รูป-แสง-เสียง 3 สิ่งนี้ที่ควรมีอยู่ในลิสต์งบประมาณงานแต่งด้วย

หากว่าที่บ่าวสาววาง งบประมาณงานแต่ง เอาไว้แล้ว อย่าลืมรวม 3 สิ่งนี้เข้าไปด้วยนะ

หลังจากที่บ่าวสาวได้ตั้ง งบประมาณงานแต่ง ไว้คร่าวๆ สำหรับการจัดงานแต่งแล้ว บางคู่ที่มีงบเหลืออาจจะเพิ่มเติมบางสิ่งที่พิเศษเข้าไปอีกเล็กๆ น้อยๆ ในงานแต่งงานของพวกเขา แต่สำหรับคู่ไหนที่มีงบจำกัดก็ไม่ได้หมายความว่างานแต่งของคุณจะเหี่ยวเฉาหรือจืดชืดนะคะ วันนี้ แพรว wedding มาพร้อมกับ 3 สิ่งที่แค่เติมลงไปในงานแต่งปุ๊บก็ช่วยสร้างบรรยากาศให้ดูดีปั๊บมาฝาก

 

รูป – ดอกไม้

งบประมาณงานแต่ง

ดอกไม้ อาจจะไม่สามารถอยู่รอดคงทนความสดใสสดชื่นได้หลังจากวันแต่งงาน จึงทำให้บ่าวสาวบางคู่ลังเลที่จะทุ่มเงินไปกับการจัดดอกไม้ แต่ดอกไม้ในงานแต่งเป็นสิ่งที่จะช่วยให้บรรยากาศของงานดูดูสดชื่น และทำให้แขกสามารถจดจำงานแต่งงานของบ่าวสาวได้อีกด้วย เพราะ ดอกไม้ เป็นสิ่งที่แขกจะสามารถมองเห็นได้เป็นอย่างแรกเมื่อเข้าสู่งานหรือห้องจัดเลี้ยง และเป็นจุดที่แขกมักจะใช้เป็นมุมถ่ายภาพลงโซเชียลอยู่เสมอ เพราะฉะนั้นหากบ่าวสาวจะต้องเพิ่มเงินอีกเล็กน้อย ลองพยายามเพิ่มการตกแต่งดอกไม้ให้กับบรรยากาศงานแต่งงานของคุณสักหน่อย อย่างน้อยก็อาจจะจัดไว้ที่แบ็กดร็อปถ่ายภาพ หรือบริเวณทางเข้างานก็ยังดี เพื่อให้แขกได้พบกับความสดชื่นก่อนเดินเข้าสู่บรรยากาศภายใน

 

แสง – แสงสี

งบประมาณงานแต่ง

แสงสี เป็นสิ่งที่จะช่วยอัพเกรดให้บรรยากาศงานแต่งแบบเอ้าท์ดอร์ดูน่าสนใจมากขึ้น และยังช่วยดึงดูดความสนใจหรือเป็นจุดนำสายตาไปยังรายละเอียดที่สำคัญต่างๆ ในงานได้ด้วย ซึ่งแสงสีในที่นี้ก็อย่างเช่น ไฟราว ไฟหิ่งห้อย หรือโคมไฟกระดาษ (paper lanterns) หรือ Fairy Lights ดวงไฟเล็กๆ น่ารักหลายรูปแบบ ซึ่งสามารถช่วยสร้างบรรยากาศและการตกแต่งต่างๆ ในงานแต่งสไตล์เอ้าท์ดอร์ให้ดูสมบูรณ์แบบมากขึ้น ซึ่งถ้าหากสถานที่แต่งงานที่บ่าวสาวเลือกนั้นมีไฟไม่เพียงพอ หรือไม่มีไฟแบบที่บ่าวสาวต้องการ สิ่งนี้ก็ดูเป็นอะไรที่คุ้มค่ากับการลงทุน เพราะนอกจากจะช่วยเพิ่มบรรยากาศแล้ว ยังมีแสงสว่างที่เพียงพอให้ช่างภาพได้ถ่ายภาพ และแขกสามารถเห็นดีเทลต่างๆ ในงานได้อย่างสะดวก ซึ่งการเพิ่มงบในส่วนนี้อาจทำให้บ่าวสาวต้องลดทอนส่วนอื่นๆ ในงานลงไปบ้างหากเกินงบประมาณที่คุณวางไว้

 

เสียง – ดนตรี

งบประมาณงานแต่ง

เป็นงานรื่นเริงทั้งทีจะปล่อยให้งานเงียบเชียบหรือเต็มไปด้วยเสียงคุยกันของแขกก็คงไม่ดีใช่ไหมคะ เพราะฉะนั้นเพื่อสร้างบรรยากาศในวันสำคัญให้เพอร์เฟกต์ เสียงเพลง ดูจะเป็นอะไรที่เหมาะสมที่ต้องมี ไม่ว่าจะเปิดคลอไว้ในช่วงที่งานยังไม่เริ่ม หรือบรรเลงประกอบในช่วงต่างๆ ของพิธีการ ก็ล้วนช่วยสร้างอารมณ์ร่วมให้กับบ่าวสาวและแขกในงานได้เป็นอย่างดี ซึ่งในที่นี่ก็ต้องเลือกเพลงที่ดีที่ให้ความรู้สึกดีๆ ด้วย ซึ่งหลังจากที่บ่าวสาวได้ลิสต์รายชื่อเพลงที่จะใช้ทั้งหมดในงานออกมาแล้ว ถึงตอนนี้ก็จะช่วยให้ว่าที่บ่าวสาวตัดสินใจได้ง่ายขึ้นว่า คุณจะเลือกใช้วงดนตรี ดีเจ หรือเปิดแผ่น เพื่อช่วยให้ทั้งคุณและแขกทุกคนสามารถสนุกสนานได้ตลอดทั้งค่ำคืนในวันสำคัญ ซึ่งทั้งนี้ทั้งนั้นก็ต้องขึ้นอยู่กับงบประมาณที่คุณจะสามารถจ่ายไหวด้วยนะจ๊ะ

“TIPS”

3 ขั้นตอนวางแผน งบงานแต่งงาน เรื่องสำคัญเพื่อวันวิวาห์

1. วางคอนเซ็ปต์งานให้ชัดเจน

บ่าวสาวหลายคู่ประสบปัญหางบประมาณบานปลาย เพราะไม่มีจุดยืนในการจัดงานแต่งงานของตัวเอง ทำให้เผลอใจตอบรับข้อเสนอต่างๆ ที่ไม่จำเป็นและเสียเงินเพิ่มโดยใช้เหตุ

2. ลำดับความสำคัญ

คู่บ่าวสาวควรลำดับความสำคัญของการจัดงานในส่วนต่างๆ เพื่อแบ่งงบประมาณอย่างเหมาะสม

3. จัดทำบัญชี

ข้อดีของการจัดทำบัญชีงบประมาณและบันทึกค่าใช้จ่ายคือ บ่าวสาวจะได้เห็นยอดรายจ่ายจริง ทำให้ระมัดระวังการใช้จ่ายมากขึ้น

อย่าลืมนำไปทำตามกันนะคะ ^^

 

ภาพ www.lightinganddesignbyscott.com, pinterest

 

ติดตามเทคนิคและไอเดียดีๆ เกี่ยวกับงานแต่งงานเพิ่มเติมได้ที่นี่ คลิกเลย!

เลือกต่างหูให้เหมาะกับรูปหน้า อีกหนึ่งเคล็ดลับสร้างความงามให้ใบหน้าเจ้าสาว

นอกจากเรื่องแบบชุดแต่งงาน และแหวนแต่งงานแล้ว อีกหนึ่งเรื่องที่เหล่าเจ้าสาวให้ความสำคัญคือ การเลือกเครื่องประดับในวันแต่งงาน ไม่ว่าจะ สร้อยคอ สร้อยข้อมือ กำไล หรือต่างหู ต้องจัดมาแบบครบเซต แต่สิ่งที่แพรว wedding อยากจะให้เจ้าสาวให้ความสำคัญมาเป็นพิเศษคือการ เลือกต่างหูให้เหมาะกับรูปหน้า เพราะเชฟของเพชรมีผลต่อกรอบหน้าเจ้าสาวมากๆ ถ้าเลือกให้เหมาะก็จะช่วยพรางจุดบกพร่อง และเสริมจุดเด่นบนใบหน้าของเจ้าสาวได้ด้วย

คุณอัญรัตน์ พรประกฤต กูรูด้านดีไซน์และ CEO แห่ง Jubilee เลยมีเคล็ดลับการเลือกต่างหูให้เหมาะกับรูปหน้ามาฝากว่าที่เจ้าสาว ตามนี้เลย

 

เจ้าสาวใบหน้ากลม

ปัญหาหลักของผู้หญิงรูปหน้าทรงกลมคือ ใบหน้าค่อนข้างสั้น จึงควรเลือกต่างหูทรงรีหรือเป็นพู่ห้อยระย้ายาวลงมา อาจเลือก เพชรทรงหยดน้ำ (Pear Shaped) หรือเพชรวงรีรูปไข่ (Oval Cut) เพื่อให้คอและใบหน้าดูเรียวยาวขึ้น หรือเลือก เพชรรูปทรงสี่เหลี่ยม (Princess Cut) แต่ถ้าอยากใส่ชุดเจ้าสาวให้ออกมาดูหวานอาจเลือกใส่ต่างหูตุ้งติ้ง ถ้าเป็นเจ้าสาวโมเดิร์นมีความมั่นใจ อยากใช้ต่างหูในวาระโอกาสอื่นๆ นอกจากวันแต่งงานอาจเลือกต่างหูเพชรทรงสี่เหลี่ยมแบบติดหูจะช่วยให้รูปหน้าดูยาวขึ้น

เจ้าสาวใบหน้าเหลี่ยม

ปัญหาหลักของผู้หญิงรูปหน้าทรงเหลี่ยม คือด้านข้างกรอบหน้าเห็นสันกรามชัดเจน จึงควรเลือก เพชรรูปไข่ (Oval Cut) เพชรหยดน้ำ (Pear Shaped) เพชรกลม (Round Brilliant Cut) เพื่อให้หน้าดูซอฟต์ขึ้นช่วยลดเหลี่ยมมุมโดยเฉพาะบริเวณกราม หลีกเลี่ยงการใส่ต่างหูรูปทรงเรขาคณิตเพราะจะยิ่งทำให้เห็นทรงเหลี่ยมของหน้ามากขึ้น

เจ้าสาวใบหน้ายาว

ปัญหาหลักของผู้หญิงรูปหน้ายาวคือ มีช่วงคางยาวจึงควรเลือกต่างหูที่ตัวเรือนมีดีเทลและดีไซน์บ้าง ไม่ควรเลือกแบบเรียบๆ ขนาดของต่างหูควรค่อนข้างกว้าง เช่น เป็นทรงกลม ทรงเหลี่ยม เพื่อพรางความยาวของใบหน้าให้ดูสมส่วนขึ้น แนะนำให้เลือก เพชรทรงกลม (Round Brilliant Cut) เพชรสี่เหลี่ยม (Princess Cut) เพชรสี่เหลี่ยมขอบมน (Cushion Cut) เพชรเรเดียน (Radiant Cut) เป็นเพชรทรงสี่เหลี่ยมตัดมุมแต่เจียระไนแบบทรงกลม ให้ประกายวิบวับ ดูมีรสนิยม และคลาสสิก ถ้าอยากใส่ต่างหูห่วงก็ได้ แต่ต้องไม่เป็นห่วงทรงรี จะใส่แบบติดหู หรือต่างหูดีไซน์ตุ้งติ้งแบบสั้นๆ ก็ได้ ห้ามใส่ต่างหูตุ้งติ้งยาวๆ หรือต่างหูเพชรเป็นเส้นหรือเป็นแท่งตรงๆ เพราะจะยิ่งทำให้หน้าดูยาวไปอีก

เจ้าสาวใบหน้ารูปหัวใจ

ปัญหาหลักของผู้หญิงรูปหน้าหัวใจคือ ใบหน้าช่วงบนกลม ส่วนคางยาว จึงควรเลือกต่างหูทรงสามเหลี่ยมฐานคว่ำหรือทรงรูปพัดจะช่วยให้คางที่ดูแคบได้สมดุลมากขึ้น อาจเลือกใช้เพชรเจียระไน สามเหลี่ยม (Trillion Cut) หรือถ้าชอบต่างหูชนิดติดหูควรเลือกดีไซน์ที่มีขนาดใหญ่เล็กน้อยเพื่อช่วยปรับสมดุลใบหน้าให้สวยละมุน

เจ้าสาวใบหน้ารูปไข่

เรียกได้ว่าเป็นความโชคดีที่สุดเพราะจะเลือกต่างหูแบบไหน ทรงอะไรก็เข้ากับหน้าได้หมด จะเลือกเพชรรูปทรงแฟนซี เช่น เพชรวงรีรูปไข่ (Oval Cut) เพชรรูปหัวใจ (Heart Shaped) หรือ เพชรเรเดียน (Radiant Cut) เพื่อสร้างความแปลกใหม่และให้ลุคที่สวยแปลกตากว่าเดิมก็จัดเลย

เรื่องโดย – ดั่มดั๊มพ์
ภาพ pinteresrt

งานแต่งงานไทย-จีนควรมีผลไม้มงคล 5 อย่างเสริมดวงคู่บ่าวสาว

ว่ากันว่าถ้ามีการเริ่มต้นที่ดีในทุกๆ เรื่องชีวิตก็จะมีเรื่องดีๆ ตามมา นอกจากฤกษ์งามยามดีแล้วพิธีงานแต่งงานอันเป็นมงคลมักนำของที่มีความหมายดีเป็นมงคลมาใช้ในงานแต่งงานด้วย เช่น ดอกไม้ที่ใช้ประดับตกแต่ง ของชำร่วย อาหาร ขนม รวมไปถึงผลไม้ที่มีชื่อเป็นมงคลความหมายดี ถือเป็นความเชื่อส่วนบุคคลที่ช่วยสร้างขวัญกำลังใจในการใช้ชีวิตคู่ของบ่าวสาวในอนาคต แล้วการใช้ผลไม้มงคลก็เป็นสิ่งที่หาได้ง่ายในประเทศไทย แถมมีรสชาติอร่อยด้วย จึงได้รับความนิยมแทบทุกงานเลยก็ว่าได้ค่ะ แต่บางคนก็อาจจะยังไม่ทราบว่า ผลไม้มงคลงานแต่ง สำหรับงานแต่งงานนั้นมีอะไรบ้าง งั้นก็อย่ารอช้าเรามาดูกันเลยดีกว่าค่ะ

