ชวนว่าที่บ่าวสาวมาทำความรู้จักทองบนตัวเรือนก่อนเลือกมาสวมเป็นแหวนแต่งงาน

เวลาที่เห็นตัวเรือน แหวนแต่งงาน สีเงินวาว คุณคิดว่านั่นคือ ตัวเรือนทองขาวหรือแพลตินัมคะ แล้วคุณคิดว่าสองสิ่งนี้ต่างกันยังไง คำถามคือ คุณมั่นใจได้ยังไงว่า เนื้อแท้ของความเงินวาวนั้นเป็นแบบที่คิด วันนี้เรามีคำตอบมาให้ค่ะ

ตัวเรือนแหวนแต่งงานที่เห็นว่าเป็นสีเงินวาว ให้คุณสันนิษฐานไว้ก่อนเลยว่า อาจทำจากตัวเรือน 4 อย่าง คือ ตัวเรือนเงิน (Silver)  ตัวเรือนทองขาว (White Gold) ตัวเรือนทองคำขาวหรือแพลตินัม (Platinum) และ ตัวเรือนทองคำชุบขาว (Yellow Gold) ความต่างของแต่ละชนิดก็คือ

ตัวเรือนเงิน แหวนที่ทำจากตัวเรือนเงินมักจะมีการสลักที่ทองแหวนว่า 925 ซึ่งมีความหมายว่าใช้เนื้อเงิน 92.5% ส่วนที่เหลืออีก 7.5% คือทองแดง ซึ่งเหตุที่ต้องผสมทองแดงเพื่อเพิ่มความแข็งแรงให้กับเงินจนสามารถขึ้นรูปมาเป็นตัวเรือนแหวนได้ เมื่อขึ้นรูปแล้ว ฝังอัญมณีแล้ว จึงนำไปชุบโรเดี่ยมเพื่อให้เกิดความแวววาวและสวยงาม

ส่วนถ้าคุณอยากรู้ว่าแหวนแต่งงานเนี่ย เขานิยมเลือกตัวเรือนเงินไหม บอกได้ตรงนี้ว่าไม่นิยมค่ะ ตัวเรือนที่นิยมมากๆ ในยุคนี้คือ

ตัวเรือนทองขาว และ ตัวเรือนทองคำขาว ซึ่งเป็นตัวเรือน 2 ประเภทที่มีหลายคนสับสนทั้งชื่อเรียกและเนื้อวัสดุที่ทำขึ้นมาเป็นตัวเรือน ทำความเข้าใจกันง่ายๆ แบบนี้ค่ะ

ตัวเรือนทองขาว คือ แหวนทองคำ (Yellow Gold) ที่มีส่วนผสมของทอง 75% บวกกับส่วนผสมของโลหะอื่นๆ อีก 25% ซึ่งส่วนผสมที่ว่าอาจเป็นโลหะเงิน ผลที่ออกมาคือ แหวนสีเงินที่ออกนวลๆ ตา จากนั้นนำไปชุบโรเดี่ยมเพื่อให้กลายเป็นสีเงินวาว พอใช้ไปสักพัก โรเดี่ยมจะค่อยๆ หลุดออกไป เผยให้เห็นสีเนื้อแท้ของทองขาวนวลๆ บางทีก็ออกเหลือง ถ้าเจอแบบนั้นไม่ต้องตกใจ แต่ให้ยิ้มกว้างๆ เพราะนั่นน่ะ การันตีว่าแหวนทองขาวของคุณมีส่วนผสมของทองจริงๆ ซึ่งถ้าคุณชอบแบบวาวๆ ก็เอาไปชุบเรื่อยๆ เท่านั้นเอง

ส่วน แหวนทองคำขาว หรือ แหวนแพลตินัม อันนี้บอกเลยว่าไม่มีทองเป็นส่วนผสมเลยสักเปอร์เซ็นต์เดียว ส่วนผสมหลักเป็นโลหะล้วนๆ ซึ่งมีความแข็งมากๆ ขึ้นรูปก็ยาก ต้องใช้ช่างผู้ชำนาญและเครื่องมือเฉพาะทาง ส่งผลให้ราคาในการผลิตสูงกว่า (พูดง่ายๆ ว่าไม่ได้แพงเพราะวัสดุ แต่แพงแรงงานผลิต) ข้อดีคือ สีไม่เปลี่ยน ไม่ดำง่ายแถมยังทนมาก

สำหรับ ตัวเรือนทองคำ (ชุบขาว) เนื้อแท้ข้างในก็คือตัวเรือนทองคำนั่นแหละค่ะ แต่เป็นทองคำ 18K คือมีเปอร์เซ็นต์ทองอยู่ที่ 75% ซึ่งบางคนบอกว่า ทำไมไม่ใส่ทองมากกว่านี้แบบว่าให้เป็น 22K ที่มีเปอร์เซ็นต์ทองอยู่ที่ 90% นั่นเพราะยิ่งมีเปอร์เซ็นต์ที่สูง ยิ่งทำให้ตัวเรือนนิ่ม เปลี่ยนรูปทรงบิดเบี้ยวได้ง่าย แต่ก็ไม่ได้แปลว่าคุณจะใช้ไม่ได้นะคะ ขอบอกว่าใช้ได้ เจ้าทอง 22K แต่ต้องเลือกดีไซน์แหวนที่ออกแบบให้หนามเตยและก้านแหวนแข็งแกร่งสักหน่อย เพชรที่ฝังไปจะได้ ซึ่งเมื่อขึ้นรูปแบบตัวเรือนได้แล้ว ก็นำมาชบโรเดี่ยมจนเห็นเห็นตัวเรือนสีเงินวาวเช่นกันนั่นเอง

ยังมีอีกหนึ่งประเภทตัวเรือนที่ตอนนี้กำลังมาแรงมากๆ นั่นก็คือ ตัวเรือนทองชมพู  (Pink Gold) หรือบางคนเรียกว่า โรสโกลด์ (Rose Gold) ที่แม้จะไม่ได้ชุบโรเดี่ยมให้ความแวววาว แต่ความสวยของสีทองชมพูนั่นโดนใจบ่าวสาวยุคนี้เข้าอย่างจัง

แต่อย่าเพิ่งสับสนระหว่าง ทองชมพู กับ นาก นะคะ เพราะคนละเรื่องกันเลย นั่นเพราะเปอร์เซ็นต์ทองต่างกันแบบครึ่งต่อครึ่งเลยทีเดียว ตัวเรือนทองชมพูจะมี ส่วนผสมของทอง 75% เงิน 9% และทองแดง 16% ส่วนนากจะมีส่วนผสมของทอง 37.5% เงิน 20% และทองแดง 42.5% เรื่องราคาคงไม่ต้องบอกนะคะว่าใครมาแรงกว่ากัน เพราะเมื่อคุณอ่านมาตรงนี้แล้วคงเข้าใจใช่ไหมล่ะว่า ราคาทองชมพูสูงกว่านากแน่นอน

รู้จักตัวเรือนแหวนแต่งงานกันไปเรียบร้อยครบทุกประเภทอย่างครอบคลุมแล้ว อยู่ที่ความชอบและงบประมาณในกระเป๋าของคุณแล้วล่ะ ว่าจะเทใจไปที่ชนิดของตัวเรือนไหน

ภาพ : upload.wikimedia.org

แต่งไทยห้ามพลาด! ความเชื่อต้องรู้และข้าวของต้องเตรียมในพิธีปูเตียงเรียงหมอน

ถ้าพูดถึงพิธีสุดท้ายของงานแต่งงานตามธรรมเนียมประเพณีไทย ซึ่งเป็นพิธีที่คู่บ่าวสาวจะได้เริ่มต้นครองคู่และกินอยู่หลับนอนในบ้านเดียวกันไปจนแก่เฒ่า ก็คือ พิธีปูที่นอนเรียงหมอน หรือ พิธีปูเตียงเรียงหมอน

ผู้จะมาทำหน้าที่ทำพิธีปูที่นอนเรียงหมอน ต้องเป็นผู้ใหญ่ที่ใช้ชีวิตครองคู่กันมายั่งยืน เช่น คุณลุงกับคุณป้าที่มีความสุขในการครองเรือนอยู่ด้วยกันอย่างผาสุก โบราณเชื่อว่า คู่บ่าวสาวใดที่เนรคุณท่านทั้งสองนี้ชีวิตคู่จะไม่มีความสุข บ่าวสาวจึงมักเลือกผู้ใหญ่ที่เป็นญาติห่างๆ ซึ่งแทบจะไม่มีความเสี่ยงที่จะเกิดความขัดแย้ง เพื่อหลีกเลี่ยงไม่ให้เกิดเรื่องไม่ดีกับชีวิตคู่ของตน

พิธีปูที่นอนเรียงหมอน

เริ่มด้วยการนำสิ่งของที่เตรียมไว้มาวางรวมกับดอกรัก ดอกบานไม่รู้โรย หรือดอกไม้ที่มีชื่อเป็นมงคลบนที่นอน เมื่อถึงเวลาอันเหมาะสม เจ้าพิธี (ผู้นำพิธี) จะเริ่มปูที่นอน โดยเริ่มจากผู้ที่ทำพิธีขึ้นไปนั่งเคียงกันบนที่นอน เรียกว่า “ฤกษ์เรียงหมอน” ไหว้พระสวดมนต์สักครู่ เสร็จแล้วลงนอนเคียงกัน ให้พรบ่าวสาว เช่น “ที่นอนน่านอน ใครนอนเห็นจะอยู่เย็นเป็นสุขสบาย อายุยืนนะ” แล้วจึงพรมน้ำมนต์พร้อมกับให้ศีลให้พรและโปรยข้าวตอกลงบนที่นอน จากนั้นหลับตานิ่งๆ เหมือนหลับอยู่สักพักก็ลุกจากเตียงเป็นอันเสร็จพิธี หลังจากนั้นเจ้าสาวไหว้เจ้าบ่าว ผู้ใหญ่กล่าวฝากฝังให้ทั้งสองรักกันอย่างมั่นคง แล้วจึงจัดแจงวางหมอนหนุนศีรษะ ซึ่งผู้ชายต้องนอนทางขวาและผู้หญิงต้องนอนทางซ้ายจากนั้นก็ปล่อยให้บ่าวสาวอยู่กันภายในห้องเพียงลำพัง

ทำไมหญิงต้องนอนซ้าย ชายต้องนอนขวา

สืบเนื่องจาก ในอดีตที่ยังมีการรบพุ่งกันอยู่ ฝ่ายชายเป็นผู้ถือดาบออกรบ ส่วนฝ่ายหญิงอยู่กับเหย้าเฝ้ากับเรือน เมื่อถึงคราวต้องปกป้อง ผู้ชายจะได้ใช้มือซ้ายจับมือผู้หญิงหลบอยู่ด้านหลัง โดยถือดาบฟาดฟันศัตรูนั้นเอง

สิ่งของที่ใช้ในพิธีปูที่นอนเรียงหมอน

  1. หินบดยา หมายถึงมีจิตใจที่หนักแน่น
  2. ไม้เท้า หมายถึงอยู่ด้วยกันอย่างยั่งยืน
  3. ฟักเขียว หมายถึงให้ใจเย็น
  4. ตุ๊กตาแมวสีขาว หมายถึงอยู่กับเหย้าเฝ้ากับเรือน
  5. ไก่ขาว หมายถึงขยันหมั่นเพียร
  6. หม้อใหม่ใส่น้ำ หมายถึงมีน้ำใจ
  7. ถั่วและงา หมายถึงมีความเจริญ
  8. เครื่องนอนชุดใหม่ทั้งชุด

เรื่องที่กล่าวมานั้นเป็นเพียงความเชื่อที่สืบทอดต่อกันมาเพื่อความเป็นสิริมงคล การใช้ชีวิตคู่จำเป็นจะต้องมีอีกหลายสิ่งที่ควรยึดมั่นทั้งความซื่อสัตย์ ความเข้าใจ รวมถึงการให้อภัย หมั่นดูแลและรักษาดวงใจเพียงเท่านี้ชีวิตคู่ของคุณก็จะกลายเป็นความรักชั่วนิรันดร์ดั่งเทพนิยายสุดหวานได้เหมือนกัน

ดูข้อมูลเกี่ยวกับพิธีแต่งงานไทยเพิ่มเติมได้ที่นี่ คลิกเลย!

