วิธีรับมือง่ายๆ หากแขกงานแต่งเยอะ ทำตามนี้มีระเบียบเป๊ะไม่วุ่นวาย

หากงานแต่งงานของบ่าวสาวเป็นงานใหญ่ที่ แขกงานแต่งเยอะ จนดูเหมือนว่าคุณจะรับมือไม่ไหว อย่าเพิ่งคิดมากขนาดนั้น เพราะทุกอย่างสามารถควบคุมได้หากว่าที่บ่าวสาววางแผนกันไว้ดีๆ เอาเป็นว่า ลองทำตามเคล็ดลับดีๆ ที่แพรว wedding นำมาฝากกันดูน้าาา

1. ต้องคำนวณจำนวนแขกให้ค่อนข้างแน่นอน จากนั้นหาโรงแรมให้เหมาะสม โดยควรมีพื้นที่ค่อนข้างกว้างและมีเพดานห้องสูง เพราะจะทำให้ดูโปร่งโล่งสบาย และควรคิดไว้ล่วงหน้าว่าจะจัดงานแบบไหน หากแขกมีจำนวนมากควรจัดงานแบบค็อกเทลซึ่งประหยัดพื้นที่ที่สุด

2. โต๊ะวีไอพีต้องมีจำนวนไม่เยอะเกินไป ประมาณ 6-8 โต๊ะกำลังดี เพื่อเผื่อพื้นที่ให้แขกที่เหลือยืนอย่างสะดวก

3. ควรมีชื่อแขกวีไอพีแปะไว้ที่โต๊ะให้ชัดเจน เพื่อกันไม่ให้แขกคนอื่นไปนั่ง

4. นำซุ้มอาหารบางส่วนไว้นอกห้องจัดเลี้ยง เพื่อให้แขกได้หมุนเวียนเข้าออก ช่วยให้ภายในห้องไม่แน่นเกินไป

5. เพิ่มบริกรในการเสิร์ฟอาหารให้เพียงพอกับจำนวนแขก และโต๊ะวีไอพีควรมีบริกรประจำโต๊ะละ 1 คน

6. ควรให้บริกรเก็บจานบ่อยขึ้น

7. เตรียมของชำร่วยให้เกินจากจำนวนที่ตั้งไว้ เพราะแขกบางคนอาจขอมากกว่า 1 ชิ้น และคสรมีแค่สีเดียวหรือ 2 สีเพื่อไม่ให้เกิดข้อเปรียบเทียนและการเลือกเยอะจนทำให้แขกด้านหลังรอนานขึ้นไปอีก

8. อาจตัดการตกแต่งบางส่วนออกเพื่อนำซุ้มอาหารเข้ามาแทนที่ให้เพียงพอกับปริมาณแขก เพราะซุ้มอาหารถือเป็นจุดสำคัญของงานเช่นกัน

ติดตามไอเดียและเคล็ดลับดีๆ เกี่ยวกับการจัดงานแต่งงานเพิ่มเติมได้ที่นี่ คลิกเลย!

ภาพ managemywedding.com, pinterest.com

อยากสมหวังเรื่องความรัก มาดูความเชื่อเรื่อง “ด้ายแดง” บอกเลยต้องอ่าน!!!

หากพูดถึงเรื่องการ สมหวังเรื่องความรัก แน่นอนว่ามีหลายวิธี หลายเคล็ดลับให้ลองทำกัน ในประเทศไทยก็มีความเชื่อเรื่อเนื้อคู่อยู่ว่า เราทุกคนมาเจอกันเพราะบุพเพสันนิวาส แต่ก็ยังมีความเชื่อ เรื่อง “ด้ายแดง” อีกหนึ่งเรื่อง ที่จะช่วยให้คนโสดสมหวังเรื่องความรักนะจ๊ะ

แพรว wedding เลยจะขอพาทุกคนมารู้จักกับตำนานด้ายแดง ที่ช่วยให้ผู้คน สมหวังเรื่องความรัก กันค่ะ ไม่อยากนก หรือเบื่อกับการวิ่งตามหาเนื้อคู่ต้องอ่านนะจ๊ะ ^^

สมหวังเรื่องความรัก

ตำนานเรื่องด้ายแดงมีจุดกำเนิดมาจากประเทศจีน โดยมีความเชื่อว่า ด้ายแดงเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นระหว่างชายหญิงที่เป็นเนื้อคู่กันมาตั้งแต่ชาติที่แล้ว ซึ่งเป็นเหมือนแรงอธิษฐานของหนุ่มสาวที่ซื่อตรงต่อความรักซึ่งกันและกันแต่ไม่สามารถครองรักกันได้ ก่อนที่ทั้งสองจะตายจากกันไปได้ขอพรต่อสวรรค์เพื่อให้ทั้งคู่ได้กลับมาครองรักกันอีกในภพชาติต่อไป เพราะฉะนั้นจึงได้เกิดเป็นความเชื่อที่ว่า คนที่คู่กันจะเกิดมาพร้อมกับด้ายแดงผูกไว้ที่นิ้วก้อยของแต่ละฝ่าย ซึ่งเป็นสิ่งที่ไม่สามารถมองเห็นได้ด้วยตาเปล่า นอกจากนี้ด้ายแดงยังมีความยาวถึงสองรอบของโลก!! ซึ่งด้ายแดงจะค่อยๆ ขดกลับเข้าหากันเพื่อให้หนุ่มสาวได้มาเจอกัน และจะขาดจากกันเมื่อทั้งคู่ตายจากกันไปนั้นเอง

นอกจากนี้ยังมีความเชื่อเกี่ยวกับ เฒ่าจันทรา (เทพเย่ว์เหล่า) ซึ่งเป็นเทพผู้เดียวที่สามารถมองเห็นด้ายแดงของมนุษย์ และสามารถตัดด้ายแดงให้ขาดออกจากกันได้ หากหนุ่มสาวคู่ไหนที่อยากให้ตนเองสมหวังเรื่องความรัก สามารถไปขอพรเฒ่าจันทราได้ที่ วัดหลงซาน ประเทศไต้หวัน ซึ่งเป็นสถานที่ขอพรเรื่องความรักยอดนิยม ภายในมีรูปปั้นของเฒ่าจันทราอยู่ นอกจากนี้ยังมีเทพเจ้าจากหลายลัทธิที่สามารถไปกราบไหว้ได้อีกด้วย

สมหวังเรื่องความรัก

ซึ่งวิธีขอพรจากเฒ่าจันทราก็ไม่ยากค่ะ เราต้องเริ่มจากการสักการะที่กระถางธูปก่อน มีทั้งหมด 7 กระถาง และกระถางสุดท้ายคือกระถางที่อยู่หน้ารูปปั้นของเทพจันทรา ผู้ขอพรต้องบอกชื่อ นามสกุล วันเดือนปีเกิด จากนั้นให้ขอกับเฒ่าจันทราถึงเนื้อคู่ ไม่ว่าจะเป็นรูปร่าง หน้าตา เมื่อขอเสร็จแล้วต้องโยนไม้เสี่ยงทาย และต้องให้ไม้ออกมาไม้ซ้ำกันถึง 3 ครั้ง จากนั้นจึงขอด้ายแดงจากเฒ่าจันทราให้เราพบเจอเนื้อคู่ โดยนำด้ายแดงที่ได้มาเดินวนรอบกระถางธูปสามรอบ และก่อนกลับต้องไปยืนขอพรต่อหน้าเฒ่าจันทราอีกรอบจึงจะสมบูรณ์ แล้วนำด้ายแดงที่ได้มาพกติดตัวเอาไว้ เฒ่าจันทราก็จะนำพาเนื้อคู่มาให้เรานั่นเองค่ะ

สมหวังเรื่องความรัก

เอาล่ะ ถ้าอยากสมหวังในเรื่องความรักก็ทำตามได้ไม่ยาก เตรียมหยอดกระปุก แพ็คกระเป๋า แล้าเฝ้าตั๋วโปร!! กันได้เลย หรือถ้ากลัวว่าไปวัดเดียวแล้วจะยังนก ก็ยังสามารถไปตามลิสต์นี้ที่เรานำมาฝากกันได้ต่อ (ถ้างบเหลือ!!) ขอได้ไม่นก! แชร์พิกัด ขอพรเรื่องความรัก วัดดังทั่วเอเชีย

ภาพจาก  : cleothailand.com , thairath.com , oknation.nationtv.tv , youtube.com

5 ทริคพลิกความงามเจ้าสาว หากเกิดปัญหาก่อนงานจะเริ่ม

ถึงแม้ว่าจะเตรียมตัวมาดีแค่ไหน แต่เชื่อเถอะว่าเรื่องที่ไม่คาดฝันนั้นเกิดขึ้นได้เสมอ ไม่เว้นแม้กระทั่งเรื่องความสวยความงามบนใบหน้าที่เจ้าสาวเตรียมการมาเป็นอย่างดี แพรว wedding เลยขอสกัดจุดอ่อนด้วย 5 ทริคแก้ปัญหาเฉพาะหน้าหากความพลาดบนใบหน้ามาเยือน ไปดูกันสิว่าจะมีปัญหาอะไรบ้างแล้วต้องแก้ไขยังไง เพื่อจะเรียก ความงามเจ้าสาว กลับคืนมาได้ทันก่อนงานจะเริ่ม

1. มาสคาร่าเลอะเทอะเปรอะใต้ตา

บางครั้งมาสคาร่าที่ว่ากันน้ำกันเหงื่อก็อาจจะงอแงได้ในช่วงเวลาสำคัญ ทันทีที่คุณหรือเพื่อนสาวสังเกตเห็นว่าใต้ขอบตาเริ่มมีรอยคล้ำดำให้เห็นจางๆ ให้รีบหากระดาษทิชชู่เนื้อนิ่มสะอาดๆ ชุบน้ำให้หมาดเล็กน้อย แล้วนำไปปัดเบาๆ ย้ำ!! เบาๆ ที่รอยเลอะใต้ดวงตา ห้ามเช็ดหรือถูเด็ดขาดนะคะไม่อย่างนั้นเมคอัพใต้ดวงตาได้หลุดออกมาอยู่บนทิชชู่แน่นอน จากนั้นให้นำแปรงหัวเล็กๆ ที่ใช้สำหรับทาคอลซีลเลอร์ แตะไปที่รองพื้นที่เจ้าสาวใช้ในวันนั้นและนำมาปัดเบาๆ ที่คราบมาสคาร่าที่เลอะ เท่านี้ก็ช่วยกลบได้แล้ว เพราะฉะนั้นในวันงานอย่าลืมพกแปรงและรองพื้นไว้ใกล้ๆ ตัวกันด้วยนะจ๊ะ

ความงามเจ้าสาว

2. ตื่นมาพร้อมสิวเม็ดเป้ง

ไม่ว่าจะเป้งแค่ไหนถึงจะวิ่งไปฉีดในวันงานก็คงไม่ทันอยู่ดี และห้ามบีบ แคะ หรือเค้นเด็ดขาดไม่อย่างนั้นอาจจะลุกลามใหญ่จนโตจนเกิดเป็นแผลล่ะก็เรื่องจะใหญ่ไปอีก ถ้าเป็นอย่างนั้นไม่ว่าจะโบ๊ะเมคอัพลงไปแค่ไหนก็คงกลบร่องรอยความพังพินาศไม่ได้อยู่ดี เพราะฉะนั้นทำใจให้สบายแล้วลองวิธีนี้ดูค่ะ ก่อนจะแต่งหน้าให้ทาครีมหรือยาแต้มสิวที่คุณใช้เป็นประจำลงไปบางๆ จากนั้นตามด้วยคอลซีลเลอร์แบบกันน้ำลงไปให้ทั่วบริเวณเท่านี้ก็เรียบร้อย และอย่าไปกังวลใจกับมันจนทำให้คุณยิ้มไม่ออก จงคิดไว้ว่ามันเกิดขึ้นแล้วสิ่งที่ทำได้ดีที่สุดคือปกปิดมันไว้ไม่ใช่การลบมันให้หายไปจากใบหน้า และจงมั่นใจในฝีมือของช่างแต่งหน้าว่าเขาจะต้องเนรมิตคุณออกมาได้อย่างดีที่สุดแน่นอน

3. ตื่นมาตาบวมตุ่ย

แก้ได้ง่ายๆ แบบไม่ยุ่งยากด้วยการใช้ช้อนที่แช่ตู้เย็นเอาไว้แล้วนำช้อนด้านที่นูนมาประคบบริเวณใต้ตาที่บวมตุ่ย โดยช้อนนั้นจะต้องแช่เย็นไว้ประมาณ 15 นาที เพราะความเย็นจะเข้าไปช่วยระบายของเหลวที่เป็นส่วนเกินที่คั่งค้างบริเวณหลอดเลือดรอบดวงตาของคุณ หรืออีกหนึ่งวิธีเจ้าสาวสามารถใช้น้ำแข็งแล้วนำมากลิ้งเบาๆ บริเวณส่วนใต้ตาที่บวมได้เช่นกัน แถมให้อีกหนึ่งวิธีที่ง่ายกว่านั้นด้วยการกระเซ็นน้ำเย็นเจี๊ยบลงไปก็ช่วยได้เช่นกัน