ผลไม้มงคล

กล้วย

คุณประโยชน์ : อุดมไปด้วยวิตมินและแร่ธาตุต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับการทำงานของสมอง เช่น มีสารช่วยให้สมองตื่นตัวอยู่ตลอดเวลา แต่ก็ตื่นตัวแบบมีสติและสมาธินะคะ ช่วยควบคุมอุณหภูมิในร่างกายให้เป็นปกติ และที่สำคัญกินนิดเดียวก็อิ่มท้องไปได้สักพักละค่ะ แถมยังใช้ในการลดความอ้วนรักษาหุ่นให้ใส่ชุดเจ้าสาวได้สวยๆ เป็นอย่างดีเลย

ผลไม้มงคล : นอกจากต้นกล้วยจะถูกใช้ในขบวนขันหมากแล้ว ผลกล้วยที่เป็นผลไม้ยังนิยมนำมาทำขนมไทยใช้จัดเลี้ยงแขกที่มาร่วมงานมงคลสมรสหรือนำไปถวายพระ เชื่อกันว่ากล้วยใน 1 หวีมีจำนวนมากมายหลายลูก การกินกล้วยจึงทำให้มีลูกสืบสกุลหลายคน มีบริวารพวกพ้องที่ดี และบางตำรายังเชื่อว่าหากเจ้าสาวได้กินกล้วยก็จะทำให้ได้ลูกแฝดอีกด้วยค่ะ

ผลไม้มงคล

ทับทิม

คุณประโยชน์ : เป็นผลไม้ที่เหมาะกับคุณผู้หญิงหรือเจ้าสาวควรรับประทานอย่างยิ่งเลยค่ะ เพราะทับทิมจะช่วยเรื่องผิวพรรณเป็นหลัก มีสารต้านอนุมูลอิสระสูง ทำให้ผิวไม่เหี่ยวก่อนวัยอันควร และบันทึกทางการแพทย์โบราณของอียิปต์ในคัมภีร์ไบเบิล หรือในตำรายาจีน กรีก และเปอร์เซียในอดีตต่างบอกเป็นเสียงเดียวว่าสามารถช่วยปรับฮอร์โมนในคนวัยทองให้เป็นปกติ ผิวพรรณเต่งตึงดูสดใส และป้องกันการเสื่อมสมรรถภาพทางเพศ งานนี้ไม่ได้สงวนไว้ให้สาวๆ กินอย่างเดียวนะคะ เพราะคุณเจ้าบ่าวก็สามารถรับประทานได้เหมือนกัน

ผลไม้มงคล : ส่วนใหญ่นิยมใช้ในงานแต่งงานของคนจีน เพราะสีที่แดงสวยงามคือสีที่เป็นมงคลของคนจีน จึงมักนิยมใช้ผลไม้ที่มีสีแดงในงาน และยังมีความเชื่อว่าการใช้ทับทิบมาประกอบพิธีงานมงคลสมรสจะช่วยให้ครอบครัวบ่าวสาวอบอุ่น ไม่มีเรื่องขัดแย้งทะเลาะวิวาทกัน ทั้งสองจะรักใคร่กลมเกลียวกันไปตลอดกาล

ผลไม้มงคล

ลูกพลับ

คุณประโยชน์ : ผลไม้อีกหนึ่งชนิดที่เหมาะกับเจ้าสาวที่ต้องการลดน้ำหนักก่อนวันแต่งงาน ซึ่งมีแคลอรี่และไขมันต่ำ แต่ให้พลังงานเยอะไม้แพ้กล้วยเลยนะคะ อีกทั้งยังมีสารต้านอนุมูลอิสระอยู่หลายชนิดที่จะช่วยชะลอการเกิดริ้วรอยของผิวพรรณ หากเจ้าสาวคนไหนทานลูกพลับบ่อยๆ ช่วงใกล้วันแต่งงาน รับรองต้องสวยเป๊ะแน่ๆ เลยค่ะ

ผลไม้มงคล : อาจจะไม่ค่อยได้เห็นลูกพลับในงานแต่งงานมากนัก เพราะค่อนข้างมีความหายากในบางฤดู แต่ก็ยังคงมีความเชื่อว่าถ้าบ่าวสาวใช้ลูกพลับในงานแต่งงานชีวิตคู่จะสวยงาม รักกันหว๊านนหวานจนใครๆ ต้องอิจฉา เปรียบได้กับการมีความรักที่หอมหวานเหมือนกับลูกพลับที่มีกลิ่นหอม รสชาติหวานนั่นเองค่ะ นอกจากนี้ยังช่วยเสริมความหนักแน่น มั่นคงให้กับความรักของทั้งคู่ หากมีอุปสรรคก็จะสามารถผ่านพ้นไปได้อย่างราบรื่นเลย

ผลไม้มงคล

ลิ้นจี่

คุณประโยชน์ : มีรสชาติที่ถูกปากใครหลายคน ทานแล้วหวานฉ่ำชื่นใจคลายร้อนได้ สำหรับบ่าวสาวที่เหนื่อยจากการเตรียมงานแต่งงานควรทานลิ้นจี่เลยค่ะ เพราะช่วยเพิ่มพลังให้กับร่างกาย บรรเทาอาการปวดเมื่อย เหนื่อยล้าจากการทำงานหนัก ลดอาการบวมตามร่างกาย (แต่ถ้าบวมจากการกินเยอะก็ไม่เกี่ยวกันน้า ) อ้อ! อย่ากินมากไปนะคะอาจทำให้เกิดแผลร้อนในในช่องปากได้ไม่รู้ตัว เดี๋ยวจะหาว่าไม่เตือน!

ผลไม้มงคล : ลิ้นจี่เป็นผลไม้ชั้นสูงของคนจีน ซึ่งเล่าต่อๆ กันมาว่า ในยุคสมัยหนึ่งประเทศจีนมีฮ่องเต้พระองค์หนึ่งให้ทหารประจำพระองค์จัดหาลิ้นจี่ที่สวยงาม โดยต้องมีผิวสวย สีแดงสด นำไปถวายพระมารดาและพระมเหสีของพระองค์เป็นประจำ ทำให้ลิ้นจี่แพร่หลายในขุนนางชั้นสูงเป็นอย่างมาก จึงนิยมนำมาใช้ในงานมงคลโดยเฉพาะงานแต่งงาน เชื่อว่าสีแดงสดของลิ้นจี่จะช่วยเสริมความเป็นสิริมงคลให้กับชีวิตคู่ค่ะ

ผลไม้มงคล

ลำไย

คุณประโยชน์ : ทางการแพทย์ค้นพบแล้วว่าสารสกัดจากลำไยช่วยต้านอนุมูลอิสระได้ดีกว่าสารเคมีที่ใช้ในยาและเครื่องสำอางบางชนิด จึงช่วยลดปริมาณสารพิษในร่างกายที่คุณต้องรับเข้ามาทุกวันๆ อย่างเลี่ยงไม่ได้ ส่งผลไปถึงเรื่องอารมณ์ที่การทานลำไยจะทำให้รู้สึกผ่อนคลาย นอนหลับได้อย่างสนิท และยังช่วยลดอาการตื่นเต้นของคนที่กำลังจะกลายเป็นเจ้าบ่าวเจ้าสาวได้ด้วยน้า

ผลไม้มงคล :  คนจีนบางกลุ่มนำไปใช้ร่วมกับพิธีการสู่ขอหญิงสาว เพราะเชื่อว่าเป็นสัญลักษณ์ของความหวานชื่น ซึ่งในภาษาจีนลำไยหมายถึง มังกรที่เป็นสัญลักษณ์ของฮ่องเต้ ดังนั้นจึงถูกมองว่าเป็นผลไม้ตัวแทนของความรักที่มาจากรสชาติที่หวานฉ่ำ ความเป็นผู้นำครอบครัวที่มีในตัวเจ้าบ่าว และอำนาจวาสนาที่ทำให้คนทั้งสองคนได้มาใช้ชีวิตคู่ร่วมกันค่ะ ถือเป็นผลไม้ที่เต็มไปด้วยความหมายเลยนะคะเนี่ย

ยังไงก็อย่าลืมนะคะว่าความเชื่อต้องมาคู่กับหลักการและเหตุผลทางวิทยาศาสตร์ แม้มีผลไม้ 5 ชนิดนี้ในงานแต่งงานก็ไม่ได้หมายความว่าจะทำให้ชีวิตคู่ไร้อุปสรรคเสมอไป เรื่องแบบนี้ขึ้นอยู่กับความเชื่อส่วนบุคคล อย่างน้อยก็ทำให้บ่าวสาวสบายใจขึ้นก็ถือว่าเป็นเรื่องที่ดีจริงไหมคะ? แต่ที่แน่ๆ การทานผลไม้นั้นมีประโยชน์มากมายซึ่งดีกับตัวคุณทั้งคู่เลย เอาล่ะ! เมื่อทานผลไม้มงคลกันไปแล้วเราลองมาดูทางด้านขนมบ้างว่าจะมีขนมอะไรความหมายดีเป็นมงคล ตามมาชิมกันต่อได้ที่ ขนมมงคลงานแต่งความหมายดี 9 อย่างที่ต้องมีในงานแต่ง

เรียบเรียงข้อมูลจาก : kapook.com, liekr.com, blocmeofficial.com,                           
sukkaphap-d.com, krabinakharin.co.th
ภาพจาก : pinterest.com

ไกด์มาให้ 7 คำถามจากเพื่อนเจ้าสาวที่ถามปุ๊ป เจ้าสาวต้องตอบได้ปั๊ป

ว่าที่เจ้าสาวทั้งหลายฟังทางนี้ หลังจากที่คุณได้รับแหวนแทนใจมาสวมที่นิ้วนางข้างซ้ายแล้ว หลากหลายคำถามจะถาโถมมาที่คุณอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ โดยเฉพาะ คำถามจากเพื่อนเจ้าสาว ที่คุณต้องหาคำตอบให้กับพวกนาง แต่จะมีคำถามอะไรบ้าง และจะตอบแบบไหนดี แพรว wedding มีคำแนะนำค่ะ

1. ใครจะได้เป็นเพื่อนเจ้าสาว?

เป็นเรื่องปกติที่เพื่อนสาวหลายคนต่างก็สงสัยว่า ว่าที่เจ้าสาวป้ายแดงจะเลือกใครมาเป็นเพื่อนเจ้าสาวในวันสำคัญ เพราะฉะนั้นคุณควรจะค่อยๆ คิดให้ถี่ถ้วนว่าจะเลือกใคร แต่ถ้าจะให้แนะนำอีกนิด คุณควรคิดให้ดีก่อนประกาศให้เพื่อนรู้ว่าจะแต่งงาน จะได้แจ้งข่าวดี 2 เด้ง จากนั้นแล้วก็เตรียมเฉลยให้เพื่อนผู้โชคดีรู้

2. ทำไมถึงไม่เลือกฉันล่ะ?

อยากรู้ว่าใครจะได้เป็นอย่างเดียวไม่พอ เพื่อนสาวผู้โชคดีอาจแสดงอาการดีใจและรู้สึกเป็นเกียรติ พร้อมกับคำถามที่ตามมาว่า “ทำไมถึงเลือกฉันล่ะ?” เพราะฉะนั้นคิดเหตุผลไว้เตรียมตอบคำถามให้เพื่อนของคุณด้วย แต่จุดพีคสุดๆ ก็คือ เพื่อนบางคนที่อาจเกิดอาการงงว่า “ทำไมถึงไม่ใช่ฉัน?” นี่ก็เป็นอีกคำถามที่คุณอาจเจอ อย่าลืมหาเหตุผลดีๆ มาตอบปลอบใจเพื่อนด้วยนะ

3. ฉันต้องใส่ชุดแบบไหน อะไร ยังไง?

ว่าที่เจ้าสาวควรวางแผน คิดธีมงาน ธีมสีมาเรียบร้อยแล้ว และแจ้งความต้องการให้เพื่อนเจ้าสาวทุกคนแต่งให้เหมือนและเข้ากันตามที่คุณคิด คุณสามารถบอกพวกเธอได้เลยว่าต้องเป็นชุดแบบใด สไตล์ไหน แต่ถ้าไม่ได้มีอะไรที่ต้องเป๊ะมาก และอยากให้อิสระกับเพื่อนเจ้าสาวได้ใส่ตามที่ชอบ ก็อย่าลืมบอกกันตั้งแต่เนิ่นๆ พวกนางจะได้ครีเอตชุดสวยๆ ได้ทันวันงาน

4. ใครจ่ายค่าชุดเพื่อนเจ้าสาว?

คุณควรจะแจ้งไปเลยว่าชุดเพื่อนเจ้าสาว รวมถึงหน้าผม คุณเตรียมงบไว้สำหรับพวกเธอหรือไม่ จะจ่ายให้ทั้งหมด จ่ายแค่ส่วนหนึ่ง หรือขอให้พวกนางจัดการกันเอง แบบนี้พวกนางจะได้ตระเตรียมงบประมาณในส่วนของตัวเองกันถูก

5. อยากให้ช่วยอะไรรึเปล่า?

ข้อนี้ถือเป็นคำถามจากความมีน้ำใจและความหวังดีของเพื่อนเจ้าสาวนะคะ ถ้ามีอะไรให้เธอช่วยเตรียมงาน เตรียมสิ่งของ หรือช่วยไปลองชุดเป็นเพื่อน แบบนี้ต้องรีบแจ้งให้พวกนางทราบ แต่ละคนจะได้จัดสรรเวลาของตัวเองมาช่วยงานคุณได้

6. จัดปาร์ตี้สละโสดไหม?

เดี๋ยวนี้ปาร์ตี้สละโสดสำหรับสาวไทยได้รับความนิยมเพิ่มมากขึ้น เพราะมันจะเป็นคืนที่สนุกสนานสุดๆ ในขณะที่คุณยังอยู่สถานะโสด เพื่อนสาวหลายนางอาจถามคุณว่า “อยากจัดปาร์ตี้สละโสดไหม” ซึ่งเรื่องนี้มักจะเป็นหน้าที่ของเหล่าผองเพื่อน ถ้าคุณอยากได้ก็รีบบอกพวกนางเลย นางจะได้เตรียมจัดปาร์ตี้แบบสุดเหวี่ยงให้คุณ

7. ฉันต้องจองโรงแรมเองรึเปล่า?

