิดปกติทางร่างกายหรือเปล่า?

ถ้าหากทั้ง 5 ข้อที่ผ่านมา คุณแน่ใจมากๆว่าไม่ได้เข้าข่ายข้อใด และหากคุณมีอาการดังต่อไปนี้ เช่น รู้สึกกล้ามเนื้ออ่อนแรงช่วงแขนและขา เหนื่อยง่าย เหงื่อออกมาก ท้องผูก อารมณ์แปรปรวน นอนหลับยาก ขี้หนาวผิดปกติ ผมร่วง เราแนะนำให้คุณไปปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญค่ะ เพราะอาการเหล่านี้อาจเป็นข้อบ่งชี้ของอาการต่อมไทรอยด์เป็นพิษ หรือ Hypothyroidism ซึ่งกระทบกับระบบการเผาผลาญ ทำให้เราอ้วนง่ายแม้จะออกกำลังกายหรือควบคุมอาหารเป็นอย่างดีค่ะ (แต่ทั้งนี้อย่าเพิ่งรีบตื่นตระหนก! เราแนะนำให้หาข้อมูลเพิ่มเติมจากเว็บไซด์ทางการแพทย์ที่เชื่อถือได้ร่วมด้วยนะคะ)

สรุปแล้ว เหล่าว่าที่เจ้าสาวที่กำลังตั้งใจฟิตเฟิร์มหุ่นก่อนวันแต่งงาน อย่าเพิ่งเครียดและจริงจังจนเกินไปนะคะ ตัวเลขบนตราชั่งไม่ใช่ตัววัดเสมอไปว่าเราสุขภาพดีขึ้นหรือหุ่นฟิตเฟิร์มขึ้นจริงหรือไม่ ลองหาวิธีอื่นๆที่ช่วยวัดผลมาเป็นตัวช่วย และจงมีวินัยกับการออกกำลังกายอย่างถูกต้องต่อไปเรื่อยๆนะคะ

หากชอบคอนเท้นต์นี้ของเรา ลองคลิกอ่าน ทิปส์การเลือกทานอาหารเพื่อลดน้ำหนักให้หุ่นลีนทันวันวิวาห์ ที่นี่เลยค่ะ

credit photo: livestrong.com

รวบตึง 5 รายละเอียดสำคัญที่ไม่ควรมองข้ามใน การจัดโต๊ะอาหาร

ถ้าพูดถึงงานแต่งงานที่ต้องมี การจัดโต๊ะอาหาร สวยๆ คงหนีไม่พ้นงานแต่งงานแบบ Sit-Down Dinner เอกลักษณ์อยู่ที่โต๊ะอาหารที่มีการตกแต่งอย่างมีสไตล์เข้ากับธีม ถือได้ว่าเป็นงานที่มีความละเอียดอ่อนจำเป็นต้องอาศัยประสบการณ์และความรู้เกี่ยวกับการจัดโต๊ะอาหารให้เข้ากับบรรยากาศภายในงาน บางงานเก็บรายละเอียดไปถึงเรื่องอาหารที่เสิร์ฟก็ต้องมีความสอดคล้องกับการจัดโต๊ะ เลือกเมนูที่มีสีสันโดดเด่นเมื่ออยู่ในภาชนะใส่อาหาร การจัดโต๊ะอาหารเลยมีความยากขึ้น เป็นเรื่องที่มองข้ามไม่ได้เลยค่ะ

การจัดโต๊ะอาหาร

การเลือกอาหาร

ความสำคัญของการเลือกอาหารอยู่ที่ รสชาติ ควรเลือกอาหารแต่ละจานให้มีรสชาติที่หลากหลาย ผู้ร่วมงานจะได้ไม่เบื่อ ไม่เลี่ยน และรสชาตินั้นยังต้องเข้าถึงแขกได้ทุกคนด้วย เพราะอย่าลืมว่าแต่ละคนชอบรสชาติอาหารที่แตกต่างกันออกไป ซึ่งในต่างประเทศนั้นมักจะเลือกอาหารให้ตรงตามฤดูกาล เพราะสามารถหาวัตถุดิบได้ง่าย ราคาถูก และหากเลือกสถานที่จัดงานแบบเอ้าท์ดอร์การเลือกอาหารให้ตรงตามฤดูกาลจะส่งผลให้เข้ากับบรรยากาศรอบๆ ได้อีกด้วย

การเลือกโทนสี

เลือกโทนสีในที่นี้รวมไปถึงเรื่องของธีมงานที่มีผลต่อการเลือกพร๊อพบนโต๊ะอาหารด้วยนะคะ โดยเทคนิคการใช้สีสำหรับจัดโต๊ะอาหารง่ายๆ คือ ไม่เน้นการจับคู่สีแต่จะใช้โทนสีและเฉดสีที่มีความแตกต่างกันนำมาแมตช์กัน เช่น งานแต่งในสวนของฤดูใบไม้ร่วง อาจเลือกใช้โทนสีแดงเมอร์ลอตเป็นหลัก โดยภาชนะบางอย่างจะเลือกใช้เป็นทองเหลืองหรือใช้สีทองแล้วนำของตกแต่งบนโต๊ะอาหารที่มีสีครีมเข้ามาช่วยแซมก็ได้ ซึ่งเทคนิคการแมตช์เฉดสีแบบง่ายๆ นั้นคือการเลือกใช้สีขาวเข้ามาแมตช์ เพราะเป็นเฉดที่สามารถเข้าได้กับทุกสีและช่วยให้ง่ายต่อการตกแต่งนั่นเองค่ะ

การเลือกดอกไม้

พร๊อพที่หาได้ง่ายที่สุดไม่ว่าจะตกแต่งอะไรก็ตามเห็นทีจะเป็นดอกไม้นี่แหละค่ะ ดอกไม้บนโต๊ะอาหารหากอยากให้มีความโดดเด่น แนะนำให้เลือกใช้ดอกไม้สีที่แตกต่างจากพร็อพอื่นๆ แต่ต้องเป็นสีที่ไปในทิศทางเดียวกันนะคะ และอาจเลือกใช้ดอกไม้บางชนิดที่มีโทนสีเดียวกับพร๊อพหรือภาชนะเข้ามาช่วยแซมเล็กน้อยเพื่อให้ดูมีความเข้ากัน และดอกไม้จะได้ไม่โดดเด่นมากจนเกินไปด้วยค่ะ

การเลือกภาชนะ

จาน ชาม แก้วน้ำ รวมไปถึงช้อน ส้อม มีด ฯลฯ หัวใจหลักคือเลือกให้เข้ากับธีมทั้งรูปทรงลักษณะของภาชนะและสีสันควรให้เป็นสีในโทนเดียวกัน ซึ่งเดี๋ยวนี้มีเซตอุปกรณ์ภาชนะรับประทานอาหารที่หาซื้อได้ง่าย สะดวกกว่าการที่เราจะมามิกซ์แอนด์แมตช์เอง อ้อ! แล้วอย่าลืมนะคะว่าอุปกรณ์รับประทานอาหารทุกอย่างต้องครบ ดูได้จากเมนูอาหารว่ามีอะไรบ้าง และในแต่ละเมนูมีวิธีรับประทานอย่างไร

บรรยากาศ

สำหรับการจัดโต๊ะอาหารในสถานที่แบบเอ้าท์ดอร์ควรคำนึงถึงบรรยากาศโดยรอบในการเลือกใช้วัสดุอุปกรณ์และเลือกใช้โทนสีให้เข้ากับบรรยากาศด้วย หากจัดงานแต่งงานในสวนที่เต็มไปด้วยแมกไม้อาจเลือกจัดโต๊ะที่เน้นการตกแต่งด้วยดอกไม้เป็นหลัก เน้นภาชนะแบบสีเขียวพาเทส เป็นต้น และอาจเลือกผ้าปูโต๊ะที่มีสีตัดกับภาชนะก็จะทำให้การตกแต่งโต๊ะอาหารมีความสวยงามเข้ากับบรรยากาศแล้วค่ะ

ดูไอเดียงานแต่งงานและคำแนะนำดีๆ อีกเพียบได้ที่นี่ คลิกเลย!

ภาพจาก : elledecor.com, thesimplyluxuriouslife.com

5 คีย์เวิร์ดบอกดีไซเนอร์เสกชุดเจ้าสาวให้สวยเหมือนเจ้าหญิงในเทพนิยาย

เพราะ ชุดเจ้าสาว ไม่ได้สวมใส่ได้ในทุกวัน จึงต้องเป็นชุดพิเศษที่บ่งบอกตัวตน พร้อมทั้งความฝันของคุณไปพร้อมๆ กัน

ในวันสำคัญอย่างวันแต่งงาน ว่าที่บ่าว-สาว ต่างพิถีพิถันในทุกรายละเอียดเพื่อให้งานแต่งออกมาพิเศษที่สุด สำหรับเจ้าสาวเรื่องที่สำคัญคือ ชุดเจ้าสาว ที่ทุกคนก็อยากดูดีในวันนี้ ซึ่งชุดเจ้าสาวนอกจากจะเสริมบุคลิกให้เจ้าสาวดูดีแล้ว ยังต้องเข้ากับรูปร่างด้วย แต่ที่พลาดไม่ได้อีกอย่างคือ ดีไซน์ของชุดแต่งงานในฝันที่อยากใส่ ก็แหม เรื่องนี้มันเป็นความฝันของผู้หญิงทุกคนจริงไหม

ซึ่งหนึ่งในชุดเจ้าสาวในฝันที่เจ้าสาวหลายคนอยากใส่คือ ชุดสไตล์นางฟ้าในเทพนิยาย เพราะทั้งสวย และมีเสน่ห์น่าหลงใหล แพรว wedding เลยมาชวนว่าที่เจ้าสาวทำความฝันให้กลายเป็นความจริง กับจุดสำคัญที่เจ้าสาวไม่ควรพลาดในการบอกดีไซเนอร์ เพื่อดีไซน์ชุดแต่งงานให้ออกมางดงามดังนางฟ้าในสไตล์เทพนิยาย

1. แขนกุด หรือสายเดี่ยว

ดีไซน์ของชุดที่จะบ่งบอกถึงความเป็นผู้หญิงได้ดีที่สุดคือ แขนกุด หรือสายเดี่ยว ซึ่งได้รับความนิยมเป็นอย่างมาก เพราะชุดเจ้าสาวแขนกุด หรือสายเดี่ยวนี้ สามารถดีไซน์ช่วงตัวและเพิ่มลูกเล่นต่างๆ ได้มากมาย ไม่ว่าจะเป็น แบบคอกลม คอกว้าง หรือคอวี ก็ช่วยทำให้เจ้าสาวดูมีเสน่ห์ เพียงแค่เลือกช่วงเนคไลน์ให้เหมาะกับรูปหน้าและลำตัวเท่านั้น แถมยังสะดวกต่อการเคลื่อนไหวให้กระฉับกระเฉงเพราะไม่ต้องกลัวเกาะอกหลุดอีกด้วย

ชุดเจ้าสาว

2. เปลือยหลัง

เพิ่มความดึดดูดให้ชุดเจ้าสาวด้วยการเผยแผ่นหลัง ซึ่งนอกจากจะทำให้เจ้าสาวมีลุคที่เซ็กซี่ขึ้นมาแล้ว ก็ไม่ทำให้ดูโป๊จนเกินงาม เพียงเลือกแมตช์ให้เข้ากับกระโปรงยาว แล้วเพิ่มดีเทลลูกเล่นให้กับช่วงบนของชุดเจ้าสาวเพื่อให้ดูมีอะไร แต่ก่อนใส่ชุดแบบนี้ก็อย่าลืมดูแลแผ่นหลังให้เรียบเนียนและฟิตแอนด์เฟิร์มกันด้วยนะ อ้อ! แล้วก็งดเด็ดขาดกับการสวมบราแบบมีสายใสๆ นะ สวมเป็นบราปีกนกเพื่ออวดแผ่นหลังเต็มๆ ไปเลย