ความงามเจ้าสาว

4. เล็บฉีกแบบไม่คาดฝัน

ก่อนอื่นต้องระมัดระวังอย่าให้มันฉีกมากไปกว่าเดิม แล้วรีบขอสก๊อตเทปใสและกรรไกรกับทางสถานที่หรือผู้จัดงาน จากนั้นตัดสก๊อตเทปใสให้ได้ขนาดพอดีหรือใหญ่กว่ารอยเล็บที่ฉีก จากนั้นบรรจงแปะลงไปเบาๆ โดยต้องระมัดระวังให้สก๊อตเทปใสนั้นแนบไปกับเล็บให้มากที่สุด จากนั้นให้ตัดส่วนที่เกินออกมาจากปลายเล็บด้วยกรรไกร เพียงเท่านี้ก็ถือเป็นการแก้ขัดที่จะช่วยไม่ให้เล็บของเจ้าสาวเสียหายหนักมากไปกว่าเดิม

5. ลิปสติกติดฟัน

แน่นอนว่าเจ้าสาวสามารถหลบมุมไปเช็ดออกได้ แต่คงไม่ดีแน่หากหลบมุมเข้าไปเช็ดอยู่บ่อยๆ เพราะบางครั้งลิปสติกที่เป็นเนื้อมันวาวก็ง่ายต่อการติดฟันเพียงแค่เจ้าสาวขยับปากหรือยิ้ม เพราะฉะนั้นแนะนำให้เจ้าสาวเปลี่ยนมาใช้ลิปสติกเนื้อแมตต์แทนลิปที่มันวาวในวันสำคัญจะดีกว่าจะได้ไม่ต้องมาคอยกังวลอยู่บ่อยๆ หรือหากเกิดเหตุการณ์นี้หน้างานให้ทาทับด้วยลิปไลเนอร์ที่โดยส่วนมากเป็นเนื้อแมตต์อยู่แล้วลงไปอีกชั้นก็ถือเป็นการแก้ปัญหาเฉพาะหน้าได้เป็นอย่างดี และจะไม่เกิดปัญหานี้กวนใจอีกจนจบงาน แต่อย่าลืมเลือกเฉดสีที่เหมือนหรือใกล้เคียงกับเฉดสีลิปสติกในชั้นแรกให้มากที่สุดด้วยนะคะ

ติดตามเคล็ดลับความงามเจ้าบ่าวเจ้าสาวเพิ่มเติมได้ที่นี่ คลิกเลย!

ภาพ : brides.com, wembleyclinic.co.za, hellogemma.com

ระวัง 5 สิ่งที่บ่าวสาวมักพลาด เวลาเลือก ธีมสีงานแต่ง

ธีมสีงานแต่ง เป็นอะไรที่สำคัญ เพราะช่วยคุมโทนให้งานแต่งออกมาสวยดูดี แต่บ่าวสาวก็มักพลาดกันบ่อยๆ กับขั้นตอนนี้ ซึ่งมีอะไรบ้างที่ต้องระวัง เรามาบอกแล้ว

1. เลือกสีออนไลน์

เวลาที่บ่าวสาวตัดสินใจเลือกสีกับแพลนเนอร์ แล้วเลือกผ่านช่องทางออนไลน์ ไม่ว่าจะเป็นทางโทรศัพท์ หรือทางคอมพิวเตอร์ มักมีข้อผิดพลาดเกิดขึ้น เพราะแต่ละหน้าจอมีการตั้งค่าสีที่ไม่เหมือนกัน ทางทีดีบ่าวสาวจึงควรเลือกสีจากหน้าจอเครื่องเดียวกันกับแพลนเนอร์ เพื่อให้เห็นสีที่แท้จริง

2. เลือกสีไม่สนสถานที่

เรื่องนี้บ่าวสาวควรมีสีอยู่ในใจ แล้วบอกให้แพลนเนอร์รู้ เพื่อที่ว่าเขาจะได้จัดหาสถานที่ที่ไปกันได้กับสีที่เลือก โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับการแต่งงานกลางแจ้ง ที่มีสีชัดเจน อย่างในสวนก็สีเขียวของหญ้า ริมทะเลก็สีของชายหาด หรือท้องน้ำ เพื่อไม่ให้สีของงาน และสีของสถานที่ตีกัน จนกลายเป็นไม่สวย

3. สีเดียวทั้งงาน

หลังจากที่ได้ ธีมสีงานแต่ง แล้ว เจ้าบ่าวเจ้าสาวต้องไม่ยึดติดกับสีมากจนทุกอย่างต้องเป็นสีเดียวกันหมด แต่อาจจะเลือกของที่คละสี แต่เป็นในโทนเดียวกัน หรือมีการไล่เฉดสี จะทำให้งานแต่งดูมีมิติมากขึ้นกว่าการที่ทั้งงานจะถูกอาบด้วยสีเดียว โทนเดียว

4. เลือกสีที่เข้าได้กับทุกคน

แม้ว่างานนี้จะเป็นงานของคุณทั้งคู่ สีที่ควรปรากฎในงานก็ควรเป็นสีที่ทั้งคู่ชื่นชอบ แต่… บ่าวสาวก็ไม่ควรเลือกสีที่มีความเฉพาะตัว หรือหายากจนเกินไป เช่น สีส้มเขียวหัวเป็ดตอนโดนแสงอาทิตย์ อะไรแบบนี้ และสีที่ใช้ก็ควรเป็นสีที่เข้าได้กับทุกคน ทางที่ดีคือสีพื้นๆ ที่ไม่ต้องระบุดีเทลมากมายนักเป็นดี

5. ให้ความสำคัญกับสีของดอกไม้มากเกินไป

หลายๆ คู่ กำหนดสีมาแล้วแต่ก็เพียงแค่ใช้กับดอกไม้ จนลืมนึกไปถึงสิ่งต่างๆ ว่ามันก็ใส่สีลงไปได้ด้วยนะ ซึ่งถ้าเป็นแบบนั้นจะทำให้ธีมสีของงานไม่โดดเด่นเอาเสียเลย แถมจะโดนกลบเอาได้ง่ายๆ

รู้อย่างนี้แล้วบ่าวสาวก็ต้องระวังเรื่องการเลือกสีงานแต่งให้ดี อย่าให้ผิดพลาดตาม 5 ข้อนี้ได้ ส่วนวิธีเลือกธีมสีที่ดีสุดก็คือ เลือกจากสีที่ทั้งคู่ชื่นชอบ แค่นี้ก็จะได้สีที่ดีที่สุด แถมยังทำให้เป็นงานแต่งของคุณออกมาสมบูรณ์แบบด้วย ส่วนไอเดียสวยๆ ในการจัดงานแต่งเราก็มีอีกเพียบ คลิกอ่านเลย

ภาพ unsplash.com

5 สิ่งต้องพกเพื่อทัชอัพหน้าในงานแต่ง ให้สวยปิ๊งตลอดทั้งวัน

ในงานแต่งงาน หน้าของเจ้าสาวที่แต่งมาเป็นอย่างดีโดยช่างผู้เชี่ยวชาญมีอันต้องเลือนหายไป โดยเฉพาะเจ้าสาวในงานกลางแจ้ง ซึ่งคนที่มีช่างอยู่ด้วยทั้งงานก็ดีไป แต่คนที่ไม่มีช่างแต่งหน้าอยู่ด้วยก็ต้องรู้เทคนิค ทัชอัพหน้าในงานแต่ง ด้วยตัวเอง ซี่งไม่ต้องห่วงไป เราเอาทริค และของที่ต้องเตรียมมาฝากแล้ว

ของสำคัญต้องมีไว้ในกระเป๋าฉุกเฉิน (กระเป๋าที่เจ้าสาวต้องมีไว้เพื่อใส่ของจำเป็น)

  1. สเปรย์น้ำแร่
  2. กระดาษซับหน้ามัน
  3. กระดาษทิชชู่
  4. แป้งฝุ่น (โปร่งแสงได้ก็จะดี)
  5. ลิปสติก
  6. บรัชออน

เทคนิคทัชอัพ ให้สวยเป๊ะ

  1. ใช้กระดาษทิชชู่ ซับความมันเยิ้มออกไปให้ทั่วใบหน้า
  2. พ่นสเปรย์น้ำแร่ลงบนใบหน้า ขั้นตอนนี้นอกจากจะช่วยล้างความมันบนใบหน้าแล้ว ยังสร้างความชุ่มชื่น สดชื่นให้กับผิวอีกด้วย
  3. ใช้กระดาษทิชชู่ทั้งแผ่นกางลงบนใบหน้า แล้วค่อยๆ ซับใช้นิ้วกดลงไปเบาๆ ให้ทั่ว เป็นการซับน้ำแร่ที่เปียกอยู่
  4. ใช้แป้งฝุ่นลงให้ทั่วใบหน้า เทคนิคพิเศษตรงนี้คือควรใช้พัฟแตะแป้งฝุ่น เบาๆ แล้วค่อยตบๆ บนใบหน้าเก็บในส่วนที่ความมันสูงๆ อย่างปีกจมูก คาง และหน้าผาก
  5. ปัดบรัชออนลงบนแก้มตามรอยเดิมที่ช่างปักไว้ แต่ให้เข้มกว่าปกตินะ เพราะในงานแต่งงานต้องเจอทั้งแสงไฟ แสงแฟลช ขืนแต่งตามปกติได้กลายเป็นเจ้าสาวหน้าจืดแน่นอน
  6. ใช้ทิชชู่เม้มที่ริมฝาก เพื่อเก็บคราบต่างๆ นานาๆ รวมไปถึงขุยปากที่เริ่มแห้ง
  7. ทาลิปสติคทับ แต่ต้องใช้พู่กันนะ งานจะได้ละเอียด จะมาป้ายๆ แบบปกติไม่ได้

ง่ายๆ เพียงแค่นี้คุณเจ้าสาวก็ทัชอัพเองได้ แม้จะไม่ใช่เจ้าสาวสายบิวตี้บล็อกเกอร์ก็ตาม ทริคเพิ่มอีกนิดก็คือ ควรใช้บรัชออนและลิปสติคสีเดียวกับที่ช่างลงไว้นะ จะได้ดูสวยเป๊ะ ไม่มีโป๊ะ นอกจากนี้เรายังมีเทคนิคสวยๆ เพื่อคุณเจ้าสาวอีกเพียบ คลิกอ่านเลย

ภาพ pexels.com

สีสูทเจ้าบ่าว แมทช์ให้เข้ากับชุดเจ้าสาวหล่อสวยเป๊ะ! ไม่ง้อสีดำ

เพราะสีดำไม่ใช่คำตอบของชุดเจ้าบ่าวอีกต่อไป จึงไม่ใช่เรื่องแปลก ถ้าสีสูทเจ้าบ่าว จะมีสีสันอื่นๆ แต่ถ้าจะให้เพิ่มความเก๋ยิ่งขึ้น สีสูทเจ้าบ่าว ต้องแมทช์ให้เข้ากับสีชุดเจ้าสาวด้วยสิ รับรองเลิศ ถ่ายรูปออกมาสวยเป๊ะปังแน่นอน

ถ้ายังคิดไม่ออกว่าจะแมทช์ สีสูทเจ้าบ่าว ให้เข้ากับชุดเจ้าสาวยังไง แบบไหนดี แพรว wedding มีคำตอบ

1. สีเดียวกันเป๊ะๆ

คุณทั้งคู่ ต้องเลือกสีชุดที่มีสีเดียวกัน ขาวก็ต้องขาวทั้งคู่ ครีมก็ต้องครีมทั้งคู่ เพราะฉนั้น ต้องเลือกสีกันให้ดีๆ เพราะว่าไม่ใช่ทุกสีที่จะเข้ากับคุณทั้งคู่ได้

ชุดเจ้าบ่าว

2. โทนสีเดียวกัน แต่คนละเฉด

อย่างเช่นว่า คุณเจ้าบ่าวใส่สูทสีน้ำตาลเข้ม คุณเจ้าสาวก็ควรเลือกสีชุดที่เป็นสีในโทนเดียวกัน อาจจะเฉดอ่อนลงมาเป็นน้ำตาลอ่อนๆก็ได้

สีสูทเจ้าบ่าว

สีสูทเจ้าบ่าว

3. มีอย่างใดอย่างนึงที่สีลิงก์กันได้

แบบนี้เป็นที่นิยมทำกัน เพราะทำง่าย และออกมาดูดี สีที่ลิงก์กันนั้นอาจจะเป็น เนคไท เสื้อกั๊ก หรือ ดอกไม้ที่ใช้ตกแต่งผมของเจ้าสาวก็ได้เช่นกัน