ปัจจุบันนี้หลายคู่รักนิยมเลือกจัดงานแต่งในโรงแรม โดยจะให้คนสำคัญที่เกี่ยวข้องกับงานเข้าไปเตรียมตัวตั้งแต่เนิ่นๆ และขอให้ค้างคืนที่โรงแรมด้วยกัน เพื่อที่ว่าตอนเช้าวันงานจะได้ไม่วุ่นวายมาก หรือถ้าเกิดอาการเมามายหลังงานเลี้ยงเลิกจะได้ขึ้นห้องทิ้งตัวลงเตียงได้ทันที ดังนั้นคุณควรบอกเหล่าเพื่อนเจ้าสาวว่า คุณสามารถอำนวยความสะดวกให้พวกนางได้แค่ไหน จะจองห้องให้หรือว่าเพื่อนต้องจองเอง รวมถึงค่าใช้จ่ายด้วยนะจ๊ะ เรื่องนี้จะสำคัญมากกับคนที่จัดงานแต่งงานตามต่างจังหวัด และเพื่อนๆ จะต้องเดินทางไปค้างคืน ดังนั้นเรื่องที่หลับที่นอนอย่าให้พลาดเด็ดขาด

ว่าที่เจ้าสาวคนไหนที่เจอคำถามเหล่านี้อย่าเพิ่งเบ้หน้าแล้วหาว่าเพื่อนเจ้าสาวจู้จี้ เพราะจริงๆ แล้วนางอาจแค่ต้องการทราบรายละเอียดเพื่อที่จะได้เตรียมตัวได้ถูกต้องสำหรับวันสำคัญของเพื่อนรัก เพราะฉะนั้นเตรียมตัวและเตรียมคำตอบไว้ให้ดีแล้วกันนะจ๊ะ

ติดตามไอเดียและคำแนะนำดีๆ อีกเพียบได้ที่นี่ คลิกเลย!

เรียบเรียง : weddingandweddingflowers.co.uk
ภาพ : girlywedding.com

5 สไตล์การจัดเลี้ยงงานแต่งเลือกแบบไหนให้เหมาะกับคู่ของคุณมากที่สุด

จะจัดงานแต่งแบบไหนดีนะ?? นี่คงเป็นคำถามเบสิคที่เกิดขึ้นกับบ่าวสาวหลายคู่ไม่น้อย เพราะรูปแบบการ จัดเลี้ยงงานแต่ง นั้นอาจจะส่งผลถึงธีมงานได้เหมือนกันว่าจะออกมาปังหรือร่วง เพราะฉะนั้นเรื่องรูปแบบการจัดเลี้ยงอาจจะเป็นเรื่องแรกๆ ที่บ่าวสาวต้องตัดสินใจให้ดี แพรว wedding เลยไปรวบรวมคำแนะนำจากเหล่ามืออาชีพที่มีทิปส์เด็ดๆ เพื่อช่วยในการตัดสินใจเรื่องนี้มาฝาก แต่ก่อนอื่นสิ่งแรกที่บ่าวสาวต้องทราบก่อนเลือกรูปแบบการจัดเลี้ยงก็คือ 1. แขกส่วนใหญ่เป็นแขกของบ่าวสาวหรือเป็นแขกของผู้ใหญ่ 2. จำนวนแขกมากน้อยเท่าไหร่ หากรู้ชัดในสองเรื่องนี้แล้ว ก็ไปเลือกรูปแบบการจัดเลี้ยงต่อกันได้เลย

 

  • โต๊ะจีน

– เหมาะกับงานที่มีแขกผู้ใหญ่เยอะ เพราะมีที่นั่งสำหรับทุกท่านและมีบริการเสิร์ฟอาหารให้ถึงโต๊ะ

– เป็นรูปแบบการจัดเลี้ยงที่ใช้พื้นที่มาก ถ้าจัดโต๊ะเต็มพื้นที่แล้วแขกมาเกินกว่าที่กำหนดจะไม่มีพื้นที่ให้จัดโต๊ะเพิ่ม และเนื่องจากการจัดเลี้ยงแบบโต๊ะจีนมีราคาสูง ทางโรงแรมจะเผื่อให้ลูกค้าประมาณ 1-2 โต๊ะ เพราะฉะนั้นบ่าวสาวจึงจำเป็นต้องรู้จำนวนแขกที่ค่อนข้างแน่นอน ซึ่งหากในกรณีที่รู้ตั้งแต่แรกว่าแขกเยอะเกินกว่าห้องจัดเลี้ยงจะรับรองแขกได้ ก็ต้องเปลี่ยนสถานที่นะจ๊ะ

– หากเลือกการจัดเลี้ยงแบบนี้ บ่าวสาวต้องทำใจไว้ก่อนเลยว่าอาจจะปวดหัวกับการจัดผังที่นั่ง เช่น แขกกลุ่มนี้มี 12 คน แล้วอีก 2 คนที่เกินมาจะไปนั่งรวมกับใครล่ะ? นี่แหละค่ะความปวดหัวที่ว่า เพราะจะต้องหาโต๊ะที่ดีที่แขก 2 ท่านนี้จะสามารถไปนั่งรวมอยู่ได้

  • บุฟเฟ่ต์

– มีเมนูอาหารให้เลือกเยอะและหลากหลาย เพราะฉะนั้นแขกจะสามารถเลือกทานได้ตามชอบ

– แขกมีที่นั่งทุกท่าน แต่แขกผู้ใหญ่บางท่านอาจไม่สะดวกลุกไปตักอาหารเอง เพราะฉะนั้นบางโรงแรมอาจมีบริการเสิร์ฟเฉพาะโต๊ะที่มีแขกผู้ใหญ่ บ่าวสาวจึงต้องนับและจัดผังที่นั่งของแขกให้เหมาะสมนะคะ เพื่อให้ง่ายต่อการเสิร์ฟและการลุกไปตักอาหารของแขกด้วย

จัดเลี้ยงงานแต่ง

  • ค็อกเทล

– เป็นรูปแบบการจัดเลี้ยงที่ได้รับความนิยมจากบ่าวสาวมากที่สุด เพราะรองรับปริมาณแขกได้เยอะ ซึ่งหากจัดเลี้ยงแบบนี้บ่าวสาวอาจต้องจัดเตรียมที่นั่งไว้สำหรับแขกวีไอพีหรือแขกผู้ใหญ่ด้วย เพราะให้ท่านยืนรอนานๆ หรือยืนไปตลอดจนจบพิธีคงไม่ดีแน่นอน

– การจัดเลี้ยงแบบนี้มีเมนูอาหารให้เลือกมากมาย แถมบ่าวสาวยังสามารถจัดหาซุ้มอาหารที่ชอบมาเพิ่มได้ด้วย ซึ่งถ้าบ่าวสาวหาซุ้มอาหารมาเพิ่มก็อย่าลืมแจ้งเวดดิ้งแพลนเนอร์ และทางโรงแรมด้วยนะคะ เพื่อที่แพลนเนอร์และโรงแรมจะได้จัดที่ทางไว้ได้อย่างเหมาะสม

– ทั้งการจัดเลี้ยงแบบบุฟเฟ่ต์และค็อกเทล ส่วนใหญ่ทางโรงแรมจะเผื่ออาหารให้ลูกค้าประมาณ 10 เปอร์เซ็นต์อยู่แล้ว ซึ่งถ้าแขกมาเกินจากจำนวนที่ตั้งไว้ไม่เยอะเท่าไหร่ ก็รับรองเลยว่าอาหารพอแน่นอน

– สำหรับซุ้มอาหาร ถ้าเป็นงานกลางวันแนะนำให้คำนวณปริมาณโดยนับแขก 1 ท่านต่อ 3 เสิร์ฟ เช่น แขก 300 ท่าน ตักอาหาร 3 อย่าง เท่ากับ 900 เสิร์ฟ บ่าวสาวอาจจะสั่งอาหาร 3 ซุ้ม ซุ้มละ 300 เสิร์ฟ ส่วนงานกลางคืนให้นับแขก 1 ท่านต่อ 4 เสิร์ฟ เพราะเป็นมื้อดินเนอร์ที่แขกอาจจะตักอาหารมากกว่าในมื้อกลางวัน

  • ซิตดาวน์ดินเนอร์

เป็นรูปแบบการจัดเลี้ยงที่หรูหราและเป็นทางการ ซึ่งที่นั่งจะตกแต่งไว้อย่างสวยงามตามธีมงานแต่งงานของบ่าวสาว ส่วนอาหารก็จะมีความน่ารับประทานและเน้นการทำแบบสดใหม่พร้อมเสิร์ฟทันที ซึ่งงานเลี้ยงลักษณะนี้เหมาะกับงานที่มีลำดับขั้นตอนพิธีการต่างๆ ที่อยากให้แขกได้มีส่วนร่วมกับเจ้าภาพตลอดทั้งงาน เพราะแขกไม่ต้องเดินไปตักอาหารเองจึงทำให้ภาพรวมของงานดูเป็นระเบียบเรียบร้อย และเป็นงานที่เหมาะกับจำนวนแขกที่ไม่เกิน 600 ท่าน เพราะอาจมีข้อจำกัดในเรื่องของ Menu Choice รวมไปถึงค่าใช้จ่ายที่ค่อนข้างสูงสำหรับการจัดเลี้ยงในรูปแบบดังกล่าว

  • อาฟเตอร์ปาร์ตี้

ปัจจุบันงานแต่งเกือบทุกงานมักจะจบด้วยอาฟเตอร์ปาร์ตี้เสมอ ซึ่งสิ่งที่บ่าวสาวควรคำนึงมีดังต่อไปนี้

– หากจัดปาร์ตี้ริมสระน้ำ สิ่งที่ต้องระวังมากที่สุดก็คือ แขกเมาแล้วตกน้ำ!! หรือแม้กระทั่งเศษอาหารหรือสิ่งไม่พึงประสงค์ต่างๆ ที่อาจจะเทกระจาดลงไปในสระน้ำได้ ซึ่งบอกเลยนะคะว่าค่าทำความสะอาดสระน้ำของโรงแรมนั้นสูงใช่เล่น หรือแม้กระทั่งการทะเลาะวิวาทที่เกิดจากความมึนเมา จนอาจทำข้าวของจานชามแตกหักเสียหายได้

– บ่าวสาวสามารถคำนวณค่าใช้จ่ายคร่าวๆ ได้โดยการคาดคะเนจากจำนวนแขกที่เชิญมางานเลี้ยงในช่วงเย็น ซึ่งโดยเฉลี่ยแล้วแขกประมาณ 50 เปอร์เซ็นต์จากจำนวนที่เชิญมาจะอยู่ร่วมงานอาฟเตอร์ปาร์ตี้ ซึ่งจำนวนก็ขึ้นอยู่กับว่างานของบ่าวสาวมีจำนวนแขกผู้ใหญ่มากน้อยแค่ไหนด้วย เพราะแขกผู้ใหญ่เมื่องานพิธีจบก็มักจะเดินทางกลับเลย ซึ่งงานนี้อาจจะต้องคะเนกันให้ดีหน่อยนะคะ เพราะจะได้นำไปคำนวณราคาแอลกอฮอล์ได้ถูก

– ระหว่างงานเลี้ยงตอนเย็น หากบ่าวสาวเห็นว่าแขกมาเกินจากที่ตั้งไว้ประมาณ 10 เปอร์เซ็นต์ ควรรีบแจ้งกับทางโรงแรมเพื่อให้ทางโรงแรมจัดเตรียมอาหารและเครื่องดื่มไว้ให้เพียงพอต่อแขกที่เกินมา ซึ่งการสั่งอาหารเพิ่มก็ตามมาด้วยค่าใช้จ่ายที่บ่าวสาวต้องจ่ายเพิ่มด้วยเช่นกัน ซึ่งโดยมากแล้วราคาจะขึ้นอยู่กับเมนูที่สั่ง หรือถ้าอยากลดค่าใช้จ่ายในส่วนนี้ก็อาจจะเลือกสั่งเป็นของกินเล่นเพิ่มเป็นเซตก็น่าจะดีกว่า

อ่านบทความน่าสนใจเพิ่มเติม
โต๊ะจีน vs. ซิทดาวน์ดินเนอร์ จัดเลี้ยงงานแต่งแบบไหนแขกปลื้มไม่โดนเม้า

ภาพ www.insideweddings.com, pinterest

เรื่องพื้นฐานที่บ่าวสาวควรรู้ก่อนเดินเข้าร้านเพชร จะได้ไม่โดนหลอก

ก่อนที่จะจูงมือกันเดินเข้า ร้านเพชร เราอยากให้ว่าที่บ่าวสาวมาทำความเข้าใจกับเรื่องพื้นฐานเหล่านี้กันก่อนนะคะ

อย่ามองข้ามเรื่องเล็กๆ น้อยๆ ก่อนที่คุณจะย่างเท้าเข้า ร้านเพชร เพราะนั่นหมายถึง การได้เพชรที่ไม่ควรค่าแก่การเก็บรักษาไว้ตลอดชีวิต และนี่คือสิ่งที่คุณควรรู้ก่อนควักเงินจ่ายเพื่อให้ได้เพชรที่ทรงคุณค่าและไม่ต้องมาเสียความรู้สึกในภายหลัง

เข้าใจคุณสมบัติ 4Cs ของเพชร
 • C – Carat (กะรัต) หรือน้ำหนักเพชร มีตัวย่อว่า ct. เป็น C แรกที่แม้แต่คนที่รู้เรื่องเพชรน้อยที่สุดก็ต้องนึกถึงเมื่อพูดถึงเพชร หน่วยวัดน้ำหนักเพชรในภาษาไทยคือ “สตางค์” ซึ่งเพชร 1 กะรัตหนักเท่ากับ 100 สตางค์ ขนาดของเพชรถือเป็นสิ่งที่เห็นความแตกต่างได้ชัดเจนที่สุดด้วยตา ยิ่งเพชรมีขนาดใหญ่จะยิ่งหายาก มูลค่าจึงยิ่งสูงตามไปด้วย แต่ทั้งนี้ก็ต้องขึ้นอยู่กับคุณสมบัติของ C อื่น ๆ ประกอบด้วย

 • C – Cut (การเจียระไน) เป็นปัจจัยที่บ่งบอกถึงความสวยงามของเพชรโดยดูจากการสะท้อนแสงไฟ ประกาย และความระยิบระยับ หากอยากรู้ว่าเพชรเม็ดไหนเจียระไนได้ดี ให้สังเกตในใบรับรองจากสถาบันตรวจสอบคุณภาพเพชร หากในหัวข้อ Cut Grade (ที่มีคุณสมบัติ Excellent, Very Good, Good, Fair หรือ Poor) เป็นคำว่า Excellent จงรีบตะครุบไว้เลย ทั้งนี้เกรดการเจียระไนเพชรไม่ได้มีมาตรฐานเดียว แต่แบ่งเกรดตามรูปทรงของเพชรด้วย หากเพชรในมือคุณเป็นเพชรกลมจะแบ่งเกรดการเจียระไนเป็น 3 ส่วน คือ เจียระไนโดยรวม (Cut Grade) การขัดเงา (Polish) และความสมมาตรของเพชร (Symmetry) แต่หากเป็นเพชรรูปทรงอื่น ๆ (Fancy Shape) การจัดเกรดจะเหลือเพียงการขัดเงาและความสมมาตรของเพชรเท่านั้น