ชุดเจ้าสาว

3. เดรสสไตล์เอ็มไพร์

ดีไซน์ที่เผยความเป็นผู้หญิงที่มาพร้อมกับความงดงามตามอุดมคติคือ ชุดเดรสทรงเอ็มไพร์ ดีไซน์ที่สะท้อนถึงความบริสุทธิ์และอ่อนหวานของผู้หญิง อีกทั้งยังช่วยพรางรูปร่างที่ไม่มั่นใจ ตั้งแต่ช่วงสะโพกลงไปจนถึงช่วงขา และชุดทรงเอ็มไพร์ยังช่วยเน้นช่วงอกให้ดูโดดเด่นขึ้นได้อีกด้วย

ชุดเจ้าสาว

4. สีพาสเทลเท่านั้น

นางฟ้าตามเทพนิยายที่เราเห็นตามภาพยนตร์ จะเห็นว่าชุดของเหล่านางฟ้าจะมีสีพาสเทล ซึ่งอ้างอิงมาจากประวัติศาสตร์แฟชั่นที่ผู้หญิงในอดีตนิยมการแต่งกายชุดเดรสทรงเอ็มไพร์ที่มีสีสันพาสเทลเท่านั้น จึงเป็นที่มาสู่ชุดเจ้าสาวสไตล์นางฟ้า แถมสีพาสเทลที่บางเบานี้ยังช่วยเพิ่มลุคให้เจ้าสาวดูอ่อนเยาว์และน่ารักได้ดีอีกด้วยนะ

ชุดเจ้าสาว

5. เบาบางและพลิ้วไหว

อีกสิ่งที่พลาดไม่ได้คือ ความบางเบาและพลิ้วไหวของกระโปรง ซึ่งดีไซน์ชุดเจ้าสาวทรงเอ็มไพร์ สามารถเน้นช่วงกระโปรงให้โดดเด่นขึ้นได้ด้วยการใช้ผ้าทูลล์ที่มีความบางเบา และสะบัดได้อย่างเป็นธรรมชาติ เพราะฉะนั้นไม่ต้องกังวลว่าชุดเจ้าสาวของคุณจะหนัก เหมือนชุดเจ้าสาวสไตล์อื่นๆ หรือถ้าอยากให้ชุดดูมีลุคที่ชวนฝันมากขึ้น อาจซ้อนผ้าให้เป็นเลเยอร์ หรือเลือกใช้ผ้าชีฟองให้ตัวกระโปรงดูมีความพลิ้วไหว ก็ช่วยเสริมเสน่ห์ให้กับชุดโดยรวมได้เป็นอย่างดี

ชุดเจ้าสาว

สำหรับว่าที่เจ้าสาวที่ยังกังวลกับรูปร่างตัวเองกลัวว่าจะใส่ชุดแต่งงานไม่สวย เรามี เทคนิคเลือกชุดแต่งงานให้เข้ากับรูปร่าง สวยด้วยแถมเป๊ะปั๊วะไปอีก แต่ยังไงก็ตาม สิ่งที่สำคัญความมั่นใจของสาวๆ นะ

ภาพจาก Pinterest

ใช้หรือไม่ใช้? เช็คความใช่ก่อนจ้างเวดดิ้งแพลนเนอร์มาดูแลงานแต่งของคุณ

พอรู้ว่าจะแต่งงาน บ่าวสาวหลายคู่ก็เริ่มนึกถึงภาพงานแต่งงานของตัวเองไปต่างๆ นานา จนมาถึงจุดที่คิดกันไปว่าเวลาจัดงานจริงจะจัดได้ไหม เลยเป็นที่มาของความคิดที่ว่า ถ้าอย่างนั้นจะใช้หรือไม่ใช้บริการ เวดดิ้งแพลนเนอร์ ดีล่ะ เอาล่ะค่ะ ถ้ายังไม่ชัวร์กับตัวเอง แพรว Wedding นำ 10 สิ่งที่อยากให้คุณเช็คความใช่กันก่อนตัดสินใจใช้เวดดิ้งแพลนเนอร์มาดูแลงานแต่งงานของคุณค่ะ

1. งานยุ่งทั้งวันวางมือไม่ได้เลย
เป็นคู่รักที่ชีวิตวุ่นวายมากแบบว่ากลางวันทำงานประจำ กลางคืนทำธุรกิจส่วนตัว หรือเข้ายิมเพาะกล้าม ออกกำลัง เรียนโยคะ ฯลฯ จะเลี่ยงจะลดสักโปรแกรมไม่ได้แน่นอนอะไรแบบนั้น คุณเป็นคู่รักประเภทนี้หรือเปล่าค่ะ ถ้าใช่ละก็…เรียกใช้เวดดิ้งแพลนเนอร์ได้เลย

2. ขี้ลืมเป็นนิสัย
ขนาดเห็นแล้วนะว่ามีเวดดิ้งแฟร์ แถมยังสำรองที่นั่งทันด้วย แต่ดันลืมโอนเงินซะงั้น นี่แหละค่ะนิสัยที่เราอยากให้คุณเช็คตัวเองดูสักหน่อยว่าเป็นนิสัยของคุณหรือเปล่า ถ้าคำตอบคือ “ใช่” และเป็นแบบนี้บ่อยๆ ละก็ เวดดิ้งแพลนเนอร์นี่น่าสนใจสำหรับงานแต่งงานของคุณมากนะคะ

3. ฝันถึงงานแต่งงานในที่แปลกตา
คนอื่นแต่งงานกันในโรงแรมหรือสถานที่รับจัดงานแต่งงาน แต่คู่คุณไม่ใช่แบบนั้น ที่ไหนที่ว่าสวย แปลกตา แม้จะห่างไกลแค่ไหน ถ้าใช่ที่ฝันละก็ พร้อมใจจะไปจัด แต่จะจัดยังไงละ อ้าว…นั่นสิ จัดเองยังลำบาก แล้วทำไมเวดดิ้งแพลนเนอร์จะไม่ใช่คำตอบของคุณ

4. จัดงานแต่งที่บ้านเกิด
แม้จะเป็นการจัดงานแต่งแบบบ้านๆ สไตล์ง่ายๆ แค่เอาโต๊ะจีนมาตั้ง แต่ถ้าคุณไม่ค่อยได้กลับภูมิลำเนาหรือเป็นแบบว่านานๆ ทีจะกลับไปเยี่ยมบ้านเกิดจนกลายเป็นว่าที่บ้านคือสถานที่แปลกตาแต่ก็อยากจัดให้ได้ ถ้าคิดแบบนี้ไม่ต้องรออะไร ยกโทรศัพท์ขึ้นมาค้นหาเวดดิ้งแพลนเนอร์ได้เลย จะเป็นแพลนเนอร์ท้องถิ่นหรือในเมืองกรุงได้หมด เพราะคุณคงต้องใช้แล้วล่ะ

5. ครอบครัวและทุกคนรอบตัวขอมีส่วนร่วม
เมื่อคนรอบตัวรู้ว่าคุณจะแต่งงานก็ล้วนหยิบยื่นความช่วยเหลือให้สารพัด แต่ที่หนักสุดแถมปฎิเสธยากคือคนในครอบครัว ซึ่งถ้าคุณรู้ว่าบ้านตัวเองมีความเยอะจนสามารถก่อให้เกิดสงครามย่อยๆ ได้ละก็ ให้เวดดิ้งแพลนเนอร์มาเป็นคนช่วยสงบศึกดีกว่านะ

6. ใช้ชีวิตสุดชิล
เป็นประเภทผลัดวันประกันพรุ่ง แต่ไม่ใช่ว่าไม่อยากแต่งนะคะ แค่มันเป็นนิสัยของคุณไปแล้วที่อะไรๆ ก็เดี๋ยวก่อนๆ เพราะฉะนั้นก็ยอมรับตัวเองแล้วหามือขวามาช่วยซะดีๆ

7. อย่ามาเยอะได้ไหม
ถ้าคุณเป็นคู่รักประเภทอะไรก็ได้ ชอบความสบายๆ ประมาณสายแมนคุยกัน แถมยังขี้รำคาญและเบื่อเรื่องจุกจิกสุดๆ แต่จำต้องมาจัดงานแต่งงานที่ลงรายละเอียด ซึ่งคุณแน่ใจว่าไม่พร้อมจะรับมือกับความเยอะทั้งหลายนั้นแน่ๆ ก็ไม่ต้องคิดอะไรมาก ใช้ชีวิตของคุณต่อไปแล้วให้เวดดิ้งแพลนเนอร์มาสางความเยอะแทน

8. เพื่อนเยอะ คนรู้จักแยะ
เป็นประเภทเซเลปหรือคู่รักสายสังคม ที่แค่นึกถึงปาร์ตี้สละโสดก็มีแขกปาไปไม่ต่ำกว่า 300 คนแน่ๆ แล้วงานแต่งละจะจัดงานช้างขนาดไหน ซึ่งแน่นอนว่างานใหญ่ปานนั้นพึ่งเวดดิ้งแพลนเนอร์เป็นคนช่วยจัดการแขกเหรื่อดีกว่าไหมอ่ะ

9. งานแต่งของฉันต้องเว่อว์วังทอร์คออฟเดอะทาวน์
ต่อเนื่องจากข้อที่แล้วอีกนิด ถ้างานของคุณจะใหญ่โตขนาดนั้นละก็ การตกแต่งต้องไม่ธรรมดา และถ้าคุณมีความคิดว่างานที่ว่าต้องเว่อร์วังอลังกาลคนเข้างานมาต้องร้องว้าวๆๆๆ แต่คุณไม่มีทีมงานเจ๋งๆ ดูแลเองละก็ ไม่ต้องลังเลแล้วค่ะ เวดดิ้งแพลนเนอร์รอรับงานจากคุณอยู่

10. สะดวก สบาย พร้อมจ่ายและทุ่มไม่อั้น
ถ้าคู่ของคุณเป็นคู่ที่มีคุณสมบัติ 4 คำที่ว่านี้ ไม่ต้องคิดอะไรแล้วค่ะ เพราะการใช้เวดดิ้งแพลนเนอร์จะนำมาซึ่งความสะดวกในการติดต่อประสานงานกับฝ่ายต่างๆ (เพราะนั่นคืออาชีพของเขานี่นา) คุณจะได้รับความสบายเพราะมีเวดดิ้งแพลนเนอร์ช่วยจัดงานให้ทั้งหมด ตัวคุณน่ะเหรอ แค่ชี้นิ้วและเปิดปากบอกในสิ่งที่ต้องการกับจ่ายเงินค่ะ

และสุดท้ายยิ่งคุณพร้อมจ่าย ทุ่มไม่อั้น ประมาณว่างบประมาณเท่าไหร่ว่ากันไป ไม่ได้เดือดร้อนเรื่องเงินๆ ทองๆ ละก็ ใช้เถอะค่ะ เวดดิ้งแพลนเนอร์คือคำตอบที่คุณไม่ต้องลังเลอีกต่อไป

ดูไอเดียงานแต่งงานและคำแนะนำดีๆ เพิ่มเติม คลิกเลย!