สีสูทเจ้าบ่าว

ถ้าเราจัดเสื้อผ้าของเราให้เข้ากันได้แล้ว ก็อย่าลืมหาเครื่องประดับเก๋ๆ มาให้เข้ากันด้วยนะ จะได้ เป๊ะ อย่างสมบูรณ์

เฉดสีสำหรับงานแต่งงานในปี 2019 นี้ จะเน้นเฉดสีหลักที่หนักขึ้นกว่าปีก่อนๆ อย่างสีที่มาแรงสุดๆอยู่ในขณะนี้คงต้องยกให้สีแดงเบอร์กันดี ที่มองไปทางไหนก็เห็นสีนี้กระจายอยู่ในหลายๆงาน แต่เฉดสีที่จะมารับช่วงต่อและเป็นพระเอกในปีหน้า ก็คือเฉดสีในตระกูลสีม่วงทั้งหลาย ไม่ว่าจะเป็น พลัม อเมทิส ลาเวนเดอร์ ออร์คิด หรืออัลตร้าไวโอเล็ต ซึ่งเป็นสีแพนโทนหลักของปี 2018 ที่ Jenny Wren เวดดิ้งแพลนเนอร์ชาวอังกฤษ ออกมาบอกว่าจะฮิตยาวไปจนถึงปีหน้า และเว็บไซต์ด้านงานแต่งงานต่างๆทั่วโลก ต่างก็ยกให้สีม่วงเป็นสีที่มาแรงในปีหน้าเช่นกัน

เครดิตภาพ : pinterest

ติดตามไอเดียและเทคนิคต่างๆเกี่ยวกับงานแต่งงานได้ที่ praewwedding

แต่งงานในโบสถ์ทั้งทีบ่าวสาวลองมาดูจุดเด่น-จุดด้อยกันก่อนดีกว่า

การแต่งงานตามแบบฉบับพิธีทางศาสนาเป็นตัวเลือกที่เหมาะสมสำหรับคู่รักที่มีความศรัทธาร่วมกัน ซึ่งการ แต่งงานในโบสถ์ เป็นพิธีที่อบอุ่นน่ารัก เชื่อว่าว่าที่บ่าวสาวที่อยากมีงานแต่งงานเล็กๆ ต้องอยากจัดพิธีในที่แห่งนี้แน่นอน แต่ก็มีข้อจำกัดอยู่มากมายที่บ่าวสาวควรคำนึงก่อนที่จะจัดงานฉลองในสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ทางศาสนา เราอยากให้คุณพิจารณาข้อดี-ข้อเสียต่อไปนี้เพื่อตัดสินใจว่างานแต่งงานที่คุณวาดฝันไว้เหมาะที่จะเลือกโบสถ์เป็นสถานที่จัดงานแต่งงานจริงหรือ? หากคุณมั่นใจว่าต้องการงานแต่งงานที่มีแบบแผนไม่ใหญ่โตก็ลุยโลดค่ะ

 แต่งงานในโบสถ์

จุดเด่น

1. คริสตจักรจะมีการเตรียมพร้อมสำหรับพิธีการในทุกขั้นตอน

การตกแต่งภายในของโบสถ์ออกแบบมาเพื่องานที่เกี่ยวข้องกับทางศาสนาอยู่แล้ว จึงมีการตกแต่งมีที่ความคลาสสิคสวยงามเข้ากับพิธีกรรมของศาสนาคริสต์ คุณแทบไม่ต้องตกแต่งอะไรเพิ่มเติมเลย ในส่วนกำหนดการพิธีต่างๆ ทางโบสถ์ก็จะมีให้คู่บ่าวสาวเข้าอบรม ฝึกซ้อมสำหรับการเข้าพิธีแต่งงาน และช่วยดูแลภาพรวมของงาน จัดการในเรื่องต่างๆ ให้เป็นซะส่วนใหญ่ คุณแค่เตรียมตัวให้พร้อมสำหรับการเป็นเจ้าบ่าวเจ้าสาวก็พอค่ะ

2. มีที่นั่งมากมาย

คริสตจักรมักมีที่นั่งมากมายเพื่อรองรับคริสต์ศาสนิกชน ซึ่งใช้เป็นเก้าอี้ไม้แบบยาว เรียงกันหลายแถว แบ่งเป็นสองฝั่งสามารถนั่งด้วยกันได้หลายคน นอกจากช่วยให้คุณมั่นใจได้ว่าแขกทุกคนจะมีที่นั่งแล้ว ยังเป็นการช่วยประหยัดเงินค่าประดับตกแต่งเก้าอี้ในแต่ละตัวแบบงานอื่นๆ อีกด้วย

3. เพลงบรรเลงที่มีอยู่แล้ว

ไม่ว่าจะเป็นคณะนักร้องประสานเสียงหรือวงดนตรี คริสตจักรส่วนใหญ่จะจัดเตรียมดนตรีไว้สำหรับงานแต่งงานให้คุณโดยเฉพาะ โดยบทเพลงที่ใช้ตลอดพิธีแต่งงานจะต้องเป็นบทเพลงในพิธีกรรมที่ได้รับการรับรองจากทางโบสถ์ แต่ไม่ต้องห่วงนะคะว่าเพลงจะไม่ทันสมัยแล้วแขกจะเบื่อหรือเปล่า เพราะบทเพลงของศาสนาคริสต์มีความไพเราะที่เป็นเอกลักษณ์เข้ากับบรรยากาศแน่นอนค่ะ

4. ไม่ต้องกังวลเรื่องสภาพอากาศ

ไม่ว่าสภาพอากาศจะไม่เป็นใจท้องฟ้ามืดครึ้ม ฝนตก แดดแรงร้อนจัด คุณไม่ต้องเป็นกังวลเลยหากคุณจัดงานแต่งงานในที่ร่มอย่างในโบสถ์ที่เตรียมรับมือเรื่องสภาพอากาศไว้อย่างดี เช่น ในประเทศไทยมีอากาศที่ร้อนจัดภายในคริสตจักรจึงต้องมีการติดแอร์เปิดให้ในงานเย็นฉ่ำ โดยบ่าวสาวจะต้องชำระเงินในส่วนของค่าไฟเท่านี้เองค่ะ

5. ทุกคนได้มีส่วนร่วม

เพราะแขกร่วมงานทุกคนถือว่าได้มาเป็นสักขีพยานรักให้กับเจ้าบ่าวเจ้าสาว เป็นขั้นตอนสำคัญที่ทุกคนภายในงานต้องเห็นด้วยกับการแต่งงานของทั้งคู่ โดยเฉพาะครอบครัวที่มีส่วนร่วมมากที่สุด จะเห็นได้จากตอนเริ่มพิธีที่เจ้าสาวต้องเดินคล้องแขนเข้าโบสถ์มาพร้อมคุณพ่อของเจ้าสาวค่ะ

แต่งงานในโบสถ์

จุดด้อย

1. ไม่สามารถจัดงานเลี้ยงฉลองได้

หากคุณต้องการจัดทั้งงานที่เป็นพิธีกรรมทางศาสนาและงานปาร์ตี้เลี้ยงฉลองในสถานที่เดียวกัน ต้องบอกเลยว่าโบสถ์จะไม่ใช่ทางเลือกของคุณ เพราะส่วนใหญ่ไม่อนุญาตให้ใช้เป็นสถานที่จัดงานเลี้ยงฉลอง นอกเสียจากโบสถ์บางแห่งที่มีห้องโถงแยกออกมาให้สามารถใช้เป็นสถานที่จัดงานเลี้ยงได้ หรืออนุญาตเพียงแค่แจกสแน็คบ๊อกให้กับแขกที่มาร่วมงาน อย่างไรก็ตามจะมีกฎข้อห้ามสำหรับเรื่องเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ที่ใช้ในงานเลี้ยงอยู่ดี

2. การตกแต่งอย่างจำกัด

คุณไม่สามารถปรับแต่งหรือประดับประดาพื้นที่ให้เป็นในแบบที่คุณชื่นชอบหรือจัดเรียงเฟอร์นิเจอร์ภายในได้อย่างอิสระ การตกแต่งใช้พร๊อพได้น้อยชิ้น ไม่เน้นความสวยงามจากการปรุงแต่ง เพราะสถานที่มีความสวยงามในตัวเองอยู่แล้ว หากตกแต่งมากไปอาจดูรกและไม่เข้ากับบรรยากาศแบบเรียบง่ายไม่หวือหวาหรอกค่ะ

3. กฎระเบียบเรื่องการถ่ายภาพ

คริสตจักรแต่ละแห่งมีกฎของตัวเองซึ่งรวมถึงสิทธิ์หรือข้อห้ามในการถ่ายภาพด้วยแฟลชรวมไปถึงการใช้อุปกรณ์ต่างๆ ของช่างภาพมืออาชีพ และบางแห่งยังจำกัดจำนวนช่างภาพในงานไม่เกิน 1-2 คน เพราะฉะนั้นบ่าวสาวควรคุยกฎระเบียบข้อตกลงกับช่างภาพให้้เข้าใจอย่างชัดเจน เพื่อป้องกันการเกินความวุ่นวายจนพิธีต้องสะดุดแล้วจะโดนดุเอานะจ๊ะ

4. กฎระเบียบเยอะ

ก็ต้องเข้าใจนะคะว่างานที่เกี่ยวข้องกับพิธีกรรมทางศาสนามักมีกฎระเบียบเป็นของคู่กัน เป็นเรื่องที่ละเอียดอ่อน ทุกอย่างต้องเป๊ะ เช่น ต้องมาให้ตรงเวลาห้ามมาสายมาเลทเป็นอันขาด การแต่งกายสุภาพให้เกียรติสถานที่ ไม่สามารถแต่งตัวได้อย่างอิสระตามแฟชั่นเหมือนกับไปงานแต่งงานในสถานที่อื่นนะคะ

ส่วนคู่ไหนที่มั่นใจแล้วว่าจะใช้โบสถ์เป็นสถานที่จัดพิธีแต่งงานแน่นอน ลองมาศึกษาระเบียบของแต่ละนิกายอีกสักนิดให้รู้ลึกรู้จริงกันไปเลยค่ะ ยิ่งบ่าวสาวยิ่งต้องรู้! งานแต่งศาสนาคริสต์ มีกฎระเบียบข้อห้ามไหนให้ต้องเตรียมตัว

Cr : insideweddings.com, romeoandjuliet-weddings.com, pinterest.com

ทริคเลือกดนตรีในงานแต่งเบื้องต้นที่บ่าวสาวต้องรู้ก่อนตัดสินใจจ้าง

ดนตรีในงานแต่ง ช่วยสร้างบรรยากาศให้โรแมนติก แต่ก่อนอื่นมาทำความเข้าใจเรื่องพื้นฐานก่อนตัดสินใจจ้างกันก่อนนะ

มาทำความเข้าใจกันก่อนว่า ดนตรีในงานแต่ง สำคัญกับงานแต่งงานอย่างไร เพื่อจะได้ตั้งหลักเลือกวงดนตรีอย่างถูกต้อง

  • ดนตรีในช่วงพิธีการ

มักจะใช้เพลงบรรเลงหรือมีนักร้องเพื่อช่วยสร้างบรรยากาศให้โรแมนติกมากขึ้นในช่วงการเปิดตัวบ่าวสาว ตัดเค้ก อื่มอวยพร และโยนช่อดอกไม้

  • ดนตรีช่วงหลังพิธีการ หรืออาฟเตอร์ปาร์ตี้

อาจใช้วงดนตรีแบบเต็มวงก็ได้ แต่ถ้าอยากแดนซ์แบบจัดหนักก็ต้องเป็นดนตรีแนวอิเล็กทรอนิกส์สนุกๆ โดยมีดีเจเปิดแผ่น หรือคู่ไหนที่อยากชิลก็อาจเลือกวงอะคูสติกที่ฟังง่ายและสามารถโยกตามได้

ดนตรีในงานแต่ง

แล้วจะเลือกวงดนตรีแบบไหนดี แนะนำให้เริ่มคิดจาก

  • เครื่องดนตรี

ให้บ่าวสาวลองนึกถึงเครื่องดนตรีหรือเสียงของเครื่องดนตรีที่ชอบ และควรเลือกให้เหมาะกับธีมงานจะดีที่สุด

  • สไตล์เพลง

เลือกสไตล์เพลงที่ชอบ และตกลงกันให้ดีว่าจะเลือกเพลงแนวไหนให้เข้ากับงานมากที่สุด จากนั้นลองลิสต์รายชื่อเพลงที่ชอบหรือเพลงพิเศษที่อยากให้วงดนตรีเล่นเพื่อจะได้เลือกรูปแบบวงดนตรีได้ถูกต้อง