ร้านเพชร

• C – Color (สี) หรือที่คนไทยเรียกว่า น้ำยิ่งสีขาวใสมากเท่าไรยิ่งมีราคาแพง ตามมาตรฐานสากลจะแบ่งโดยใช้ตัวอักษรภาษาอังกฤษตั้งแต่ D ไปถึง Z แต่พี่ไทยมักเทียบเป็นตัวเลขเปอร์เซ็นต์จาก 100% ลงไปเรื่อยๆ ซึ่งหากถามว่าซื้อเพชรสีไหนคุ้มที่สุด คือ น้ำ 100% หรือ D Color เท่านั้น

• C – Clarity (ความบริสุทธิ์หรือความสะอาด) ดูว่าเพชรเม็ดนั้นๆ มีตำหนิไหม มีมากแค่ไหนและบริเวณใด เพชรไร้ตำหนิคือเพชรที่ไม่มีสิ่งกีดขวางมาบดบังทางเดินของแสงที่จะสะท้อนกลับสู่สายตา เป็นเพชรที่ค่อนข้างหายากแล้วในปัจจุบัน
ในรายละเอียดของใบรับรองคุณภาพเพชรจะระบุการวัดความสะอาดเพชรไว้ 11 ระดับ ดังนี้

    • FL (Flawless) ไร้ตำหนิทั้งภายนอกและภายใน
    • IF (Internal Flawless) ไร้ตำหนิภายใน แต่อาจมีตำหนิภายนอกเล็กน้อย
    • VVS1-VVS2 (Very Very Slightly Included 1 – 2) ตำหนิขนาดเล็กมาก ๆ มองเห็นได้ยากมากด้วยกล้องส่องเพชรมาตรฐานกำลังขยาย 10 เท่า และไม่สามารถมองเห็นได้ด้วยตาเปล่าในทุกกรณี
    • VS1-VS2 (Very Slightly Included 1 – 2) ตำหนิขนาดเล็กมาก มองเห็นได้ยากด้วยกล้องกำลังขยาย 10 เท่า และไม่สามารถมองเห็นได้ด้วยตาเปล่าในทุกกรณี
    • SI1-SI2 (Slightly Included 1 – 2) ตำหนิขนาดเล็ก มองเห็นได้ง่ายด้วยกล้องกำลังขยาย 10 เท่า โดยไม่จำเป็นต้องใช้ผู้เชี่ยวชาญส่องดูและสามารถมองเห็นได้ด้วยตาเปล่าในบางกรณี
    • I1 – I2 – I3 (Imperfect 1 – 2 – 3) มีตำหนิ ซึ่งมองเห็นได้ทันทีด้วยกล้องกำลังขยาย 10เท่า โดยไม่จำเป็นต้องใช้ผู้เชี่ยวชาญ และสามารถมองเห็นได้ง่ายด้วยตาเปล่า

หมายเหตุ : ตัวเลข 1 – 2 – 3 ไม่ได้หมายถึงจำนวนตำหนิที่มี แต่หมายถึงระดับของตำหนิในเม็ดเพชร เช่น เลข 1 ระดับตำหนิน้อยและมีราคาสูงกว่าเลข 2 เป็นต้น

5 สิ่งที่บ่าวสาวต้องคิดให้รอบคอบหากต้องจัดดอกไม้ในงานแต่ง

เช็กด่วนกันพลาด! เพราะนี่คือเคล็ดลับเกี่ยวกับสิ่งที่บ่าวสาวต้องหลีกเลี่ยง และสิ่งที่ต้องคำนึงถึงเมื่อต้องจัด ดอกไม้ในงานแต่ง

ปัจจุบันมีข้อมูลต่างๆ มากมายเกี่ยวกับเรื่อง ดอกไม้ในงานแต่ง หรือชนิดของดอกไม้ที่บ่าวสาวจะเลือกมาไว้ในงาน รวมไปถึงแรงบันดาลใจต่างๆ เกี่ยวกับเซ็นเตอร์พีช ช่อดอกไม้เจ้าสาว หรือทางเข้างาน เป็นต้น เพราะฉะนั้นการพูดคุยกับนักจัดดอกไม้จึงเป็นเรื่องสำคัญ เพื่อที่บ่าวสาวจะได้ทราบว่า สิ่งที่คิดกับสิ่งที่จะเกิดขึ้นจริงนั้น จะไปด้วยกันได้หรือไม่ ซึ่ง Victoria Ahn นักจัดดอกไม้ผู้เชี่ยวชาญแห่ง Designs by Ahn บริษัทรับจัดดอกไม้ชื่อดังแห่งนิวยอร์ก จะมาแชร์ให้เราได้รู้กัน และนี่คือ 5 เคล็ดลับเกี่ยวกับสิ่งที่บ่าวสาวต้องคิดเมื่อต้องเลือกดอกไม้ในงานแต่ง

1. ตัวอย่างการจัดดอกไม้ที่บ่าวสาวชอบหรือต้องการ

ตัวอย่างไอเดียการจัดดอกไม้ในงานแต่ง สิ่งนี้จะเป็นประโยชน์กับบ่าวสาวเป็นอย่างมาก เพราะจะทำให้บ่าวสาวได้เห็นภาพรวมของงานว่าจะออกมาเป็นในแนวทางไหน เพื่อที่จะนำไปให้นักจัดดอกไม้อีกทีหนึ่ง แต่ถ้าตัวอย่างของบ่าวสาวคละสีกันมาไม่มีสีหลัก หรือมีหลายสไตล์มากเกินไป ก็อาจทำให้นักจัดดอกไม้สับสนและเข้าใจได้ยากว่าบ่าวสาวต้องการสไตล์ดอกไม้แบบไหนในงานแต่งงานกันแน่ เพราะฉะนั้นอย่างน้อยบ่าวสาวควรจะมีธีมที่ชัดเจน อย่างเช่น สี หรือชนิดของดอกไม้ แล้วนำไปปรึกษากับนักจัดดอกไม้อีกที เพื่อให้พวกเขาชี้แนะแนวทางที่ถูกต้อง

2. จงทำใจหากต้องมีการปรับแก้ไขบางอย่าง

หากบ่าวสาวรู้ถึงสิ่งที่ต้องการอย่างชัดเจน นั่นถือว่าเป็นเรื่องที่ดี แต่ในทางกลับกันบางครั้งภาพที่บ่าวสาวคิด กับสิ่งที่สามารถจะเกิดขึ้นได้จริงอาจสวนทางกัน เพราะอาจถูกจำกัดด้วย งบประมาณ สถานที่ หรือฤดูกาลของดอกไม้ จึงทำให้ต้องมีการปรับเปลี่ยนแก้ไขจากสิ่งที่บ่าวสาวต้องการ แต่เชื่อเถอะด้วยความเป็นมืออาชีพของนักจัดดอกไม้ที่บ่าวสาวเลือกแล้ว พวกเขาจะต้องแก้ไขปรับปรุงให้งานแต่งงานของบ่าวสาวสมบูรณ์ให้จงได้ เพราะฉะนั้นการรู้จักยืดหยุ่นบางอย่างก็อาจจะทำให้งานออกมาสวยงามเพอร์เฟกต์ได้เช่นกัน

3. อย่าเพิ่งเชื่อทุกสิ่งที่เห็นในโลกออนไลน์

บางครั้งภาพก็อาจทำให้เราเข้าใจผิดได้ เพราะบางทีภาพที่เราเห็นว่าสวยๆ ในออนไลน์นั้นอาจจะได้รับการแก้ไขปรับแต่งใส่ฟิลเตอร์มาประมาณร้อยชั้นเพื่อให้สวยงาม ซึ่งการแก้ไขและปรับแต่งนั้นอาจทำให้คุณไม่ได้เห็นเฉดสีที่เป็นสีธรรมชาติที่แท้จริงของดอกไม้ เรียกง่ายๆ ว่าเหมือนโดนภาพปกหลอกนั่นแหละคะ เพราะฉะนั้นบ่าวสาวอย่าเพิ่งตกลงปลงใจไปกับแบบหรือเฉดสีของดอกไม้ที่เห็นเพียงแค่จากหน้าจอ หรือภาพถ่ายโดยที่คุณยังไม่เคยเห็นของจริงมาก่อน ทางทีดีลองนำภาพนั้นไปปรึกษากับนักจัดดอกไม้ก่อน เพราะบางครั้งของจริงอาจจะไม่ได้เป็นอย่างที่คุณคิดก็ได้

นักจัดดอกไม้

4. อย่าด่วนตัดสินใจเลือกเร็วเกินไป

ถึงแม้ว่าการรอจนวินาทีสุดท้ายก็ไม่ได้เป็นความคิดที่ดี แต่เชื่อหรือไม่ว่า การเริ่มต้นที่เร็วเกินไปก็ไม่ได้เป็นความคิดที่ดีเหมือนกัน เพราะก่อนที่บ่าวสาวจะนำแบบไปปรึกษากับนักจัดดอกไม้นั้น บ่าวสาวจะต้องมีข้อมูลอย่างเช่น วันที่จัดงาน สถานที่จัดงาน และจำนวนแขกโดยประมาณ เพราะถ้าหากไม่มี 3 สิ่งนี้ การสนทนากับนักจัดดอกไม้ก็จะไม่ได้ประโยชน์อะไรเลย เพราะบ่าวสาวยังไร้ซึ่งข้อมูลใดๆ เพื่อให้พวกเขานำไปใช้ในการออกแบบ นี่ยังไม่นับรวมถึงเทรนด์ของดอกไม้ที่มาไวไปไวอีก เพราะฉะนั้นหากบ่าวสาวตัดสินใจเร็วเกินไป เมื่อเทรนด์ดอกไม้เกิดเปลี่ยนขึ้นมา บ่าวสาวก็อาจลังเลใจในแบบหรือสไตล์ที่มีอยู่ จนอาจถึงขั้นต้องมาวางแผนนับหนึ่งใหม่ตั้งแต่ต้นก็ได้

5. มองหานักจัดดอกไม้ให้หลายๆ เจ้า

ในขณะที่นักจัดดอกไม้หลายคนสามารถที่จะออกแบบหรือจัดดอกไม้ได้หลายสไตล์ แต่นักจัดดอกไม้แต่ละเจ้าก็จะมีเอกลักษณ์เฉพาะตัว หรือซิกเนเจอร์ที่ต่างกันออกไปด้วย เพราะฉะนั้นบ่าวสาวต้องตัดสินใจให้ดีว่านักจัดดอกไม้เจ้าที่เลือกมานั้นแมตช์กับลุคที่คุณต้องการหรือมองหาอยู่หรือไม่ ซึ่งการศึกษางานที่ผ่านๆ มาของนักจัดดอกไม้จึงเป็นสิ่งสำคัญที่จะช่วยให้บ่าวสาวตัดสินใจได้ง่ายขึ้นเพื่อให้งานของคุณออกมาสมบูรณ์แบบมากที่สุด เราขอแนะนำให้เลือกนักจัดดอกไม้ที่สามารถสะท้อนสไตล์ของบ่าวสาวได้นั้นแหละดีที่สุด

 

ติดตามไอเดียดีๆ เกี่ยวกับการจัดงานแต่งงานเพิ่มเติมได้ที่นี่ คลิกเลย!

 

เรียบเรียงข้อมูลจาก Brides.com
ภาพ stocksnap.io, www.iamflower.co

เลือก เวลเจ้าสาว ให้สวยปัง ด้วย 5 เทคนิคลับที่เจ้าสาวต้องรู้ !

เวลเจ้าสาว กับเทคนิคการเลือกที่เจ้าสาวต้องรู้

เวลเจ้าสาว ไม่ใช่เพียงแค่ผ้าผืนบางใส่เพื่อความสวยงามเท่านั้น แต่เวลผืนนี้ ยังมีที่มา มีความหมาย และระดับความยาวที่แตกต่างกัน เรามาดูกันดีกว่าว่าแต่ละความยาวเหมาะกับงานแบบไหน

เวล เวล เวล ผ้าผืนนี้มีที่มา

เมื่อก่อน เวลเจ้าสาว ไม่ใช่แค่เครื่องประดับเพื่อความสวยงามอย่างสมัยนี้เท่านั้น แต่ยังว่ากันว่าเป็นเครื่องรางสำหรับปกป้องเจ้าสาวไม่ให้ถูกสิ่งชั่วร้ายมาเข้าใกล้

ส่วนเจ้าสาวที่แต่งงานในโบสถ์ทุกคนก็ต้องใส่เวล เพื่อเป็นเครื่องหมายของความอ่อนเยาว์ และความบริสุทธิ์ การที่เจ้าบ่าวเปิดเวลก็หมายถึง นับจากนี้ไปผู้ชายคนนี้จะรักและดูแล ปกป้อง เจ้าสาวตลอดไป…โรแมนติคดีเนอะ ว่าไหม?