ภาพเปิด : www.ourweddingideas.com a

4 ข้อมูลเบื้องต้นที่บ่าวสาวควรทราบหากจะเสิร์ฟไวน์ในงานแต่ง

เมื่อพูดถึงการเฉลิมฉลอง หรือช่วงปาร์ตี้ของงานแต่งงานในปัจจุบัน หลายคู่รักมักนิยมใช้ ไวน์ในงานแต่ง ซึ่งการใช้ไวน์เป็นเครื่องดื่มภายในงานนั้นสามารถช่วยสร้างความประทับใจให้กับแขกที่มาร่วมงานได้เป็นอย่างดี ด้วยภาพลักษณ์ของไวน์ที่ดูหรูหราและมีรสนิยม วันนี้ แพรว wedding จึงรวบรวม 4 คำแนะนำดีๆ ที่รับรองว่ามีประโยชน์สำหรับการตัดสินใจเลือกใช้ไวน์สำหรับงานฉลองของคุณอย่างแน่นอนค่ะ

 

การเลือกชนิดของไวน์

เราจะพูดถึงไวน์แดงและไวน์ขาวซึ่งเป็นชนิดที่ได้รับความนิยมมากที่สุดกันเป็นหลักนะคะ ไวน์แดงและไวน์ขาวนั้นทั้งสีและรสชาติจะแตกต่างกันไปตามธรรมชาติของวัตถุดิบอยุ่แล้ว ไวน์แดงจะมีสีตั้งแต่สีแดงอ่อน ๆ จนถึงสีม่วงเข้ม ขึ้นอยู่กับประเภทขององุ่น ไวน์แดง นิยมรับประทานกับเนื้อสัตว์ที่มีกลิ่นค่อนข้างแรงถึงจะเข้ากัน

ส่วนไวน์ขาวนั้นจะมีระดับสีที่ต่างกันตั้งแต่สีเหลืองซีดจนถึงสีเหลืองทองสดใส รสชาติอ่อน และกลิ่นน้อย จึงนิยมดื่มกับอาหารที่มีกลิ่นไม่มาก เช่น ปลา อาหารทะเล เนื้อที่มีสีขาว หรืออาหารเรียกน้ำย่อย

ช่วงเวลา

ช่วงเวลาที่เหมาะสมกับการดื่มไวน์มากที่สุด จะมี 2 ช่วง ช่วงเช้าจะอยู่ระหว่าง 10.00-12.00 น. และช่วงบ่ายจะอยู่ระหว่างเวลา 16.00-18.00 น. ในช่วงเวลานี้ เป็นช่วงเวลาที่คนดื่มจะรู้สึกหิวเล็กน้อย ความรู้สึกนี้จะช่วยการชิมไวน์มีประสิทธิภาพที่สุด เพราะประสาททุกส่วนในการรับรู้ กลิ่น รสและสี ทำงานได้เต็มที่

ไวน์ในงานแต่ง

ราคาและปริมาณ

การเลือกซื้อไวน์ที่จะนำมาใช้เป็นเครื่องดื่มภายในงานขึ้นอยู่กับจำนวนแขกและกำลังทรัพย์ของเจ้าภาพเอง โดยราคาไวน์ที่นิยมใช้กันทั่วไปและไม่โหดร้ายต่อกระเป๋าสตางค์มากนักจะอยู่ที่ประมาณ 400 – 1,200 บาทต่อขวด ซึ่งไวน์ 1 ขวด สามารถรินได้ประมาณ 6-8 แก้ว ลองคำนวณดูดีๆจะได้ไม่ขาดไม่เกินนะคะ

การเลือกร้านที่จัดจำหน่ายไวน์

บ่าวสาวควรดูความน่าเชื่อถือของร้านนั้นๆ และไม่ควรเลือกซื้อไวน์ที่มีราคาถูกมากเกินไปของราคาตลาดซึ่งมีความเสี่ยงที่จะได้ของที่ไม่มีคุณภาพหรือของปลอม และไม่ควรซื้อไวน์ที่ไม่ได้เสียภาษีอย่างถูกต้องซึ่งผลที่จะตามมาคือมีความผิดทางกฎหมายได้นะคะ

ดูไอเดียงานแต่งงานและคำแนะนำเพิ่มเติม คลิกเลย!

cr : wine-now.asia, cranville-live.storage.googleapis.com, blovedblog.com a

T95 STUDIO ช่างภาพพรีเวดดิ้งที่มีสไตล์การจัดแสงและสร้างฟีลลิ่งที่เป็นธรรมชาติ พร้อมควบตำแหน่งสไตลิสต์ด้วย

ภาพถ่ายพรีเวดดิ้งแนว Portrait กำลังได้รับความนิยมจากบ่าวสาวมากขึ้น ด้วยสไตล์การถ่ายภาพในสตูดิโอที่เน้นความเรียบง่ายแต่ออกมาดูดี มีจุดเด่นอยู่ที่อารมณ์ของบ่าวสาวที่เป็นธรรมชาติ จีงเป็นภาพถ่ายที่ได้ลุคเรียบหรูดูแพง ซึ่งคุณต้น T95 STUDIO คือช่างภาพที่มีชื่อติดท็อปลิสต์อยู่เสมอ ที่นอกจากจะมีดีเรื่องฝีมือการถ่ายภาพแล้ว ยังมีจุดเด่นด้านการบริการที่ดูแลใส่ใจบ่าวสาวเหมือนเพื่อนคนหนึ่ง งานนี้แพรวเวดดิ้งเลยมีบ่าวสาวตัวจริงที่เคยใช้บริการกับคุณต้น T95 STUDIO มายืนยันถึงฝีมือการถ่ายภาพพร้อมการบริการที่ทำให้บ่าวสาวประทับใจตั้งแต่วันแรกจนถึงวันนี้

คุณไอซ์ & คุณยศ บ่าวสาวที่ผิดหวังจากการถ่ายภาพพรีเวดดิ้งครั้งแรกเพราะภาพที่ได้ไม่เหมือนที่ต้องการ จนได้มาเจอกับคุณต้น T95 STUDIO จึงตัดสินใจลงทุนถ่ายภาพพรีเวดดิ้งใหม่อีกรอบ

“เราทั้งคู่คิดกันอยู่นานเป็นเดือนว่าจะถ่ายพรีเวดดิ้งใหม่อีกรอบดีไหมเพราะเราเสียเงินไปกับรอบที่แล้วค่อนข้างเยอะ จนเมื่อตกลงกันว่าจะถ่ายใหม่ก็เริ่มหาช่างภาพที่มีสไตล์การถ่ายภาพพรีเวดดิ้งในสตูดิโอแบบเรียบๆ อย่างที่เราต้องการ จนไปเจอท็อปลิสต์ช่างภาพแนวนี้ประมาณ 5-6 เจ้า ซึ่งคุณต้น T95 STUDIO เป็นหนึ่งในนั้น แต่ด้วยความกังวลกลัวว่าจะพลาดเหมือนครั้งที่แล้วอีก รอบนี้เราเลยใช้เวลาค่อนข้างนานมากในการตัดสินใจว่าจะเลือกใช้เจ้าไหนดี”

“ซึ่งเจ้าที่เราสนใจที่สุดคือ คุณต้น T95 STUDIO เพราะตรงกับสไตล์ภาพพรีเวดดิ้งที่เราอยากได้ ชอบแสงและการจัดไฟที่ดูเป็นธรรมชาติ แต่ก็ใช้เวลาคุยกับคุณต้นนานอยู่เป็นเดือนกว่าที่จะตอบตกลงซึ่งคุณต้นก็ให้คำแนะนำกับเราอย่างดี คอยซักถามพูดคุยส่งภาพเรฟเฟอเรนซ์มาให้ดูตลอด ตอบทุกคำถามที่เรากังวล จนทำให้เราเกิดความเชื่อมั่นในตัวเขา”

“ที่สำคัญคุณต้น T95 STUDIO มีความใส่ใจเรามากกว่าเจ้าอื่นๆ เวลาถามหรือต้องการอะไรเขาจะตอบกลับในสิ่งที่เราต้องการทันที พร้อมมีภาพประกอบให้เห็น ต่างกับเจ้าอื่นที่รอคำตอบค่อนข้างนาน พอได้คุยกันเยอะขึ้นความมั่นใจที่จะเลือกใช้เขาก็มากขึ้นด้วย จนรู้สึกว่าคนนี้แหละที่น่าจะดูแลเราได้”

“นอกจากนี้คุณต้นยังดูแลเรื่องเสื้อผ้าด้วยว่าต้องเลือกเสื้อผ้าแบบไหนถึงจะเข้ากัน ส่งภาพชุดมาให้ดูว่าต้องเป็นประมาณนี้นะถึงจะออกมาสวย แนะนำไปจนถึงเรื่องแต่งหน้าทำผมด้วยว่าต้องทำยังไง ทำให้เรายิ่งรับรู้ถึงความเอาใจใส่และความตั้งใจของเขามากๆ”

“จนมาถึงวันถ่ายจริงเราก็ยังมีความกังวลอยู่ แต่พอถ่ายไปได้ประมาณ 2-3 รูปก็โล่งใจ รู้เลยว่าไม่ต้องกังวลอะไรแล้ว สามารถโพสท่าในแบบของเราได้เต็มที่ เพราะภาพที่เห็นในจอคือดีมาก ตรงตามที่อยากได้ทุกอย่าง ที่สำคัญได้เห็นถึงความใส่ใจในการทำงานของคุณต้นที่คอยบอกว่าต้องโพสท่าไหนถึงจะดูดี จนเราแทบไม่ต้องคิดหรือกังวลเรื่องโพสท่าเลย ยิ่งพอได้เห็นภาพตัวเองในจอทุกภาพก็เริ่มมีความเชื่อมั่นมากขึ้นเรื่อยๆ จากตอนแรกที่กังวลมากแต่พอได้เห็นรูปเซตแรกทั้งหมดก็มั่นใจเลยว่ารูปต้องออกมาดีแน่นอน เพราะภาพที่เห็นคือสวยในระดับที่สามารถนำไปใช้ได้เลยโดยที่ยังไม่ต้องแต่งภาพเลยด้วยซ้ำ”

“เราทั้งคู่รู้สึกขอบคุณคุณต้น T95 STUDIO มากๆ เพราะก่อนหน้านี้เราเครียดกันอยู่หลายเดือนว่าจะถ่ายพรีเวดดิ้งใหม่ดีไหม จนได้มาเจอคุณต้น ตอนแรกก็ยอมรับว่ายังมีความกังวลอยู่ แต่พอได้เห็นภาพตัวเองก็ลดความกดดันและความกังวลทั้งหมดไปได้ รู้สึกว่าเราเลือกไม่ผิดจริงๆ ที่มาถ่ายพรีเวดดิ้งกับเขา ยิ่งพอได้มาทราบทีหลังว่าคุณต้นรับถ่ายภาพวันแต่งงานด้วยก็เสียดายมาก เพราะเราจองแพ็คเกจถ่ายภาพวันแต่งงานไปแล้ว ถ้าเป็นไปได้ก็อยากที่จะใช้คุณต้นในวันแต่งงานด้วย”

คุณอีฟ & คุณก้อง บ่าวสาวที่ประทับใจทั้งในฝีมือการถ่ายภาพและการบริการที่มีความเอาใจใส่ตั้งแต่วันแรกที่คุยกัน จึงตัดสินใจเลือกคุณต้น T95 STUDIO ให้ถ่ายทั้งภาพพรีเวดดิ้ง และเป็นช่างภาพในวันแต่งงานของทั้งคู่ด้วย

“เราอยากได้ภาพพรีเวดดิ้งสไตล์มินิมอลที่ถ่ายในสตูดิโอ และอยากใส่ชุดที่ดูเป็นสไตล์ตัวเองมากกว่า เลยเริ่มหาว่ามีช่างภาพเจ้าไหนที่มีสไตล์การถ่ายภาพแบบที่เราต้องการบ้าง จนไปเจอเว็บไซต์ที่เขาจัดอันดับช่างภาพแนวนี้เอาไว้จึงได้รู้จักกับคุณต้น T95 Studio ซึ่งภาพถ่ายของเขาตรงกับสไตล์ที่เราชอบพอดี”