เรียบเรียงข้อมูลจาก: centerwedding.com, kapook.com, baanmaha.com, siamviva.com
ภาพ : Smallmoon Photo

เจ้าสาวห้ามพลาด! 5 วิธี เพิ่มประสิทธิภาพสกินแคร์ บำรุงผิว ให้ยิ่งเห็นผล

ถือเป็นเคล็ดลับการ บำรุงผิว ที่เจ้าสาวหลายคนอาจจะยังไม่รู้ ว่าถ้าเราใช้สกินแคร์อย่างถูกวิธี บวกกับทิปส์อีกนิดๆหน่อยๆ สกินแคร์ตัวเดิมที่ใช้อยู่ทุกวันนั้นก็สามารถเพิ่มประสิทธิภาพขึ้นมาได้แบบไม่ต้องลงทุนซื้อของแพงให้วุ่นวาย ทิปส์เหล่านั้นคืออะไรบ้าง มาดูกันค่ะ

1. สครับผิวหน้าบ้าง
แน่นอนว่าถ้าหากผิวชั้นบนของเราเต็มไปด้วยเซลล์ผิวที่ตายแล้วทับถมกัน สกินแคร์ที่เราลงไปบนผิวก็ไม่สามารถซึมเข้าสู่ผิวชั้นในได้ดี โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้าคุณเป็นคนผิวมัน เซลล์ผิวที่ตายแล้วจะหลุดลอกออกยากเพราะถูกน้ำมันบนผิวหน้ายึดเกาะเอาไว้ เราจึงควรสครับผิวหน้าประมาณสองอาทิตย์ครั้ง เพื่อขจัดเซลล์ผิวชั้นนอกที่ตายแล้วออกไป นอกจากจะช่วยให้สกินแคร์เข้าสู่ผิวชั้นในได้ดีขึ้น ยังช่วยให้ผิวหน้าดูกระจ่างใสขึ้นเพราะเซลล์ผิวถูกผลัดออกไปด้วยค่ะ แต่เราแนะนำให้เลือกสครับผิวหน้าที่มีเม็ดสครับเม็ดเล็กอ่อนโยนไม่ทำร้ายผิว หรือจะใช้เครื่องมือสครับผิวหน้าที่มีลักษณะเป็นหัวแปรงที่มีขนแปรงอ่อนนุ่มก็ได้เหมือนกัน

2. ลงสกินแคร์จากเนื้อเหลวสุดไปหาเนื้อข้นที่สุด
ทั้งนี้เพราะสกินแคร์เนื้อเหลว อย่างโลชั่น เซรั่ม หรืออิมัลชั่น จะมีโมเลกุลเล็กกว่าสกินแคร์เนื้อเข้มข้นอย่างครีม ถ้าหากเราลงสลับกัน โมเลกุลของครีมที่ใหญ่กว่าจะบล็อคไม่ให้โมเลกุลของเซรั่มหรืออิมัลชั่นซึมเข้าสู่ผิวได้ดี อีกอย่างหนึ่งคือสกินแคร์กลุ่มเซรั่มและอิมัลชั่นนั้นออกแบบมาเพื่อบำรุงล้ำลึกและมักจะเข้มข้นไปด้วยสารบำรุงผิว ในขณะที่ครีมมักจะถูกออกแบบมาเพื่อเพิ่มความชุ่มชื่นและช่วยกักเก็บสารบำรุงผิวที่ลงไปก่อนหน้านั้นไม่ให้ซึมออกจากผิว จึงควรลงเป็นขั้นตอนสุดท้ายค่ะ

3. นวดกระตุ้นผิวหน้าด้วยตัวเอง
การนวดหน้าอย่างง่ายๆ นอกจากจะช่วยทำให้เรารู้สึกผ่อนคลาย ยังช่วยให้ครีมและสกินแคร์ที่ใช้ซึมเข้าสู่ผิวได้ดี และยังช่วยกระตุ้นการไหลเวียนของเลืดให้ผิวหน้าเราดูเปล่งปลั่งอ่อนเยาว์ตลอดเวลาด้วยนะ ลองคลิกดูคลิปวิดีโอสอนนวดหน้าง่ายๆ ที่เราแนะนำเลย

4. มาส์กผิวหน้าให้เซลล์ผิวอ่อนนุ่ม
ว่าที่เจ้าสาวรู้หรือไม่คะว่าที่จริงแล้วเราสามารถมาส์กหน้าได้ทุกวัน และยังมีมาส์กหลากหลายยี่ห้อที่ทำแพ็คเกจจิ้งมาในลักษณะเป็นแพ็คคล้ายห่อทิชชูให้เราสามารถใช้ได้ทั้งเดือน ทั้งนี้เพราะการมาส์กหน้านั้นจะช่วยให้เซลล์ผิวชั้นนอกอ่อนตัวลง ช่วยให้สกินแคร์ที่ลงในลำดับต่อไปซึมเข้าสู่ผิวชั้นในได้ดีขึ้น หลังล้างทำความสะอาดผิวหน้าเสร็จ ก่อนลงสกินแคร์ตัวแรก ให้มาส์กหน้าทิ้งไว้สัก 10-15 นาทีค่ะ

5. เปลี่ยนสกินแคร์บ้าง!
ใครที่ติดการใช้สกินแคร์ยี่ห้อเดิมๆ มานาน จริงอยู่ว่าสกินแคร์ยี่ห้อหนึ่งๆจะมีการพัฒนาสูตรใหม่ๆตลอดเวลา แต่การเปลี่ยนสกินแคร์บ้างจะช่วยกระตุ้นผิวหน้าให้รับสารบำรุงผิวใหม่ๆ ไม่เคยชินกับสารบำรุงผิวตัวเดิมจนเกินไป แต่ทั้งนี้เราควรศึกษาให้แน่ใจว่าสกินแคร์ตัวใหม่นั้นจะไม่ทำให้ผิวของเราแพ้ ในทางตรงกันข้าม ก็อย่าเปลี่ยนสกินแคร์บ่อยเกินไป เพราะกว่าสกินแคร์จะได้ผลเต็มที่นั้นคือประมาณสามเดือน ถ้าหากเปลี่ยนไปเปลี่ยนมาไม่ใช้ตัวไหนติดต่อกันซักที เราอาจจะไม่เห็นผลจากสกินแคร์ตัวไหนตัวหนึ่งที่ชัดเจนเลยก็เป็นได้ค่ะ

เป็นยังไงบ้างคะสำหรับทิปส์การเพิ่มประสิทธิภาพสกินแคร์ของเรา อยากจะบอกว่าไม่ต้องลงทุนซื้อของใหม่ก็สามารถเห็นผลที่ชัดเจนขึ้นกับสกินแคร์ที่ใช้อยู่ได้นะ ถ้าชอบคอนเท้นต์นี้ของเรา ลองคลิกอ่าน วิธีดูแลผิวในชีวิตประจำวันที่เจ้าสาวอาจจะทำผิดอยู่ก็เป็นได้

วิธีจับคู่ ผมเจ้าสาว ต่างหู และรูปหน้า ให้ดูไม่เยอะเกินงามแถมสวยเป๊ะเว่อร์

ผมเจ้าสาว กับต่างหู และรูปหน้า ใครคิดว่าไม่ต้องเข้าคู่กันก็ได้? แต่เราบอกเลยว่าเรื่องเล็กๆ แบบนี้แหละที่ทำเจ้าสาวพลั้งพลาดมาแล้วนักต่อนัก มาดูกันว่าถ้าไม่อยากพลาดต้องจับคู่ยังไง

ต่างหูแบบใส่ติดหู แมทช์กับผมทรงเรียบ หรือทรงเปิดหูที่เซตให้ดูหลุดนิดๆ

ด้วยความที่ต่างหูชิ้นเล็กที่ใส่ติดหูมักจะมีรายละเอียดไม่เยอะ ทำให้สามารถแมทช์กับทรงผมที่ค่อนข้างใหญ่ได้โดยภาพรวมดูไม่รกเกินไป หรือถ้าอยากเป็นเจ้าสาวสไตล์มินิมัลเรียบง่ายสุดๆ แมทช์ต่างหูคู่เล็กกับทรงผมเรียบโก้ไม่หลุดลุ่ย เปิดหูสวยๆของเราเลยก็ได้ แถมยังเป็นสไตล์ต่างหูที่เข้าได้กับทุกรูปหน้าอีกด้วยนะ

ผมเจ้าสาว

ต่างหูห้อยตุ้งติ้งเล็กๆ แมทช์กับผมด้านหน้าปล่อยม้วนลอนบางเบา หรือทรงเปิดหูครึ่งหนึ่ง

ถือเป็นต่างหูสไตล์สุดฮิตของเหล่าเจ้าสาว เพราะดูมีอะไรแต่ก็ไม่เยอะเกินไป สามารถแมทช์ได้กับทุกรูปหน้า รวมทั้งแมทชืได้กับหลากหลายทรงผม ทั้งผมเกล้าหลวมๆ ที่มีการปล่อยผมด้านหน้าออกมาประใบหน้าให้ดูละมุน หรือทรงเกล้าเปิดหูครึ่งหนึ่งก็จะดูสวยกำลังดี ถ้าขนาดของต่างหูไม่ใหญ่มาก ก็สามรถแมทช์กับทรงผมเกล้าเรียบเปิดหูก็ได้เหมือนกัน

ผมเจ้าสาว

ต่างหูทรงยาว แมทช์กับผมทรงเปิดหูครึ่งหนึ่ง หรือทรงเกล้ามวยสูงเซตให้ดูมีวอลูม

ใครว่าเจ้าสาวใส่ต่างหูทรงยาวไม่ได้? โดยเฉพาะถ้าคุณเป็นเจ้าสาวที่มีใบหน้ารูปหัวใจที่ส่วนหน้าผากกว้างแต่ส่วนคางยาว เราเชียร์เลยละ เพราะต่างหูทรงยาวจะช่วยทำให้ใบหน้าของคุณดูสมส่วนสวย แมทช์กับผมทรงเกล้าหลวม หรือทรงมวยสูงที่เปิดหูเพียงครึ่งหนึ่ง ลุคโดยรวมจะดูสมส่วนกำลังดีค่ะ

ผมเจ้าสาว

ต่างหูระย้าทรงแชนเดอเลีย แมทช์กับทรงผมเซตมีวอลูม เปิดใบหูครึ่งหนึ่ง

สำหรับเจ้าสาวสไตล์วินเทจหรือสไตล์เจ้าหญิงที่ชอบแอ็คเซสเซอรี่อลังการ ต่างหูทรงแชนเดอเลียคือคำตอบของคุณเลยค่ะ แต่สิ่งที่ควรระวังสำหรับการใส่ต่างหูทรงนี้ในวันแต่งงานคือทรงผมจะต้องไม่ดูรกหรือเยอะจนเกินไป เราไม่แนะนำทรงผมที่ปล่อยผมด้านหน้ามาระใบหน้า และทรงผมเกล้าเรียบตึงที่ไม่มีวอลูมเพราะจะยิ่งทำให้ต่างหูดูใหญ่และเยอะ ควรจะเป็นทรงผมเซตพองๆมีวอลูมนิดๆ ปิดใบหูครึ่งหนึ่ง หากเจ้าสาวต้องการใส่ลูกเล่นกับทรงผม สามารถใส่ลูกเล่นกับมวยผมด้านหลังแทนได้ค่ะ

ผมเจ้าสาว

เป็นยังไงกันบ้างคะ สำหรับการแมทช์ทรงผมกับต่างหูและรูปหน้าให้เข้ากัน เรารับรองว่าถ้าทำตามนี้ เจ้าสาวจะได้ลุคสวยพอดีดูไม่เยอะเว่อร์เกินไปค่ะ