สิ่งที่ควรนำมาพิจารณาเพิ่มเติม ในการเลือกวงดนตรีหรือแนวเพลง

  • ความเป็นมืออาชีพ ด้วยประสบการณ์ที่สั่งสมมานานทำให้วงดนตรีทราบถึงลำดับพิธีการ จึงสามารถเลือกเพลงที่เหมาะสมและเล่นได้หลากหลายแนว ที่สำคัญคือ แก้ไขปัญหาเฉพาะหน้าได้และมีความรับผิดชอบ
  • งบประมาณ เป็นสิ่งสำคัญที่บ่าวสาวต้องคิดถึงเป็นอันดับแรกๆ เพราะค่าใช้จ่ายมักจะขึ้นอยู่กับขนาดและประเภทของวงดนตรีที่เลือก เช่น เพลงคลาสสิคอาจมีราคาสูงกว่าเพลงแจ๊ซ เพราะใช้เครื่องดนตรีที่แตกต่างกัน และยังขึ้นอยู่กับจำนวนชิ้นของเครื่องดนตรีที่ใช้ด้วย ซึ่งการใช้เครื่องดนตรี 3 ชิ้นขึ้นไปเป็นรูปแบบพื้นฐานของวงดนตรีเพื่อให้เกิดความสมบูรณ์ของเสียงเพลงมากที่สุด แต่หากงบน้อยหรือสถานที่จัดงานเล็กมาก จะเลือกใช้เครื่องดนตรีเพียงชิ้นเดียวในการบรรเลงโดยสามารถปรึกษากับวงดนตรีได้ว่าชิ้นไหนเหมาะสมที่สุด
  • จำนวนแขก ถ้าแขกมีจำนวนไม่มากนักอาจเลือกวงดนตรีขนาดเล็ก เพื่อเป็นการประหยัดค่าใช้จ่าย
  • ลักษณะแขกที่มาร่วมงาน เพื่อให้บ่าวสาวเลือกแนวเพลงให้เหมาะสม เช่น ถ้าจัดงานในหมู่เพื่อนฝูงอาจเลือกเป็นเพลงแดนซ์เพื่อความสนุกสนาน แต่ถ้าเป็นแขกผู้ใหญ่ เพลงแจ๊ส หรือเพลงคลาสสิคอาจจะเวิร์คที่สุดเพื่อความสบายหู
  • สถานที่ การจัดงานแต่งงานในโรงแรมสุดหรูกับงานแต่งสไตล์เอ้าท์ดอร์ วงดนตรีและแนวเพลงก็อาจจะต้องแตกต่างกันเพื่อให้เข้ากับสถานที่
  • ระบบเสียงของสถานที่จัดงาน ควรเช็กให้เรียบร้อยว่าต้องนำอุปกรณ์มาติดตั้งเพิ่มเติมหรือไม่
  • ขนาดของห้องจัดเลี้ยง หากห้องจัดเลี้ยงมีขนาดเล็ก แต่เลือกวงดนตรีวงใหญ่จัดเต็มมาเล่นในงาน ก็อาจจะกลายเป็นงานแสดงดนตรีไปได้

อ่านเรื่องดนตรีในงานเพิ่มเติม วงดนตรีในงานแต่งระหว่างดนตรีสด vs. เปิดแผ่น แบบไหนเวิร์กกว่ากัน

ภาพ classicshowentertainment.com, weddingroma.matrimonioromalowcost.it

หล่อได้แบบไม่ยากกับ 5 เทคนิคเลือกสูทเจ้าบ่าวให้เป๊ะในวันสำคัญ

ถึงแม้จะเป็นแค่ สูทเจ้าบ่าว แต่ก็ไม่ใช่ว่าจะใส่แบบไหนยังไงก็ได้นะจ๊ะ เพราะอย่าลืมว่าวันนี้เป็นวันสำคญของคุณที่จะมีภาพถ่ายบันทึกไว้ให้ได้หยิบมาดูอีกหลายรอบ เพราะฉะนั้นจะเลือกสูทที่ดีทั้งทีก็ต้องมีเทคนิคกันหน่อย กับ 5 หลักง่ายๆ ที่เรานำมาฝาก รับรองว่าคิดและทำตามนี้สูทเจ้าบ่าวที่ดูดีอยู่ใกล้แค่เอื้อม

1. หาข้อมูลเตรียมไว้นิดๆ หน่อยๆ

เจ้าบ่าวอาจจะไม่ได้สนใจเรื่องแฟชั่นว่าตอนนี้เทรนด์ของผู้ชายกำลังฮิตหรืออินอะไรกันอยู่ แต่ร้อยทั้งร้อยเจ้าบ่าวก็คงไม่อยากที่จะดูแย่ในวันแต่งงานของตัวเองใช่ไหมล่ะค่ะ เพราะฉะนั้นถึงแม้จะไม่ได้เป็นหนุ่มแฟชั่นนิสต้าตัวยง ก็ต้องใช้การหาข้อมูลเข้ามาช่วย ซึ่งเจ้าบ่าวไม่จำเป็นต้องเดินเข้าร้านสูทเป็น 10 หรือ 20 ร้าน แต่เพียงแค่คุณเข้าไปท่องโลกอินเตอร์เน็ตหรือเปิดนิตยสารแฟชั่นชั้นนำเพื่อหาสไตล์ของสูทที่คุณชอบ เชื่อเถอะว่ามันจะต้องมีลุคสุดเท่ที่คุณตามหาและเหมาะกับคุณแน่นอน จากนั้นก็เป็นขั้นตอนของการตามหาร้านหรือปรึกษาช่างผู้เชี่ยวชาญแล้ว

2. เลือกสูทจากรูปร่างตัวเอง

หากเจ้าบ่าวมีงบเพียงพอและอยากได้สูทแบรนด์เนมดีๆ สักตัวก็ไม่ใช่ว่าจะใส่แบรนด์ไหนเหมือนเหล่านายแบบก็ได้นะคะ เพราะสูทแต่ละแบรนด์ต่างก็มีรายละเอียดและการตัดเย็บที่แตกต่างกันออกไป ทั้งความยาว,  เนื้อผ้า และเส้นตะเข็บหรือฝีด้ายอันเป็นเอกลักษณ์

สูทเจ้าบ่าว

จากซ้าย: Dior, Tom Ford, Hugo Boss

3. ปรับเปลี่ยนทรงจากสูทตัวเก่า

เนื้อผ้าหรือการตัดเย็บของสูทที่ดีนั้นขึ้นอยู่กับงบประมาณที่มีด้วย เพราะฉะนั้นหากเจ้าบ่าวมีงบเป็นข้อจำกัดเทคนิคที่จะได้สูทที่ดูดีคือ การเลือกซื้อสูทราคาไม่แพงมากแล้วนำเงินที่เหลือมาใช้ในการปรับเปลี่ยนรูปทรงของสูทให้เหมาะกับตัวเอง แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นเพื่อให้ง่ายต่อการแก้ทรงควรเลือกซื้อสูทที่พอดีกับช่วงไหล่ แล้วนำมาให้ช่างมืออาชีพปรับแก้ช่วงเอวให้เข้ารูป เท่านี้ก็ได้สูทที่ถูกใจในงบประมาณที่ตั้งไว้แล้ว

4. โชว์ความเป็นตัวเองด้วยแอคเซสซอรี่

ไม่ว่าจะเป็น เสื้อเชิ้ต, เนคไท หรือพ็อคเก็ตสแควร์ ก็สามารถบ่งบอกถึงสไตล์ของเจ้าบ่าวได้เป็นอย่างดี อย่างเช่น สูทสีเทาแมตช์กับเสื้อเชิ้ตสีขาว เนคไทสีดำ และพ็อคเกตสแควร์สีขาว หรือจะจับคู่สูทสีเทาเข้ากับเสื้อเชิ้ตลายตารางสีน้ำเงิน และเนคไทสีสดใสสำหรับเจ้าบ่าวที่ต้องการลุคแบบแคชชวลสบายๆ ไม่เป็นทางการ และอย่าเคอะเขินหากจะลองให้ถุงเท้าโผล่ออกมาจากปลายขากางเกงนิดๆ หน่อยๆ ก็ช่วยให้ลุคของเจ้าบ่าวดูทันสมัยมากขึ้นไปอีก

สูทเจ้าบ่าว

5. อย่าลืมแก๊งเพื่อนเจ้าบ่าว

แก๊งหนุ่มๆ จะดูดีเสมอหากได้รวมกลุ่มกันในชุดสูทสุดเท่ เพราะฉะนั้นการพูดคุยตกลงถึงสไตล์กับเพื่อนเจ้าบ่าวให้เข้าใจจึงเป็นอีกหนึ่งเรื่องที่สำคัญ อาจกำหนดธีมสูท, สีสูท หรือแอคเซสซอรี่อื่นๆ เพื่อให้ลุคของทุกคนไปในทางเดียวกัน โดยต้องไม่ลืมสิ่งสำคัญที่ว่า เจ้าบ่าวจะต้องดูโดดเด่นจากเหล่าเพื่อนชายด้วยนะคะ

สูทเจ้าบ่าว

ดูไอเดียชุดเจ้าบ่าวและแก๊งเพื่อนเจ้าบ่าวเพิ่มเติมได้ที่นี่ คลิกเลย!

ภาพ : www.youtube.com, blog.trueromanceweddings.com, www.vogue.com, www.moss.co.uk, www.pinterest.com a

เลือกช่างภาพพรีเวดดิ้งอย่างไรไม่ให้พัง อ่านก่อนดีกว่าปวดหัวทีหลังนะจ๊ะ

ถ่ายภาพพรีเวดดิ้งทั้งทีก็ต้องถ่ายให้ดีให้ปังสิ เจ้าบ่าวพร้อม เจ้าสาวพร้อม แต่ช่างภาพล่ะจ๊ะหาได้หรือยัง … แต่บอกก่อนเลยนะ ว่าหาได้แล้วก็อย่าเพิ่งวางใจไป เพราะเราเห็นได้บ่อยๆ จากกรณีที่บ่าวสาวออกมาบ่นลงโซเชียลถึงเหตุการณ์ ช่างภาพพรีเวดดิ้ง  ถ่ายภาพออกมาแล้วพังแทนที่จะปังเสียนี่

แต่ไม่ต้องเครียดกันค่ะ เพราะทุกปัญหามีทางออกนะจ๊ะ เพียงแต่เราต้องรู้วิธีแก้เท่านั้นเอง … แพรว wedding เลยขอนำเทคนิคการเลือก ช่างภาพพรีเวดดิ้ง อย่างไรให้ปังมาแนะนำค่ะ

1. ดูจากผลงานเป็นหลัก

ผลงานที่ว่าคือทั้งผลงานภาพถ่ายและชื่อเสียงของภาพนะจ๊ะ ลองดูว่าชื่นชอบแนวภาพถ่ายไหม เพราะช่างภาพที่ถ่ายสวยก็ไม่ได้หมายความว่าจะเป็นแนวภาพที่เราชอบ และแนวภาพที่เราไม่ชอบก็ไม่ได้หมายความว่ามันไม่สวย (ยังไม่งงกันเนอะ) เพราะฉะนั้นอันดับแรกว่าที่บ่าวสาวต้องหาสไตล์ภาพพรีเวดดิ้งที่ตัวเองชอบให้ได้ก่อน แล้วค่อยติดต่อหาช่างภาพคนนั้นๆ โดยดูจากชื่อเสียง และการรีวิวของลูกค้านั่นเองค่ะ และที่สำคัญต้องเลือกช่างภาพที่มีสไตล์ตรงกับภาพถ่ายที่เราอยากได้ด้วยนะคะ

พรีเวดดิ้ง

2. ราคา

เราไม่ได้มาหลอกให้ว่าที่บ่าวสาวต้องเลือกช่างภาพจากราคานะจ๊ะ แต่แค่ต้องลองดูให้สมเหตุสมผล ว่าถูกไปหรือแพงไปไหม โดยอาจจะตัดสินจากผลงานเป็นหลัก อย่าเพิ่งเอาราคามาตัดสิน และขอเน้นยำเลยว่า ของถูกและดีมันไม่มีในโลกนะจ๊ะ หรือถ้ามีก็แค่ 0.01% เท่านั้น เพราะฉะนั้นบางครั้งการลงทุนก็เป็นเรื่องจำเป็น เพราะภาพถ่ายนั้นเป็นสิ่งที่จะอยู่กับว่าที่บ่าวสาวไปตลอด แล้วคุณจะยอมเอาภาพถ่ายครั้งสำคัญในชีวิตไปแลก เราว่ามันไม่คุ้มกันเลยน้าาา

พรีเวดดิ้ง

3. เลือกช่างภาพตามท้องถิ่น

สำหรับกรณีที่บ่าวสาวจะออกเดินทางไปถ่ายภาพพรีเวดดิ้งนอกสถานที่ ลองหาช่างภาพตามแต่ละท้องถิ่นดู เพราะว่าช่างภาพจะรู้มุมเด็ดๆ ของแต่ละสถานที่นั้นๆ และรู้ว่าจะต้องปฎิบัติตัวอย่าไร เตรียมอะไรเข้าไปถ่ายได้บ้าง และแน่นอนว่าภาพก็จะออกมาเป๊ะปัง ส่วนในเรื่องของผลพลอยได้ ว่าที่บ่าวสาวก็อาจจะได้ราคาที่ถูกลงเพราะช่างภาพไม่ต้องเดินทางค่ะ

พรีเวดดิ้ง

4. อุปกรณ์

อันนี้ลองสังเกตดูเนอะ ว่าช่างภาพมีอุปกรณ์พร้อมไหม ไม่ว่าจะไฟเสริม แผ่นรีเฟล็ก กล้อง หรือเลนส์ต่างๆ ยิ่งถ้าหากออกนอกสถานที่ด้วยแล้วทุกอย่างต้องพร้อม และช่างภาพที่เป็นมืออาชีพจะมีลูกทีมและอุปกรณ์ที่ครบครัน ดังนั้นลองสังเกตก่อน อ่านรีวิวเยอะๆ และลองเข้าไปส่องตามเพจ ตามไอจีดูกันก่อนเนอะ

พรีเวดดิ้ง

5. ฟีดแบคจากลูกค้า

โลกเราพัฒนาไปไกลมาก ลองอ่านรีวิวจากเฟซบุ๊ก เว็บบล็อกต่างๆ ให้เยอะ ซึ่งเป็นสิ่งที่สำคัญมาก อย่ามองแต่พอร์ทที่สวยงามเพียงอย่างเดียว เพราะบางครั้งงานดีจริง แต่อาจใช้เวลาส่งงานลูกค้านาน 2-3เดือน แบบนี้ก็ไม่ไหวเนอะ เพราะอาจจะรอจนไม่อยากดูไปเลย!!