ใส่เวลให้สวยปัง ไม่รุงรัง ต้องทำยังไง

  1. สีต้องเข้ากัน ถึงจะขาวเหมือนกัน แต่เวลและชุดควรเป็นสีขาวในเฉดหรือโทนเดียวกัน แม้ว่าเวลจะเป็นเพียงผ้าลูกไม้ผืนบางก็ตาม
  2. ตอนเลือกเวลควรใส่รองเท้าแต่งงานคู่จริง หรือความสูงเท่ากัน เพื่อดูความยาวของเวลให้พอดีกับระดับที่ต้องการ
  3. ลองใส่เวลคู่กับชุดแต่งงาน ว่าใส่ออกมาแล้วเข้ากันไหม และลายของชุดและลูกไม้บนเวลต้องไม่ตีกัน ทางที่ดี ควรลองใส่คู่กันจริงๆ ไปเลย
  4. ตอนคุยกับช่างผม และช่างแต่งหน้า ต้องบอกเขาด้วยว่า “เราใส่เวล” เพื่อที่ช่างจะได้ออกแบบหน้าผมให้รับกับการใส่เวล
  5. เลือกเครื่องประดับชิ้นที่ไม่ใหญ่มาก เพื่อไม่ให้ตีกันทั้งชุด และเวล

อ่านเรื่องความยาวของเวลได้ที่หน้าถัดไปเลย

เตรียมแต่งงานพิธีคริสต์คาทอลิกแบบถูกหลักเป๊ะๆ ที่บ่าวสาวต้องรู้

ใครที่เคยเห็นพิธีแต่งงานในโบสถ์สุดโรแมนติกตามภาพยนตร์ต่างๆ แล้วคิดว่าทำได้ง่ายๆ ขอบอกเลยคุณคิดผิดเต็มประตู ในความจริงแล้วคู่รักที่จะแต่งงาน พิธีคริสต์คาทอลิก ต้องเตรียมตัวมากมายหลายอย่างและมีวิธีปฏิบัติอย่างละเอียดถี่ถ้วน เพราะถือเป็นเรื่องสำคัญของชีวิต เรียกได้ว่า พิธีแต่งงานแบบไทยในบ้านเราที่ว่าละเอียดยิบแล้วยังต้องชิดซ้ายไปเลย

ศีลสมรส VS พิธีสมรส

อย่างแรกที่ทุกคู่รักจะต้องรู้และทำความเข้าใจเกี่ยวกับการแต่งงานแบบชาวคริสต์ คาทอลิกก็คือ พิธีแต่งงานจะมี 2 แบบ

แบบที่ 1คือ การแต่งงานระหว่าง คาทอลิก กับ คาทอลิก (ทั้งบ่าวสาวนับถือคริสต์ นิกายคาทอลิก) โดยจะเรียกว่า “ศีลสมรส” ซึ่งถือเป็นศีลศักดิ์สิทธิ์

แบบที่ 2 คือ การแต่งงานระหว่าง คาทอลิก กับ ผู้ที่มิใช่คาทอลิก (นับถือศาสนาต่างกัน) โดยจะเรียกว่า “พิธีสมรส” และไม่ถือว่าเป็นศีลศักดิ์สิทธิ์

อีกหนึ่งอย่างสำคัญที่คู่รักควรจะรู้จักไว้ก็คือ ข้อขัดขวาง หมายถึง การที่คู่รักคนใดคนหนึ่งเคยผ่านการแต่งงานมาก่อน ทั้งการแต่งงานที่ถูกต้องตามกฎหมาย หรืออยู่ด้วยกันฉันท์สามีภรรยากับผู้อื่นมาก่อน

ดังนั้นการแต่งงานในโบสถ์สวยๆ ตามที่คุณเห็นในหนัง จะทำได้ก็ต่อเมื่อฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งต้องนับถือศาสนาคริสต์ นิกายโรมันคาทอลิก และทั้งคู่จะต้องไม่มีข้อขัดขวางใดๆ สำหรับการแต่งงานด้วย

สิ่งแรกที่ต้องทำหลังตัดสินใจแต่งงาน

หลังจากที่คุณและคนรักเซย์เยสตอบตกลงจะใช้ชีวิตร่วมกันแล้ว อย่างแรกที่ควรทำก็คือ ดูว่าจะจัดงานแต่งที่โบสถ์ไหน ซึ่งบ่าวสาวส่วนใหญ่มักจะเลือกโบสถ์ที่ตนเองไปประกอบศาสนกิจเป็นประจำ จากนั้นจึงโทรไปสอบถามรายละเอียดเบื้องต้นกับทางโบสถ์ว่า มีขั้นตอนในการจัดงานแต่งงานอย่างไรบ้าง สิ่งสำคัญก็คือ ฝ่ายที่เป็นคาทอลิกจะได้ได้รับศีลล้างบาป ศีลมหาสนิท และศีลกำลัง และปฏิบัติศาสนกิจอย่างต่อเนื่อง จึงจะสามารถแต่งงานได้

ติดต่อจองโบสถ์อย่างไร?

การติดต่อจองโบสถ์ ว่าที่บ่าวสาวควรไปที่สำนักงานวัด และเข้าติดต่อจองโบสถ์กับทางวัดด้วยตนเอง และควรติดต่อตั้งแต่เนิ่นๆ อย่างน้อย 3 เดือนก่อนวันแต่งงานจริง จากนั้นคุณพ่อเจ้าอาวาส, คุณพ่อผู้รับผิดชอบ หรือเจ้าหน้าที่ที่ได้รับมอบหมายจะสอบถามเกี่ยวกับข้อขัดขวาง หากพิจารณาแล้วว่าไม่มีข้อขัดขวางใดๆ ในการแต่งงาน ทางโบสถ์จะรับจัดพิธีแต่งงานและแจ้งกฎระเบียบให้ว่าที่บ่าวสาวรับทราบ

เข้าอบรมชีวิตสมรส

หลังจากติดต่อกับทางโบสถ์เรียบร้อยแล้ว ก็มาถึงขั้นตอนการเข้ารับการอบรมเรื่องชีวิตสมรส โดยทางวัดจะแจ้งให้บ่าวสาวทราบและเข้าใจถึงความสำคัญของการแต่งในบริบทของคาทอลิก การวางแผนครอบครัว การทำหน้าที่ของสามีภรรยา บิดามารดา รวมถึงเรื่องทั่วไป เช่น กฎหมายพระศาสนจักรคาทอลิก, กฎหมายบ้านเมือง และศีลธรรม จริยธรรม ซึ่งแน่นอนว่าต้องเข้าอบรมทั้งว่าที่เจ้าบ่าวเจ้าสาว ไม่ว่าคนใดคนหนึ่งจะเป็นคาทอลิกหรือไม่ก็ตาม ซึ่งขั้นตอนนี้ฮีบินขอแนะนำว่าให้ติดต่อกับทางวัดให้เรียบร้อยแล้วจึงค่อยเข้ารับการอบรมนะคะ

นี่แค่ช่วงเตรียมการแต่งงานและจองโบสถ์รายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ ก็แน่นเอี๊ยดขนาดนี้ ว่าที่บ่าวสาวอย่าเพิ่งโอดครวญนะคะ เพราะการแต่งงานถือเป็นเรื่องสำคัญสำหรับชีวิตจริงๆ ดีซะอีกที่เราจะได้ค่อยๆ เรียนรู้ทำความเข้าใจในหลักศาสนาและเข้าใจกันและกันได้มากขึ้น ส่วนคู่รักคู่ไหนที่ฝ่าด่านแรกของการเตรียมงานไปได้แล้ว ด่านหน้า “การเตรียมเอกสาร” สำหรับขออนุญาตการแต่งงานจากทางสังฆมณฑลก็เป็นเรื่องที่สำคัญไม่แพ้กัน ถ้าอยากรู้ว่าต้องเตรียมเอกสารอะไรบ้าง ใช้เวลาการเตรียมนานแค่ไหน ก็รอติดตามได้เลยจ้า

ติดตามเรื่องราวเกี่ยวกับความเชื่อในพิธีแต่งงานต่างๆ เพิ่มเติมได้ที่นี่ คลิกเลย!

ขอขอบคุณข้อมูลจาก : อาสนวิหารอัสสัมชัญ  Assumption Cathedral, หนังสือเกี่ยวกับ “การแต่งงานแบบคาทอลิก” (คุณพ่อวุฒิเลิศ แห่ล้อม), ระเบียบข้อปฏิบัติการแต่งงานของอาสนวิหารอัสสัมชัญ

เคล็ดลับ ประหยัดงบงานแต่ง ให้บ่าวสาวมีเงินเหลือใช้ไม่ปวดหัว

จะ ประหยัดงบงานแต่ง ในส่วนไหนที่ช่วยให้งานยังออกมาดูดีได้นะ??

เมื่อถึงเวลาต้องจัดงานแต่งงาน ว่าที่บ่าวสาวที่มีงบน้อยหอยน้อยก็อาจจะเริ่มต้นไม่ถูกว่าจะควรจะลงทุนหรือจัดการงบประมาณการใช้เงินในส่วนต่างๆ อย่างไรได้บ้าง แพรว wedding เลยจะมาแนะนำเคล็ดลับการ ประหยัดงบงานแต่ง ในส่วนต่างๆ มาฝาก รับรองมีเงินเหลือใช้ไว้ปลูกเรือนหอแน่นอน

 

การตกแต่ง

ประหยัดงบงานแต่ง

– เช็กของตกแต่งที่ทางโรงแรมให้ก่อนว่ามีอะไรบ้าง จากนั้นปรับให้เข้ากับความต้องการ เช่น หากโรงแรมให้ดอกไม้มา 5 จุด อาจใช้จริงตามแพ็คเกจเพียง 2 จุด ส่วนดอกไม้ที่เหลือก็นำไปตกแต่งในส่วนอื่นตามธีมที่วางไว้

– ตกแต่งเฉพาะจุดใหญ่ๆ ให้โดดเด่นสะดุดตา เช่น ฉากถ่ายภาพ แกลเลอรี่ เวทีเค้ก ดีกว่าตกแต่งทั่วทุกจุด เพราะสุดท้ายแล้วจุดเล็กๆ ก็จะกลืนไปกับฝูงชนที่มาร่วมยินดี

– ไม่ใช้ดอกไม้สด 100 เปอร์เซ็นต์ แต่นำวัสดุอื่นมาผสมให้กลมกลืน เช่น ดอกไม้ผ้าหรือดอกไม้กระดาษ

– เช่าพร็อปส์สำเร็จมาตั้ง

–  ไม่จำเป็นต้องปริ้นต์ภาพถ่ายขนาดใหญ่เว่อร์ แต่ปริ้นต์แค่ขนาด 20-24 นิ้วก็พอ เพราะหลังจากโชว์ในงานแล้วยังนำไปวางตกแต่งไว้ที่บ้านต่อได้อีกด้วย

– ดอกไม้ตามฤดูกาลไม่ได้ประหยัดเสมอไป เพราะในช่วงที่คนนิยมแต่งงาน ไม่ว่าดอกไม้ชนิดใดก็แพงทั้งนั้น ถ้าไม่จำเป็นแนะนำให้เลี่ยงสีขาว ชมพู ฟ้า เพราะตัวเลือกน้อยทำให้ราคาแพงทุกฤดูกาล

– ใช้ใบไม้ปูพื้นแทนการปักดอกไม้สดแน่นๆ ทั้งผืน เช่น ใบยูคาลิปตัว ใบสน ใบปลง ใบเฟิร์น ใบพุด เป็นต้น

– ในกรณีที่เช่าห้องเปล่าๆ จัดงาน ให้หามุมสวยๆ ไว้เป็นมุมโชว์ ถ้าไม่มี แนะนำให้ใช้การจับผ้ามาสร้างจุดเด่นให้มุมที่ต้องการแล้วตกแต่งดอกไม้เพิ่มเติมอีกนิดหน่อย

– ดอกไม้ไทยประหยัดกว่าดอกไม้นอกครึ่งหนึ่ง แม้ดอกจะเล็กกว่า แต่หากใช้เป็นก็สวยได้

คลิกหน้าต่อไป >> เคล็ดลับประหยัดค่าการ์ดและของชำร่วย

คำนวณอาหารในงานแต่งให้เป๊ะ แขกกินอิ่ม ของไม่เหลือทิ้ง

ในงานเลี้ยงแบบค็อกเทล บ่าวสาวจะต้อง คำนวณอาหารในงานแต่ง รวมถึงเลือกเมนูอาหารอย่างคร่าวๆ เพื่อจะได้คุยกับฝ่ายแคทเทอริ่ง ซึ่งการรู้ปริมาณคร่าวๆ มาก่อนจะช่วยให้ประหยัดค่าใช้จ่ายในส่วนนี้ได้ มาถึงตรงนี้บ่าวสาวก็อย่าเพิ่งบ่นว่าแล้วจะคำนวณอย่างไร เพราะ แพรว Wedding หาวิธีมาให้แล้ว มาดูเลย

การคำนวณอาหารสิ่งที่ต้องรู้คือ จำนวนคน ระยะเวลางาน และช่วงเวลาที่จัด โดยเฉพาะเรื่องเวลาที่จัดงานและความยาวของงานมีผลอย่างมากต่อปริมาณอาหารที่ต้องเตรียม เพราะยิ่งความยาวของงานนานเท่าไหร่อาหารก็ยิ่งต้องเยอะเท่านั้น  และช่วงเวลาที่จัดงานก็มีผลต่อปริมาณอาหารที่แขกจะกินเหมือนกันนะ

 ปริมาณอาหารต่อคน ในแต่ละช่วงเวลา

– ในช่วงปกติ แต่มีอาหารหลักด้วย 3 – 4 ชิ้น

– ในช่วงเวลาปกติ 5-6 ชิ้น ต่อคน

– ช่วงคาบเกี่ยวมื้ออาหาร 8 – 10 ชิ้น ต่อคำ

เมื่อเรารู้จำนวนชิ้นต่อคนแล้ว คราวนี้ก็คำนวณปริมาณอาหารได้ง่ายๆ ด้วยการเอา จำนวนแขก ระยะเวลา และปริมาณอาหารต่อคนมาคูณกัน

ตัวอย่างที่ 1. จำนวนแขก 200 คน งานเริ่มตั้งแต่ 6 โมงเย็น จนถึง 3 ทุ่ม = 200 คน x 3 ชั่วโมง x 10 ชิ้น = 6,000 ชิ้น

เท่ากับว่า งานนี้ต้องการอาหาร 6,000 ชิ้น จะต้องคละๆ กันไป ตามประเภทอาหาร หรือหากเป็นอาหารชิ้นใหญ่ ก็สามารถลดจำนวนลงได้ด้วย แต่ก็ควรเผื่อให้พอสำหรับแขกทุกคนในงาน

ตัวอย่างที่ 2. พิธีเช้า แขก 100 คน งานเริ่ม 7 โมง จนถึง 10 โมง = 100 คน x 3 ชั่วโมง x 4 ชิ้น = 1,200

เท่ากับว่า งานนี้ต้องการอาหาร 1,200 ชิ้น แต่งานในพิธีเช้าก็อาจจะลดจำนวนลงกว่านี้ได้อีก หากว่ามีเครื่องดื่มร้อน และข้าวต้มสำหรับเสิร์ฟในงาน

คำนวนอาหารในงานแต่ง

เลือกอาหารให้หลากหลาย โดยใจแขกทุกคน

  1. ต้องมีอาหารให้ครบทั้งมีผัก และแบบเมนูที่ไม่มีผัก แต่หากว่ามีชาวมังสวิรัติก็ควรต้องเตรียมอาหารพิเศษไว้ให้ด้วย
  2. ซุปร้อนๆ คนไทยขาดไม่ได้หรอกสำหรับอาหารจำพวก แกงหรือซุป สำหรับซดให้คล่องคอ และควรต้องอุ่นให้ร้อนอยู่ตลอดเวลาเผื่ออากาศในที่จัดงานหนาว ก็มีพวกนี้ไว้คลายหนาวได้ด้วย
  3. เลือกเนื้อสัตว์ที่หลากหลาย สำหรับแขกหลายๆ คนที่มีเงื่อนไขพิเศษ ไม่ว่าจะเป็นแพ้อาหารบางชนิด หรือไม่กินเนื้อบางอย่าง