“เหตุผลที่เราตัดสินใจเลือกคุณต้น T95 STUDIO เพราะเขาค่อนข้างต่างจากเจ้าอื่นๆ ในเรื่องของความใส่ใจ คอยสอบถามความต้องการของเราตลอดทั้งๆ ที่เรายังไม่ได้เลือกเขาด้วยซ้ำ ที่สำคัญเขาตอบคำถามเราทันทีที่ถามไป ติดต่อได้ตลอดไม่ว่าจะตอนไหน เนื่องจากอีฟทำงานเป็นแอร์โฮสเตสตารางการทำงานจึงไม่เป็นเวลาเหมือนคนอื่น บางทีเราว่างตอนตี 1 ตี 2 ลองทักไปแต่เขาก็ยังตอบ เลยรู้สึกว่าช่างภาพคนนี้ใส่ใจเราดีจัง น่าจะดูแลเราได้ดี ที่สำคัญเขาอนุญาตให้นำแมวไปถ่ายภาพได้ด้วย ซึ่งส่วนใหญ่สตูดิโอจะไม่ค่อยอนุญาตให้นำสัตว์เลี้ยงเข้าไป เราก็เลยไม่เสียเวลาไปหาที่อื่นแล้ว”

“ก่อนถึงวันถ่ายคุณต้นยังดูแลเรื่องชุดด้วยว่าต้องเตรียมชุดแบบไหนไปถ่าย พร้อมบอกร้านและพิกัดให้เราไปหาได้อย่างสะดวก ซึ่งวันที่เราไปเลือกซื้อชุดคุณต้นก็คุยกับเราตลอดเวลาเหมือนมาด้วยกัน ไลน์คุยกันตลอด ส่งรูปให้ดูว่าชุดนี้โอเคไหม คุยกันตั้งแต่เริ่มหาจนได้ชุดที่ต้องการเรียบร้อย”

“ในวันถ่ายจริงตอนแรกก็กังวลเพราะโพสท่าไม่เป็นเลยโดยเฉพาะเจ้าบ่าว แต่คุณต้นก็ช่วยดูแลเรื่องโพสให้ว่าต้องทำแบบไหน มีภาพเรฟเฟอเรนซ์ให้ดู ตอนแรกเจ้าบ่าวเกร็งมาก แต่คุณต้นก็สร้างบรรยากาศการถ่ายให้มีความผ่อนคลาย พยายามชวนคุย ปล่อยมุก จนทั้งเราทั้งเจ้าบ่าวเริ่มยิ้มเริ่มขำ ช่วยลดความเกร็งไปได้เยอะ ซึ่งปกติแล้วเจ้าบ่าวไม่ค่อยพูดกับใครแต่คุณต้นก็สามารถละลายพฤติกรรมตรงนั้นได้ ทำให้เราทั้งคู่รู้สึกเหมือนอยู่กับเพื่อน กล้าที่จะยิ้มกล้าที่จะหัวเราะ ทำให้ได้ภาพที่ดูเป็นธรรมชาติมากๆ”

“ตอนที่เห็นภาพตัวเองในจอก็คิดตรงกันว่านี่แหละคือภาพพรีเวดดิ้งที่เราต้องการ ขนาดเห็นภาพที่ยังไม่ได้รีทัชก็ชอบแล้ว ยิ่งพอได้เห็นภาพที่รีทัชแล้วยิ่งชอบมากขึ้นไปอีก”

“หลังถ่ายเสร็จได้รู้ว่าคุณต้นรับถ่ายภาพวันแต่งงานด้วย แต่ตอนนั้นเรามีช่างภาพวันงานที่จองไว้แล้ว แต่สุดท้ายเราก็ตัดสินใจยอมควักกระเป๋าเลือกใช้คุณต้นเป็นช่างภาพในวันแต่งงานเพิ่มทั้งงานเช้าและงานเย็น รวมถึงให้คุณต้นดูแลเรื่องวิดีโอภาพรวมงานทั้งหมดด้วย เหตุผลที่ยอมจ่ายเงินเพิ่มเพราะเรารู้สึกว่าคุณต้นเขารู้แล้วว่าเราชอบหรือไม่ชอบอะไร รู้ใจเราเหมือนเป็นเพื่อนกันไปแล้ว รู้มุมหน้าที่ถ่ายออกมาแล้วเราจะดูดี”

“เราประทับใจคุณต้นตั้งแต่วันแรกที่ได้คุยกัน เห็นถึงความใส่ใจและความพยายามให้คำแนะนำต่างๆ กับเราเหมือนเพื่อนคนหนึ่ง ขนาดวันนี้งานแต่งงานของเราผ่านไปแล้วคุณต้นก็ยังคอยถามตลอดว่าอยากจะแก้ไขอะไรในวิดีโออีกไหม ทำให้เรารับรู้ได้ถึงความใส่ใจในบริการที่เขามีต่อลูกค้าอย่างแท้จริง”

คุณต้น หรือ T95 STUDIO ช่างภาพสายแฟชั่นที่มีสไตล์การจัดแสง
และสร้างฟีลลิ่งที่เป็นธรรมชาติ พร้อมควบตำแหน่งสไตลิสต์

และนี่คือความประทับใจของบ่าวสาวที่ได้ใช้บริการกับคุณต้น T95 STUDIO ซึ่งนอกจากการถ่ายภาพพรีเวดดิ้งแล้ว คุณต้น T95 STUDIO ยังมีทีมภาพนิ่งและทีมวิดีโอสำหรับวันงาน รวมถึงบริการถ่ายทำวิดีโอพรีเซนเทชั่นในวันถ่ายพรีเวดดิ้งด้วย ที่สำคัญยังมีบริการชุดแต่งงานทั้งเจ้าบ่าวและเจ้าสาวหลากไซส์หลายแบบให้เลือก ไม่ว่าจะเป็น ชุดแต่งงานสไตล์เจ้าหญิงพองฟู ชุดแต่งงานสไตล์มินิมอล หรือชุดแต่งงานแนวลูกไม้ รวมไปถึงยังดูแลเรื่องชุดอื่นๆ ที่บ่าวสาวจะเลือกมาถ่ายพรีเวดดิ้งให้ด้วย

สำหรับว่าที่บ่าวสาวคู่ไหนที่กำลังมองหาช่างภาพสไตล์ Portrait แบบนี้อยู่และอยากได้รับประสบการณ์ดีๆ เหมือนบ่าวสาวสองคู่ด้านบนลองเข้าไปดูผลงานคุณต้น T95 STUDIO ได้ที่  Facebook Fanpage: T95studio หรือเว็บไซต์ www.t95studio.com หรือจะโทร. ไปสอบถามได้ที่เบอร์ 081-306-5383 หรือไลน์ : tonzaabkk (ตรวจสอบความถูกต้องก่อนพิมพ์กันให้ดีนะจ๊ะ) และอีเมล [email protected] ซึ่งจริงๆ แล้วคุณต้น T95 STUDIO สามารถถ่ายภาพได้หลากหลายแนวมากๆ พิสูจน์ได้จากผลงานภาพถ่ายของบ่าวสาวด้านล่างนี้กันได้เลย

เคล็ดลับการจัดดอกไม้งานแต่ง ไม่ว่าจะห้องเล็กห้องใหญ่ก็สวยเพอร์เฟกต์

ไม่ว่าห้องจัดเลี้ยงจะมีขนาดเท่าไหร่ งานแต่งก็สวยได้กับทริคการ จัดดอกไม้งานแต่ง ที่เรานำมาฝาก

การ จัดดอกไม้งานแต่ง นั้นสิ่งแรกที่บ่าวสาวควรคำนึงถึงในการตกแต่งดอกไม้ภายในห้องจัดเลี้ยงก็คือ ขนาดของห้องที่มีความแตกต่างกัน เช่น ห้องเล็ก ห้องใหญ่ หรือนอกอาคาร เพราะขนาดห้องของแต่ละสถานที่ไม่สามารถใช้ดอกไม้ที่มีขนาดเท่ากันหรือตกแต่งห้องด้วยดอกไม้ในรูปแบบเดียวกันได้

ห้องขนาดเล็กเป็นห้องแคบ มีพื้นที่น้อยควรหลีกเลี่ยงการวางสิ่งต่างๆ ไว้บนพื้น ควรตกแต่งดอกไม้โดยการแขวนจะดีกว่า และไม่ควรใช้ดอกไม้ที่มีขนาดใหญ่ เพราะจะทำให้ห้องมีขนาดเล็กลง
ห้องขนาดใหญ่ ควรใช้ดอกไม้ที่มีขนาดใหญ่กว่าดอกไม้ที่ใช้ตกแต่งในห้องขนาดเล็ก หรือจะใช้ดอกไม้ที่มีขนาดแตกต่างกันมาประดับก็ได้เพื่อให้แขกผู้มาร่วมงานสามารถมองเห็นความสวยงามของการตกแต่งดอกไม้ได้อย่างชัดเจน ถ้าคู่บ่าวสาวมีงบประมาณจำกัด ควรจัดดอกไม้แบบกระจาย เพื่อเวลาถ่ายภาพออกมาจะทำให้รู้สึกว่ามีดอกไม้มากมายอยู่รายรอบ
องค์ประกอบอื่นที่ควรคำนึงถึง เช่น ความสูงต่ำของเพดาน สีหรือพื้นห้องเป็นวัสดุใด ลวดลายในห้องเป็นแบบไหน
การจัดงานแต่งงานแบบเอ้าท์ดอร์ ควรเลือกการตกแต่งดอกไม้แบบมีจุดโฟกัสและต้องมีการดูแลดอกไม้ที่ใช้ภายในงานมากเป็นพิเศษ เพราะเป็นสถานที่ที่อยู่กลางแจ้ง จึงควรคำนึงถึงแดด ลม และฝน

จัดดอกไม้งานแต่ง
@acv2/ mariana acevedo

เลือกสีสันดอกไม้ให้เข้ากับห้องจัดเลี้ยง

ศึกษาการเลือกโทนสีดอกไม้ที่จะใช้ในงานแต่งงานเสียก่อน เช่น ถ้าตกแต่งด้วยดอกไม้ที่มีโทนสีออกแนวอ่อนหวาน ภาพของงานจะออกมาในแบบที่ดูอ่อนหวาน ส่งผลให้อารมณ์ของคู่บ่าวสาวมีความชื่นมื่นและอบอวลไปด้วยความสุข
สีของดอกไม้ควรเป็นสีที่คู่บ่าวสาวชอบหรือใช้โทนสีของดอกไม้ที่หาได้ง่ายเพื่อความสะดวกในการซื้อ หรืออาจเป็นสีที่มาจากคอนเซปต์ของงานก็ได้
สถานที่จัดงานแต่งงานเป็นส่วนสำคัญ เช่น ถ้าจัดงานแต่งงานเอ้าท์ดอร์ ดอกไม้ที่ใช้ตกแต่งควรเน้นสีอ่อนๆ และเพิ่มระบบแสงให้มากขึ้น
ถ้าเป็นการจัดงานริมทะเล คอนเซปต์จะเน้นบรรยากาศสบายๆ ริมชายหาด ฟรีสไตล์ไม่ต้องใส่รองเท้า การจัดดอกไม้ควรร้อยเป็นเส้นสายให้ดูสบายๆ ประดับเปลือกหอยและมีเทียนใส่ในโถแก้ว วางเป็นจุดสลับกับพร้อพส์ที่เป็นดอกไม้และเปลือกหอย ปะการัง เม็ดทราย ดอกไม้ควรเน้นที่เป็นสีขาวและสีฟ้า เช่น ดอกคาร์เนชั่น ดอกกุหลาบ ดอกลิลี่ ดอกไฮเดรนเยีย เพื่อให้ลิงค์กับผืนฟ้า ท้องทะเล
ถ้าธีมของงานเป็นแฟนตาซีแนวคัลเลอร์ฟูลดูสนุกสนาน สีของดอกไม้ควรเน้นสีสดๆ เช่น สีส้ม สีแดง ประดับด้วยริบบิ้นหลากหลายสี และอาจใช้คริสตัลต่างๆ ร้อยเป็นเส้นล้อกับดอกไม้ เวลาโดนแสงไฟจะสวยงามมากขึ้น