ถ้าชอบคอนเท้นต์นี้ของเรา ลองคลิกอ่าน วิธีการเลือกทรงผมเจ้าสวยยังไงให้สวยเปะจากช่างผมเจ้าสาวมืออาชีพ กันค่ะ

Credit Photo: Magnolia Rouge, Style Bistro, Brides.com, etsy.com

4 สัญญาณบอกว่าถึงเวลาที่คุณต้องรีไซส์แหวนแต่งงานแล้วล่ะ

ก็ในเมื่อ แหวนแต่งงาน เป็นเครื่องประดับที่ต้องใส่ติดนิ้วเอาไว้ ตอนแรกก็ใส่พอดีอยู่หรอก แต่ใส่ไปใส่มาบางคนก็ดันคับ บางคนก็ดันหลวม ครั้นจะพยายามใส่ติดนิ้วไว้เหมือนเดิมก็เห็นจะไม่ได้ความ แพรวเวดดิ้ง เลยจัด 4 สัญญาณเตือนมาให้ว่าเมื่อไหร่ถึงเวลาที่คุณจะต้อง รีไซส์แหวนแต่งงาน แล้ว

ใส่แล้วติดที่ข้อนิ้ว

สัญญาณสุดคลาสสิคที่บอกว่าแหวนแต่งงานของคุณเล็กเกินไปแล้ว เพราะไม่สามารถผ่านข้อนิ้วลงไปได้ (หรือต้องใช้ความพยายามในการดันลงไปอย่างมาก) หรือผ่านลงไปได้แต่ดันถอดไม่ได้ซะนี่

ใส่แล้วบีบที่นิ้วมือ

ถ้าแหวนมีขนาดเล็กเกินไป มันจะเกิดการบีบรัดที่นิ้วมือของคุณ สังเกตได้จากเนื้อส่วนเกินที่ล้นออกมารอบขอบแหวน ถ้าเกิดอาการอย่างนี้ก็แสดงว่าถึงเวลาต้องเปลี่ยนไซส์แหวนแล้วจ้า

ใส่แล้วเลื่อนหลุดจากข้อนิ้ว

นี่เป็นสาเหตุหลักๆ ที่ทำให้แหวนหายโดยไม่รู้ตัว และเป็นสัญญาณว่าแหวนแต่งงานใหญ่เกินไปสำหรับนิ้วของคุณ แต่ถ้ายังลังเลว่ามันใหญ่เกินไปจริงไหมนะ? ให้ลองถูมือด้วยสบู่แล้วล้างด้วยน้ำเย็น ถ้าแหวนร่วงออกจากนิ้วก็แสดงว่าคุณต้องรีไซส์ให้แหวนแต่งงานมีขนาดเล็กลง เพราะหากคุณอยู่ในที่ที่มีอากาศเย็นหรือสภาพอากาศที่แห้งมากๆ อาจทำให้แหวนหลุดออกจากนิ้วได้ง่ายแบบแทบจะไม่รู้ตัว

ใส่แล้วแหวนหมุนได้รอบนิ้ว

โดยส่วนมากถ้าคุณสามารถหมุนแหวนไปมาได้รอบๆ นิ้วมือได้ง่ายๆ ก็ให้คิดไปก่อนเลยว่าแหวนแต่งงานนั้นไซส์ใหญ่เกินไป บางครั้งอาจเกิดจากดีไซน์หรือน้ำหนักของตัวเรือน ซึ่งก่อนที่จะรีไซส์แหวนแต่งงานคุณอาจจะลองสวมแหวนวงที่มีขนาดพอดีกับนิ้วมือของคุณดูก่อนเพื่อเปรียบเทียบว่าจะต้องรีไซส์ให้ขนาดเล็กลงแค่ไหน

แต่เพื่อความชัวร์ที่สุด แพรวเวดดิ้ง ขอแนะนำให้บ่าวสาวนำแหวนแต่งงานเข้าไปปรึกษากับช่างผู้เชี่ยวชาญจากร้านที่บ่าวสาวซื้อแหวนแต่งงานมาจะดีที่สุด เพราะบางร้านอาจะมีบริการหลังการขายที่ดูแลเรื่องนี้อยู่ หรือจะลองสอบถามถึงบริการนี้ไว้ก่อนเลือกซื้อเลยก็ได้นะคะ

เจ้าสาวใจป้ำ! จัดงานแต่งอีกรอบเพื่อจะได้ใส่ชุดแต่งงานจากแบรนด์ SIRIVANNAVARI

ก่อนหน้านี้แพรวเวดดิ้งมีโอกาสได้ลงภาพบรรยากาศ งานแต่งงานของคุณเอลี่-โสธรา ลิเลี่ยน โอเบอร์ฮอฟฟ์ และคุณลีออน-ธเนศวร เอดเวอร์ด เอช ซึ่งจัดงานแต่งงานไปเมื่อวันที่ 19 ธันวาคมปีที่แล้ว จากวันนั้นถึงวันนี้ก็เป็นเวลาผ่านมาเกือบจะ 1 ปี แต่คุณเอลี่ เจ้าสาวที่มีความฝันว่าเธอจะต้องใส่ ชุดแต่งงาน ของแบรนด์ SIRIVANNAVARI ให้ได้ เธอจึงรอคอลเล็กชั่นใหม่เป็นเวลา 1 ปี และจัดงานแต่งงานอีกครั้งเมื่อวันที่ 8 พฤศจิกายนที่ผ่านมา

 

จริงๆ แล้วเอลี่เป็นแฟนคลับพระองค์ท่านค่ะ ได้เห็นผลงานของพระองค์ท่านผ่านทางหนังสือแล้วรู้สึกชอบและหลงรักในฝีพระหัตถ์การออกแบบของพระองค์ท่านมากๆ ซึ่งผลงานที่ประทับใจมากเป็นพิเศษคือผลงาน “ศิลปะและจิตวิญญาณไทย” ที่พระองค์ท่านทรงนำไปงานกาลาดินเนอร์ ณ ประเทศฝรั่งเศส อีกทั้งพระองค์ท่านยังได้ทรงทำคอลเล็กชั่นใหม่ๆ ออกมาทุกปีก็เริ่มติดตามผลงานของพระองค์ท่านมาเรื่อยๆ ซึ่งในทุกๆ ผลงานของพระองค์ท่านทรงมีเอกลักษณ์เฉพาะตัวของแบรนด์  SIRIVANNAVARI อย่างชัดเจน ที่สำคัญเวลาได้เห็นผลงานของพระองค์ท่านทำให้เราสัมผัสได้ถึงความเป็นองค์ดีไซเนอร์ของพระองค์ท่านผ่านทางผลงานที่ทรงออกแบบด้วยพระองค์เอง”

“ก่อนหน้านี้เราได้เห็นศิลปินนักร้อง และนักแสดงท่านอื่นๆ ที่พระองค์ท่านทรงพระราชทานออกแบบชุดแต่งงานให้ ซึ่งตัวเอลี่เองก็อยากที่จะเป็นหนึ่งในผู้ที่มีได้โอกาสสวมชุดแต่งงานจากแบรนด์ SIRIVANNAVARI บ้าง ก็เลยเลือกที่จะรออีก 1 ปี ซึ่งก็คุ้มค่ากับการรอคอยค่ะ เพราะสำหรับเอลี่แล้วนี่ถือเป็นความภาคภูมิใจที่สุดในชีวิตที่ได้ใส่ชุดแต่งงานที่เป็นผลงานการทรงออกแบบของพระองค์ท่านเอง นับเป็นความปลาบปลื้มที่สุดในชีวิตแล้วค่ะ”

“จริงๆ ในงานแต่งงานเมื่อปี 2018 สำหรับงานแต่งงานในช่วงเย็นเอลี่ตั้งใจอยากจะใส่ชุดของแบรนด์ SIRIVANNAVARI  แต่ทางแบรนด์ SIRIVANNAVARI จะออกแบบชุดแต่งงานเพียง 2 ชุดต่อปีเท่านั้น ซึ่งในปีที่แล้วได้มีการจองไว้เต็มโค้วต้า ก็เลยตัดสินใจรอ และจัดงานแต่งงานขึ้นอีกครั้งในเดือนพฤศจิกายนปี 2019 เพื่อที่จะได้ใส่ชุดแต่งงานของพระองค์ท่านในงานแต่งช่วงเย็นตามที่ได้ตั้งใจไว้”

“ซึ่งรูปแบบชุดแต่งงานของแบรนด์ SIRIVANNAVARI ที่ใส่ในวันแต่งงานเป็นชุดแต่งงานสีขาว มีเครปด้านหลัง ประดับด้วยขนนกและคริสตัลซึ่งมีรายละเอียดที่ประณีตมาก ดูทรงพลังมากๆ เพราะรูปแบบในคอลเล็กชั่นครั้งนี้ที่พระองค์ท่านทรงออกแบบเป็นการถ่ายถอดเรื่องราวของ NARAVANNA เป็นการผสมผสานรายละเอียดต่างๆ ของ พืช สัตว์ และป่าไม้เข้าไว้ด้วยกัน ทำให้ชุดแต่งงานในคอลเล็กชั่นนี้มีทั้งความสวยงามและมีความหมายที่เป็นเอกลักษณ์ในแบบฉบับที่แสดงถึงสมัยชนเผ่าจนถึงยุคอนาคต ซึ่งราคาของชุดแต่งงานชุดนี้อยู่ที่ประมาณ 6 หลักปลายๆ ค่ะ”

ภาพถ่ายพรีเวดดิ้งสไตล์ Portrait ที่เห็นแล้วก็อดยิ้มตามไม่ได้ด้วยฝีมือของ Toeyportfolio

ภาพถ่ายพรีเวดดิ้ง ถือเป็นสิ่งที่อยู่ในเช็กลิสต์อันดับต้นๆ ของว่าที่บ่าวสาวเลยก็ว่าได้ แถมตอนนี้เทรนด์การถ่าย ภาพถ่ายพรีเวดดิ้งสไตล์ Portrait ที่เซตถ่ายในสตูดิโอก็กำลังได้รับความนิยมในหมู่บ่าวสาวมากๆ เพราะทั้งสะดวกสบาย ไม่ต้องตามหาโลเคชั่นถ่ายภาพให้เหนื่อย ไม่ต้องตากแดดตากลมให้หน้ามันผมเผ้ายุ่งเหยิง บ่าวสาวก็ได้ภาพถ่ายพรีเวดดิ้งคิ้วท์ๆ ไปโชว์หน้างาน แต่ถึงอย่างนั้นสำหรับบ่าวสาวบางคนก็อาจยังมีข้อจำกัดที่ว่า ถ่ายในสตูมันจะดูเป็นทางการไปหรือเปล่านะ หรือ นี่เราต้องยืนยิ้มให้กล้องอย่างเดียวเลยหรือเปล่า แล้วมันจะดูฝืนๆ ไหม เพื่อให้บ่าวสาวสบายใจ แพรวเวดดิ้ง เลยต่อสายตรงถึงคุณเต้ย หรือ toeyportfolio ช่างภาพพรีเวดดิ้งชื่อดังว่าเขามีเทคนิคในการถ่ายภาพบ่าวสาวยังไงให้ออกมาดูเป็นธรรมชาติถึงขนาดที่ว่าคนเห็นยังต้องยิ้มตาม พร้อมอัพเดทแพลนปีหน้าของ toeyportfolio ที่เจ้าสาวต้องร้องว้าวแน่นอน