ด้วยการจัดการเพียงเท่านี้ ก็ทำให้เป็นงานแต่งงานที่มีอาหารหลากหลายกินได้ทุกคน แถมยังควบคุมปริมาณอาหารไม่ให้เหลือเยอะเกินไป ช่วยประหยัดค่าใช้จ่ายได้อีกด้วย นอกจากนั้นเรายังมีเคล็ดลับการจัดงานแต่งให้คุ้มค่าได้งานสวยอีกเพียบ คลิกเลย

ข้อมูล thekitchn.com
ภาพ Pixabay

วัดไซส์แหวนให้ชัวร์เป๊ะด้วย 5 วิธีง่ายๆ ก่อนซื้อไปเซอร์ไพรส์คุณแฟน

สาวๆ หนุ่มๆ ที่วางแผนกำลังจะเซอร์ไพรส์คนรักด้วยแหวน ถ้าไม่อยากหน้าแตกซื้อแหวนผิดขนาด ก็ต้อง วัดไซส์แหวน ไปให้แน่นอนก่อน แต่ครั้นจะวัดกันโจ่งแจ้ง แล้วจะเรียกเซอรไพรส์ได้ยังไง ของแบบนี้ต้องแอบวัด แอบทำสิ

 

ด้ายเส้นบาง

ด้าย เป็นอุปกรณ์สากลของการแอบ วัดไซส์แหวน เลย ไม่ว่าจะเป็นการหาโอกาสเนียนวัด หรือแอบวัดตอนหลับ วิธีก็ไม่ยาก แค่ใช้ ด้ายทาบไปรอบนิ้ว แล้วตัดเส้นไว้พอดี ก่อนนำความยาวด้ายนั้นไปวัดขนาดอีกที

วัดไซส์แหวน

แหวนดอกไม้

เป็นวิธีสุดโรแมนติค กับการควงคู่กันไปสวนสาธารณะ หามุมสบายๆ เด็ดก้านดอกหญ้าข้างตัวมาถักเป็นวงแหวน ใช้ดอกไม้เป็นหัวแหวนให้ใส่ ก่อนจะแอบเอาวงนั้นแหละมาวัดไซส์สำหรับแหวนที่จะซื้อให้อีกที

ปั้มแหวน

เป็นวิธีของช่างทำกุญแจ ที่จะเอากุญแจมาปั้มกับดินน้ำมัน คราวนี้เราก็เปลี่ยนจากกุญแจมาเป็นแหวน ปั๊มแหวนลงบนดินน้ำมัน แต่วิธีนี้ต้องอาศัยสกิลเนียน ในการแอบนำแหวนมาปั้มโดยไม่ให้เจ้าของรู้ตัวนะ

มือขี้ผึ้ง

เคยเห็นกันใช่ไหมที่เขาหล่อมือด้วยขี้ผึ้ง อันนั้นละ ที่เราจะหลอกล่อคนรักไปทำ แต่ตอนทำต้องขอให้โคนนิ้วที่จะใส่แหวนชัดเจนนะ ตอนไปแอบซื้อแหวนจะได้เอามือขี้ผึ้งอันนี้ไปลองแหวนได้เลย คราวนี้ละได้ขนาดเป๊ะๆ

แหวนกระดาษ

เป็นอีกวิธีที่มุ้งมิ้ง น่ารัก ด้วยการพับแหวนโอริกามิ ซึ่งมีวิธีการพับอยู่ในยูทูป หลังจากที่พับเสร็จแล้วก็เอามาสวมใส่ ถ้าไม่พอดีก็เอามาปรับไซส์จนได้ไซส์ แล้วอย่าเผลอทิ้งนะ เพราะแหวนวงนั้นเราเอามาวัดเส้นผ่าศูนย์กลางสำหรับแหวนวงจริงได้อีกด้วย

ได้ขนาดนิ้วแล้ว อย่าลืมอ่านวิธีหาไซส์แหวนที่หน้าถัดไปนะ

SOS Wedding Day จะหาทางรอดจากเหตุการณ์ไม่คาดฝันใน วันแต่งงาน ได้ยังไง?

SOS Wedding Day วันแต่งงาน ฉันต้องรอด!

จั่วหัวเรื่องแบบนี้ แพรว wedding ไม่ได้ตั้งใจขู่ขวัญว่าที่เจ้าบ่าว – เจ้าสาวแต่อย่างใด แค่อยากบอกว่าใน วันแต่งงาน มักมีปัญหาเฉพาะหน้าเกิดขึ้นอยู่เสมอ ดังเหตุการณ์ SOS ที่รวบรวมมาให้เป็นข้อมูล พร้อมวิธีป้องกันและแก้ไขแบบเอาอยู่! คู่ไหนไม่เจอเรื่องต่อไปนี้เลย แพรว wedding ก็ขอจุดพลุร่วมไชโยด้วยคนเรื่อง ปารัณ เจียมจิตต์ตรง

 

ส่งการ์ดไปกี่ใบแน่?

เรื่องจริงคือแขกในวันแต่งงานจะไม่ได้มีแค่ญาติและเพื่อนๆ ที่คุณรู้จักเท่านั้น แต่ยังมีแขกที่คุณพ่อคุณแม่ของบ่าว – สาวเชิญเป็นการส่วนตัวด้วย เพราะฉะนั้นถ้าไม่ทำเช็กลิสต์ดีๆ ว่าทั้งสองฝั่งแจกการ์ดเชิญไปกี่ใบ อาจมีเหตุเซอร์ไพรส์ว่ามีแขกมากกว่าจำนวนโต๊ะ หรืออาหารที่เตรียมเผื่อไว้แล้วก็ยังไม่พอรองรับเพราะฉะนั้นการป้องกันด้วยการทำเช็กลิสต์จึงดีกว่าการแก้ปัญหาแน่นอน

ถ้าทำทุกทางแล้วก็ไม่สามารถลดจำนวนแขกของทุกฝ่ายได้จริงๆ (และจ่ายเงินจองโรงแรมไปแล้ว) ก็ขอให้ตีซี้กัปตันหรือเจ้าหน้าที่ดูแลงานแต่งงานของคุณให้มากที่สุด เพราะเขาคือบุคคลสำคัญที่ช่วยแก้ไขสถานการณ์เฉพาะหน้าให้พายุเฮอร์ริเคนลดระดับลงเป็นพายุโซนร้อนได้

ตายแล้ว…เพื่อนเจ้าสาวแย่งซีน!

ถ้าไม่อยากให้เพื่อนๆ แฟชั่นนิสต้าของคุณจัดเต็มกันมาจนโดดเด่นแย่งซีนเกินหน้าเกินตา เกิดอาการกินใจกันจนจบไม่สวย ก็อย่าลืมบอกธีมสีชุดของแขกที่มาร่วมงานให้ชัดเจน แต่ถ้าระบุแล้วคุณเพื่อนยังตั้งใจขโมยความโดดเด่นไปอีกคุณก็คงต้องใช้วิจารณญาณสำหรับมาตรการขั้นเด็ดขาดแล้วละ!

คุณเจ้าบ่าวคะ แต่งหน้านิดๆ หน่อยๆ ไม่เสียลุคหรอก

สาวๆ ที่เจอปัญหาว่าชายหนุ่มของคุณไม่ยอมแต่งหน้าเพราะไม่คุ้นชิน และคิดว่าจะทำให้ตัวเองดูสาวเกินไป เอาละให้นางอ่านข้อความต่อไปนี้

นี่ปี 2019 แล้วเครื่องสำอางไม่ใช่อาวุธสำหรับคุณผู้หญิงเท่านั้น แต่เป็นเครื่องมือสำคัญให้คุณได้รูปภาพวันแต่งงานที่สมบูรณ์แบบขึ้น เพราะ เวลาคุณยืนอยู่ที่แบ็กดร็อปถ่ายรูปแสงแฟลชหรือไฟที่ช่างภาพเซตไว้จะทำให้หน้าของคุณดูจืดลงหลายระดับ ถ้าไม่แต่งหน้าบ้างคุณจะกลายเป็นเจ้าบ่าวหน้าซีด 2019 และถ้าเคราะห์กรรมได้ช่างภาพหรือคนจัดไฟไม่เก่ง คุณก็มีสิทธิ์ได้รูปภาพวันแต่งงานแบบทูโทน คือเจ้าสาวหน้าขาวผ่อง ส่วนเจ้าบ่าวหน้าเขียวปั้ด เอ้า! บอกขนาดนี้แล้วเลือกเองนะ

เชิญแฟนเก่ามางาน…คุยกันยัง!

แขกตัวจี๊ดที่บ่าว – สาวต้องคิดให้หนักคือแฟนเก่า ถ้าคุณมั่นใจว่าได้บอกว่าที่คู่ชีวิตเรื่องนี้แล้ว (ย้ำว่าคุยกันเข้าใจแล้วจริงๆ) ก็คงไม่มีปัญหา แต่ถ้าคิดเองเออเองว่า เชิญมาเถอะ เรื่องเก่าจบไปแล้ว อีกฝ่ายคงไม่คิดมาก แพรว wedding ขอเตือนว่า อดีตน่ะจบไปแล้วแน่ แต่คุณเสี่ยงนำพาปัจจุบันและอนาคตเข้าสู่มรสุมโดยไม่รู้ตัว

ข้อคิดของมือใหม่หัดโบท็อกซ์

สำหรับสาวๆ (รวมถึงหนุ่มๆ) ที่อยากหน้าเป๊ะ มีคางวีเชปแบบธรรมชาติในวันแต่งงาน ถ้าอยู่ในประเภทมือใหม่ไม่เคยโบ ขอแนะนำให้เผื่อเวลาพบคุณหมอก่อนวันงานสักหนึ่งเดือน เพราะถ้าฉีดโบล่วงหน้าแค่ 1 – 2 วัน หน้าอาจยึดจนยิ้มไม่ออก หรือถ้าเกิดความผิดพลาดพลั้งไปจะได้มี เวลาแก้ไขทัน

ช่างหน้ากับช่างผมมางานไม่ทัน วิกฤติระดับ 10 เต็ม 10!

อย่าคิดว่าเรื่องนี้ไม่มีทางเกิดขึ้นกับฉัน เพราะมันเคยเกิดขึ้นมาแล้ว ไม่ว่าด้วยปัญหาการจราจรติดขัด เกิดเหตุฉุกเฉิน หรือช่างคิวฮ็อตของคุณแอบนัดคิวซ้อนจนมาไม่ทัน…ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม แนะนำให้คุณหาเพื่อนที่แต่งหน้าได้เริดสแตนด์บายไว้ใกล้ตัว พร้อมกระเป๋าเครื่องสำอาง 1 ชุดใหญ่ และหาทรงผมที่ทำแล้วรอดชัวร์ๆ ไว้ล่วงหน้า พร้อมไว้ก่อนไม่มีอะไรเสียหายนี่

คลิกหน้าต่อไป >> เพราะยังมีอีกหลายเรื่องที่บ่าวสาวต้องรอด!

STOP!! สกัดจุดเจ้าสาวช่างฝัน เมื่อเงินแต่งงานมีจำกัดจะทำยังไง

เมื่อ เงินแต่งงาน มีจำกัด แล้วเจ้าสาวช่างฝันจะทำยังไงล่ะที่นี้!?

งานแต่งงานถือเป็นเรื่องสำคัญสำหรับเจ้าสาวทุกคน เพราะเธอเหล่านั้นใฝ่ฝันมาตลอดว่างานแต่งฉันต้องเป็นแบบนั้น ใส่ชุดแบบนี้ บรรยากาศต้องเริด และสารพัดความต้องการที่อยากจะได้ แต่พอลิสต์รายการออกมาแทบจะติดแฮชแท็กว่า #กระเป๋าสตางค์ฉีกหนักมาก เพราะสิ่งที่อยากได้ไม่สัมพันธ์กับ เงินแต่งงาน ที่มีเลยสักนิด  ใครที่เป็นเพื่อนกับเจ้าสาวช่างฝันแต่สตางค์จำกัด คงต้องรีบมาช่วยกันดึงนางออกจากโลกความฝันด้วยวิธีการเหล่านี้แล้วล่ะ

1. ถามนางดังๆ ว่า “เงินน่ะมีไหม?”

อุ๊ปส์! จั่วหัวอาจดูแรง แต่ว่าเรื่อง “งบประมาณ” สำหรับงานแต่งถือเป็นเรื่องสำคัญที่สุดเลยนะจ๊ะ ลองเตือนสตินางด้วยคำถามตรงๆ ว่ามีเงินสำหรับจัดงานแต่งเท่าไหร่ ยอมจ่ายได้มากแค่ไหน ถ้าอยากได้งานหรูหราอลังการ แต่ทรัพย์ไม่บันดาลก็ต้องปรับเปลี่ยนให้พอดีกับเงินที่มี เช่น อยากจะเชิญแขกสัก 1,000 คน แต่งบมีพอเชิญได้แค่ 500 คน ก็ต้องลดลงมาจะได้ไม่ลำบากกระเป๋าสตางค์เนอะ

2. บอกให้นางจัดสิ่งที่อยากได้ไว้อันดับหนึ่ง

หลังจากตระหนักถึงงบประมาณที่มีแล้ว คราวนี้ก็มาดูกันว่า “สิ่งที่อยากให้มีในงานแต่งที่สุดคืออะไร?” อาจต้องคิดนานหน่อยเพราะดูเหมือนว่าเจ้าสาวช่างฝันจะอยากได้นั่นอยากได้นี่เยอะแยะไปหมด เอาเป็นว่าคิดให้ดีๆ ว่าอะไรที่เป็นสิ่งสำคัญและขาดไม่ได้สำหรับงานแต่ง และขอให้จัดสิ่งนั้นไว้ในลำดับต้นๆ แล้วค่อยไล่ความสำคัญลงมาเรื่อยๆ อันไหนคิดว่าไม่จำเป็นไม่มีก็ได้ให้ตัดออกซะ แบบนี้จะได้ไม่เปลืองงบประมาณ

3. ชวนนางจัดสรรปันงบตามสิ่งที่ชอบ

หลังจากที่ลิสต์แล้วว่าอะไรสำคัญที่สุดสำหรับในงาน ก็ถึงคราวที่ต้องมาเกลี่ยงบประมาณกันแล้ว ถ้าสิ่งสำคัญที่สุดสำหรับงานคืออาหารจัดเลี้ยง ก็อาจจะแบ่งเงินไปลงในส่วนอาหารมากหน่อย หรือถ้าชอบให้งานออกมาดูดี บรรยากาศอลังการก็แบ่งไปใช้ตกแต่งงานเยอะหน่อย ทั้งนี้ต้องตัดงบประมาณจากส่วนอื่นมาใช้ในส่วนที่ตัวเองชอบด้วยนะ ไม่ใช่ไปหยิบยืมจากใครมาเพิ่ม อันนี้ไม่แนะนำให้ทำอย่างยิ่ง!