@kellysikkema

เทคนิคการเลือกดอกไม้
ควรเลือกดอกไม้ตามฤดูกาลและดอกไม้ที่ปลูกในประเทศไทย
เพราะจะได้ดอกไม้ที่สดใหม่ตลอดเวลา เหมาะกับสภาพอากาศของประเทศไทย และประหยัดงบประมาณ
ดอกไม้ที่มีราคาแพงที่สุดคือดอกไม้นำเข้าจากนิวซีแลนด์ เช่น คาลล่า (Calla) โพรเทีย (Protea) และดอกไม้แปลกๆ มักจะเป็นดอกไม้แอฟริกัน สีสันสวยคลาสสิค ไม่สามารถพบเห็นได้ทั่วไปตามร้านดอกไม้ ต้องสั่งนำเข้าเท่านั้น หรือประเภทกล้วยไม้ฟาแลนอปซิส (Phalaenopsis) ที่มีราคาแพงเพราะปีหนึ่งจะเก็บดอกได้ไม่กี่ครั้ง

ข้อมูลที่บ่าวสาวควรบอกกับทีมจัดดอกไม้

– คอนเซปต์ ธีมงานทั้งหมดว่าเป็นแบบไหน
– คู่บ่าวสาวควรบอกไอเดียต่างๆ ที่ต้องการจัดและดอกไม้ที่ต้องการใช้ล่วงหน้า เพื่อความสะดวกในการจัดหาว่าดอกไม้ที่เลือกไว้มีตามฤดูกาลหรือเปล่า ถ้าหายากควรจะปรับเปลี่ยนเป็นดอกไม้อย่างอื่นแทน
– งบประมาณใช้จ่ายของการตกแต่งดอกไม้ในงานและระยะเวลาในการทำงานของทีมงาน
– มุมหรือจุดต่างๆ ของสถานที่จัดเลี้ยงที่อยากให้จัดดอกไม้

@shardayyy

ข้อควรระวังของการตกแต่งดอกไม้ในงานแต่งงาน

– ไม่ควรจัดเต็มทั้งงาน เพราะจะทำให้งานดูแคบ ควรจัดในปริมาณที่ไม่ต้องมากนัก แต่เน้นให้กระจายในหลายๆ จุด จะช่วยสร้างความต่อเนื่องและให้อารมณ์ในการมองได้มากกว่า
– การตกแต่งดอกไม้ในห้องจัดเลี้ยง ควรหลีกเลี่ยงการใช้ดอกไม้ที่ส่งกลิ่นรุนแรง เพราะกลิ่นของดอกไม้จะไปผสมกับกลิ่นของอาหารทำให้บรรยากาศภายในงานไม่ดี

รู้เคล็ดลับการจัดดอกไม้ให้เหมาะกับห้องจัดเลี้ยงไปแล้ว ก็มาเลือก 10 ดอกไม้งานแต่งความหมายดีๆ ช่วยเสริมรักนี้ให้ยาวนาน กันต่อเลย

ภาพ unsplash.com

คนรับขันหมาก คือใครแล้วต้องทำหน้าที่อะไรบ้างไปส่องกัน

นงานแต่งงานตามประเพณีไทยคนมักจะให้ความสำคัญกับขบวนแห่หมากจนหลงลืมอีกหนึ่งหน้าที่ ที่สำคัญไม่แพ้ใครนั่นก็คือ คนรับขันหมาก เขาเป็นใคร ทำอะไร วันนี้เรามีคำตอบจากคุณบ๊อบบี้ จาก Jirayu The Wedding Planner  มาให้แล้วค่ะ

“คนรับขันหมาก”  มีด้วยกัน 2 กลุ่มนะคะ กลุ่มแรกรับบนเวที และกลุ่มที่ 2 โดยมากมักจะอยู่ข้างเวที เรามาดูหน้าที่ของกลุ่มแรกกันก่อนดีกว่าค่ะ คนรับขันหมากบนเวที ส่วนใหญ่แล้วจะเป็นพ่อแม่หรือญาติผู้ใหญ่ของฝ่ายเจ้าสาว  นิยมเตรียมกันมา 1 คู่ ส่วนหน้าที่ก็ไม่มีอะไรมากมาย แค่รับพานแหวนหมั้น พานสินสอดทรัพย์สินมีค่าทั้งหลายที่ขึ้นมาบนเวทีนำมาวางลงบนโต๊ะที่จัดเตรียมไว้ แต่ขั้นตอนนี้ต้องระวังนะคะ ห้ามส่งต่อให้ใครเด็ดขาด เพราะถือเรื่องโชคลางกันว่าจะได้ไม่มีมือที่สามสี่ห้าในชีวิตคู่

ส่วนกลุ่มรับขันหมากหน่วยที่ 2 ที่บอกให้สแตนด์บายข้างเวที ส่วนใหญ่จะเป็นญาติผู้น้องของเจ้าสาวหรือเพื่อนเจ้าสาวค่ะ  จะคอยรับขันหมากที่ไม่ได้ขึ้นไปแสดงตัวบนเวที และคนรับขันหมากตรงนี้นอกจากจะรับขันหมากมาวางที่โต๊ะข้างเวทีแล้ว ยังมีอีกหนึ่งหน้าที่ก็คือถือซองเงินมอบให้กับขบวนขันหมาก ถือเป็นสินน้ำใจตอบแทนเล็กๆ น้อยๆ ด้วย

เนี่ยแหล่ะคะ “คนรับขันหมาก” ก็มีหน้าที่รับขันหมากตามชื่อเลยเนอะ และเป็นคนละคนกับ คนเชิญขันหมาก นะคะ ในเมื่อรู้หน้าที่ที่สำคัญนี้แล้วว่าใครจะทำ ก็มาเช็กการ จัดพานขันหมากให้ถูกหลักตามตำรับไทยแท้ กันต่อเลย

ขอบคุณข้อมูลจาก Jirayu The Wedding Planner  โทร. 08-6998-9339

5 ทริคเลือกและตัดสินใจเรื่องชุดเพื่อนเจ้าสาวยังไงให้มีความสุข

เจ้าสาวที่ต้องตัดสินใจเรื่องชุดแต่งงานว่ายากแล้ว แก๊งเพื่อนเจ้าสาวที่ต้องเลือกชุดสวยแบบยกแก๊งในวันงานนั้นกลับยากกว่า ซึ่งความยากกว่าในที่นี่หมายถึง ความคิดเห็นที่หลากหลายและความชอบที่มากมายของทุกคนในกลุ่ม แพรว wedding เลยขอทำหน้าที่มาห้ามทัพความคิดที่แตกแยกในครั้งนี้ด้วย 5 ทริคเลือก ชุดเพื่อนเจ้าสาว ให้ได้ดั่งใจและมีความสุขแบบยกแก๊งมาฝาก

 

คิดก่อนว่าต้องการอะไร

ส่วนมากชุดเพื่อนเจ้าสาวมักจะแมตช์กัน ถ้าไม่สไตล์เดียวกันก็จะมีสีที่เหมือนๆ กันเป็นส่วนใหญ่ แต่อย่าลืมนะคะว่าแต่ละคนมีรูปร่าง สรีระ สีผิว และความมั่นใจที่แตกต่างกันออกไป เพราะฉะนั้นเพื่อความยืดหยุ่นและสบายใจของแต่ละคนในการที่จะอยู่ในชุดเพื่อนเจ้าสาวตลอดทั้งคืนนั้น จะดีกว่าไหมหากให้แต่ละคนมีโอกาสได้สวมชุดในสไตล์หรือเฉดสีที่ตัวเองชื่นชอบ อย่างเช่น หากทุกคนในกลุ่มมีสีผิวที่ไม่ทิ้งห่างกัน ก็อาจจะเลือกชุดสีเหมือนกันแต่คนละแบบ หรือถ้าหากในกลุ่มมีสิวผิวที่ต่างกันเยอะ ก็อาจจะเลือกใส่ให้ต่างเฉดสีเข้มอ่อนคละกันไปเพื่อให้เข้ากับสีผิวของแต่ละคนเป็นต้น เพราะฉะนั้นก่อนที่สาวๆ จะออกไปหาซื้อผ้าหรือไปเลือกช้อปชุดตามร้านต่างๆ การแชร์ความคิดเห็น หาสไตล์ และแนวทางที่ลงตัวในกลุ่มจึงเป็นเรื่องที่สำคัญที่สุด

ชุดเพื่อนเจ้าสาว

หาแนวทางได้แล้วก็อย่าลืมหาแบบไว้ในใจ

ปัจจุบันชุดเพื่อนเจ้าสาวมีให้เลือกมากมายหลากหลายแบบไม่แพ้ชุดเจ้าสาว เพราะฉะนั้นงานนี้สาวๆ ต้องใช้ความพยายามและความรู้สึกในการเลือกรูปแบบของชุดที่ถูกใจมากที่สุดและอยากจะใส่จริงๆ เพราะฉะนั้นขั้นตอนการหาข้อมูลหรือออกตาหาชุดจึงสำคัญ ซึ่งอาจจะแยกย้ายกันไปหาหรือจะยกแก๊งกันไปลองให้ได้เห็นภาพสดๆ กันไปเลยก็ยังได้ จากนั้นก็นำชุดทั้งหมดที่ได้เห็นและได้ลองมาคัดเลือกกันอีกทีว่า ชุดแบบไหนหรือสีใดที่ชนะใจทุกคนในกลุ่มมากที่สุด และช่วงนี้นี่แหละค่ะที่สาวๆ จะได้พูดความในใจและแชร์ความคิดเห็นกันมากที่สุด แล้วอย่าลืมชวนว่าที่เจ้าสาวให้มาช่วยเป็นกรรมการตัดสินเกมในครั้งนี้ด้วยนะคะ ไม่แน่หรอกว่าสุดท้ายแล้วสาวๆ อาจจะต้องพึ่งความคิดเห็นจากเจ้าสาวเป็นหลักก็ได้

เปิดใจเรื่องงบประมาณ

ขั้นตอนนี้ว่าที่เจ้าสาวอาจจะมีเอี่ยวด้วยนิดๆ หากคุณใจดีให้บัดเจ็ตกับเพื่อนๆ ไปจัดการเรื่องชุดเพื่อนเจ้าสาว เช่น ในกรณีตัดชุดใหม่ ว่าที่เจ้าสาวอาจจะช่วยออกค่าผ้าให้ เป็นต้น หรือหากงานนี้เพื่อนเจ้าสาวจะขอรับผิดชอบเองแบบเต็มๆ การพูดคุยเรื่องเงินๆ ทองๆ กันในกลุ่มจึงเป็นเรื่องสำคัญ เพราะฉะนั้นอย่าเหนียมอายที่จะบอกเพื่อนๆ ว่า คุณมีเงินพอจ่ายเท่าไหร่สำหรับชุดเพื่อนเจ้าสาวให้เพื่อนในกลุ่มได้รับทราบ เพื่อที่จะได้ช่วยกันควบคุมงบประมาณให้อยู่ในราคาที่ทุกคนสามารถจ่ายไหว

หาซื้อหรือสั่งตัดล่วงหน้าให้ทันในเวลาที่เหมาะสม

ในกรณีนี้ไม่ว่าคุณจะสั่งชุดสำเร็จรูปจากออนไลน์ หรือสั่งตัดชุดใหม่แบบพิเศษ ก็ล้วนที่จะต้องใช้เวลาในการตัดเย็บ ปรับแก้ และจัดส่งแทบทั้งสิ้น เพราะฉะนั้นการเผื่อเวลาไว้ให้นานสักหน่อยจะเป็นผลดีกับสาวๆ มากที่สุด เพราะเชื่อเถอะว่ากว่าคุณจะมีเวลาตกลงเรื่องแบบ สไตล์ หรือสีกันได้ก็อาจจะใช้เวลาเป็นเดือนๆ แล้ว ทางที่ดีเราขอแนะนำให้มองหาไปพร้อมๆ กับที่ว่าที่เจ้าสาวกำลังมองหาชุดแต่งงานไปเลยนั่นแหละดีที่สุด