คุณเต้ย หรือ toeyportfolio ช่างภาพพรีเวดดิ้งสไตล์ Portrait

จากช่างภาพนิตยสารสู่ช่างภาพพรีเวดดิ้งในสตูดิโอเต็มตัว

ผมเริ่มถ่ายพรีเวดดิ้งอย่างจริงจังและเต็มตัวปีนี้น่าจะเข้าปีที่ 3 แล้วครับ ผมเริ่มต้นจากการเป็นช่างภาพในนิตยสารก่อน ส่วนใหญ่ภาพที่ถ่ายจะเป็นภาพพรอตเทรต ภาพแฟชั่น หรือภาพบุคคลประกอบบทสัมภาษณ์ ซึ่งตอนนั้นก็มีทั้งถ่ายในสตูดิโอและนอกสตูดิโอผสมกันไปแล้วแต่ลักษณะของงาน แต่จริงๆ แล้วผมถนัดการถ่ายในสตูดิโอมากกว่า ซึ่งตอนที่ทำงานอยู่ผมก็มี IG รับถ่ายภาพควบคู่ไปด้วย ส่วนมากจะเป็นงานแฟชั่นหรืองาน lookbook พอคนเริ่มเห็นผลงานภาพถ่ายในสตูดิโอของผม ก็เริ่มมีลูกค้าติดต่อมาว่ารับถ่ายพรีเวดดิ้งในสตูดิโอไหม

ตอนที่รับงานถ่ายพรีเวดดิ้งครั้งแรกก็ตื่นเต้นนะครับ แล้วก็อยากจะลองดูว่าตัวเองจะถ่ายออกมาเป็นยังไง เพราะผมคุ้นชินกับการจัดไฟถ่ายภาพในสตูดิโออยู่แล้วเลยไม่ได้กังวลอะไรมาก ซึ่งผลงานถ่ายภาพพรีเวดดิ้งคู่แรกก็ออกมาโอเค ลูกค้าชอบ ผมเองก็รู้สึกสนุกด้วย ไม่ได้รู้สึกกดดันเหมือนการถ่ายแฟชั่นในนิตยสาร อาจเป็นเพราะว่าผมได้เป็นตัวของตัวเอง บรรยากาศการถ่ายภาพเลยสบายๆ ทั้งผมและลูกค้ามีความสุขและสนุกทั้งสองฝ่าย พอเริ่มมีผลงานภาพพรีเวดดิ้งเรื่อยๆ ก็มีบ่าวสาวติดต่อเข้ามาเยอะขึ้น พอผมเริ่มสนุกและจับจุดการถ่ายภาพพรีเวดดิ้งของตัวเองได้ ก็เลยลาออกจากงานประจำเพื่อมาเป็นช่างภาพถ่ายในสตูดิโออย่างเต็มตัวครับ

จุดเด่นภาพถ่ายพรีเวดดิ้งของ toeyportfolio

น่าจะเป็นภาพถ่ายที่ดูเป็นธรรมชาติออกแนวน่ารักๆ มองแล้วยิ้มตามครับ เป็นสไตล์ที่บ่าวสาวหัวเราะจริงๆ ยิ้มจริงๆ แบบที่เป็นตัวเขา ซึ่งลูกค้าส่วนมากที่ติดต่อเข้ามาก็อยากจะได้อารมณ์ภาพแสงสีแบบในเพจหรืออินสตาแกรม ซึ่งในการทำงานผมจะรักษามาตรฐานของตัวเองอยู่แล้ว เพราะฉะนั้นลูกค้าทุกคู่จะได้ตามสิ่งที่เขาต้องการ  เลยทำให้ลูกค้าเกิดความเชื่อใจและไว้ใจในตัวผม

เทคนิคได้ภาพบ่าวสาวที่เป็นธรรมชาติในสไตล์ของ toeyportfolio

เวลาถ่ายรูปผมไม่ได้มีหลักการอะไรเยอะแยะ ไม่ได้ซีเรียสว่าต้องทำท่าอย่างนั้นอย่างนี้ เพราะฉะนั้นตอนทำงานผมจะพยายามทำให้ลูกค้าผ่อนคลายมากที่สุด โดยผมจะเริ่มถ่ายจากชุดธรรมดาก่อนเพื่อให้ลูกค้ารู้สึกผ่อนคลาย เพราะคู่ที่ไม่เคยถ่ายรูปมาก่อนถ้าเริ่มถ่ายจากชุดเจ้าสาวหรือชุดสูทเลยเขาอาจรู้สึกเกร็งๆ และขณะที่ถ่ายผมก็จะชวนคุย พูดเล่นไปด้วยเพื่อสร้างบรรยากาศให้เป็นกันเอง สบายๆ พร้อมๆ กับสแนปภาพบ่าวสาวไปเรื่อยๆ จนเขาเริ่มรีแล็กซ์และสามารถยิ้มหัวเราะออกมาได้เองโดยเป็นธรรมชาติที่สุด

ส่วนคู่ที่มีความกังวลว่าหน้าฝั่งไหนจะสวยกว่ากัน กังวลเรื่องตา เรื่องปาก เรื่องแขน กลัวว่าจะยิ้มไม่ได้ ทำแบบนี้แล้วไม่สวยไม่หล่อ พอถ่ายไปได้สักพักผมจะให้เขามาดูภาพตัวเองที่ถ่ายไปแล้ว พร้อมพูดคุยและให้คำแนะนำว่าเขายิ้มแบบนี้จะดีกว่า เพราะบางคนแค่อมยิ้มก็สวยแล้ว ซึ่งพอเราให้คำแนะนำ พูดคุยกับเขาอย่างเปิดใจ แก้ปัญหาที่เขากังวลได้ เขาก็จะเริ่มไว้ใจกล้าที่จะยิ้มและหัวเราะออกมามากขึ้น ซึ่งพอเราลดความกังวลได้ รอยยิ้มของเขาก็ดูเป็นธรรมชาติมากขึ้นด้วย

โพสท่าไม่เป็น มีเรฟเฟอเรนซ์มาให้ ได้หรือไม่?

บ่าวสาวที่มาถ่ายรูปกับผมไม่ต้องคิดอะไรมาเลยครับ แค่ทำใจให้สบาย เพราะแค่คุณรู้สึกผ่อนคลายท่าทางที่เป็นธรรมชาติก็จะออกมาเอง หรือบ่าวสาวที่เตรียมเรฟเฟอเรนซ์มา ผมก็จะแจ้งตั้งแต่แรกว่าอาจจะทำให้ได้แค่ท่าทาง แต่อารมณ์ต้องเป็นตัวเขาเองดีที่สุด เพราะถ้าเราพยายามที่จะทำเหมือนคนอื่นมากเกินไปมันก็จะดูไม่เป็นตัวเอง ถ่ายยังไงก็ดูแข็ง เพราะมัวแต่กังวลว่าจะทำไม่เหมือนเรฟเฟอเรนซ์ที่เตรียมมา แต่ลูกค้าที่เข้ามาส่วนมากก็จะมาด้วยความไว้ใจในตัวผม จะแล้วแต่ผมเลย เขาแค่อยากให้รูปออกมาดูเป็นธรรมชาติแบบยิ้มจริงๆ หัวเราะจริงๆ ซึ่งจากประสบการณ์ที่ได้ถ่ายภาพคู่รักมาหลายๆ คู่ทำให้ผมทราบแล้วว่าจะต้องจัดการกับอารมณ์ของแต่ละคู่ยังไง

รูปแบบการให้บริการและการทำงานของ toeyportfolio

ลูกค้าที่จะมาถ่ายภาพกับผมแค่เตรียมชุดที่จะถ่ายมาทั้งหมด 3 ชุด โดยผมจะช่วยดูให้ว่าชุดแบบนี้เหมาะกับแสงแบบไหน  ส่วนใหญ่ผมจะแนะนำให้เลือกชุดเป็นโทนสีอ่อนเพราะเป็นสีที่คลาสสิค ไม่เชย ดูได้ไม่เบื่อ ส่วนพร็อพส์ลูกค้าต้องเตรียมมาเอง แต่อาจจะขอยกเว้น รถยนต์ หรือพร็อพส์ที่ชิ้นใหญ่มากๆ ส่วนระยะเวลาในการถ่ายจะอยู่ที่ประมาณ 5 ชั่วโมงรวมเวลาแต่งหน้า-ทำผม และที่อยากจะฝากอีกอย่างหนึ่งคือไม่อยากให้ลูกค้าฉีดอะไรมาบนใบหน้าก่อนที่จะมาถ่ายภาพ เพราะจะทำให้ยิ้มดูไม่เป็นธรรมชาติครับ

 

แผนการในอนาคตของ Toeyportfolio ในปี 2020

ภายในปีหน้า toeyportfolio จะมีบริการเรื่องชุดสำหรับเจ้าสาวให้เลือกที่สตูดิโอเลยครับ โดยจะเน้นรูปแบบชุดแต่งงานในสไตล์มินิมอล น่ารักๆ ซึ่งจะเข้ากับสไตล์ภาพถ่ายของผมด้วย ซึ่งบริการนี้ก็จะช่วยเพิ่มความสะดวกให้กับว่าที่เจ้าสาวไม่ต้องเสียเวลาไปหาชุดเอง ไปรับ-คืนชุดเองจากร้านเช่าเพื่อเอามาถ่ายกับผม รวมไปถึงในปีหน้า toeyportfolio จะปรับโฉมสตูดิโอถ่ายภาพใหม่ที่กว้างขวางมากกว่าเดิมด้วยครับ

จองคิวถ่ายกับ toeyportfolio

หากสรุปวันแต่งงานได้แน่นอนแล้ว แนะนำให้รีบจองคิวไว้เลย เพราะผมจะไม่ให้มีการแทรกคิว แนะนำให้ LINE มาสอบถามคิวก่อนเพื่อที่จะได้หาวันและเวลาที่ลงตัวกันทั้งสองฝ่าย เพราะในหนึ่งเดือนผมจะไม่ได้รับถ่ายทุกวัน ส่วนใหญ่แล้วผมจะรับถ่ายภาพในวันเสาร์และอาทิตย์เป็นหลัก ส่วนวันธรรมดาผมจะใช้เวลานั่งทำรูปส่งให้ลูกค้าเป็นส่วนใหญ่ ส่วนระยะเวลาในการทำรูปของแต่ละคู่จะอยู่ที่ประมาณ 30 วันครับ

เอาเป็นว่าคู่รักที่สนใจอยากได้ภาพถ่ายพรีเวดดิ้งแบบธรรมชาติตามสไตล์การลั่นชัตเตอร์ของคุณเต้ย toeyportfolio ก็รีบจองคิวกันไว้ตั้งแต่เนิ่นๆ ที่สำคัญปีหน้าเขายังมีบริการเรื่องชุดเจ้าสาว และสตูดิโอถ่ายภาพที่กว้างขวางมากกว่าเดิมด้วย ส่วนแพ็คเกจราคาก็สามารถสอบถามได้โดยตรงกับคุณเต้ย หรือเข้าไปดูได้ที่เฟซบุ๊ก https://www.facebook.com/Toeyportfolio หรือไอจี @toey_portfolio หรือที่ Official LINE : @toeyportfolio มี @ ด้านหน้าด้วย   

“เด็กเชิญขันหมาก” ตำแหน่งสำคัญพร้อมคุณสมบัติที่ต้องมี

พิธีแต่งงานตามประเพณีไทย นอกจากจะมากไปด้วยข้าวของเครื่องใช้และพิธีการต่างๆ แล้ว ยังถือว่าเป็นพิธีที่ต้องใช้คนเยอะมากๆ ไม่ว่าจะเป็นเด็กหรือผู้ใหญ่ต่างก็เข้ามามีส่วนร่วมด้วยกันทั้งนั้น ไล่เรียงมาตั้งแต่สมาชิกในขบวนขันหมากของฝ่ายเจ้าบ่าว ขบวนรับขันหมาก ไปจนถึงด่านประตูเงินประตูทองของฝ่ายเจ้าสาว ซึ่งอีกหนึ่งตำแหน่งสำคัญที่จะขาดไม่ได้เลยคือ เด็กเชิญขันหมาก ตัวน้อยๆ ที่มาคอยรับขบวนขันหมาก แต่ปัญหาที่หลายคู่สงสัยคือ แล้วเด็กคนนี้จะต้องมีคุณสมบัติอย่างไรบ้าง ไม่ยากค่ะ แค่มีคุณสมบัติเบื้องต้น 2 ข้อที่เรานำมาฝากเท่านั้นเอง 