พรีเวดดิ้ง

ถ้าอยากได้ภาพพรีเวดดิ้งสวยๆ ไม่ต้องมานั่งเซ็งหาเวลากลับไปถ่ายใหม่ก็ลองทำตามที่เราแนะนำไปนะคะ … และได้อ่านคำแนะนำดีๆ เกี่ยวกับช่างภาพพรีเวดดิ้งไปแล้ว ก็มาต่อกันกับ 3 ข้อแนะนำ จาก 3 ช่างภาพเวดดิ้งมือโปร รวมสิ่งที่ควรรู้ก่อนจ้างช่างภาพงานแต่ง

ภาพจาก : Pinterest.com

เรื่องเล็กๆ น้อยๆ กับสารพัดเมนูอาหารมงคลบนโต๊ะจีนที่บ่าวสาวควรรู้

ปัญหาอย่างหนึ่งที่บ่าวสาวเจอกันบ่อยๆ หลังจากตัดสินใจเลือก โต๊ะจีน มาเลี้ยงแขกในงานแต่งงานคือ ควรเลือกเมนูไหนดีที่จะเป็นเมนูอร่อย ให้ความมงคลและแขกกินง่าย เพราะแต่ละเซ็ตเมนูก็มีตั้ง 8 เมนูเป็นอย่างต่ำ เราจึงขอเปิดโต๊ะจีนพาคุณว่าที่บ่าวสาวส่องอาหารมงคลบนโต๊ะจีนกันเลยค่า 

 

  • หมู ไก่ เป็ด กุ้ง ปลา อาหารมงคลต้องมี

ตามความเชื่อของจีนอาหารมงคลมีมากมาย แต่ที่นิยมตลอดกาลคือ หมู ไก่ กุ้ง เป็ด ปลา และอาหารเส้น ซึ่งแต่ละอย่างก็มีความหมายดีๆ ทั้งนั้น

หมู มีความหมายสื่อถึงความมั่งคั่ง ความสมบูรณ์พูนสุขกินดีอยู่ดี และถ้าเป็นหมูหันก็จะเพิ่มเติมเรื่องความบริสุทธ์และสดใสของชีวิตคู่

 

กุ้ง โดยมากแล้วมักจัดเป็นกุ้งมังกร ซึ่งก็ตามชื่อเลยคร้า สื่อถึง มังกร สัตว์เทพในตำนานของชาวจีน ความมีอำนาจ ลาภ ยศ อีกทั้งยังสื่อถึงเงินทองไหลมาเทมาด้วยนะ เมนูกุ้งยอดฮิตคือ สลัดกุ้งทอง ยำตะไคร้กุ้งสด กุ้งอบวุ้นเส้น เป็นต้น

ไก่  มีมังกรแล้ว จะปราศจากหงส์ได้อย่างไร ไก่ คือตัวแทนของหงส์ หมายถึงความก้าวหน้า มีกุ้งและไก่อยู่คู่กันในชุดอาหารก็จะทำให้ชีวิตคู่เกื้อหนุนกัน ไก่มักนำมาทำเป็นอาหารอย่าง ซุปไก่ตุ๋นยาจีน ไก่ผัดเม็ดมะม่วงหิมพานต์

เป็ด เป็นตัวแทนของสัตว์ปีก เป็นมงคลของชีวิต ทำให้ชีวิตมีแต่สันติ ร่มเย็น เมนูเป็ดๆคือ  เป็ดย่างอบน้ำผึ้ง เป็ดปักกิ่ง เป็ดพะโล้สับ

ปลา เป็นอีกอาหารที่มีความมงคลในเรื่องเงินๆ ทองๆ ทำให้มีเงินเหลือกินเหลือใช้  เมนูยอดฮิตแบบอมตะนิรันดร์กาลมีทั้งนึ่งซีอิ๋ว นึ่งมะนาว และนึ่งบ๊วย

อาหารเส้น เส้นที่ยาวสื่อถึงการใช้ชีวิตคู่ที่ยืนยาว ยิ่งยาวยิ่งดี เพราะงั้นแล้วเวลากินจึงมีเคล็ดเล็กๆว่า ห้ามกัดขาดต้องกินทั้งเส้น และเมนูที่นิยมคือ หมีผัด โกยซีหมี่ หมี่ฮ่องกง เป็นต้น

 

  • เลขมงคล บนโต๊ะอาหาร

 

อาหารบนโต๊ะจีนมักจะถูกจัดออกมา 8  เมนูไม่รวมของหวาน  ที่เป็นอย่างนี้ก็เพราะว่า เลขแปด (bā)  พ้องกับคำว่า “โชคลาภ” (fā)   ในภาษาจีน  จึงถือกันว่าจัดมาแปดอย่าง คนจัดงานก็จะมีแต่โชคลาภ แต่บางครั้งอาหารก็มี 8-10 อย่างก็ได้

แต่ถ้าไม่ไหวจะจัดให้ถึง 8 ก็อย่าจัดอาหารไว้ 4 อย่าง เนื่องจากว่าเลขสี่ (sì) ดันไปพ้องกับคำว่าตาย (sĭ) เสียอย่างนั้น

หลังจากรู้ชนิดอาหารและจำนวนมงคลแล้ว ที่นี้ก็มาดูการจัดกลุ่มอาหารสำหรับเสิร์ฟบนโต๊ะจีนกันบ้างดีกว่า อาหารบนโต๊ะจีนสามารถรวมเป็นกลุ่มใหญ่ๆได้ 6 กลุ่มค่ะ

 

กลุ่มที่ 1 คือ ออเดิร์ฟ อาหารรองท้องเรียกน้ำย่อยให้ออกมาอาละวาดรอกวาดล้างอาหารทั้งหมดในกระเพาะ

กลุ่มที่ 2 คือ ซุปน้ำข้น อย่าง ซุปกระเพาะปลา

กลุ่มที่ 3 คือ กลุ่มกับข้าวจากเนื้อสัตว์มงคลทั้งหลาย กลุ่มนี้จะมีอยู่สักประมาณ 4 – 6 รายการ แล้วแต่บ่าวสาวเลย

กลุ่มที่ 4 คือ ซุปใส จัดมาเพื่อล้างปาก ดับความเลี่ยน อย่างพวก ซุปไก่ตุ๋นยาจีน

 

กลุ่มที่ 5 คือ เมนูอิ่ม เป็นเมนูปิดท้ายของอาหารคาว ไม่ว่าจะเป็น ข้าว หรืออาหารเส้น ที่เมนูอิ่มมาอยู่ลำดับหลังสุดก็เนื่องมาจากความเชื่อของชาวจีนที่จะต้องเลี้ยงดูแขกอย่างดี จึงจัดอาหารดีๆมาก่อน และส่งท้ายด้วยเมนูหนักๆสำหรับแขกที่ยังไม่อิ่ม

กลุ่มที่ 6 ด้วยกลุ่มของหวานที่จะทำให้ชีวิตคู่หวานไปยาวนาน ปราศจากความขมขื่น

เป็นไงค่ะ ไม่งงกับโต๊ะจีนแล้วเนอะ แม้ว่าจะดูเรื่องเยอะกว่าการจัดเลี้ยงแบบบุฟเฟ่ต์และค็อทเทล แต่ว่าอาหารแต่ละอย่างก็มีความหมายในทางมงคลทั้งนั้น และสำหรับแขกท่านใดหรือว่าที่บ่าวสาวคู่ไหนที่ได้รับเชิญให้ไปงานแบบโต๊ะจีนก็อย่าลืม เรียนรู้อุปกรณ์พร้อมมารยาทงานแต่งแบบโต๊ะจีน กันด้วยนะคะ

ขอบคุณข้อมูล คุณอำนาจ เชาว์วันกลาง Chinese Chef แห่งห้องอาหารหล่งฟ่งโรงแรมสวิสโซเทล เลอคองคอร์ด

เตรียมให้พร้อมคำถามงานแต่งที่แขกมักถามที่โต๊ะลงทะเบียนบ่อยๆ

ในวันแต่งงานว่าที่บ่าวสาวก็จะหมดภาระหน้าที่ในการจัดการต่างๆ และต้องปล่อยให้ผู้จัดงาน เวดดิ้งแพลนเนอร์ หรือเพื่อนเจ้าบ่าวเจ้าสาวเป็นผู้รับผิดชอบงานหลักๆ ตามความรับผิดชอบที่ได้รับมอบหมาย และอีกหนึ่งภารกิจที่ว่าที่บ่าวสาวจะต้องเตรียมผู้ช่วยในวันแต่งงานไว้ให้พร้อมก็คือ ผู้ที่จะต้องอยู่ที่โต๊ะลงทะเบียน เพราะพวกเขาเหล่านี้จะต้องเจอกับ คำถามงานแต่ง ต่างๆ จากบรรดาแขกที่มาถึง ซึ่งหากไม่เตี๊ยมกับบ่าวสาวให้ดีอาจจะเกิดอาการอ้ำอึ้งจนให้ข้อมูลกับแขกไม่ถูก โดยเฉพาะกับแขกผู้ใหญ่ที่ต้องการคำตอบ

 และนี่คือคำถามที่ผู้รับผิดชอบตรงจุดลงทะเบียนอาจจะต้องเจอ เพราะฉะนั้นเตี๊ยมกันไว้ให้ดีก่อนถึงวันงานนะ

 

“เมื่อไหร่จะเข้าไปนั่งในงานได้?”

ส่วนมากแขกผู้ใหญ่มักจะมาถึงงานก่อนที่บ่าวสาวจะลงมาถึงจุดถ่ายภาพเสียอีก และแน่นอนว่าคำถามตรงจุดลงทะเบียนที่มักเจอบ่อยๆ คือ “เมื่อไหร่จะเข้าไปในงานได้? หรือ เมื่อไหร่บ่าวสาวจะลงมา?” เพราะฉะนั้นบ่าวสาวจะต้องแจ้งกำหนดการหรือเวลาคร่าวๆ ไว้ให้ผู้ที่อยู่ตรงจุดลงทะเบียนได้ทราบด้วย พร้อมกันนี้อาจจะจัดให้มีเครื่องดื่มไว้รองรับแขกที่มาถึงก่อนเวลา เพื่อให้แขกรู้สึกว่าได้รับการใส่ใจเมื่อมาถึงหน้างานแม้จะยังไม่เจอบ่าวสาวก็ตามที

และถ้าหากงานแต่งงานของบ่าวสาวเป็นโต๊ะจีน อย่าลืมเตรียมข้อมูลรายชื่อแขกพร้อมกับหมายเลขโต๊ะไว้ให้กับผู้ที่อยู่ตรงจุดลงทะเบียนด้วย เพราะถึงแม้จะมีป้ายบอกหน้างานว่าแขกคนไหนหรือกลุ่มไหนนั่งโต๊ะอะไร แต่เชื่อเถอะว่า แขกผู้ใหญ่บางท่านก็จะต้องเดินมาถามที่โต๊ะลงทะเบียนเพื่อความชัวร์อีกรอบอยู่ดี และเมื่อถึงเวลาให้เข้างานบ่าวสาวก็ต้องจัดเตรียมผู้ที่จะพาแขกเดินไปยังโต๊ะของตัวเองด้วย ถือเป็นการอำนวยความสะดวกให้แขกรู้สึกอุ่นใจว่าบ่าวสาวให้ความใส่ใจกับพวกเขา พร้อมกันนี้ยังเป็นการป้องกันการนั่งผิดโต๊ะที่อาจจะสร้างความปวดหัวตามมาในภายหลังอีกด้วย

 

“อาหารจะเสิร์ฟเมื่อไหร่?”