นัดหมายการไปลองชุดกับที่ร้าน

เจ้าสาวนั้นมีคนเดียว เวลาไปลองชุดก็ลองแค่คนเดียว แต่เพื่อนเจ้าสาวสิคะ มีกันเป็นแก๊ง บางแก๊งมีกันเป็น 10 ถ้าในหนึ่งวันยกโขยงกันไปสัก 3 แก๊งมีหวังได้ลองชุดกันเป็นวันแน่ เพราะฉะนั้นสาวๆ ควรที่จะนัดหมายกับทางร้านให้เรียบร้อยก่อนที่จะเข้าไปลองชุด พร้อมกับแจ้งจำนวนคนกับทางร้านไว้ด้วยว่าจะเข้าไปทั้งหมดกี่คน เพื่อที่ทางร้านจะได้เผื่อเวลาให้กับสาวๆ ได้ลองชุดกันอย่างสบายใจ และอาจจะแจ้งกับทางร้านไว้ด้วยว่าต้องการชุดแบบไหน สีอะไร และจำนวนเท่าไหร่ เพื่อที่ทางร้านจะได้จัดเตรียมไว้ล่วงหน้าก่อนที่สาวๆ จะเข้าไปลองในวันที่นัดหมาย เผื่อเกิดเหตุการณ์ชุดมีไม่พอหรือไม่มีสีที่ต้องการเพื่อนเจ้าสาวจะได้รีบหาทางแก้ไขได้ทันยังไงล่ะจ๊ะ

สุดท้ายแต่ไม่ท้ายสุด เราอยากให้สาวๆ แค่สนุกไปกับการเลือกชุดก็พอ อย่าไปซีเรียสถึงสไตล์หรือรูปแบบอะไรมากนัก คิดเสียว่ากำลังเลือกชุดไปทริปสนุกๆ กับแก๊งเพื่อนสาว แล้วโฟกัสแค่ว่าคุณจะมีความสุขแค่ไหนในวันแต่งงานของเพื่อนสุดที่รักก็พอ

ดูไอเดียชุดเพื่อนเจ้าสาวและคำแนะนำเพิ่มเติมได้ที่นี่ คลิกเลย!

CR. www.theknot.com, www.pinterest.com

ทาปากตามราศี ทาสีอะไรในวันแต่งงานช่วยเสริมเสน่ห์ เจ้าสาว ให้เลิศไร้ที่ติ!

งานนี้ไม่เชื่ออย่าลบหลู่ เพราะสีเรียวปากของ เจ้าสาว แต่ละราศีมีส่วนช่วยเสริมดวงให้งานแต่งมีแต่เฮงกับเฮง! ราศีเราต้องทาสีไหนมาดูกัน

เรื่องนี้บอกเลยไม่ธรรมดา เพราะทางจิตวิทยานั้นการแต่งหน้าและสีลิปสติกส่งผลต่ออารมณ์ของเรา และอาจจะมีผลต่อการกระทำของเราด้วย! (เค้าถึงบอกว่าวันไหนรู้สึกแย่ให้หยิบลิปสติกสีแดงสดขึ้นมาทาไงล่ะ) เพราะฉะนั้นเราก็เลยอยากมาแนะนำสีลิปสติกเสริมดวงของแต่ละราศีสำหรับวันแต่งงานโดยเฉพาะ งานนี้ทำตามไม่ได้จริงจริ๊งง เราก็เข้าใจนะ (เหตุผลเช่น คุณแม่ไม่ไฟเขียวกับเรียวปากสีแดง เป็นต้น) แต่รู้ไว้ให้อุ่นใจอย่างน้อยก็ดี หรือเก็บไว้ทาในวันอื่นๆที่ไม่ใช่วันแต่งงานก็ยังได้ แล้วสาวราศีไหนคู่กับเรียวปากสีอะไรแล้วดวงจะปังเว่อร์ มาดูกัน

ราศีมังกร: สีแดงไวน์

สาวราศีมังกรผู้มีจิตใจดีและเป็นคนจริงจังกับชีวิต ดาวเสาร์คือดาวประจำราศีของคุณ และสีประจำดาวเสาร์คือสีม่วง ผสมผสานออกมาเป็นสีแดงไวน์หรือแดงอมม่วงเข้มที่จะช่วยขับเอาความเป็นตัวของคุณออกมาค่ะ

เจ้าสาว
Tarte Rain Forest Collection Lipstick สี Miami Vice Red

ราศีกุมภ์:  สีน้ำตาลคาราเมล

สาวราศีกุมภ์สายติสต์เหมาะกับเฉดสีเอิร์ธโทนที่มีลุกเล่นอย่างสีนู้ดน้ำตาลหรือนู้ดคาราเมล และยังเป็นสีของดวงดาวประจำราศีคุณซึ่งก็คือดาวยูเรนัสด้วยค่ะ

เจ้าสาว
Bronx Matte Lip Tint สี MLT10

เหตุไฉนทำไมเจ้าสาวถึงต้องกราบเจ้าบ่าวในวันแต่งงาน? หาคำตอบได้ที่นี่!!

อีกหนึ่งช่วงที่สร้างรอยยิ้มเล็กๆ ได้ในพิธีงานแต่งไทยก็คือ ช่วงที่เจ้าสาวต้องก้ม กราบเจ้าบ่าว บนตักอย่างนอบน้อม (โดยเฉพาะฝ่ายเจ้าบ่าวนั้นออกอาการดีใจกว่าใครในงาน) แล้วเคยสงสัยกันไหมคะว่าทำไมต้องกราบ แพรว wedding เลยไปหาที่มาที่ไปของประเพณีการกราบสามีของไทยมาให้ว่าที่บ่าวสาวทั้งหลายได้รู้กัน ถ้ารู้กันแล้วหลังจากนี้ใครจะกลับไปไหว้สามีก่อนนอนทุกคืนก็ไม่ว่ากันนะจ๊ะ อิอิ

เคยสงสัยไหม ทำไมเจ้าสาวถึงต้อง กราบเจ้าบ่าว ในวันแต่งงาน??

ที่จริงแล้ว การกราบเจ้าบ่าวในวันแต่งงานเป็นความเชื่อที่มีมาแต่โบราณ แน่นอนว่าการกราบสามีก่อนนอนเป็นวัฒนธรรมที่ผู้หญิงไทยทำสืบต่อมาตั้งแต่สมัยก่อน อย่างที่เรารู้กันดีว่า หลังจากที่หญิงสาวออกเย้าออกเรือนไปกับผู้ชายแล้ว หญิงผู้นั้นก็จะต้องอยู่แต่ที่บ้าน เก็บกวาด ดูแลงานบ้านงานเรือนไม่ค่อยได้ออกไปไหน ในขณะที่สามีทำงานนอกบ้านเพื่อหาเลี้ยงและดูแลครอบครัว ดังนั้น การกราบสามีก่อนนอนก็เสมือนเป็นการแสดงความเคารพและการขอบคุณที่เขาเลี้ยงดูให้อยู่สุขสบาย

ในขณะเดียวกัน เมื่อสามีต้องออกไปทำงานนอกบ้านอยู่ทุกวี่วัน ก็เป็นโอกาสที่จะได้พบปะผู้คนมากมาย โดยเฉพาะหญิงสาวหน้าตาสะสวย การกราบสามีจึงถูกยกมาเป็นกุศโลบายใช้มัดใจสามี เพื่อให้สามีคิดว่า การที่ภรรยากราบตนเองถือเป็นการให้เกียรติตนเอง ดังนั้นเมื่ออยู่นอกบ้านจะทำอะไรก็ต้องเกรงใจภรรยาที่บ้านด้วย

อีกหนึ่งความเชื่อที่ทำให้ภรรยาต้องกราบสามีก็คือ คนโบราณเชื่อกันว่า ผู้ชายจะมีของติดตัวมาแต่เกิด หรือบางคนก็สักยันต์ แขวนสิ่งศักดิ์สิทธิ์ติดตัวอยู่เสมอ ดังนั้น ภรรยาจึงควรกราบสามีก่อนนอนเพื่อเป็นการทำความเคารพ ซึ่งถือว่าเป็นการทำความเคารพสิ่งศักดิ์สิทธิ์เหล่านั้นด้วย

กราบเจ้าบ่าว

นอกจากความเชื่อข้างต้นแล้ว การที่ผู้หญิงเราจะกราบสามีก่อนนอนก็มีผลมาจากการปลูกฝังของคนในครอบครัวด้วย ซึ่งผู้หญิงสมัยก่อนจะได้รับการอบรมสั่งสอนจากแม่ ป้า ย่า ยาย ว่าจะต้อง กราบสามีก่อนนอน เพื่อแสดงความเคารพ และจะเป็นการช่วยส่งเสริมให้ชีวิตครอบครัวมีความสุข มีความเจริญรุ่งเรือง

มองกลับมาในยุคสมัยปัจจุบัน ผู้หญิงเราก็ยังคงกราบสามีกันอยู่นะคะ แต่ส่วนใหญ่จะเป็นการกราบแค่ครั้งหรือสองครั้งตอนแต่งงาน (ตอนสวมแหวนและส่งตัวเข้าหอ) เพื่อเป็นการขอฝากเนื้อฝากตัวให้เขาดูแล แต่ในขณะเดียวกันก็ยังมีผู้หญิงบางคนกราบสามีก่อนนอนทุกวัน นั่นก็เพราะอาจจะเป็นความเชื่อ การสั่งสอนจากผู้ใหญ่ หรือบางคนก็บอกว่าเห็นแม่กราบพ่อทุกวันจึงทำตาม ซึ่งก็คงเป็นเรื่องแปลกสำหรับสาวๆ สมัยนี้อยู่มาก เพราะในยุคนี้ปีนี้จะให้มากราบทุกวันก็คงไม่มีใครทำกันแล้ว แต่ก็เอาเถอะค่ะ จะกราบหรือไม่กราบมันก็อยู่ที่การทำตัวของเราและการทำตัวของสามี ถ้าสามีเป็นคนดี ดูแลเราให้อยู่สุขสบาย อยากจะกราบเพื่อแสดงความเคารพหรือขอบคุณเขา ถ้าทำแล้วสบายใจก็ทำเถอะค่ะ

ติดตามเรื่องราวเกี่ยวกับความเชื่อเรื่องงานแต่งงานเพิ่มเติม คลิกเลย!