4. แนะให้นางเลือกของให้เข้ากับธีมก็ช่วยประหยัดงบได้

เริ่มต้นที่ถามนางก่อนว่าอยากได้งานเป็นธีมแบบไหน ลองหาจุดกลางความต้องการของว่าที่บ่าวสาวแล้วกำหนดออกมาเลยดีกว่า เพราะว่าการกำหนดธีมจะสามารถช่วยให้รู้ขอบเขตของการตกแต่งภายในงาน แล้วเลือกของประดับให้เหมาะสมเข้ากันกับธีมงานนั้นๆ เช่น ถ้าธีมเป็นแบบคันทรี่ แต่เจ้าสาวดันอยากได้โซฟาหลุยส์มาวางไว้สวยๆ อันนี้เจ้าสาวก็ต้องยอมพับโครงการไปนะจ๊ะ เพราะมันไม่เข้าธีมสุดๆ  การทำแบบนี้นอกจากจะช่วยให้ไม่หลุดคอนเซ็ปต์แล้ว ยังช่วยประหยัดเงินในส่วนที่ไม่จำเป็นได้อีกด้วย

5. ทุ่มหรือถอยกับชุดเจ้าสาวแสนสวย

เปลี่ยนจากเรื่องเงินมาเป็นเรื่องชุดกันกันบ้างเนาะ จะเลือกชุดเจ้าสาวทั้งทีก็ต้องเอาตามหุ่นตัวเจ้าสาวเองนะ ไม่ใช่หุ่นตั้งโชว์หน้าร้าน ที่ต้องบอกให้เอาตามหุ่นเพราะว่าเจ้าสาวหลายคนมักช่างฝันอยากใส่ชุดแบบที่ตัวเองชอบในวันวิวาห์ แต่หารู้ไม่ว่าไอ้ชุดที่เธอชอบน่ะมันไม่เข้ากับหุ่นเธอเลยแม้แต่นิด ลองใส่แล้วส่องกระจกดูสิ โอโห้ ทำไมมันตัน มันยาวลากพื้น มันดูไม่สวยเหมือนอยู่บนหุ่นโชว์เลย นั่นก็เพราะว่ามันไม่เข้ากับสรีระของเธอไงจ๊ะ อิอิ! เพราะฉะนั้นต้องเลือกแบบเลือกทรงให้มันเหมาะสมกับสภาพร่างกายและช่วยอำพรางส่วนที่มีปัญหาทำให้เธอไม่มั่นใจ จะได้สวยเป็นนางเอกของงานแบบไม่มีที่ติ

5 ข้อที่บอกมานี้ไม่ได้คิดจะดับฝันเจ้าสาวทั้งหลายเลยนะจ๊ะ เพียงแค่อยากให้เธอเลือกสิ่งที่ดีที่สุดสำหรับตัวเองภายใต้งบประมาณที่มี ถ้ามีน้อยก็เลือกจัดแบบพอดีไม่ต้องไปหยิบยืมใครเขาจนต้องมาตามใช้หนี้กันทีหลัง ส่วนใครที่มีเงินเยอะ (เรียกง่ายๆ ว่ารวย) อยากจัดเต็มกับทุกรายละเอียดสำหรับวันสำคัญก็จัดโลด ไหนๆ ขนหน้าแข้งก็ไม่ร่วงอยู่แล้ว อยากทำอะไรก็ทำให้เต็มที่ไปเลยจ้า

แต่ถ้าอยากทำฝันให้เป็นจริงก็ลองนำทิปส์นี้ไปใช้กันดูนะ ทริคเด็ดเก็บเงินเตรียมแต่งงานให้บรรลุเป้าใน 10 เดือน

ภาพ : www.ellsewhere.com

เตรียมจัดงานแต่ง อย่างไรให้รอบคอบ และออกมาดี ไม่มีพลาด มาอ่านกัน

เมื่อพูดถึงการ เตรียมจัดงานแต่ง ก็มีหลายเรื่องที่บ่าวสาวต้องคำนึงถึง เพราะเป็นงานใหญ่และสำคัญในชีวิต จัดทั้งทีก็ไม่อยากให้มีสิ่งผิดพลาดเกิดขึ้น

และบ่าวสาวส่วนใหญ่ก็มักจะ เตรียมจัดงานแต่ง กันในเรื่องเบสิคก่อน เช่น เรื่องสถานที่ เสื้อผ้า การจัดเลี้ยงอาหารแขก รวมไปถึงดีเทลอื่นๆ แต่ก็ยังมีอีกหลายอย่างที่บ่าวสาวมักจะมองข้ามไป แต่สิ่งเหล่านั้นกลับเป็นเรื่องเล็กๆ น้อยๆ ที่บ่าวสาวไม่ควรมองข้าม ถ้าอย่างนั้นลองมาดูกันสิว่ามีสิ่งใดที่บ่าวสาวต้องดูให้รอบคอบ เมื่อต้องวางแผนจัดงานแต่ง 

1. มีแผนรับมือกับสภาพอากาศ

เนื่องจากประเทศไทยมีสภาพอากาศที่เปลี่ยนแปลงบ่อยมาก เดี๋ยวร้อน เดี๋ยวฝนตก ดังนั้นหากบ่าวสาวที่เตรียมจัดงานแต่งงานกลางแจ้ง ควรดูพยากรณ์อากาศให้ดีๆ นอกเหนือจากนี้ลองดูวิธีเตรียมรับมือกับสภาพอากาศที่อาจแปรปรวนไว้ด้วย เช่น หาร่มเตรียมไว้ หรือมีที่กันฝนเตรียมไว้สำหรับแขก เพราะคงเป็นภาพที่ไม่สวยมากนัก หากกำลังจัดงานแต่งงานอยู่ดีๆ แล้วฝนเทลงมานะจ๊ะ

เตรียมจัดงานแต่ง2. วางแผนการเดินทางให้กับแขกที่มาร่วมงาน

บ่าวสาวหลายคู่อาจจะลืมมองส่วนนี้ไป แต่ก็เป็นอีกเรื่องที่ไม่ควรมองข้ามนะคะ ซึ่งสิ่งแรกที่บ่าวสาวควรนึกถึงก่อนเลยคือ การเลือกสถานที่จัดงานแต่งให้แขกที่มาร่วมงานสามารถเดินทางมาได้อย่างสะดวก และควรทำแผนที่การเดินทางเตรียมไว้ให้กับแขกมาร่วมงานด้วย โดยอาจจะทำแนบไปกับการ์ดแต่งงาน หรือโพสลงในโซเชียลมีเดียเพื่อให้แขกได้เซฟเก็บไว้ในมือถือ เพราะถึงแม้โลกเราจะพัฒนาไปไกลมีแผนที่ในมือถือแล้ว แต่ก็ยังมีอีกหลายคนที่ยังไม่ถนัดใช้แผนที่ทางโทรศัพท์นะคะ ดังนั้นการวาดแผนที่ยังไงก็ยังเป็นสิ่งที่จำเป็นอยู่ดี

เตรียมจัดงานแต่ง3. จัดเตรียมโต๊ะให้ดี

ถึงแม้บ่าวสาวจะระบุจำนวนแขกที่จะมาร่วมงานไว้แล้วอย่างดิบดี มียอดชัดเจนว่าแจกการ์ดงานแต่งไปกี่ใบ แต่เราอยากแนะนำให้บ่าวสาวจัดเตรียมโต๊ะหรือที่นั่งสำรองไว้ให้เกินจำนวนที่คาดไว้สักหน่อย เพราะถึงแม้จะมั่นใจว่ามีแขกเท่านี้ที่จะมางาน แต่เมื่อถึงเวลาจริงๆ อาจจะมีแขกคนอื่นๆ ที่เราไม่ได้แจกการ์ดมาร่วมงานด้วยก็ได้ หรือแม้กระทั่งคนที่จะติดตามมากับแขกที่เราเชิญมาด้วย เช่น คนรักของเขา หรือครอบครัว เป็นต้น ดังนั้นเกินไว้ดีกว่าขาดนะจ๊ะ

เตรียมจัดงานแต่ง

4. อย่าลืมโทรหาคนสำคัญก่อนวันจริงมาถึง

จริงอยู่ว่าเมื่อเราแจกการ์ดแต่งงานออกไปแล้ว แขกทุกคนจะทราบวัน เวลา และสถานที่ รวมไปถึงคำตอบที่ว่าจะสามารถมาร่วมงานได้หรือไม่ เพราะฉะนั้นขอแนะนำเสริมให้อีกนิดว่าเมื่อใกล้ถึงวันงาน บ่าวสาวลองลิสต์รายชื่อแขกคนสำคัญๆ ออกมา เช่น ประธาน หรือแขกผู้ใหญ่คนสำคัญ เป็นต้น แล้วโทรเชิญพวกเขาอีกรอบ เหมือนเป็นการคอนเฟิร์มไปในตัว เพราะถึงแม้จะแจกการ์ดไปแล้ว แต่บางคู่กว่าจะจัดงานแต่งงานก็นานพอสมควร จนอาจทำให้แขกที่จะมาร่วมงานหลงลืมไปได้ว่าใกล้ถึงวันที่จะไปร่วมงานแล้วนั่นเอง

เตรียมจัดงานแต่ง

5. จัดหาห้องพักให้แขกคนสำคัญ

กรณีนี้เหมาะสำหรับคู่บ่าวสาวที่จัดงานแต่งงานไกลๆ เช่น ต่างจังหวัด และแขกต้องเดินทางไกลเพื่อไปร่วมงาน ซึ่งตามมารยาทแล้ว ควรจัดหาห้องพักให้กับแขกที่มาร่วมงานด้วย เพื่อเป็นสิ่งตอบแทนที่พวกเขาเดินทางมาร่วมงานแต่งงานซึ่งเป็นวันสำคัญของพวกคุณ

เตรียมจัดงานแต่ง

6. ลิสต์รายชื่อสิ่งของที่ต้องสั่งทำไว้ล่วงหน้า

เช่น อาหาร เค้กแต่งงาน ดอกไม้ รวมไปถึงเครื่องดื่มที่จะนำมาเสิร์ฟในงานแต่งงาน เพราะสิ่งของเหล่านี้ต้องใช้เวลาในการเตรียม และไม่ควรทิ้งระยะเวลาไว้นานๆ แล้วค่อยมาสั่งทีหลัง ฉะนั้นบ่าวสาวควรลิสต์รายชื่อสิ่งของที่ต้องสั่งไว้ล่วงหน้า เพื่อที่จะได้เตรียมทัน และไม่หลงลืมนั่นเองค่ะ

เตรียมจัดงานแต่ง

7. หารายชื่อร้านต่างๆ สำรองเอาไว้

ถึงแม้จะเตรียมของทุกอย่างไว้เรียบร้อยแล้ว แต่อะไรๆ ก็เกิดขึ้นได้ อย่างเช่น สั่งอาหารไปแล้วแต่ทางร้านเกิดปัญหาไม่สามารถมาบริการให้คู่บ่าวสาวในวันจริงได้ เราจึงอยากแนะนำให้ลองดูรายชื่อร้านและงานบริการต่างๆ สำรองเอาไว้ด้วย เพื่อที่หากเกิดเหตุสุดวิสัยจริงๆ บ่าวสาวจะได้มีแผนสำรองไว้เตรียมรับมือค่ะ

เตรียมจัดงานแต่ง

และนี่คือสิ่งที่ควรมีในการวางแผนจัดงานแต่ง เพราะเป็นเรื่องเล็กๆ น้อยๆ แต่ถ้าหากมองข้ามไป มันก็อาจจะส่งผลต่างๆ ตามมาได้แน่นอนค่ะ … นอกจากนี้ ถ้าบ่าวสาวกำลังวางแผนจัดงานแต่งกันอยู่ อย่าปล่อยให้ตัวเองเครียดไปนะคะ เรามาดู บ่าวสาวควรรู้ !!! มาดูวิธีทำให้ตัวเองสดชื่นเตรียมตัวก่อนแต่งงานกันดีกว่า

ภาพจาก : Pinterest.com

เช็กลิสต์งานแต่ง ฉบับย่อ เพื่อวันวิวาห์เพอร์เฟ็กต์ต้องเช็กให้พร้อม!

Step by Step กับ เช็กลิสต์งานแต่ง ที่บ่าวสาวต้องมี

เพื่อให้งานแต่งของว่าที่บ่าวสาวสมบูรณ์พร้อมไม่มีที่ติ แพรว wedding เลยจัด เช็กลิสต์งานแต่ง ที่มาพร้อมขั้นตอนการเตรียมงานแต่ง เพื่อเป็นตัวช่วยในการลดความยุ่งยากสำหรับการจัดงานให้บ่าวสาว แถมงานนี้เราแบ่งมาให้เป็นหมวดหมู่เพื่อที่บ่าวสาวจะได้นำไปใช้และทำตามได้ง่าย รับรองว่าเช็กตามนี้ไม่มีตกหล่นแน่นอน

 

Beauty & Hair

เช็กลิสต์งานแต่ง

  • หาข้อมูลช่างแต่งหน้าและช่างทำผมที่ชอบเพื่อเปรียบเทียบผลงาน
  • เลือกช่างแต่งหน้าและช่างทำผมในสไตล์ที่ชอบที่สุด
  • นัดหมายวัน เวลา และสถานที่สำหรับการซ้อมแต่งหน้าทำผม **หากไม่มีงบสำหรับการซ้อมแต่งหน้าทำผม อาจจะนัดช่างเพื่อมาคุยถึงเรฟเฟอร์เรนซ์ที่อยากได้ เพื่อที่วันงานจะได้ออกมาเป๊ะตรงใจมากที่สุด
  • ซ้อมแต่งหน้าทำผม **ในกรณีที่มีงบเหลือ
  • ใกล้วันงานโทร. คอนเฟิร์มช่างอีกครั้ง

Catering

เช็กลิสต์งานแต่ง

  • หาข้อมูลบริการรับจัดเลี้ยง
  • เมื่อเลือกได้แล้วติดต่อเพื่อคุยรายละเอียด
  • นัดทางร้านชิมอาหาร
  • ตกลงราคาอาหารและเครื่องดื่ม (แอลกอฮอล์ ซอฟต์ดริ้งค์)
  • เลือกเมนูอาหารที่จะใช้ในงาน
  • นัดวัน เวลา และสถานที่สำหรับการเตรียมงาน
  • เมื่อใกล้วันงานโทร. คอนเฟิร์มอีกครั้ง

** ในกรณีที่บ่าวสาวเลือกจัดงานในสถานที่ที่ไม่ใช่โรงแรม ซึ่งไม่มีบริการเรื่องอาหาร หรือหากเป็นร้านอาหารที่รับจัดเลี้ยงก็สามารถนัดเพื่อเข้าชิมอาหารได้เช่นกัน