เมื่อถึงเวลาที่แขกสามารถเข้าสู่งานได้ บางทีก็ไม่ได้หมายความว่าไลน์อาหารจะพร้อมให้บริการเลยนะ เช่น เปิดให้แขกงานได้ 18.00 น. แต่อาหารอาจจะเสิร์ฟเวลา 18.30 น. เพราะฉะนั้นเรื่องนี้ก็เป็นอีกหนึ่งเรื่องที่ผู้อยู่ตรงจุดลงทะเบียน หรือแก๊งเพื่อนเจ้าบ่าวเจ้าสาวจะต้องให้ข้อมูลกับแขกได้ ซึ่งตรงนี้อาจจะต้องมีการพูดคุยกับแคเทอริ่งหรือทางสถานที่จัดงานให้ดีเพื่อที่จะได้มีความเข้าใจที่ตรงกัน

 

 

“เสิร์ฟเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ตอนไหน?”

เมื่อแขกรับประทานอาหารจนอยู่ท้อง สิ่งต่อมาที่แขกมักถามหาคือ เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ซึ่งแขกบางคนอาจจะไม่ได้เดินไปถามที่จุดลงทะเบียน แต่อาจเดินไปขอที่บาร์เครื่องดื่มด้วยตัวเองเลยก็มี เพราะฉะนั้นนอกจากที่บ่าวสาวจะต้องแจ้งกับผู้ที่อยู่โต๊ะลงทะเบียน หรือแก๊งเพื่อนเจ้าบ่าวเจ้าสาวแล้ว เราขอแนะนำให้แจ้งพนักงานที่จุดบริการเครื่องดื่มไว้ด้วย (และต้องกำชับให้ใจแข็งสักนิด) เพราะหากพลาดเสิร์ฟให้แขกคนใดคนหนึ่งไปแค่แก้วเดียวก่อนเวลาอันควร เชื่อเถอะว่าไม่มีทางเบรกแก้วที่ 2, 3, 4 ได้แน่นอน หรือถ้าจะให้ดีก็เปิดบาร์แบบเต็มที่ในช่วงอาฟเตอร์ปาร์ตี้ไปเลย

ดูไอเดียและคำแนะนำดีๆ เกี่ยวกับการจัดงานแต่งงานเพิ่มเติมอีกเพียบได้ที่นี่ คลิกเลย!

ภาพ pexels.com

รู้จักและเข้าใจเพชร H&A และ 3Ex ก่อนเลือกซื้อเพชรมาทำแหวนแต่งงาน

รู้ไหมคะว่า Heart & Arrow และ 3 Excellent เป็นคุณสมบัติที่ควรให้ความสำคัญในการเลือกซื้อเพชรเป็นที่สุด เราจึงได้เชิญคุณอรพินท์ พงษ์ประพัฒน์ ผู้บริหารบริษัทเพชร Thye Seng Hong มาบอกเล่าถึงความสำคัญของสองสิ่งนี้เพื่อให้บ่าวสาวได้ แหวนแต่งงาน ที่ดีที่สุดมาครอบครอง

Q : สองคุณสมบัติที่ว่าคืออะไรบ้าง

A : H&A คือเพชรทรงกลม (Round Brilliant) ที่ได้รับการเจียระไนอย่างสมบูรณ์แบบ ทำให้มีประกายแสงแวววาว คุณสามารถมองเห็นลูกศร 8 ดอกจากด้านบนของเพชรและรูปหัวใจ 8 ดวงบริเวณด้านล่างเพชรด้วยการส่องกล้อง โดยต้องมีขนาดเท่าๆ กันเท่านั้น ส่วนคำว่า Excellent หรือเรียกสั้นๆ ว่า Ex คือการประเมินเพชรจากสถาบันอัญมณีซึ่งแบ่งออกเป็น การขัดเงา (Polish) ความสมมาตร (Symmetry) และการเจียระไนโดยรวม (Cut Grade) ซึ่งเพชรเม็ดไหนที่ได้การประเมินดีเยี่ยมระดับ Excellent ทั้ง 3 ส่วน ในใบเซอร์ (Certificate) เราจะเรียกเพชรเม็ดนั้นว่าเป็นเพชร 3Ex

Q : เพชร H&A ต้องเป็น 3 Ex เสมอไปหรือเปล่า

A : ไม่จำเป็นค่ะ เพราะเพชร H&A อาจจะได้รับการประเมินเรื่องความสมมาตรและการเจียระไนโดยรวมในระดับ Excellent แต่ในเรื่องการขัดเงาเพชรเม็ดนั้นอาจจะได้แค่ระดับ Very Good ก็เป็นได้ ซึ่งการเลือกซื้อแหวนเพชรคุณจะต้องเลือกจากพื้นฐาน 4C รวมถึง H&A และ 3Ex ประกอบกันไป

เลือกเพชร

Q : H&A และ 3Ex มีผลต่อราคามากน้อยแค่ไหน

A : เพชรที่เป็น H&A และ 3Ex จะมีราคาสูงกว่าเพชรที่ไม่มี H&A และ 3Ex ประมาณ 5-10 % เพราะการเจียระไนให้ได้เพชร H&A และ 3Ex จะต้องเสียเนื้อเพชรดิบมากกว่าการเจียระไนที่ด้อยกว่า ซึ่งหากจะให้แนะนำ บ่าว-สาวก็ควรเลือกเพชรที่มีคุณสมบัติสองสิ่งนี้ เพราะจะทำให้คุณได้แหวนเพชรที่คุ้มค่าและดีที่สุดไปครอบครอง

Q : อะไรคือสิ่งทำให้คุณสมบัติของ Heart&Arrow และ 3 Excellent ลดลง

A : อยู่ที่การใช้งานของแต่ละคนค่ะ บริเวณขอบเพชรจะเป็นส่วนที่บางที่สุด หากไม่ทันระวังแหวนอาจไปกระทบกับวัตถุแข็งจนทำให้เพชรเกิดรอยร้าวและแตกได้ ส่วนความหมองที่เกิดขึ้นจากคราบเหงื่อและแป้งไม่ส่งผลกระทบใดๆ ต่อ H&A และ 3Ex แน่นอน

Q : วิธีการเก็บรักษาและการทำความสะอาดเพชรให้คงคุณค่า Heart&Arrow และ 3 Excellent

A : ทำความสะอาดง่ายๆ ด้วยการใช้น้ำอุ่นผสมกับน้ำยาล้างจานจากนั้นให้คุณนำแหวนเพชรลงไปแช่ไว้ซักพัก นำแปรงสีฟันที่ไม่ได้ใช้งานแล้วมาแตะเบาๆ โดยห้ามใช้แปรงสีฟันถูหรือขัดเด็ดขาด เสร็จแล้วนำไปเช็ดให้แห้งและเก็บใส่ถุงแยกเป็นชิ้นๆ เพื่อป้องกันไม่ให้เพชรเสียดสีกันเองเพราะจะทำให้เกิดรอยได้ หรือจะเลือกใช้บริการทำความสะอาดตามร้านขายเพชรทั่วไปก็ได้เช่นกัน

ดูไอเดียและคำแนะนำเกี่ยวกับแหวนแต่งงานและเครื่องประดับเพิ่มเติม คลิกเลย!

ขอบคุณกูรูผู้ให้คำตอบเรื่องเพชร  คุณอรพินท์ พงษ์ประพัฒน์ ผู้บริหารบริษัทเพชร Thye Seng Hong

4 เรื่องต้องระวังเมื่อคิดจะทำพรีเซนเทชั่นงานแต่ง

เทรนด์การทำ พรีเซนเทชั่นงานแต่ง มีอยู่อย่างต่อเนื่องในทุกยุคค่ะ แต่แพรว wedding ขอเตือนตรงนี้ว่า ไม่ใช่แค่คิดอยากทำ มีตังค์คือจบ แต่ควรคิดถึง 4 เรื่องนี้ที่เรารวบมาฝาก ก่อนตัดสินใจนัดแนะคนทำงานจัดถ่าย 

1. พรีเซนเทชั่นที่ยาวเว่อร์

จริงอยู่ที่ยุคนี้คือยุคของการทำคลิปวิดีโอ ยุคแห่งภาพเคลื่อนไหวบนโลกโซเชียล ซึ่งขอบอกเลยว่า พรีเซนเทชั่นงานแต่งก็ไม่ต่างกัน เรื่องความยาวที่มากไปจะทำให้แขกเบื่อได้ง่ายๆ แถมยังเมื่อยคออีกด้วยนะคะ เพราะจอฉายส่วนใหญ่อยู่สูงกว่าระดับสายตาเสมอ ทำให้แขกเกิดอาการแหงนคอมองจอ ซึ่งถ้ามากกว่า 5 นาที แถมพรีเซนเทชั่นยังไม่น่าดึงดูด แขกทั้งงานไม่อยากดูหรอกค่ะ

2. พรีเซนเทชั่นที่มีในงานมากกว่า 2 ชิ้น

เคยเจอไหมคะที่ไปงานแต่งงานแล้วแบบว่าอารมณ์เหมือนยืนดูทีวีอยู่กับบ้าน เพราะก่อนเปิดตัวบ่าวสาวก็เปิดมา 1 ชิ้นเรียกน้ำย่อย อ่ะ! อันนี้ไม่ว่ากัน จากนั้นพอประธานลงไปก็เปิดอีก 1 ชิ้น อืม…อันนี้เริ่มงงๆ ว่าทำไมต้องมี จากนั้นก็ขอบคุณพ่อแม่ก็อีก 1 ชิ้น โอ๊ย…ซึ้งกันไป  นี่ยังไม่นับรวมพรีเซนเทชั่นเซอไพร้ส์อีกด้วยนะคะ แบบว่า…ไม่ขอบรรยายดีกว่า เอาเป็นว่า ที่บอกมาคือจำนวนพรีเซนเทชั่นที่เคยมีคนเปิดจริงในงานแต่ง ซึ่งแบบว่าแม้งบประมาณจะไม่จำกัด แต่แขกก็ไม่ได้แฮปปี้เสมอไปนะคะ

พรีเซนเทชั่นงานแต่ง

3. พรีเซนเทชั่นที่มีแต่บทพูดและหน้าคน

รูปแบบและวิธีการนำเสนอในพรีเซนเทชั่นสำคัญมากนะคะ เพราะอย่างที่บอกว่าอย่ายาวไปจะดีกว่า อย่ามีจำนวนมากจะดีมากเท่านั้นยังไม่พอ เพราะเนื้อหาควรดึงดูดด้วย ไม่ใช่ว่าบ่าวสาวพูดไม่เก่งเลยใช้การอัดคลิปมาเปิดแทนแค่นั้น คือถ้าพูดไปแล้ววิธีนี้ก็ช่วยได้ค่ะ แต่ควรมีการนำรูปภาพหรือคั่นด้วยภาพเคลื่อนไหวอะไรมาบ้าง ไม่ใช่ตั้งกล้องนิ่งๆ จ่อหน้าบ่าวสาวแล้วอัดมาเปิดเท่านั้นค่ะ

4. พรีเซนเทชั่นที่ดูแล้วปวดตาในความมืด

บ่าวสาวอาจไม่เชี่ยวชาญเรื่องเทคนิคการถ่ายทำ แต่เคยดูจากภาพยนตร์ต่างๆ แล้วชอบก็เกิดอินอยากให้ครั้งหนึ่งในชีวิตตัวเองได้มีพรีเซนเทชั่นสวยๆ ออกแนวอาร์ทๆ มาเก็บไว้ ทำได้ค่ะ ไม่ได้ห้าม เพียงแต่ว่าอย่าลืมว่าเวลาเปิดจะต้องปิดไฟทั้งห้อง ซึ่งถ้าภาพในพรีเซนเทชั่นทำให้คนดูปวดตามากไปก็ไม่ควรเสี่ยงนะคะ เพราะนอกจากแขกจะบ่นแล้ว ยังส่งผลถึงสุขภาพดวงตาอีกด้วยนะคะ เอาเป็นว่าภาพสวยแสงแปลกเลียนแบบหนังที่ปลื้มได้ แต่อาจต้องปรับความความเหมาะสมของสภาพแวดล้อมที่จัดงานด้วยนะคะ

ดูไอเดียงานแต่งงานอีกเพียบได้ที่นี่ คลิกเลย!