ภาพเปิดถ่ายโดย Smallmoonphoto

10 วิธีเลือกซื้อแหวนแต่งงานอย่างง่ายที่คู่รักต้องพกไปร้านเพชร

เพราะงานแต่งงานคือวันสำคัญสำหรับคู่รัก และแหวนแต่งงานก็ถือเป็นสัญลักษณ์สำคัญในวันแสนพิเศษนี้ ว่าที่บ่าวสาวจึงไม่ควรพลาดที่จะเลือกแหวนแทนใจให้ดีที่สุด  “คุณมีวิธีเลือกซื้อ แหวนแต่งงาน ยังไง?” จึงเป็นคำถามที่ควรจะใส่ใจ ซึ่งสำหรับใครที่ไม่รู้จะเริ่มต้นตรงไหนดี วันนี้เราเลยมีเคล็ดลับดีๆ มาแนะนำกัน ให้รู้ว่าวิธีเลือกซื้อเพชรนั้น จริงๆ แล้วง่ายกว่าที่คิดมากๆ เลยล่ะค่ะ

1. รูปทรงของเพชร

หลายคนอาจจะมีรูปทรงของเพชรในใจก่อนมาที่ร้านกันอยู่แล้ว อันนี้ไม่มีผิด ไม่มีถูก เราสามารถเลือกทรงเพชรได้ตามความชอบของแต่ละคนได้เลย ส่วนเพชรทรงยอดนิยมที่ทางร้านเพชรแนะนำก็คือ เพชรทรงกลม เนื่องจากเพชรทรงกลมเวลาอยู่บนตัวเรือนจะสวยสง่ากว่าใคร เป็นทรงที่เจียระไนออกมาแล้วจะวิบวับแวววาวเล่นแสงได้มากที่สุด ถือเป็นทรงเพชรที่สวย สมมาตร และเป็นทรงเพชรที่สมบูรณ์ที่สุด

2. วัสดุที่ใช้ทำตัวแหวน

วัสดุที่ใช้ทำตัวเรือนของแหวนจะมีทั้งหมด 3 ประเภท ซึ่งจะมีทองผสมในสัดส่วนที่แตกต่างกันโดยประมาณ คือ ทองขาว (บางร้านก็เรียกทองคำขาว) ทอง และพิงก์โกลด์ โดยตัวเรือนที่นิยมใช้ในการทำแหวนเพชรมากที่สุดก็คือทองขาว เพราะการใช้ทองขาวเป็นตัวเรือนจะยิ่งขับเพชรให้ดูเด่นสง่า สะท้อนแสงได้แวววาว ไม่สะท้อนออกมาเป็นสีเหลือง รองมาก็เป็นสีทอง และสีพิงก์โกลด์ แต่อย่างไรก็ตามข้อนี้ไม่ได้มีกฎตายตัว เราสามารถเลือกตัวเรือนได้ตามความชอบเลยค่ะ

3. เลือกกระรัต

กะรัต คือหน่วยที่ใช้ชั่งน้ำหนักของเพชร หรือภาษาง่ายๆ ก็คือ การเลือกขนาดของเม็ดเพชรนั่นเอง หากเรากำหนดงบประมาณในใจมาแล้ว ก็จะสามารถเลือกกระรัตได้ง่ายขึ้น แต่สำหรับใครที่ไม่ควบคุมบัดเจท ก็สามารถเลือกกระรัตได้ตามความเหมาะสม และสวยงามได้เลยค่ะ โดยการเลือกขนาดของเม็ดเพชรนี้ จะส่งผลต่อราคามากที่สุด ยิ่งเพชรเม็ดใหญ่ขึ้นมากแค่ไหน ราคาก็สูงขึ้นตามไปด้วย

4. ขนาดของแหวน

เรื่องของขนาดแหวนนั้นแนะนำให้ไปเลือกแหวนกับคู่รักจะดีที่สุด อย่างน้อยก็จะได้มั่นใจว่าแหวนที่เราซื้อนั้นสามารถใส่ได้พอดีกับนิ้วของเรา กับคนรักได้พอดี ไม่หลวมหรือว่าคับไป

5. การแมทช์แหวนหมั้นและแหวนแต่งงาน

ปกติ “แหวนหมั้น” และ “แหวนแต่งงาน” ทั้งคนไทยและฝรั่ง จะใส่นิ้วนางข้างซ้าย แต่เมื่อสาวฝรั่งเข้าพิธีแต่งงาน มักย้ายแหวนหมั้นไปอยู่นิ้วนางข้างขวาก่อน และเมื่อเสร็จสิ้นพิธี จึงย้ายแหวนหมั้นกลับมานิ้วนางข้างซ้ายตามเดิม โดยสวมทับแหวนแต่งงานไปเลย ดังนั้น แหวนหมั้นและแหวนแต่งงาน จึงควรมีการออกแบบมาเป็นเซต ให้ใส่ด้วยกันแล้วสวยงามลงตัวค่ะ

6. แหวนควรมีใบรับประกัน

โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับแหวนเพชรที่มีราคาแพง ในกรณีที่เกิดความชำรุดเสียหาย เพชรหลุด หรือมีรอยบิ่น ในกรณีที่เกิดจากความผิดพลาดของทางร้านหรือความประมาทของเรา ทางร้านจะสามารถซ่อมแซมให้ได้หรือไม่ และทั้งหมดนี้จะอยู่ในเงื่อนไขการรับประกันหรือเปล่า อีกทั้งยังควรจะต้องมีใบเซอร์รับรองเพชร เพื่อให้เรามั่นใจ ว่าเพชรที่เราได้มานั้นมีคุณภาพถูกต้องตามมาตรฐานสากล ถ้ามีใครตั้งคำถามถึงคุณภาพของเพชร สามารถอ้างอิงถึงใบรับประกันนี้ได้เลย

7. Certificate ของเพชร

เพชรแต่ละเม็ดจะมีการยิงเลเซอร์หมายเลขของเพชรสลักอยู่ เพื่อใช้ตรวจสอบว่าเป็นเพชรเม็ดเดียวกับที่ออกใบรับรอง (Certificate) ซึ่งแน่นอนว่าไม่สามารถมองเห็นได้ด้วยตาเปล่า วิธีการตรวจสอบคือการใช้กล้องส่องเข้าไปในเม็ดเพชร เพื่อตรวจสอบว่าหมายเลขที่เพชรนั้นเป็นเลขอะไร เพื่อนำมาเทียบกับใบรับรองว่าใช่หมายเลขเดียวกันหรือไม่ ควรตรวจสอบทั้งตอนเลือก และตอนมารับแหวนเพชร เพื่อให้มั่นใจได้ว่าเราได้เพชรเม็ดที่เลือกไว้ และตรงตามใบรับรองจริงๆ

8. ความสะอาดของเพชร

ความสะอาดในการเลือกเพชร หมายถึงตำหนิของเพชร เพชรที่สะอาดก็คือเพชรที่มีตำหนิน้อย ซึ่งตำหนิของเพชรนั้นเกิดขึ้นเองตามธรรมชาติ ไม่สามารถลบออกได้ ดังนั้นเพชรยิ่งมีตำหนิน้อยมากเท่าไหร่ มูลค่าก็จะยิ่งสูงขึ้นมากเท่านั้น

9. กำหนด Budget แหวนในใจ

เพื่อให้สามารถควบคุมงบประมาณไม่ให้บานปลาย เลยเถิดไปไกล และยังง่ายต่อการเลือกแหวนเพชร เมื่อได้งบในใจแล้ว ก็แจ้งกับพนักงานขาย เพื่อให้พนักงานแนะนำแหวนเพชรที่อยู่ในงบมาให้เลือก แต่หากใครที่ไม่ซีเรียสเรื่องราคา ก็สามารถข้ามข้อนี้ไปได้เลยค่ะ

10. เลือกซื้อแหวนแต่งงานกับร้านที่เชื่อถือได้

ร้านขายแหวนที่น่าเชื่อถือมีประสบการณ์ ทำให้เรามั่นใจในส่วนนึงว่า เราจะได้แหวนแต่งงานที่มีคุณภาพ ทำมาจากวัสดุที่ดี ดีไซน์สวย และมีราคาสมเหตุสมผล รวมไปถึงมีแหวนรูปแบบต่างๆ มากมายให้เราได้เลือก และยังสามารถให้คำแนะนำดีๆ ในการเลือกซื้อแหวนแต่งงานที่ตรงใจเราด้วย

เรื่อง : ชวลิดา
Cr. brides.com
ภาพ : diamond-rings-and-wedding-bands.com

สั่งเค้กแต่งงานยังไงให้เวิร์ก กับ 5 ข้อที่บ่าวสาวควรรู้ก่อนสั่งจอง

อีกหนึ่งสิ่งที่เป็นไฮไลท์ในงานแต่งงานก็คือ เค้กแต่งงาน นั่นเอง แพรว wedding มาทำความรู้จัก เค้กแต่งงาน ก่อนสั่ง มีสิ่งใดบ้างที่ต้องศึกษาไว้ก่อน เพราะถึงแม้จะเป็นหนึ่งดีเทลในงานแต่ง แต่ก็ปฎิเสธไม่ได้ เพราะเวลาเดินเข้ามาในงานแต่งงาน ของที่ตั้งตระหง่านอยู่กลางงานก็คือเค้ก นั้นเอง มีสิ่งใดบ้างที่ควรคำนึงถึงก่อนสั่งเค้ก มาอ่านกันเลย

เค้กแต่งงาน1. เลือกเค้กให้ตรงกับธีมงาน

ข้อนี้ง่ายมาก เพราะเพียงแค่เน้นให้เข้ากับธีมงานที่จัด เช่น จัดงานแบบหวานแหววในธีมชมพูจ๋า แต่เค้กกลับเป็นสีเข้มที่ดูไม่เข้ากับธีมงาน ก็คงจะดูขัดหูขัดตาอยู่ไม่น้อย เพราะฉะนั้นบ่าวสาวควรจะเลือกธีมงานให้ชัดเจนก่อนที่จะสั่งจองเค้กแต่งงาน เพื่อที่คุณจะได้ภาพรวมทั้งหมดของงานออกมาดูดีเป็นที่น่าประทับใจ

2. คุยกับร้านเค้กไว้ล่วงหน้า

ทุกอย่างควรมีการวางแผน เค้กแต่งงานก็เช่นกัน เพราะเค้กแต่งงานเป็นเค้กขนาดใหญ่ที่ไม่สามารถจะเนรมิตใส่เสร็จภายในวันหรือสองวันได้ และอีกอย่างทางร้านไม่ได้มีคุณเป็นลูกค้าแค่คู่เดียวหรอกนะจ๊ะ ยิ่งถ้าหากเป็นร้านดังแล้วด้วย เผลอๆ คิวอาจจะยาวเป็นหางว่าวเลยทีเดียว ยิ่งถ้าหากบ่าวสาวสั่งทำเค้กแบบพิเศษที่ made to order แล้วด้วย ทางร้านก็อาจจะต้องใช้เวลาในการเตรียมวัตถุดิบอุปกรณ์ ดังนั้นเมื่อบ่าวสาวได้แบบเค้กที่ต้องการแล้ว ก็ควรทำการสั่งจองเค้กล่วงหน้าอย่างน้อยไม่ควรต่ำกว่าหนึ่งเดือนนะคะ เพื่อที่จะได้ให้เวลาร้านได้เตรียมตัว และเคลียร์คิวไม่ให้ตารางทำเค้กชนกันนั้นเอง

เค้กแต่งงาน

3. รสชาติของเค้ก

อันนี้เป็นสิ่งที่บ่าวสาวควรปรึกษากัน และตกลงกันว่าอยากได้รสชาติแบบใด ไม่ว่าจะเป็น ช็อกโกแลต วานิลลา สตอรว์เบอร์รี่ หรืออื่นๆ โดยอาจคำนึงถึงความชอบ และแขกที่เข้าร่วมงานเป็นส่วนใหญ่ ถ้าเค้กรสชาติแปลกประหลาดมากเกินไปอาจจะเหลือทิ้งได้เพราะไม่มีใครกินนะคะ ซึ่งก็คงเป็นภาพที่ไม่น่าดูเท่าไหร่ เพราะฉะนั้นก่อนทำการสั่งเค้ก บ่าวสาวอาจจะหาเวลาว่างสักนิดแล้วเดินทางไปชิมเค้กที่ร้านด้วยตัวเองว่าชอบรสชาติไหนมากที่สุด

4. ขนาดของเค้ก

ลองเอารายชื่อแขกที่จะมาร่วมงานมากางดู แล้วลองประเมินดูว่าขนาดเค้กที่สั่งน่าจะต้องใหญ่หรือเล็กขนาดไหน ถ้าแขกน้อย แต่อยากได้เค้กใหญ่ๆ อันนี้ก็ไม่ยากนะจ๊ะ เพราะสามารถทำเค้กโฟมขึ้นมาได้ โดยเลือกให้ชั้นล่างสุดเป็นเค้กจริงเท่านั้นเอง