1. เพศของเด็กเชิญขันหมาก

นิยมเลือกเด็กผู้หญิงเพราะมีความน่ารักในตัวเอง ยิ่งเมื่อจับแต่งองค์ทรงเครื่องใส่กระโปรงเกล้าผมแล้วจะดูน่าเอ็นดูประหนึ่งตุ๊กตาเลยทีเดียว

2. อายุของเด็กเชิญขันหมาก

นิยมเลือกเด็กที่มีอายุระหว่าง 5-12 ปี เพราะเริ่มพูดจารู้เรื่อง ความงอแงไม่มากเท่าเด็กที่อายุน้อยกว่านี้ และเด็กวัยนี้ สามารถจดจำบทพูดสั้นๆ ได้ไม่ยาก

บางครอบครัวเชื่อว่านอกจากคุณสมบัติทั้งสองข้อนี้แล้ว ยังต้องเลือกเด็กที่พ่อแม่แต่งงานกันถูกต้องตามประเพณี อยู่ในครอบครัวอบอุ่น และมีกิริยามารยาทเรียบร้อย ว่านอนสอนง่าย ถ้าจะให้ดีต้องหน้าตาน่ารักน่าชัง เพราะจะทำให้เจ้าบ่าวเจ้าสาวมีลูกที่น่ารักเหมือนกับเด็กเชิญขันหมากนั่นเอง

ส่วนที่ว่าจะไปหาเด็กคนนี้ได้จากที่ไหน ง่ายนิดเดียวค่ะ มีน้องใช้น้อง มีหลานใช้หลาน ถ้าไม่มีน้องและไม่มีหลาน จะขอยืมตัวลูกเพื่อนหลานเพื่อนหรือคนที่สนิทกันมาทำหน้าที่เชิญขันหมากก็ได้ แต่อย่าลืมหาชุดน่ารักๆ ให้เด็กเชิญขันหมากใส่ด้วยนะจ๊ะ

แถมท้ายให้อีกนิดว่า เด็กเชิญขันหมากไม่ได้ยืนโดดเดี่ยวคนเดียวหรอกนะคะ ก็แหมขบวนใหญ่โตมาถึงหน้าบ้านทั้งทีจะมีแต่เด็กน้อยยืนเดียวดายรับแขกอยู่คนเดียวก็กระไรอยู่ เพราะฉะนั้นจึงต้องมีผู้ใหญ่ฝ่ายหญิงอีกหนึ่งท่านยืนประกบเพื่อทำหน้าที่เจรจาต้อนรับขบวน หรือจะเลือกเป็นคู่ผู้ใหญ่ที่อยู่กินกันมานานก็ได้เพื่อความเป็นสิริมงคล แต่ถ้าท่านมาเดี่ยวๆ แต่เป็นคนดี มีคุณธรรมในใจก็ได้เหมือนกันค่ะ

เมื่อขันหมากมาถึงหน้าบ้านเจ้าสาวผู้ใหญ่ฝ่ายเจ้าสาวจะออกมาต้อนรับและทักทายตามประเพณี แล้วจึงให้เด็กเชิญขันหมากพูดว่า “สวัสดีค่ะ วันนี้ฤกษ์งามยามดีแล้ว ขอเชิญขันหมากเข้าบ้านได้เลยค่ะ” (อาจมีผู้ใหญ่คอยกระซิบบอกบทให้) จากนั้นเถ้าแก่ฝ่ายเจ้าบ่าวจะหยิบซองเงินเล็กๆ น้อยๆ ให้เป็นสินน้ำใจก่อนที่จะไปเจอด่านใหญ่อย่างประตูเงินประตูทองนั่นเอง

Read More : เซฟไว้และทำตาม…กำหนดการพิธีแต่งงานเช้าชั่วโมงต่อชั่วโมง

ภาพ : งานแต่งคุณแอน + คุณเจมส์ โดย Box Wedding

ง่ายกว่านี้ไม่มีอีกแล้ว!! บูสต์อัพให้ ผิวกระจ่างใส ด้วยโปรแกรมดื่มน้ำใน 1 วัน

สำหรับเจ้าสาวที่อยากมี ผิวกระจ่างใส แต่ไม่มีเวลาไปทำสวยฟังทางนี้ เพราะเรามีคอร์สบูสต์อัพผิวให้สวยเด้งง่ายๆ ได้ด้วยโปรแกรมการดื่มน้ำใน 1 วัน ว่าแล้วก็หาซื้อกระบอกน้ำสวยๆ รอไว้เลยจ้า

เช้า : น้ำผักหรือผลไม้สีเขียว 1 แก้ว หรือ กาแฟใส่นมถั่วเหลือง 1 แก้ว

ผิวกระจ่างใส

น้ำผักหรือผลไม้สีเขียว เช่น น้ำผักคะน้า ที่อุดมไปด้วยวิตามินเอ ที่ช่วยเสริมสร้างการเจริญเติบโตของเซลล์ผิวและช่วยผลัดเซลล์ผิวที่หมองคล้ำให้มีสุขภาพดีขึ้น นอกจากนี้ยังมีวิตามินซีและทองแดงที่ช่วยให้ผิวแข็งแรงและฟื้นฟูได้อย่างมีประสิทธิภาพ แต่หากคิดว่าผักคะน้านั้นดูโหดเกินไปหน่อย ก็สามารถเปลี่ยนเป็นผักผลไม้สีเขียวอย่างอื่นแทนก็ได้ตามถนัด

ผิวกระจ่างใส

นมถั่วเหลือง – อุดมไปด้วยโปรตีนและแร่ธาตุต่างๆ ที่ดีต่อร่างกาย และยังมีสารไอโซฟลาโวน ซึ่งเป็นเหมือนคอลลาเจนชั้นดีให้กับผิว ช่วยให้ผิวอ่อนเยาว์ ป้องกันริ้วรอยจากแสงแดด และช่วยลดความหมองคล้ำและการเปลี่ยนสีของผิวได้อีกด้วย แต่หากใครที่ไม่ดื่มกาแฟก็ดื่มน้ำเต้าหู้ไปเลยก็ได้ค่ะเพราะดีต่อผิวและสุขภาพเช่นกัน

 กลางวัน : ชาเขียวร้อน 1-2 แก้ว

ผิวกระจ่างใส

ชาเขียวนั้นเต็มไปด้วยสารต้านอนุมูลอิสระที่เรียกว่า แคเทชิน และ พอลิฟีนอล ช่วยปกป้องผิวจากรังสียูวี และช่วยลดโอกาสจากการถูกแดดเผา และยังมีสารแอนตี้ออกซิเดนท์ที่ช่วยลดรอยแดงและการอักเสบของผิวได้อีกด้วย หากใครที่ต้องการความสดชื่นในช่วงกลางวันจะเปลี่ยนมาเป็นชาเขียวเย็นๆ ก็ได้นะคะไม่ว่ากัน

ตอนเย็น : น้ำทับทิม 1 แก้ว

เปรียบเสมือนผลไม้มหัศจรรย์ของผิว เพราะอุดมไปด้วยสารต้านอนุมูลอิสระและพอลิฟีนอลมากกว่าชาเขียวถึง 2 เท่า และเป็นสารอาหารที่เหมาะสำหรับการบำรุงผิวพรรณเป็นอย่างยิ่ง จึงเป็นเหมือนโรงงานผลิตคอลลาเจนชั้นดีที่อัดแน่นไปด้วยสารต้านอนุมูลอิสระ หากดื่มเป็นประจำจะช่วยให้ริ้วรอยดูจางลง และช่วยปรับสีผิวให้ดูสว่างขึ้นด้วย

ก่อนนอน : น้ำเปล่าฝานแตงกวาเติมลงไป 1 แก้ว

แตงกวาช่วยให้ผิวชุ่มชื่นและเต็มไปด้วยแร่ธาตุต่างๆ มากมายที่ร่างกายต้องการ เช่น แมกนีเซียมและโพแทสเซียม ที่ช่วยรักษาค่าความเป็นกรดด่างของผิวและลดการอักเสบของผิวได้เป็นอย่างดี

แต่ไม่ว่ายังไงก็แล้วแต่ อย่าลืมดื่มน้ำเปล่าให้เพียงพอกับที่ร่างกายต้องการ เฉลี่ยวันละ 8 แก้วกำลังดี เพราะเชื่อเถอว่าไม่มีอะไรที่จะทำให้ผิวดูเรียบเนียนกระจ่างใส เปล่งปลั่งดูมีน้ำมีนวล และสดชื่นได้ดีไปกว่าน้ำเปล่าอีกแล้ว

ดูเรื่องราวเกี่ยวกับความงามและสุขภาพเพิ่มเติมได้ที่นี่ คลิกเลย!

ภาพ : extracrispy.com, livestrong.com, eatingrichly.com

เตรียมไว้เลยเช็กลิสต์หัวข้อไว้ คุยกับช่างภาพก่อนงานแต่งงานจะมาถึง

เจ้าบ่าวเจ้าสาวที่กำลังจะจัดงานแต่งงาน แพรว wedding ขอชวนมาเช็กลิสต์กันสักนิดว่า คุยกับช่างภาพ อย่างไรดีก่อนที่งานแต่งจริงจะมาถึง เพราะถึงแม้ช่างภาพจะมือโปรขนาดไหน ผ่านงานแต่งมาเป็นสิบๆ งานยังไง แต่บ่าวสาวก็ควรเตี๊ยมกันก่อนว่าอยากให้ช่างภาพบันทึกภาพช่วงใดบ้างที่สำคัญและบ่าวสาวไม่อยากให้พลาด และต้องพูดคุยกันให้เกิดความเข้าใจมากที่สุด ถ้าอย่างนั้นมาดูกันดีกว่าว่า มีเรื่องใดบ้างที่บ่าวสาวควรคุยกับช่างภาพก่อนงานแต่งงานจะมาถึง 
คุยกับช่างภาพ

1. ต้องการภาพถ่ายแบบไหน

บอกช่างภาพไปเลยค่ะ ว่าอยากได้ภาพสีสดใส เน้นแคนดิด (ถ่ายทีเผลอ) หรือเอาภาพอาร์ทๆ ติสๆ นะคะ เพื่อที่ช่างภาพจะได้จัดให้ตรงตามแนวที่เราอยากได้มากที่สุด

2. บอกช่วงเวลาและพิธีการของงาน

อันนี้ถือว่าสำคัญมาก บ่าวสาวควรนำพิธีการต่างๆ ในงานมาบอกกับช่างภาพด้วย ว่าจะมีพิธีใดบ้าง และจะจัดช่วงไหน มีรายละเอียดอย่างไร เพราะแต่ละงานก็จะมีพิธีที่แตกต่างกันออกไปตามภูมิภาคหรือตามศาสนา เพราะฉะนั้นถ้าไม่เตี๊ยมกันก่อนอาจจะพลาดช๊อตเด็ดไปได้นะจ๊ะ

3. แขกคนพิเศษคนไหนบอกไปเลย

แอบบอกช่างภาพสักหน่อยว่าช่วยเก็บภาพคนนี้ให้หน่อยเพราะว่าเป็นแขกคนสำคัญ เพราะช่างภาพเจอแขกในงาน หลายสิบหลายร้อยคน ซึ่งเขาก็คงไม่ได้รู้ไปกับคุณว่าคนไหนสำคัญที่สุด เพราะฉะนั้นหากคุณแจ้งช่างภาพไว้ก่อน รับรองว่าช่างภาพโฟกัสถูกคน ได้ภาพตรงใจจนแขกคนสำคัญปลื้มแน่นอน ควรบอกหน่อย

4. ถามถึงอุปกรณ์เสริม

อย่าเพิ่งงง เพราะอุปกรณ์เสริมในที่นี้คือพวก ไฟสปอร์ทไลท์ที่ใช้ในงานแต่งงาน โดยเฉพาะที่บริเวณถ่ายภาพที่แบ็กดร็อป ถามช่างภาพเลยว่ามีเตรียมมาไหม หรือถ้าไม่มีจะให้บ่าวสาวเตรียมไว้ให้หรือเปล่า และต้องเตรียมให้กี่ดวง เพราะฉะนั้นอย่ามองข้ามสิ่งเล็กๆ น้อยๆ แบบนี้ไปนะคะ เพราะบางครั้งบ่าวสาวอาจจะคิดว่าช่างภาพคงเตรียมมาให้แล้ว แต่ถ้าช่างภาพคิดว่าบ่าวสาวเตรียมไว้ให้แล้วล่ะ จะเกิดอะไรขึ้น!!!