 

Dress & Suit

เช็กลิสต์งานแต่ง

  • กำหนดงบประมาณเพื่อดูว่าจะเลือกชุดแบบเช่า เช่าตัด หรือตัด
  • หากเลือกที่จะเช่า ให้เข้าไปติดต่อกับทางร้านเพื่อขอดูแบบชุดและลอง อาจพาคุณแม่ เพื่อน หรือเจ้าบ่าวไปด้วย เพื่อช่วยดูความเหมาะสม และระหว่างลองควรยืน นั่ง ยกแขน เพื่อทดสอบดูว่าชุดมีปัญหาหรือไม่ และเจ้าสาวรู้สึกสบายตัวในชุดนั้นหรือเปล่า และนอกจากจะลองชุดที่ตัวเองชอบแล้ว ควรลองชุดที่ทางร้านแนะนำ เพราะประสบการณ์จากทางร้านอาจทำให้เจ้าสาวได้ชุดแต่งงานที่เหมาะสมกว่า
  • เมื่อได้ชุดที่เหมาะสมแล้วจึงวางเงินมัดจำ
  • นัดวันมาลองชุดหลังจากแก้ไซส์ครั้งแรก
  • ก่อนวันงานล่วงหน้า 1 สัปดาห์ต้องลองชุดอีกครั้งเพื่อเช็กว่าต้องปรับแก้หรือไม่ และควรเตรียมรองเท้าส้นสูง รวมถึงชุดชั้นในที่จะใส่ในวันงานไปลองด้วยเพื่อความสมบูรณ์แบบ เพราะหากผิดพลาดในส่วนไหนจะยังพอแก้ไขได้ทัน
  • นัดวันรับชุดพร้อมชำระเงิน
  • หากเลือกชุดที่เป็นแบบเช่าตัดและตัด ต้องแจ้งรายละเอียดกับทางร้านว่ามีงบประมาณเท่าไหร่ และมีเวลาก่อนวันงานเท่าไหร่ เพื่อให้ทางร้านคำนวณระยะเวลาในการทำงาน จากนั้นจึงนัดวันลอง ปรับแก้ไซส์ และรับชุดตามปกติ

6 ค่าใช้จ่ายในงานแต่ง ที่คาดไม่ถึง และไม่รู้ว่ามีอยู่จริง!

ตอนวางแผนจัดงานแต่งงาน บ่าวสาวต้องมานั่งกดเครื่องคิดเลขคำนวณ ค่าใช้จ่ายในงานแต่ง ว่าจัดงานแต่งครั้งนี้เราจะใช้เงินเท่าไหร่ดีนะ แต่เชื่อไหมว่า ในการจัดงาน นอกจากค่าอาหาร สถานที่ เวดดิ้งแพลนเนอร์แล้ว ก็ยังมีค่าใช้จ่ายซ่อนเร้นที่ทำให้งบบานไม่รู้ตัวอยู่อีกด้วย

1. ภาษีมูลค่าเพิ่ม

เดี๋ยวนี้ค่าใช้จ่ายหลายๆ รายการมักยังไม่รวมภาษีมูลค่าเพิ่ม ทำให้เวลาจ่ายจริงต้องบวกภาษีเข้าไปด้วย  เวลาบ่าวสาวจะกดเครื่องคิดเลขคำนวณค่าใช้จ่ายก็อย่าลืมมองหาดอกจันตัวเล็กๆ เอาไว้ ว่าเขามีบวกเพิ่มอะไรอีกหรือเปล่า หรือจะถามคนที่ดูแลการขายไปเลยว่า “ราคานี้ net แล้วหรือยัง” ถ้ายัง มีค่าอะไรอีกแล้วราคาเท่าไหร่ เราจะได้เห็นค่าใช้จ่ายๆ จริงเผื่อเอาไปเปรียบเทียบกับรายอื่นๆ ด้วย

2. ค่าทดลองช่างหน้า ช่างผม

เทคนิคหนึ่งที่ทำให้ได้ช่างหน้า ช่างผมที่ถูกใจคือ เอาหน้าผมของตัวเราเอง พร้อมแบบที่อยากได้ไปให้ช่างแต่งจริง ทำจริง ก่อนที่เราจะปลงใจเลือกเขามาแต่งให้เราในวันแต่งงาน ซึ่งตรงนี้มีค่าใช้จ่ายอยู่บ้าง อาจจะอยู่ที่หลักพันต้นๆ หรือบางรายอาจคิดตามราคาจริง อันนี้เจ้าสาวตอนโทรติดต่อ ก็ต้องถามรายละเอียดมาให้ชัดว่า “คิดค่าลองแต่งเท่าไหร่คะ” ได้ราคามาก็ลอง คูณ 2 หรือ 3 เพราะน้อยรายมากที่จะได้ช่างถูกใจ ตั้งแต่ลองกับช่างคนแรก อ้อ! ถามเขาด้วยว่าหากแต่งหน้าญาติพี่น้องด้วยคิดราคาเท่าไหร่

3. ค่าห้องพัก

บางโรงแรมอาจไม่มีห้องพักบ่าวสาวทั้งคืนก่อนแต่ง และคืนวันแต่งงานเอาไว้ในแพ็คเกจ ซึ่งหลายคู่ก็อาจตัดส่วนนี้ออกไป แต่เราจะบอกว่า หากไม่มีห้องพักทั้งสองคืนนี้ลำบากนะคะ เหนื่อยมากๆ ด้วย ถ้ายังไงถามให้ครบถ้วนว่ารวมห้องพักสำหรับแต่งหน้าทำผมไว้ให้ด้วยแล้วหรือยัง แล้วถ้าไม่รวมพอจะมีส่วนลดพิเศษอะไรให้หรือเปล่า

ค่าใช้จ่ายในงานแต่ง

4. ค่าเตรียมสวย เตรียมหล่อ

ไม่ว่าจะเป็นค่าฟิตเนส สปา สกินแคร์ สารพัดคอร์สเพื่อความเป๊ะของทั้งบ่าวสาว บางคู่อาจจะบอกว่าไม่รวมไว้ในค่าใช้จ่ายงานแต่งหรอก แต่ความจริงแล้วควรรวมอยู่ด้วย เพราะนี่ก็คือค่าใช้จ่ายที่เกิดจากงานแต่ง และควรกันงบเอาไว้ด้วยว่าเท่าไหร่ดี เพื่อไม่ให้บานปลาย บางคู่จ่ายกับเรื่องนี้แบบไม่รู้ตัวก็หมดไปร่วมแสนเลยนะ แต่บางคู่ก็อาจใช้วิธีโฮมสปาดูแลตัวเองก็ได้ ไม่ว่ากัน

5. ค่าอาหารวงดนตรี

หากคุณมีวงดนตรีมาเล่นในงานด้วย ก็อย่าลืมเตรียมอาหารไว้ให้นักร้อง นักดนตรีทานด้วยนะ ซึ่งก็เป็นค่าใช้จ่ายที่ต้องเพิ่มขึ้นมา หากอยากลดค่าใช้จ่ายในงานก็อาจเปลี่ยนจากวงใหญ่ๆ เป็นวงดูโอ้เล็กๆ สองสามคน หรือว่าจะเป็นดีเจเปิดเพลง เพราะแค่คนเดียวก็เอาอยู่

6. ค่าเพื่อนเจ้าสาว

เมื่อขอร้องเหล่าเพื่อนๆ ให้มาเป็นเพื่อนเจ้าสาว เราก็ควรต้องช่วยออกค่าใช้จ่ายบางส่วนให้กับเพื่อนๆ ด้วย อย่างเช่น ค่าตัดชุด ค่าแต่งหน้า ทำผม นอกจากนั้นก็ยังควรมีทั้งของขวัญตอนช่วยมาเป็นเพื่อนเจ้าสาว แล้วยังของขวัญขอบคุณที่เพื่อนๆ มาช่วยงาน แล้วยิ่งงานไหนมีเพื่อนเจ้าสาวเยอะ ค่าใช้จ่ายส่วนนี้ก็ยิ่งเยอะเข้าไปอีก ทางที่ดีก็ควรมีเพื่อนเจ้าสาวอย่างพอเพียงดีกว่า

นี่คือ 6 ค่าใช้จ่ายที่ซ่อนตัวอยู่ แล้วบ่าวสาวมักไม่รู้ตัว มารู้อีกทีก็ยามที่ต้องจ่าย ซึ่งก็จะยิ่งทำให้งบบานปลายออกไปอีก แต่เมื่อรู้ตัวเลขยิบย่อยตรงนี้แล้ว หวังว่าจะช่วยให้บ่าวสาวที่กำลังจัดงานคุมค่าใช้จ่ายได้ง่ายขึ้น ส่วนในงานแต่งต้องเตรียมอะไรอีกบ้าง เรามีเตรียมไว้ให้ดูแล้ว คลิกเลย

ภาพ Pixabay

ช่างวิดีโองานแต่งงาน เลือกอย่างไรดีให้ปัง รวมถึงสิ่งที่ควรพิจารณาก่อนจะจ้าง

ช่างวิดีโองานแต่งงาน สำคัญไม่น้อยกว่าช่างภาพเลยนะจะบอกให้

เพราะอะไรหน่ะหรือ เพราะการที่เราจ้างช่างภาพก็คือการเก็บภาพนิ่งช่วงเวลาที่สำคัญ แต่ ช่างวิดีโองานแต่งงาน นั้น คือผู้ที่เก็บรวบรวมความทรงจำออกมาในรูปแบบภาพเคลื่อนไหว คล้ายๆ เป็นเหมือนหนังสั้นที่ควรค่าต่อการเก็บรักษานั่นเอง

เมื่อพูดถึง ช่างวิดีโองานแต่ง แล้วก็มีหลายราคาหลายคุณภาพงานให้บ่าวสาวต้องเลือกและตัดสินใจก่อนจะจ้าง แพรว wedding เลยจะมาแนะนำวิธีการเลือก ช่างวิดีโองานแต่ง ว่าเลือกอย่างไรให้ออกมาปัง และคุ้มค่ากับงานแต่งงานของคุณที่สุด

 

1. เลือกตามสไตล์ของคุณ

ก่อนที่จะจ้างช่างภาพ หรือช่างวิดีโองานแต่ง คุณควรดูผลงานของพวกเขาก่อนว่าสไตล์แบบนี้หรือไม่คือสิ่งที่คุณต้องการให้เขามาบันทึกภาพช่วงเวลาสุดพิเศษของคุณ ซึ่งการตัดสินใจเลือกตามความชอบของคู่บ่าวสาวก่อน คือสิ่งที่ถูกต้อง ถ้าเราต้องการให้ออกมาคล้ายๆ หนังสั้นที่ถ่ายทอดเรื่องราวความรัก ก็ควรหาช่างวิดีโองานแต่งที่เขาสามารถทำงานนั้นออกมาได้ดี หรือหากต้องการเพียงแค่การบันทึก ไม่เน้นตัดต่อใดๆ ราคาก็จะถูกลงมาค่ะ

 

2. เลือกช่างวิดีโอและช่างภาพที่เข้ากัน

พิจารณาจากผลงานที่ผ่านๆ มา และถ้าจะให้ดี ถ้าเป็นทีมงานเดียวกับช่างภาพก็จะดีมาก เพราะพวกเขาจะมีการทำงานแบบเป็นทีม แบ่งสรรปันส่วนกันได้อย่างลงตัว จะได้ไม่มีปัญหาเขม่นกันเพื่อแย่งมุมเด็ดในงานแต่งงานแน่นอน เพราะเห็นมาหลายงานที่ช่างภาพ และช่างวิดีโอที่มาจากคนละที่มักเกิดปัญหาเกาเหลากันภายในงาน เช่น บังมุมกันเอง เป็นต้น ซึ่งคนที่ได้รับผลกระทบเต็มๆ ก็คือบ่าวสาวนั่นเองค่ะ แต่ถ้าหาทีมเดียวกันไม่ได้จริงๆ ก่อนงานเริ่ม ลองเรียกพวกเขามาทำความเข้าใจในมุมการถ่ายกันก่อน เพื่อที่จะแยกโซนการถ่ายภาพได้อย่างชัดเจน

 

3. เลือกช่างวิดีโองานแต่งที่มีความเป็นมืออาชีพ

มืออาชีพในด้านอุปกรณ์ ทีมงาน การตัดต่อ หรือช่างวิดีโอที่รู้ขีดความสามารถของตนเอง สิ่งเหล่านี้พิจารณาได้จากเฟสบุคแฟนเพจ การรีวิวของลูกค้าคนเก่า ซึ่งมีความสำคัญมาก อย่ามองข้ามไปนะจ๊ะ อย่าเพิ่งเห็นแก่ราคาแพ็คเกจที่ถูกจนต้องร้องว้าว!!! ลองไปดูรีวิวจากบ่าวสาวรุ่นพี่กันก่อน ศึกษาเยอะๆ เพราะของถูกและดียังมีน้อยในโลกใบนี้นะจ๊ะ

 

4. เลือกช่างภาพจากบุคลิก

อย่าเพิ่งงงว่าช่างวิดีโองานแต่ง ทำไมต้องเลือกที่บุลคิกด้วย ก็แหม งานแต่งงานที่สำคัญของบ่าวสาวที่จัดขึ้นเพียงครั้งเดียว (บางคนอาจจะแต่งรอบสอง แต่ก็ไม่มีใครอยากจะจัดบ่อยๆ หรอกเนอะ ^^) เราก็ควรเลือกทุกอย่างให้ออกมาเพอร์เฟกต์นิดนึง ซึ่งบุคลิกที่ว่า บ่าวสาวสามารถดูได้จากตอนดิวงานกับช่างภาพ เราจะได้เห็นบุคลิกของเขา ก็ลองนำตรงนั้นมาตัดสินพิจารณาดู เช่น อาจจะเลือกช่างวิดีโอที่บุคลิกเป็นผู้ใหญ่ ไม่วอกแวก เพราะนั่นแสดงถึงสมาธิของเขา และงานแต่งงานคืองานรวมญาติ คงเป็นภาพที่ไม่ดีนัก หากช่างวิดีโองานแต่งของเราดูสนุกสนานเกิดเหตุ เกินหน้าเกินตาเจ้าบ่าวเจ้าสาวเนอะ

ลองทำตามนี้ดู รับรองว่าจะไม่พลาดอน่นอน ไหนๆ ก็คิดจะจ้างช่างวิดีโองานแต่งแล้วก็ควรใส่ใจรายละเอียดกันหน่อยเนอะ และที่สำคัญมาดู  คุยกับ ช่างวิดีโอในงานแต่ง อย่างไรให้งานออกมาเป๊ะ ไม่มีพลาด

ภาพจาก : Pinterest.com