เค้กแต่งงาน

5. ศึกษาชนิดของเนื้อเค้ก

สงสัยใช่ไหมคะว่าทำไมต้องศึกษาก่อน เพราะเค้กมีหลายเนื้อมากๆ ไม่ว่าจะเป็น เนื้อบัตเตอร์, เนื้อสปันจ์, เนื้อชิฟฟ่อน, เนื้อชีสเค้ก ซึ่งนอกจากจะต้องศึกษาแล้ว อาจจะต้องหาเวลาไปชิมด้วยตัวเองด้วยว่าเท็กซ์เจอร์แบบไหนที่บ่าวสาวต้องการ และอาจจะต้องปรึกษากับทางร้านเกี่ยวกับสถานที่จัดงานแต่งงานด้วยว่าเนื้อเค้กแบบไหนที่นำไปตั้งไว้แล้วเหมาะ เช่น หากบ่าวสาวจัดงานแต่งแบบเอ้าท์ดอร์ก็อาจจะต้องเลือกเนื้อเค้กที่แน่น ไม่ละลายง่าย เป็นต้น

ถึงแม้จะมีรายละเอียดเยอะ แต่ถ้าหาข้อมูลไว้ให้ดีก็ไม่น่าจะเวียนหัวสักเท่าไหร่ ดังนั้นบ่าวสาวลองศึกษาเรื่องเค้กก่อนจะสั่งนะจ๊ะ เพื่อที่จะได้เค้กสวยถูกใจ รสชาติอร่อยมาเสิร์ฟแขกในงานให้ได้ชื่นใจกันถ้วนหน้า

เค้กแต่งงาน

Read More 5 รสชาติเค้กแต่งงานแสนอร่อยประจำฤดูใบไม้ผลิปี 2018

ภาพจาพ : Pinterest.com

ส่องสิ่งของใน พานธูปเทียนแพ พร้อมเหตุผลว่าทำไมเจ้าบ่าวต้องถือ?

พานธูปเทียนแพ คืออะไร? แล้วทำไมเจ้าบ่าวต้องถือ? มาหาคำตอบไปพร้อมกันค่ะ

ในขบวนขันหมากใช่ว่าเจ้าบ่าวจะเดินแต่งตัวหล่อๆ แล้วเข้าไปรับเจ้าสาวได้เลยนะคะ แต่เจ้าบ่าวต้องถือ พานธูปเทียนแพ ระหว่างเดินขบวนแห่ขันหมากเพื่อไปสู่ขอเจ้าสาวด้วย แถมจะให้ใครถือแทนก็ไม่ได้เด็ดขาด แพรว wedding เลยจะมาบอกให้หายงงเลิกสงสัยว่า ทำไมต้องเป็นเจ้าบ่าวเท่านั้นที่ถือ แล้วในพานนั้นประกอบไปด้วยอะไรบ้าง

มีอะไรอยู่บนพาน? 

ในพานธูปเทียนแพประกอบด้วย กระทงดอกไม้ครอบด้วยกรวยใบตอง ธูปแพไม้ระกำ 10 ดอก และเทียน 10 แท่ง วางอยู่บนพานซึ่งจะตกแต่งสวนงามอลังการยังไงก็ได้ แต่ห้ามวางธูปกับเทียนสลับกันเด็ดขาด ไม่อย่างนั้นจากงานแต่งสุดมงคลจะกลายเป็นงานอวมงคลไปทันที เพราะในงานอวมงคลอย่างงานศพ จะวางเทียนไว้ด้านบนตามด้วยธูป

ทำไมต้องเจ้าบ่าวถือ?

ธูปเทียนแพมีความหมายเป็นเครื่องแสดงความเคารพอย่างสูง และยังเป็นเครื่องขอขมาลาโทษต่อความผิดที่เคยกระทำมา และนี่เองก็เป็นเหตุผลที่ต้องบังคับเจาะจงว่า พานธูปเทียน นั้นเจ้าบ่าวต้องเป็นคนถือ ใครอื่นจะมาถือแทนไม่ได้ เพื่อเป็นการทำความเคารพ ขอโทษ ขอขมาว่าที่พ่อตาแม่ยาย และพ่อแม่ของตัวเองถึงสิ่งที่ได้ล่วงเกินทั้งกาย วาจา ใจ ทั้งตั้งใจและไม่ตั้งใจ รวมไปถึงสิ่งที่ได้ล่วงเกินลูกสาวของว่าที่พ่อตาแม่ยายด้วย

และทั้งหมดนี้ก็คือคำตอบที่ว่า ทำไมต้องเฉพาะเจาะจงเป็นคุณเจ้าบ่าวคนเดียวเท่านั้น จะได้ไม่พลาดไปฝากใครเขาถือนะคะ

แจกกันแบบสเต็ปบายสเต็ป กับขั้นตอนลำดับพิธีแต่งงานไทยฉบับสมบูรณ์ คลิกเลย!!

7 ข้อคิดเตือนใจเตรียมความพร้อมไว้ก่อนไปร้านเลือกชุดแต่งงาน

สติมาปัญญาเกิด แต่ถ้าสติเตลิด เลือกชุดแต่งงาน ผิดคงไม่ดีแน่ มาเตรียมสติและจิตใจกันก่อนเดินเข้าร้านเลือกชุดแต่งงานดีกว่า กับ 7 ข้อคิดเตือนใจที่เราอยากฝากไว้ให้คุณเจ้าสาวได้ลองนำไปพิจารณา จะได้ไม่ต้องเสียเวลาเปลี่ยนชุดไปมาให้เปลืองงบไงจ๊ะ

1. หาแบบชุดแต่งงาน ร้านชุดหรือดีไซเนอร์ ที่ชอบไว้ในใจ

การหาข้อมูลเป็นสิ่งสำคัญ แนะนำให้เตรียมล่วงหน้าสัก 7-8 เดือนก่อนวันงานไปเลย จะได้มีเวลาเตรียมตัวตั้งแต่เนิ่นๆ ไม่ต้องมารีบเร่งเรื่องชุดแต่งงานในเวลาที่จวนตัว อีกอย่างจะได้ให้เวลากับดีไซเนอร์ในการสร้างสรรค์ชุดแต่งงานในฝันให้ออกมาเป็นภาพความจริงแบบเน้นงานละเอียดที่ไม่ต้องทำแข่งกับเวลา เพื่อที่เจ้าสาวจะได้ชุดแต่งงานที่ตรงใจเพอร์เฟกต์ไร้ที่ติ

2. ตั้งงบประมาณก่อนเข้าไปคุย

ตั้งงบประมาณในใจให้ชัดเจน รวมถึงดีเทลของชุดด้วยว่าอยากให้เป็นยังไง เช่น ลูกไม้ฝรั่งเศสทั้งตัวหรือผ้าชีฟองฟูฟ่อง 8 ชั้น แล้วเข้าไปคุยกับร้านด้วยงบที่วางไว้ ที่สำคัญจงหนักแน่นอย่าหวั่นไหวกับสิ่งล่อตาล่อใจอื่นๆ ไม่อย่างนั้นงบบานแน่นอน แนะนำให้ปรึกษาดีไซเนอร์ในการปรับแบบที่เจ้าสาวชอบให้เข้ากับงบที่มี เพราะอย่าลืมว่านอกจากค่าชุดแต่งงานแล้ว คุณอาจจะต้องมีค่าใช้จ่ายอื่นงอกมาอีก เช่น ชุดชั้นในตัวใหม่ที่เข้ากับชุด เครื่องประดับต่างๆ หรือรองเท้าคู่สวย

3. คนร่วมตัดสินใจไม่ต้องเยอะ

พาเพื่อนสนิทหรือคนที่เจ้าสาวรู้สึกไว้วางใจสักคนไปช่วยเลือกแบบ เพราะแห่กันไปเยอะเท่าไหร่ ความคิดก็แตกแยกมากเท่านั้น พาลจะปวดหัวและไม่เป็นตัวของตัวเองไปอีก ซึ่งคนๆ นั้นจะต้องเป็นคนที่รู้จักคุณดีที่สุด รู้ว่าสไตล์ของคุณเป็นยังไง ชอบหรือไม่ชอบอะไร และต้องเป็นคนที่ให้ความคิดเห็นที่ดีกับคุณได้ด้วย ถ้าแอบมีเซ้นต์ด้านสไตล์เบาๆ ด้วยล่ะก็ เพอร์เฟกต์ไปเลยจ้า

4. เปิดหูแล้วเปิดใจ

จงเปิดใจรับฟังความคิดเห็นจากมืออาชีพ เพราะเขาจะให้คำแนะนำว่าสิ่งไหนเหมาะหรือไม่เหมาะกับคุณ ซึ่งบางทีคำแนะนำนั้นอาจมาพร้อมสิ่งที่คุณคาดไม่ถึง (ในทางที่ดี) ก็ได้ ซึ่งทั้งหมดล้วนขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของคุณ บางทีการที่ดีไซเนอร์พยายามนำเสนอหลายๆ อย่างให้กับคุณก็เพื่อที่จะได้รู้ถึงตัวตน ความชอบ และมองหาสไตล์ของคุณอีกทางหนึ่ง จะได้ทำชุดแต่งงานให้ออกมาเป็นตัวคุณมากที่สุดยังไงล่ะคะ

5. ไว้ใจมืออาชีพ

อย่าลืมว่ามืออาชีพแต่งตัวให้เจ้าสาวทุกวันมาเป็นร้อยเป็นพันคนแล้ว เห็นชุดมามากมาย และรูปร่างร่างกายที่แตกต่างกันไปของเจ้าสาวแต่ละคน เพราะฉะนั้นเขาย่อมรู้ดีที่สุดว่าอะไรที่เหมาะหรือไม่เหมาะกับตัวคุณ

6. หลีกเลี่ยงการไปร้านชุดในช่วงวันหยุด

พยายามหาวันธรรมดาว่างๆ สักหนึ่งวันแล้วไปร้านชุดที่เล็งไว้ เพราะหากไปในวันหยุดบางร้านอาจจะยุ่งสุดๆ แบบมือเป็นระวิง และอาจให้คำแนะนำได้ไม่มากพอเพราะต้องดูแลลูกค้าอีกหลายราย แต่ถ้าไปวันธรรมดาคุณจะได้รับความสนใจจากร้านมากขึ้น และเขาก็สามารถให้เวลาในการให้คำปรึกษากับคุณได้อย่างเต็มที่ แต่ไม่ควรอัดแน่นในวันเดียวแล้วไปหลายๆ ร้าน เพราะในหนึ่งร้านใช้เวลาไม่ต่ำกว่า 1 ชั่วโมงแน่นอน เพราะฉะนั้นแค่ประมาณ 2 ร้านกำลังดี และอย่าลืมโทรนัดล่วงหน้าไว้ก่อนเลย จะได้ไปแบบไม่หวือดเจอแต่เด็กหน้าร้านที่ให้คำแนะนำไม่ได้นะจ๊ะ

7. จงเชื่อในสัญชาตญาณของตัวเอง

สุดท้ายจงเชื่อในสัญชาตญาณของตัวเองเสมอ ให้ลองจินตนการว่าคุณกำลังมองตัวเองเดินเข้างานในชุดแต่งงานชุดนี้ และหากคุณมั่นใจว่าชุดนี้แหละใช่ฉันเลย มันสวยมาก ถึงแม้จะมีบางคนบอกว่ามันไม่เหมาะกับคุณก็ตาม แต่จงเชื่อมั่นในตัวเอง เพราะไม่มีใครที่จะรู้ใจเราได้ดีเท่าตัวเองหรอก จำไว้ว่านี่เป็นงานแต่งของคุณ และเป็นชุดของคุณ มั่นใจซะอย่างอะไรก็ดูดี จริงไหมคะ

ดูไอเดียและคำแนะนำเกี่ยวกับชุดแต่งงานเพิ่มเติม คลิกเลย!

ภาพ : careertrend.com