5. ไฮไลท์ของงาน

อันนี้ก็เป็นอีกหนึ่งสิ่งที่ช่างภาพคาดเดาไม่ได้เลย บ่าวสาวควรบอกช่างภาพไว้สักนิดว่าจะมีเซอร์ไพรซ์อะไรภายในงานบ้าง เพื่อที่ช่างภาพจะได้รู้ก่อน จะได้ไม่พลาดโมเม้นต์สำคัญของคุณยังไงล่ะคะ

ถึงแม้จะมีแค่ 5 ข้อแต่ก็เป็นอะไรที่บ่าวสาวไม่ควรมองข้ามนะจ๊ะ เพราะแต่งงานทั้งทีจ้างช่างภาพฝีมือดีมาถ่าย ก็อย่าให้พลาดช็อตเด็ดๆ ไปเลยเนอะ

คุยกับช่างภาพ

Read More 3 ข้อแนะนำ จาก 3 ช่างภาพเวดดิ้งมือโปร รวมสิ่งที่ควรรู้ก่อนจ้างช่างภาพงานแต่ง

ภาพจาก : Pinterest.com

รวบตึงเทคนิคเลือกแคเทอริ่งให้ “ใช่” สำหรับงานแต่งของคุณ

หากคุณกำลังรู้สึกจับต้นชนปลายไม่ถูก ว่าจะจัดเลี้ยงในงานแต่งอย่างไร วันนี้ แพรว wedding มาพร้อมกับคำแนะนำดีๆ ที่จะช่วยเสกงานของคุณให้เพอร์เฟ็กต์ได้อีก เพราะการเลือก แคเทอริ่ง ให้ใช่และตรงใจนั้นที่จริงแล้วไม่ยากเลย

เลือกแคเทอริ่งอย่างไร ให้ “ใช่” สำหรับงานคุณ

ในการจัดแคเทอริ่งนั้น ปัญหาอันดับแรกคือ คู่บ่าว-สาวไม่รู้ความต้องการของตัวเองว่า ต้องการงานเลี้ยงอาหารและเครื่องดื่มอย่างไร รวมทั้งไม่รู้ว่าแขกที่จะมาร่วมงานชอบรับประทานอะไร ดังนั้นอันดับแรกจึงต้องเลือกก่อนว่าจะจัดเลี้ยงแบบใด ซึ่งในงานแต่งงานมี การจัดเลี้ยงประมาณ 5 แบบ คือ ค็อกเทล ซิตดาวน์ดินเนอร์ บุฟเฟ่ต์ โต๊ะจีน และฟู้ดสเตชั่น (Food Station)

เมื่อบ่าว-สาวเลือกสไตล์การจัดเลี้ยงได้แล้ว สิ่งที่ต้องคำนึงถึงต่อมาคือ จำนวนแขก คู่บ่าว-สาวควรทราบจำนวนแขกที่ค่อนข้างแน่นอน เพื่อจะได้จัดเตรียมปริมาณอาหารและเครื่องดื่มให้เพียงพอ อีกหนึ่งเคล็ดลับของการเตรียมงานในส่วนนี้คือ ให้บ่าว-สาวถือคติที่ว่า เหลือดีกว่าขาด เพราะอย่าลืมว่าแขกที่คุณเชิญมาอาจมีผู้ติดตามเพิ่มเติม

เรื่องต่อมาที่ควรคำนึงถึงคือ วัยของแขก หากแขกที่มาร่วมงานส่วนใหญ่มีอายุประมาณ 25 – 35 ปี สิ่งที่ควรเตรียมเผื่อไว้คือของหวานและเครื่องดื่มแอลกอฮอล์หลากชนิดเพื่อรองรับแขกกลุ่มนี้ที่ชอบปาร์ตี้สังสรรค์ หรือหากแขกที่เชิญมาส่วนใหญ่เป็นผู้ใหญ่ คุณอาจไม่จำเป็นต้องเตรียมของหวานจำนวนมากนัก เป็นต้น

แคเทอริ่ง

เรื่องต่อมาคือ ความชอบ คู่บ่าว-สาวควรจัดเตรียมอาหารที่เป็นที่นิยมในปริมาณมากกว่าอาหารชนิดอื่นๆ เพื่อให้แขกที่มาถึงทีหลังได้รับประทานด้วย เช่น ซุ้มอาหารญี่ปุ่นที่มักจะหมดเป็นซุ้มแรกๆ ในงาน หรือซุ้มของหวานแบบฝรั่งอย่างฟองดูที่ได้รับความนิยมสูง เป็นต้น

เรื่องสุดท้ายที่คู่บ่าว-สาวหลายคู่อาจไม่ได้ให้ความสำคัญคือ จำนวนผู้ให้บริการ หากมีแขกมาร่วมงานจำนวนมาก คู่บ่าว-สาวต้องอย่าลืมดูว่า จำนวนผู้ให้บริการอย่างพนักงานเสิร์ฟหรือพนักงานตักอาหาร สอดคล้องกับจำนวนแขกที่มาร่วมงานหรือไม่

ดูไอเดียงานแต่งงานและคำแนะนำดีๆ เพิ่มเติม คลิกเลย!

ภาพ : thehousecook.com

มาดูการเตรียมตัวเพื่อ ความงามเจ้าสาว 1 ปี ถึง 6 เดือน ก่อนงานแต่งงาน

ว่าที่เจ้าสาวที่เพิ่งวางฤกษ์ ต้องเริ่มดูแลตัวเองเพื่อ ความงามเจ้าสาว ได้แล้วนะคะ ระยะเวลา 6 เดือนถึง 1 ปีก่อนวันสำคัญ ควรต้องทำอะไรบ้าง เรามาบอกคุณแล้ว

ความงามเจ้าสาว เป็นอะไรที่ต้องเตรียมตัวกันตั้งแต่เนิ่นๆนะคะ! ว่าที่เจ้าสาวหลายคน พอได้ฤกษ์วันแต่งงานปุ๊บ ก็มัวแต่ยุ่งอยู่กับการจองสถานที่เอย ดูชุดเจ้าสาวเอย แจ้งญาติฝ่ายต่างๆ หาแพลนเนอร์และอื่นๆ จนบางทีกว่าจะได้เตรียมความงามของตัวเอง เวลาก็ผ่านเลยไปจนใกล้วันงานเข้าไปแล้ว เราอยากจะบอกว่า ยิ่งรีบดูแลตัวเองเร็วเท่าไร วันงานเราก็จะยิ่งสวยออร่ามากขึ้นเท่านั้นค่ะ เพราะฉะนั้นอย่ารีรอ เพราะ แพรว เวดดิ้ง รวบรวมเช็คลิสต์ทำสวยเพื่อความงามช่วง 1 ปี ถึง 6 เดือน ก่อนวันงานแต่งงานให้คุณแล้วค่ะ

ความงามเจ้าสาว

1 ปี ก่อนวันแต่งงาน

1. จองช่างแต่งหน้า อันนี้ของชัวร์ เพราะเดี๋ยวนี้คิวช่างแต่งหน้ามือทองมักจะต้องยื้อแย่งกันข้ามปี ยิ่งถ้าคุณแต่งงานในช่วงเดือนพีคอย่าง ..-. หรือช่วงต้นปีอย่าง ..-มี.. ช่างแต่งหน้าเก่งๆก็มักจะถูกจองเต็มแล้วอย่างรวดเร็วค่ะ

2. เริ่มเปลี่ยนอาหารการกิน อาจจะไม่ได้เปลี่ยนแบบหน้ามือเป็นหลังมือทันที เพราะทำแบบนั้นร่างกายคุณจะโหย และถ้าควบคุมตัวเองไม่ได้ก็จะตบะแตกเอาได้ง่ายๆ เราจึงต้องเริ่มตั้งแต่น้อยๆก่อน เช่น เคยทานกาแฟหวานๆ ทุกวัน ก็ลดเหลือวันเว้นวัน หรือลดเป็น ใส่น้ำตาลน้อย แล้วค่อยๆลดลงจนไม่ใส่น้ำตาลเลย เริ่มลดการทานเค็ม รสจัด และผงชูรส ลดการทานอาหารจังค์ฟู้ด เริ่มทานคลีนมากขึ้น จากหนึ่งมื้อต่ออาทิตย์ แล้วค่อยๆเพิ่มขึ้นค่ะความงามเจ้าสาว

3. เริ่มออกกำลังกาย ไม่ว่าจะเป็นการสมัครฟิตเนส หรือออกกำลังกายเองที่บ้าน หัวใจสำคัญคือการเริ่มทำค่ะ อาจจะค่อยๆเริ่มจากอาทิตย์ละวัน แล้วเพิ่มจำนวนวัน หรือเพิ่มระยะเวลา มากขึ้นเรื่อยๆ เอาที่ตัวเราไม่กดดันตัวเองเกินไป และทำได้ในระยะยาว แต่สิ่งสำคัญคือเราต้องมีวินัยกับตัวเองนะคะ

4. เริ่มไว้ผมให้ยาวขึ้น สำหรับใครที่ผมสั้นอยู่ในตอนนี้ แล้วอยากเป็นเจ้าสาวผมยาวเกล้าผม ให้คุณเริ่มไว้ผมยาวได้เลยค่ะ การไว้ผมยาวไม่ได้หมายถึงว่าคุณห้ามทำอะไรกับทรงผมเลย เพราะการเล็มปลายผมเดือนละครั้ง ช่วยกระตุ้นรากผม ให้ผมคุณยาวเร็วขึ้นได้ แถมยังช่วยลดผมแตกปลายด้วยนะคะ

ความงามเจ้าสาว

9-6 เดือน ก่อนวันแต่งงาน

1. เริ่มทำทรีตเม้นต์เพื่อดูแลผิวหน้า ใครที่ประสบปัญหาผิวหน้าที่ต้องพึ่งคุณหมอ เช่น เป็นสิวเรื้อรัง หน้าไม่เรียบเนียน หรืออยากยกกระชับใบหน้าแบบจัดเต็ม ช่วง 9 เดือนก่อนแต่งงาน คุณสามารถเริ่มเข้าคลินิคเพื่อปรึกษาคุณหมอได้แล้วค่ะ สำหรับบางคนที่คุณหมอเห็นว่าอาจจะไม่ต้องทำอะไรมากมาย คุณหมออาจจะนัดคุณมาอีกทีช่วง 2-3 เดือนก่อนแต่งงานก็ได้ แต่ถ้าใครที่ต้องทำทรีตเม้นต์แบบต่อเนื่อง บางทีต้องใช้เวลาถึง 8-9 เดือน เพราะทรีตเม้นต์บางชนิด อย่าง อี เมทริกซ์ ต้องเว้นระยะเวลาการทำต่อครั้ง นานถึง 1-2 เดือน ทีเดียว