เรื่อง : Hoyamemoria
ภาพ : planyourperfectwedding.com

10 คำถาม-คำตอบ สัมภาษณ์บ่าวสาว บนเวที เตรียมไว้ให้ดีจะได้ไม่สตั๊นท์

เตรียมการไว้ให้ดีกับช่วง สัมภาษณ์บ่าวสาว บนเวทีให้ไม่มีสะดุด

ช่วง สัมภาษณ์บ่าวสาว บนเวที เป็นอีกช่วงเวลาหนึ่งที่ช่วยสร้างความบันเทิงให้กับแขกด้านล่างเวทีไม่น้อย แต่หัวใจสำคัญของการถามคือ คำถามต้องสนุก ดึงดูดคนฟัง และที่สำคัญไม่ยืดเยื้อเกินไป เพราะเดี๋ยวจะกลายเป็นกร่อยซะเปล่าๆ แพรว wedding เลยมีไอเดียคำถามที่ควรถามบนเวทีมาให้บ่าวสาวได้เลือกใช้กันตามความชอบและนิสัยของแต่ละคู่ ลองไปเช็คดูว่า ข้อไหนเหมาะกับคู่ของคุณบ้าง

1. รู้จักกันได้อย่างไร : เพื่อเป็นการบอกเล่าให้แขกในงานได้รู้จักคุณทั้งคู่ เพราะแขกที่มางานมีหลากหลาย ซึ่งบางคนคุณเองก็เพิ่งเคยเห็นหน้าครั้งแรกเช่นแขกของคุณพ่อคุณแม่ ฉะนั้นการมีคำถามเปิดตัวเพื่อแนะนำเรื่องราวของคุณทั้งคู่ให้ได้รู้จักกัน จึงไม่ควรพลาด (ในกรณีที่คุณมีวิดีโอพรีเซนเทชั่นมาแสดง คำถามนี้อาจไม่จำเป็น)

2. ความรู้สึกแรกที่เห็นหน้า : เป็นคำถามที่บางคนถามเพื่อเอาฮา เพราะเจ้าบ่าวเจ้าสาวบางคู่เลือกที่จะตอบแบบสนุกสนานและหยอกเอินแซวเรื่องหน้าตากันบนเวทีแบบพอน่ารัก ขณะที่บางคู่จะเขินอายแอบซึ้งแอบชมกันเนียนๆ ต่อหน้าธารกำนัลก็มี ฉะนั้นจึงอยู่ที่พระเอกนางเอกของงานว่าจะตอบไปทางแนวไหน

3. กลยุทธการจีบ : คำถามนี้ต้องระวังเวลาถามให้ดี เพราะถ้าเจ้าบ่าวเจ้าสาวที่ไม่ได้เรียนย่อความมา อาจเกิดอาการเล่ายาวยืดเยื้อจนแขกเลิกสนใจไปเลย ฉะนั้นสิ่งทั้งคู่พึงตระหนักคือ เล่าได้แต่ให้กระชับจะดีที่สุด

4. เกิดความประทับใจอีกฝ่ายตอนไหน : คำถามนี้เรียกได้ว่าเป็นคำถามแถลงการณ์ความนัยของแต่ละฝ่ายว่าเหตุผลกลใดจึงเซย์เยสรับรักอีกฝ่ายมาไว้ในดวงใจ เจอคำถามนี้เมื่อไหร่ เตรียมซึ้งไว้ล่วงหน้าได้เลย

5. จำวันที่ตกลงเป็นแฟนกันได้ไหม : เตือนไว้ก่อนสำหรับคู่รักที่รู้ว่าตัวเองความจำสั้นควรคุ้ยหาคำตอบเรื่องวันที่เตรียมไว้บ้าง แต่หากจำไม่ได้จริงๆ แนะนำให้เลี่ยงพูดถึงตัวเลขวันที่แต่ให้เล่าเหตุการณ์ในวันที่ได้ตกลงปลงใจเป็นแฟนกันแทน

6. เล่าวันที่ขอแต่งงาน : อาจเล่าเป็นเหตุการณ์ที่ทำเซอร์ไพร้ส์หรือโมเม้นต์ที่คุกเข่าขออีกฝ่ายแต่งงาน อย่าลืมแทรกความรู้สึกทั้งหมดที่มีของหัวใจลงไปด้วย รับรองว่า อรรถรสและเสียงกรี๊ดแห่งความอิจฉาของเพื่อนๆ มาเต็ม

7. ของขวัญชิ้นแรกหรือเซอร์ไพร้ส์แรก : เป็นคำถามที่อาจถามเพื่อนำทางสู่การให้ของขวัญหรือเซอร์ไพร้ส์กันบนเวที แต่เตือนไว้อย่างว่า ถ้าจะเซอร์ไพร้ส์ต้องให้เนียนและเก็บเป็นความลับให้มิดชิดที่สุด ไม่อย่างนั้นแป้กแน่ๆ

8. คำสัญญา : เป็นการนำทางสู่ความซึ้งช่วงท้ายบนเวทีที่เปิดโอกาสให้แต่ละฝ่ายกล่าวถึงความตั้งใจของตัวเองในการใช้ชีวิตร่วมกันในอนาคต พูดเสร็จอย่าลืมสบตาซึ้งและหอมแก้มกันหนักๆ บนเวทีด้วยล่ะ

9. จะมีลูกกี่คน : อาจใช้คำถามนี้ทิ้งท้ายเพื่อสร้างสีสันในงานและนำทางสู่คำถามปิดท้ายข้อต่อไป…

10. คืนนี้จะทำอะไรกัน : แน่นอนว่าคำถามนี้ห้ามเตี๊ยมกับบ่าวสาวเด็ดขาด เพราะเป็นคำถามเรียกเสียงฮาส่งท้าย ซึ่งถ้าถามกับบ่าวสาวที่เรียบร้อย ภาพที่ได้จะออกแนวสะท้านอายพูดไม่ออก บอกไม่ได้

          แต่ถ้าเมื่อไหร่ถามกับคู่รักที่มีนิสัยสนุก การันตีได้เลยว่า คำตอบที่ได้ฮาน้ำตาเล็ดแน่นอน

นอกจากเตรียมคำถาม-คำตอบบนเวทีแล้ว ช็อตเปิดตัวบ่าวสาวก็ต้องเตรียมไว้เหมือนกันนะ คู่ไหนยังคิดไม่ออก ตามไปดู 12 ไอเดียเปิดตัวบ่าวสาวเก๋ๆ ที่น่าจดจำในภาพถ่ายไม่รู้ลืม กันเลย

ภาพเปิด : stocksnap.io

ไขข้อข้องใจเรื่อง “ค่าน้ำนม” ส่วนต่างใน สินสอด ที่ใครหลายคนสงสัยทำไมต้องจ่าย

“ค่าน้ำนม” ที่รวมอยู่ใน สินสอด คืออะไร? เหตุไฉนทำไมต้องจ่ายกันนะ?

หนึ่งใน สินสอด ที่เรามักจะได้ยินก็คือ เงินค่าน้ำนม แต่คุณเคยสงสัยกันไหมว่าเงินส่วนนี้คือเงินอะไร แล้วเงินค่าน้ำนมที่ว่านี้มีทั้งในประเพณีแต่งงานไทยและจีนหรือเปล่า หากว่าที่บ่าวสาวคู่ไหนสนใจใคร่รู้เหมือนกันละก็ เราเสิร์ชและสรุปมาให้กระจ่างแล้ว

ความหมายของเงินค่าน้ำนม

ขอเริ่มต้นอย่างเป็นทางการกับคำว่า “ค่าน้ำนม” ตามพจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน ฉบับ 2554 ที่ได้ให้ความหมายไว้ว่า “เป็นเงินที่ฝ่ายชายต้องจ่ายให้แก่บิดามารดาฝ่ายหญิงในการสู่ขอเพื่อตอบแทนเป็นค่าที่ได้เลี้ยงดูมา” นอกจากนี้ยังระบุว่าคนไทยมักนิยมใช้คำว่า “ค่าน้ำนม” เข้าคู่กับคำว่า ข้าวป้อน เป็น ค่าน้ำนมข้าวป้อน ดังคำโบราณที่ว่า ให้คิดเอาค่าน้ำนมข้าวป้อน ค่าเลี้ยงรักษาแก่มันแลชายซึ่งภาเอาหญิงไปเลี้ยงนั้นให้มันช่วยหญิงเสียกึ่ง

แต่ในปัจจุบัน เงินค่าน้ำนม หมายถึง เงินที่ฝ่ายชายต้องจ่ายให้กับพ่อ-แม่ของฝ่ายหญิง เพื่อเป็นการตอบแทนค่าน้ำนมที่ใช้เลี้ยงว่าที่ภรรยามาจนเติบใหญ่นั่นเอง ส่วนการให้ในแต่ละประเพณีจะแตกต่างกันอย่างไร มาดูกันจ้า

ความแตกต่างของเงินค่าน้ำนมในประเพณีไทยและจีน

ในการแต่งงานของคนไทย ค่าน้ำนม จะเรียกรวมอยู่กับเงินสินสอด เพื่อเป็นการให้เกียรติพ่อ-แม่ฝ่ายหญิง ซึ่งในอดีตมักจะเรียกค่าสินสอดกันประมาณ 30 หรือ 40 บาท พอเป็นพิธี เพราะหากเรียกมากกว่านั้นอาจถูกชาวบ้านนินทาได้ว่า บ้านนี้ขายลูกสาวกิน! และพ่อ-แม่จะมอบคืนให้กับคู่แต่งงาน เพื่อเป็นเงินทุนสำหรับสร้างครอบครัวต่อไป ซึ่งในปัจจุบันเงินค่าน้ำนมของคนไทยจะให้กันตามเห็นแต่สมควรตามกำลังจะให้ได้หรือตกลงกันทั้งสองฝ่าย ไม่มากหรือน้อยจนเกินไป โดยส่วนใหญ่ที่เห็นก็หลักใกล้หมื่นถึงหมื่นขึ้นไป หากบ้านไหนมีฐานะก็อาจให้มากกว่านั้นก็ได้

สำหรับประเพณีจีน ความหมายของเงินค่าน้ำนมมีความเหมือนกันกับของคนไทย แต่จะต่างกันตรงที่มีการแยกเงินค่าน้ำนมออกจากเงินสินสอดอย่างชัดเจน โดยจำนวนเงินจะขึ้นอยู่กับการตกลงกันของพ่อ-แม่ทั้งสองฝ่าย ซึ่งพ่อ-แม่ของเจ้าบ่าวจะเป็นฝ่ายทำการจัดซองแดง 4 ซอง สำหรับมอบให้กับพ่อ-แม่เจ้าสาวโดยเฉพาะ ได้แก่

  • ซองสำหรับค่าน้ำนม
  • ซองสำหรับค่าเสื้อผ้า
  • ซองสำหรับค่าเสริมสวย
  • ซองสำหรับเป็นทุนตั้งตัว

ซึ่งเราขอแอบกระซิบบอกบ่าว-สาวว่าเงินทั้ง 4 ซองนี้ จะได้คืนเป็นขวัญถุงหรือไม่ขึ้นอยู่กับความปราณีของพ่อ-แม่เจ้าสาวเท่านั้นนะจ๊ะ

ทั้งหมดนี้เราจะเห็นได้ว่าไม่ว่าจะเป็นเงินค่าน้ำนมของไทยหรือจีน ก็มีความหมายที่เหมือนๆ กัน แต่จะแตกต่างกันก็เพียงแค่วิธีการให้เท่านั้น จึงทำให้ใครหลายๆ คนมักตีความเหมารวมว่ามันคือเงินส่วนเดียวกันนั่นเองจ้า

เมื่อทราบถึงที่มาที่ไปของค่าน้ำนมในสินสอดแล้ว ก็ต้องเตรียม >>> สคริปต์งานไทย 2 ภาษาจัดเต็มทั้ง เจรจา สู่ขอ นับสินสอด และสวมแหวน

ขอบคุณภาพและเนื้อหาจาก : www.luckpermpoon.com, dictionary.sanook.com

อย่าปล่อยให้ ดนตรีในงานแต่ง มาทำให้งานของคุณพัง มาดูวิธีรับมือกันดีกว่า

งานแต่งงานคืองานในฝันของบ่าวสาวทุกคน ที่อยากจะเนรมิตให้งานออกมาสมบูรณ์แบบและเพอร์เฟกต์มากที่สุด ดังนั้นเราควรจะต้องมีการวางแผนงานที่ดีในทุกๆ ด้าน เพื่อให้งานออกมาดีที่สุด แต่มีอีกสิ่งที่ไม่ควรจะมองข้ามเลยก็คือ ” ดนตรีในงานแต่ง “