2. เริ่มใช้สกินแคร์จริงจังเพื่อบำรุงและพัฒนาผิวหน้า เพราะผลลัพธ์จากสกินแคร์นั้นต้องใช้เวลาค่อนข้างนานคือประมาณ 3 เดือนขึ้นไป กว่าจะได้ผลเต็มที่ และเพื่อคงผลลัพธ์ให้อยู่ยาวนาน คุณจึงควรเริ่มมีวินัยกับการใช้สกินแคร์มากขึ้นตั้งแต่ช่วงนี้ ใครที่แอบขี้เกียจ ทาครีมมั่งไม่ทามั่ง ถึงเวลาฮึดขึ้นมาดูแลตัวเองเป็นประจำทุกวันแล้วล่ะค่ะ (โดยเฉพาะอย่างยิ่งครีมกันแดด ไม่ควรละเลยนะคะ!) ความงามเจ้าสาว

3. เริ่มทานวิตามินเพื่อดูผลสุขภาพและผิวพรรณ เช่นเดียวกันกับสกินแคร์ ช่วงนี้เราสามารถเริ่มทานวิตามินที่ช่วยบำรุงผิวพรรณ ผม และเล็บ ให้สวยได้ เช่น วิตามินซี (Vitamin C) ช่วยให้ผิวดูสดใส น้ำมันปลา(Fish Oil) ช่วยบำรุงผิวและผมให้ชุ่มชื่น สังกะสี (Zinc) ช่วยลดการเกิดสิวและปรับสมดุลฮอร์โมน หรือ โคเอนไซม์ คิว เท็น (Coenzyme Q10) ช่วยป้องกันและชะลอริ้วรอยค่ะ

เอาล่ะค่ะ! ว่าที่เจ้าสาวอ่านจบแล้วก็เริ่มดูแลตัวเองกันได้เล้ย! แต่อยากจะบอกว่า ว่าที่เจ้าสาวคนไหนที่ใกล้วันแต่งงานมากขึ้นกว่านี้ เรายังมีเคล็ดลับ ความงามเจ้าสาว สำหรับช่วงเวลาใกล้ๆวันงาน มาบอกอีกนะ รอติดตามอ่านกันได้ค่ะ

Credit Story: Brides.com

How To เลือกเนื้อผ้าให้เหมาะกับชุดแต่งงานแบบสั่งตัดให้เจ้าสาวสวยเริดมั่นใจในวันพิเศษ

ปัจจุบัน ชุดแต่งงานแบบสั่งตัด เริ่มได้รับความนิยมในหมู่เจ้าสาวมากขึ้น เพราะสามารถเลือกแบบ เลือกเนื้อผ้า และวัสดุตกแต่งต่างๆ ได้ตามใจต้องการ แถมชุดแต่งงานแบบสั่งตัดก็ยังมีทั้งแบบ ตัด-ซื้อ และตัด-เช่า ให้เจ้าสาวได้เลือกอีก ซึ่งคำถามที่ตามมาคือ “แล้วจะตัดชุดแต่งงานแบบไหนดี?” แต่สำหรับเจ้าสาวที่มีแบบชุดแต่งงานยืนหนึ่งในใจอยู่แล้วว่า “อย่างฉันก็ต้องใส่ชุดแบบนี้แหละ” แต่พอช่างถามมาว่า แล้วผ้าแบบไหนที่เจ้าสาวต้องการ? อาจทำเอาเจ้าสาวตอบไม่ได้ หรือเป็นเรื่องยากที่จะอธิบายให้ช่างเข้าใจ เอาเป็นว่า ต่อไปนี้ก็ไม่ต้องกังวลกับคำถามนี้อีกต่อไป เพราะแพรวเวดดิ้งจะมาอธิบายเนื้อผ้าชุดแต่งงานประเภทต่างๆ อย่างง่ายให้ฟัง

ก่อนที่เราจะไปทำความรู้จักกับเนื้อผ้าแบบต่างๆ อันดับแรกเจ้าสาวต้องแยกความแตกต่างระหว่างเนื้อผ้าจากธรรมชาติและเนื้อผ้าจากเส้นใยสังเคราะห์ให้ได้ก่อน

– Natural fibers เป็นเส้นใยจากธรรมชาติ เช่น ผ้าไหม, ผ้าคอตตอน และเส้นใยจากขนสัตว์ ที่นิยมใช้กับชุดเจ้าสาว

– Synthetic fibers เป็นเส้นใยที่มนุษย์สร้างขึ้น เช่น เส้นใยโพลีเอสเตอร์, ผ้าไนลอน, ผ้าสเปนเดกซ์ หรือผ้าเรยอน

เนื้อผ้าทั้งสองแบบก็มีข้อดีเป็นของตัวเองอย่าง เส้นใยธรรมชาติ อย่างผ้าไหม สามารถจับเดรปและมีความพลิ้วไหวสวยงาม ให้สัมผัสที่เรียบเนียนดีต่อผิว ในขณะที่คำว่า “สังเคราะห์” อาจจะให้ความคิดเชิงลบ แต่ถึงอย่างนั้นเส้นใยเหล่านี้ก็มีข้อดีที่เป็นประโยชน์ เช่น เป็นผ้าที่ยับยาก จึงสะดวกต่อการขนย้าย และทำความสะอาดได้ง่ายกว่าเนื้อผ้าจากธรรมชาติด้วย

และนี่คือบรรดาเนื้อผ้าที่เจ้าสาวจะได้เจอในร้านชุดแต่งงาน

Satin ผ้าซาตินเป็นผ้าที่มีความแวววาวในตัว ให้ความรู้สึกเบาสบายและเซ็กซี่ ช่วยให้ชุดแต่งงานดูมีน้ำหนัก และสร้างสไตล์ที่แตกต่างให้กับว่าที่เจ้าสาว ซึ่งผ้าซาตินก็แบ่งออกเป็น

  • Duchess Satin – นิยมนำมาตัดเย็บเป็นตัวเสื้อช่วงบนของชุดที่เน้นงานโครงสร้าง และกระโปรงพลีตขนาดใหญ่ ส่วนมากแล้วชุดแต่งงานของราชวงส์มักจะเลือกใช้ผ้าดัชเชสซาตินในการตัดเย็บ

  • Charmeuse ผ้าชาร์มัวส์ให้อารมณ์ที่เซ็กซี่ที่สุดในบรรดาผ้าประเภทผ้าซาติน เพราะมีความมันวาว ลื่นไปกับผิว เน้นทรวดทรงของผู้สวมใส่ได้ชัดเจน

Taffeta ผ้าทาฟต้า เป็นผ้าที่มีน้ำหนักเบา มีรูปทรงคงตัวสวยงาม เหมาะสำหรับการตัดเย็บชุดแต่งงานที่มีขนาดใหญ่ให้ลุคที่เพอร์เฟ็กต์แต่ดูไม่หนัก

Crepe ผ้าเครป เป็นผ้าเนื้อแมตต์ที่ดูนุ่มสลวยสวยงาม เนื้อผ้ามีน้ำหนักตั้งแต่เบาไปจนถึงหนัก นิยมนำมาตัดชุดแต่งงานทรงเมอร์เมด และชุดแต่งงานทรงเอ-ไลน์ เหมาะกับชุดแต่งงานสไตล์มินิมอล น้อยแต่มาก เน้นโครงสร้างของชุดเป็นหลัก ด้วยน้ำหนักและลักษณะเนื้อผ้าจะช่วยเน้นรูปร่างเจ้าสาวขณะก้าวเดิน

Shantung ผ้าที่ทอขึ้นจากเส้นใยสังเคราะห์ มีน้ำหนักเบา เหมาะสำหรับงานแต่งงานในหน้าร้อน หรืองานแต่งงานกลางแจ้ง

Dupioni เนื้อผ้ามีลักษณะแข็ง เหมาะสำหรับการตัดเย็บชุดที่เน้นโครงสร้าง หรือชุดแต่งงานที่ชายกระโปรงลากยาวมากๆ

Faille เหมาะสำหรับตัดเย็บชุดแต่งงานที่ต้องการเน้นโครงสร้างของชุดให้ชัด เนื้อผ้ามีลักษณะเป็นรูเล็กๆ เหมาะสำหรับการตัดเย็บเป็นเสื้อ หรือชุดเดรสที่เน้นความเรียบง่าย ให้ซิลลูเอทที่สวยงาม

Organza เนื้อผ้าบางเบา เข้ากับรูปร่าง และให้ความรู้สึกสบายขณะก้าวเดิน เหมาะสำหรับตัดเย็บชุดแต่งงานแนวเจ้าหญิงสวยหวาน หรือชุดแต่งงานทรงบอลกาวน์

Chiffon ผ้าชีฟอง เป็นผ้าโปร่ง มีความสวยงามในตัว เหมาะสำหรับตัดเย็บชุดแต่งงานที่อยากเน้นช่วงบนของชุดให้ดูหรูหรา หรือนำมาเสริมบริเวณกระโปรงลากยาวให้ดูเหมือนเจ้าหญิง

Gazar คล้ายกับผ้าออแกนซ่าแต่มีความแข็งและโปร่งกว่าเล็กน้อย เหมาะสำหรับชุดแต่งงานทรงบอลกาวน์ หรือเสื้อท่อนบนที่อยากเน้นดีเทลความสวยงามหรือมีดีเทลของงานปัก

Lace ผ้าลูกไม้ มีหลายชนิดให้เจ้าสาวเลือก ซึ่งแต่ละแบบก็มีความแตกต่างและสวยงามต่างกัน รวมไปถึงเรื่องลวดลายหรือแพตเทิร์นที่แต่ละแบบก็มีเอกลักษณ์เป็นของตัวเอง

Chantilly ลูกไม้ที่มีความเซ็กซี่ มีลวดลายที่อ่อนช้อย ส่วนมากมักจะเป็นลวดลายดอกไม้

Alencon ลายลูกไม้มีความแน่นมากว่า Chantilly มีช่องว่างระหว่างลายน้อยกว่า แต่ยังคงเป็นลวดลายดอกไม้เหมือนกับ Chantilly

Guipure เป็นลูกไม้ที่หนาและหนักกว่า 2 ชนิดแรก มีลักษณะคล้ายกับงานปัก โดยจะมีทั้งลวดลายดอกไม้และลวดลายแบบกราฟิก

Net ผ้าเน็ต คือผ้าที่มีลักษณะเป็นผ้าซีทรูโปร่งบาง และมักจะประดับด้วยลูกปัดหรือเลื่อมเพื่อเพิ่มความสวยงามหรูหรา ซึ่งมีหลายประเภท และแต่ละประเภทก็มีน้ำหนักต่างกันไป เช่น Beaded Net  และ Embroidered Net

ผ้าทูล เป็นผ้าตาข่ายที่มีความสวยงาม นิยมนำมาใช้เป็นผ้าชั้นนอกสำหรับกระโปรงทรงบอลกาวน์ หรือใช่ในการจับเดรปเพื่อให้ชุดดูอ่อนหวาน และนิยมนำมาใช้ทำเวลเจ้าสาวด้วย

English Net เป็นผ้าตาข่ายที่มีความนุ่มและมีน้ำหนักมากกว่าผ้าทูล สามารถนำมาจับเดรปได้อย่างสวยงามและนิยมใช้กับกระโปรงทรงเอ-ไลน์

ดูแบบชุดแต่งงานเพิ่มเติมได้ที่นี่อีกเพียบ คลิกเลย!