ดนตรีในงานแต่ง ถึงแม้จะเป็นเพียงดีเทลเล็กๆ น้อยๆ ในงานที่บ่าวสาวบางคนอาจจะมองข้ามไป แต่เราอยากให้บ่าวสาวได้ลองหันกลับมาดูกันสักหน่อยและอย่าละเลยเลยนะคะ เพราะดนตรีในงานแต่งคืออีกหนึ่งสิ่งที่จะช่วยเพิ่มสีสันและความสนุกให้งานได้ไม่น้อย ดังนั้นเราอย่าปล่อยให้ดนตรีในงานแต่งมาทำให้งานของเราพัง ว่าแล้วก็มาดูวิธีการรับมือกับเรื่องนี้กันเลยดีกว่า 

1. อย่าเริ่มต้นงานด้วยความเงียบ

แน่นอนว่าน่าจะเป็นบรรยากาศที่ไม่ดีเท่าไหร่ ถ้าแขกที่เข้ามาในงานแต่งงานเดินเข้างานมาแบบเงียบๆ ไร้เสียงเพลงบรรเลงใดๆ และงานแต่งงานคืองานมงคล และงานที่ทุกคนมีความสุข ดังนั้นบ่าวสาวควรหาเพลงมาเปิดคลอเบาๆ หรือหาวงดนตรีมาเล่นบรรเลง อย่าปล่อยให้งานเงียบเหงาเลยนะจ๊ะ อย่างน้อยก็เป็นการช่วยบิ้วด์อารมณ์ให้กับแขกภายในงาน รวมไปถึงตัวบ่าวสาวเองด้วย

ดนตรีในงานแต่ง

2. ควรพูดคุยกับนักดนตรีก่อนงานเริ่ม

โดยคุยตกลงถึงความต้องการที่อยากได้ อย่าปล่อยให้นักดนตรีดีไซน์เพลงออกมาเอง คุณควรพูดคุยเพื่อความเข้าใจของทั้งบ่าวสาวและวงดนตรีให้ตรงกัน ว่าต้องการให้เพลงในงานออกมาในรูปแบบใด ดีกว่าออกมาแบบมึนๆ แบบหลงธีมงานแต่งนะจ๊ะ

ดนตรีในงานแต่ง

3. เลือกเพลงให้ถูกต้องเหมาะสม

ที่พูดมานี้ คือการเลือกเพลงให้เข้ากับช่วงพิธีการ และช่วงเวลาที่เหมาะสม หากกำลังเป็นช่วงพิธีการ ลองเลือกเพลงเบาๆ ซอฟต์ๆ แล้วหลังจากนั้นในช่วงอาฟเตอร์ปาร์ตี้ จะสนุกสุดเหวี่ยงก็ตามแต่ความต้องการของคู่บ่าวสาวเลยจ้าาาา

ดนตรีในงานแต่ง

4. ควบคุมความดังของเสียง

คงเป็นอะไรที่ไม่ดีนัก ถ้าเปิดดนตรีในงานแต่งให้ดังจนเกินไป จนทำให้แขกในงานต้องตะโกนคุยกันจนคอแห้ง ควรเลือกระดับเสียงที่พอดี ไม่ทำลายสุขภาพหูของแขกในงานนะจ๊ะ เพราะแขกในงานคงจะเซ็งแย่ ถ้าต้องทนฟังเพลงดังๆ และค้องตะโกนคุยกันตลอดงาน

ดนตรีในงานแต่ง

5. อย่าปล่อยให้ช่วงเวลาเปิดเพลงยาวนานเกินไป

การที่ไม่เปิดเพลงเลย ก็ทำให้บรรยากาศดูจืดๆ ลงไป แต่ถ้าเปิดตลอดจนยืดเยื้อไม่พอดีก็อาจจะทำให้แขกเบื่อได้ ดังนั้นลองหากิจกรรมอื่นๆ มาแทรกให้พิธีการให้ดูน่าสนุกสนาน แล้วค่อยพักเบรคด้วยการฟังเพลงเพราะๆ น่าจะเป็นไอเดียที่ดีกว่านะคะ

ดนตรีในงานแต่ง

อะไรที่มากจนเกินไป หรือน้อยจนเกินไปมันก็จะไม่สมดุล เพราะฉะนั้นบ่าวสาวลองวางแผนให้ดีๆ อย่าปล่อยให้เรื่องของดนตรีในงานแต่งมาทำให้งานพังนะจ๊ะ … นอกจากนี้ลองมาดู คำแนะนำการเลือก วงดนตรีในงานแต่ง จากกูรู…เลือกอย่างไรให้ปัง

ภาพจาก : Pinterest.com

ว่าที่บ่าวสาวได้สถานที่จัดงานแต่งโดนใจแน่…แค่คลิกอ่าน!! คอนเฟิร์ม

หลายคู่ไฝว้กันไม่ลงตัวซะทีกับเรื่อง สถานที่จัดงานแต่ง ไม่ว่าจะเป็นจัดงานอินดอร์หรือเอาทดอร์ จัดที่กทม. หรือ ตจว. พอได้สถานที่มาในลิสต์แล้วก็ตัดใจไม่ลง แล้วแบบนี้เมื่อไหร่จะได้ข้อสรุปสักที วันนี้เราจึงหาวิธีดีๆ แบบเป็นขั้นเป็นตอนที่จะทำให้คุณว่าที่ทั้งหลาย ได้สถานที่จัดงานแต่งงานอย่างใจปรารถนามาให้ รับรองว่า แค่คุณตั้งใจอ่านและทำตาม อาการไฝว้แบบหาข้อสรุปไม่ได้จะยุติลงทันใด เริ่มตั้งแต่

1. สรุปรูปแบบงานแต่งที่ชอบ

kandhavas-wedding
โรงแรมพลาซ่า แอทธินี

จำไว้ค่ะว่า รูปแบบงานคือตัวกำหนดสถานที่ ดังนั้นคุณจะเลือกสถานที่ไม่ได้แน่นอน ถ้าคุณยังไม่รู้แน่ชัดว่า คุณจะจัดงานทั้งหมดกี่พิธี เมื่อจัดพิธีเสร็จแล้วจะจัดเลี้ยงฉลองต่อเลยหรือเว้นวันเว้นชั่วโมงในการจัดงานเลี้ยงฉลอง เราจึงขอให้คุณสรุปเรื่องรูปแบบงานให้ได้ก่อน แล้วจึงหาพื้นที่จัดงานเป็นขั้นตอนต่อไป นอกจากนี้ถ้าภาพในในหัวมีบรรกากาศแวดล้อมแทรกมาได้ก็แทรกเลย เช่น รูปแบบงานแต่งที่อยากได้จะต้องอยู่ในบรรยากาศแวดล้อมของเสียงคลื่น เสียงน้ำ หรือความเขียวขจีของต้นไม้หรือเปล่า เพราะสิ่งเหล่านี้จะกลายเป็นโจทย์ย่อยๆ ประกอบการเลือกพื้นที่จัดงานต่อไป

2. เลือกพื้นที่จัดงาน (กทม. หรือ ตจว.)

เอาล่ะ เมื่อคุณรู้แล้วว่า รูปแบบงานแต่งงานที่เลือกเป็นแบบไหน การหาสถานที่จัดงานจะง่ายขึ้นมาอีกหนึ่งสเต็ป แต่ยังไม่ต้องผลีผลามเลือกเป็นที่ๆ ไปนะคะ ค่อยๆ ลดสโคปงานของตัวเองก่อน โดยตอนนี้เราอยากให้คุณเลือกให้ได้ว่า งานพิธีที่ว่าจัดจะอยู่ในพื้นที่ใดในประเทศบ้าง เช่น ถ้าฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งมีภูมิลำเนาอยู่ต่างจังหวัด จะจัดงานที่บ้านเกิดด้วยไหม หรือถ้ามีภูมิลำเนาอยู่ต่างจังหวัดทั้งคู่ จะต้องจัดทั้งสองจังหวัดหรือเปล่า แล้วจะมีงานฉลองกับเพื่อนๆ ในกรุงเทพฯ ด้วยไหม ซึ่งถ้าคุณได้ข้อสรุปตรงนี้แล้ว การบ้านของคุณในการมองหาสถานที่ก็จะถูกจำกัดอยู่ในพื้นที่ที่แคบลงไปอีกสเต็ปไงล่ะคะ

3. เลือกประเภทสถานที่จัดงาน (โรงแรม, รีสอร์ท, หอประชุมโรงเรียน, สมาคม ฯลฯ + มีบรรยากาศอย่างฝันไหม เช่น ริมทะเลหรือในสวน)

pnwedding_180007
โรงแรมมิลเลนเนียม ฮิลตัน

เมื่อเลือกได้แล้วว่าจะจัดที่จังหวัดไหน คุณก็มาลงลึกถึงพื้นที่นั้นๆ กันเลยว่ามีสถานที่ไหนรับจัดงานแต่งงานบ้าง โดยในขั้นตอนนี้ อาจแบ่งลงไปอีกนิดว่า สถานที่จัดงานที่ว่าเป็นประเภทไหนบ้าง เช่น โรงแรม รีสอร์ท หอประชุม สมาคม หรือเป็นสถานที่รับจัดงานแต่งงานโดยเฉพาะ จากนั้นถามใจคุณเลยค่ะ ว่าอยากได้สถานที่ประมาณไหน เพราะแต่ละที่มีข้อดีข้อเสียต่างกัน ซึ่งส่วนใหญ่จะมีเงื่อนไขกันประมาณนี้ค่ะ

  • “โรงแรม” มีห้องจัดเลี้ยงให้ มีบริการอาหารและพนักงานเสร็จสรรพ ที่จอดรถก็โอเค แต่งบประมาณที่มีสมดุลหรือเปล่า
  • “รีสอร์ต” น่าจะตอบโจทย์ได้ดีกับกลุ่มคู่รักนิยมธรรมชาติ แต่พื้นที่จัดงานอาจไม่ได้ใหญ่โต มีเรื่องการเหมาห้องมาเป็นตัวกำหนดหรือเปล่า รวมถึงถ้าต้องเหมารีสอร์ตคุณโอเคไหม ที่สำคัญคือ ถ้าไม่เหมาต้องจัดงานแบบเกรงใจแขกเหรื่อที่มาพักคนอื่นๆ ด้วยนะ ซึ่งบางครั้งบางรีสอร์ตจะมีกฎให้จัดงานได้ถึงแต่ 22.00 น. เท่านั้น คุณโอเคหรือเปล่า
  • “หอประชุมโรงเรียนและสมาคมต่างๆ” อาจได้ความดีงามที่ความใหญ่โต๊ะมโหฬาร แต่คงไม่มีอาหารและคนมาบริการ นั่นแปลว่าต้องไปหาทุกสิ่งมาลงเองแน่นอน คุณโอเคไหมละ

4. เปรียบเทียบความดีงามและงบประมาณที่มี

ถ้าคุณเลือกได้แล้วว่าจะจัดงานแต่งงานยังสถานที่ประมาณใดประเภทหนึ่ง ให้นำหลายๆ สถานที่ในประเภทเดียวกันมาเทียบหาความแตกต่างค่อยตัดสินใจเลือก เช่น ถ้าคุณเลือกจัดงานในโรงแรมก็ให้หาโรงแรมที่มีคุณสมบัติตรงใจมาสัก 3-4 โรงแรม แล้วนำรายละเอียดต่างๆ มาเทียบกันเลย ไม่ว่าจะเป็นรองรับแขกได้ตามต้องการไหม รายละเอียดแพ็กเกจให้อะไรไม่ให้อะไรต่างกันแค่ไหน และคุณรับได้หรือเปล่า ค่าใช้จ่ายบวกลบต่างกันแค่ไหน และในความต่างกันนั้น ตอบโจทย์ความต้องการที่ตั้งไว้มากน้อยแค่ไหน อาหารแต่ละที่รสชาติเป็นยังไงบ้าง  เดินทางมาถึงลำบากมากไหม เป็นต้น

ที่สำคัญ การเปรียบเทียบที่ว่านี้ ต้องไม่ลืมเทียบกับงบประมาณที่คุณกำหนดเสมอว่า สมเหตุสมผลหรือเปล่า บางครั้งงบที่ตั้งไว้อาจไม่พอ แต่ความดีงามถูกใจในสถานที่นั้นๆ มากพอให้คุณยอมควักเงินจ่ายเพิ่มหรือเปล่า เรื่องนี้คุณเท่านั้นที่จะตอบได้

5. เลือกสถานที่จัดงานแต่งงานได้เลย

dsc04652
โรงแรม S31

เมื่อเทียบข้อดีข้อเสียเรียบร้อย คุณก็จะได้สถานที่จัดงานแต่งงานที่โดนใจหรือใกล้กับความต้องการในใจคุณมากที่สุดค่ะ

ดูเรื่องราวเกี่ยวกับสถานที่แต่งงานและสถานที่ฮันนีมูนเพิ่มเติมได้ที่นี่ คลิกเลย! a a a a a a