ข้อมูลจาก www.stylemepretty.com
ภาพ Pinterest, pexels.com

บ่าวสาวต้องจำ 4 อย่างนี้ต้องพกไปลองชุดแต่งงานจะได้เป๊ะไม่พลาดในวันสำคัญ

หลังจากตกลงเรื่องแบบชุดเจ้าบ่าว-เจ้าสาวได้แล้ว ก็ถึงเวลาแห่งการ ไปลองชุดแต่งงาน ซึ่งเวลาจะไปลอง ชุดแต่งงาน เนี่ย บ่าวสาวมักลืมกันอยู่เสมอว่า ต้องพกพาของบางอย่างไปด้วย วันนี้แพรว Wedding สรุปมาให้แล้วว่ามีอยู่ 4 อย่างที่มีผลต่อการลองชุดอย่างคาดไม่ถึง แต่แทบทุกคู่มักลืม! จะมีอะไรบ้างเริ่มไล่เรียงดูกันตอนนี้เลย

รองเท้า

ไม่ว่าจะเป็นชุดเจ้าสาวหรือชุดเจ้าบ่าว ทั้งชุดไทยและชุดสากลล้วนแต่มีเรื่องของความสูงความยาวเข้ามาเกี่ยวข้องแทบทั้งนั้น คุณว่าที่ทั้งหลายจึงควรจะพกรองเท้าที่มีความสูงเท่ากับรองเท้าคู่ที่จะใส่ในวันงานไปลองชุดด้วยเสมอ หรือถ้าจะให้ดีหยิบรองเท้าคู่จริงที่จะใช้ไปลองด้วยเลยยิ่งดี จะได้เป็นการซ้อมใส่ไปในตัวไงคะ และขอเถอะค่ะอย่าได้คิดว่าหยิบไปลองแค่ครั้งแรกก็พอ เพราะการแก้ชุดเข้าออก เสริมนั่นเติมนี่ทำให้ภาพรวมชุดเปลี่ยน ยกตัวอย่างง่ายๆ เช่น ชุดไทยแบบนุ่งผ้าถุงต้องมีการวัดความยาวแบบพอดีตัวและพอดีส้นรองเท้า หรือขากางเกงเจ้าบ่าวจะยาวถึงตาตุ่มหรือตรงไหน ดังนั้น คุณแค่เอารองเท้าติดรถไปด้วยแล้วใส่ลองกับชุดเสมอจะดีที่สุด อย่าได้คิดว่ารองเท้าจะพังจะเลอะ เพราะการใส่ลองไม่กี่นาที

Cr. http://www.christyng.com

ชุดชั้นใน

เช่นเดียวกับรองเท้าค่ะ คุณว่าที่เจ้าสาวจะใส่ชุดชั้นในตัวไหนในวันงานหยิบติดมือมาเลยค่ะ เพราะอย่างการลองชุดไทยคุณต้องใส่สไบเฉียง แปลว่าต้องใส่ชั้นในไร้สายหรือปลดสายออกข้างหนึ่ง รวมถึงกางเกงชั้นในต้องแนบเนื้อสักหน่อย เพราะจะได้ไม่เห็นขอบ หรือการเลือกกางเกงชั้นในมาใส่กับชุดแต่งงานสากลทรงหางปลาก็ต้องระวังเรื่องสีชั้นในว่าไม่เด้งทะลุผ้าออกมาเด็ดขาด สำหรับคุณหนุ่มๆ ก็เช่นกัน อย่าคิดว่าใส่แบบทุกวันจะไม่มีปัญหา โดยเฉพาะสาวกบ๊อกเซอร์ทั้งหลายต้องคิดให้ดี เพราะถ้าคุณเลือกกางเกงสแล็กเข้ารูปการใส่กางเกงบ๊อกเซอร์อาจไม่เหมาะ เพราะทรงกางเกงที่ด้านในมีบ๊อกเซอร์จะไม่เรียบเข้ารูปติดขาสมส่วนนะ

Cr. http://www.jamespersonaltailor.co.uk

แบบการแต่งหน้าทำผม

ไม่ต้องถึงขนาดว่าแต่งหน้าทำผมเหมือนวันจริงไปลองชุดแต่งงานเสมอ แต่ควรหยิบแบบหน้าผมที่เล็งไว้ไปด้วยเพื่อให้ดีไซเนอร์ช่วยดูว่า แบบที่อยากทำนี้เมื่อนำมาจับคู่กับชุดแต่งงานที่เลือกแล้วเข้ากันและลงตัวหรือเปล่า ดีกว่าการที่คุณมาเจอการแต่งหน้าทำผมในวันงานแล้วเกิดอาการต้องแก้แบบผมกะทันหัน แบบนั้นอาจทำให้ไม่มั่นใจเลยก็เป็นได้ ส่วนถ้าคุณมีงบประมาณกันไว้สักนิดเผื่อเทสแบบหน้าผมก็ขอให้ลองเทสตอนที่ชุดเสร็จไปสัก 80-90% อย่าได้รอให้ชุดเสร็จถึง 100% เพราะหากอยากแก้ไขปรับรายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ จะได้ทันการณ์ ซึ่งแน่นอนว่าคำแนะนำเรื่องนี้ คุณเจ้าบ่าวก็ต้องทำเหมือนกันนะคะ

เครื่องประดับ

สำหรับคุณว่าที่เจ้าบ่าวเครื่องประดับที่ว่าก็เป็นเนคไท โบไท คัฟลิ้งทั้งหลายที่ควรเตรียมไปเพื่อจะได้รู้ว่าเข้ากันกับชุดที่จะใส่หล่อในวันงานไหม ส่วนคุณเจ้าสาวคงไม่ต้องบอก ต่างหู สร้อยคอ กำไล ถ้าคิดจะใส่และมีของแล้วหยิบไปจับคู่ดูบ้าง ถ้าไม่อยากเอาของจริงไปเพราะกลัวหาย จะหาแบบและขนาดที่ใกล้เคียงรวมไปลองใส่คู่กับชุดแต่งงานดูก่อนก็ไม่ว่ากัน คุณจะได้รู้ว่า เครื่องประดับที่เตรียมไว้น้อยไปหรือมากไป จะได้วางแผนเติมเต็มความเป๊ะได้ถูกไงล่ะ

ขอย้ำอีกทีว่า 4 อย่างที่ว่านี้ ถ้าเป็นไปได้ขอให้นำไปด้วยอย่าได้ขาด เพื่อความสมบูรณ์แบบของลุคบ่าวสาวที่คุณฝันไว้จะได้เป็นจริงแบบไม่มีเสียงเม้าตามมา

ดูไอเดียและคำแนะนำเรื่องชุดเจ้าบ่าวเจ้าสาวเพิ่มเติมได้ที่นี่ คลิกเลย!

ภาพเปิด : weddings.popupsites.com

มีเวดดิ้งแพลนเนอร์ไว้อุ่นใจกว่า.. จริงหรือ? ไปดูกันเลย

ว่าที่บ่าวสาวหลายคู่อาจกำลังคิดหนักถึงเรื่องการจ้าง เวดดิ้งแพลนเนอร์ หรือนักวางแผนการแต่งงานว่าจำเป็นหรือไม่สำหรับการจัดงานแต่งงานของตัวเอง ใจหนึ่งก็คิดว่าอยากจัดการเองและคิดว่าเอาอยู่ ส่วนอีกใจหนึ่งก็ยังกังวลว่าจะมีอะไรตกหล่นหากไม่มีมืออาชีพคอยช่วยเหลือ เอาเป็นว่า แพรว wedding ขอแนะนำให้คุณเช็คจากลิสต์นี้ดูก่อน หากพบว่าคุณต้องการ 3 สิ่งนี้เป็นอย่างยิ่งสำหรับงานแต่งของตัวเอง การตกลงปลงใจจ้างเวดดิ้ง แพลนเนอร์อาจเป็นคำตอบที่ใช่สำหรับคุณจริงๆแล้วล่ะค่ะ 😉 

ช่วยคุมงบประมาณไม่ให้บานปลาย

เวดดิ้ง แพลนเนอร์

เรื่องเงินอาจเป็นปัญหาสำคัญสำหรับหลายๆ คน โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังจากการจ่ายเงินก้อนโตไปสำหรับการเตรียมงานแต่งงาน การที่ต้องเสียค่าใช้จ่ายเพิ่มอาจเป็นเรื่องที่ต้องคิดหนัก ซึ่งสำหรับคนที่มีปัญหาเกี่ยวกับเรื่องนี้อาจลองมองหาเวดดิ้ง แพลนเนอร์ที่รับงานเป็นรายวันหรือมีค่าจ้างอยู่ในงบประมาณที่สามารถจ่ายได้

เวดดิ้ง แพลนเนอร์มีความสำคัญในเรื่องช่วยประหยัดค่าใช้จ่ายในด้านที่สามารถช่วยเจรจาต่อรองว่าจ้างบุคคลในด้านอื่นๆ ที่มีความสำคัญเกี่ยวกับงานแต่งงาน ไม่ว่าจะเป็นช่างแต่งหน้า ช่างทำผม ร้านดอกไม้ ร้านเค้ก ร้านอาหาร เจ้าของสถานที่สำหรับจัดงานแต่งงาน หรือบุคคลที่มีความสำคัญในหน้าที่อื่นๆ เพราะเวดดิ้ง แพลนเนอร์มักรู้จักคนเยอะและมีความสัมพันธ์ที่ดีกับกลุ่มคนเหล่านี้ ซึ่งจะช่วยให้ได้ราคาของสิ่งที่ต้องการในราคาที่ดีขึ้น(ถูกลง)มากกว่าการไปติดต่อว่าจ้างด้วยตัวเอง

ช่วยในการจัดการไม่ให้ตกหล่น

เวดดิ้ง แพลนเนอร์

เวดดิ้ง แพลนเนอร์มักมีความรู้ความเชี่ยวชาญในการจัดการและเตรียมพร้อมให้ทุกอย่างอยู่ในช่วงเวลาที่กำหนด ซึ่งจะช่วยให้คู่บ่าวสาวเครียดน้อยลงและทำให้มั่นใจว่างานแต่งงานจะเป็นไปอย่างเรียบร้อย นอกจากนี้ยังมีส่วนสำคัญในการช่วยเตือนสิ่งต่างๆ ที่คู่บ่าวสาวอาจคิดไม่ถึงหรือมองข้ามไป ทำให้หลายๆอย่างในงานแต่งงานเกิดความผิดพลาดน้อยลง

การจ้างเวดดิ้ง แพลนเนอร์อาจไม่ใช่สิ่งสำคัญสำหรับทุกคู่แต่งงาน แต่การมีแพลนเนอร์ไว้จะช่วยให้งานแต่งงานเป็นไปได้อย่างราบรื่นมากขึ้น ทำให้คู่บ่าวสาวเหมือนเป็นแขกในงานแต่งงานของตัวเอง ช่วยลดความเครียดและความกังวลต่างๆ ลง ทำให้คู่บ่าวสาวรู้สึกดีและสนุกไปกับวันสำคัญในชีวิตแบบไม่ต้องกังวลมากเหมือนการที่ต้องจัดการแก้ไขปัญหาในงานแต่งงานด้วยตัวเอง

ช่วยในเรื่องงานฝีมือ

เวดดิ้ง แพลนเนอร์

อย่าคิดว่าการจ้างเวดดิ้ง แพลนเนอร์จะมีส่วนช่วยแค่ในเรื่องการสามารถควบคุมและจัดการงานแต่งงานได้อย่างสมบูรณ์แบบเพียงอย่างเดียว เพราะสำหรับคู่บ่าวสาวที่ชอบทำงานฝีมือด้วยตัวเอง การทำงานร่วมกับบรรดามือโปรเหล่านี้จะช่วยในเรื่องของความคิดและมุมมองทำให้งานออกมาหลากหลายและดูน่าสนใจมากยิ่งขึ้นอีกด้วย

ดูไอเดียงานแต่งงานและคำแนะนำดีๆ อีกเพียบได้ที่นี่ คลิกเลย!

Cr: weddinglovely.com, aisleplanner.com, weddingswithlove.es, stillandmotionpictures.com, wedinmalta.com

เรียงลำดับอาวุโสและคนสำคัญงานแต่งในงานแต่งแบบนี้ไม่โดนเม้าท์

คนสำคัญงานแต่ง ที่บ่าวสาวต้องใส่ใจมีใครบ้าง มาดูกัน

อย่างที่เรารู้ๆ กันอยู่ว่างานแต่ ไม่ว่าจะไทยหรือจีนก็มักจะให้ความสำคัญกับคนในครอบครัวและผู้อาวุโสของทั้งสองฝ่าย คราวนี้เลยมีคนถามเข้ามาหลังไมค์กับเราบ่อยๆ ว่า จะเรียงลำดับญาติแต่ละคนอย่างไร ทั้งพิธีรดน้ำสังข์ พิธีรับไหว้ พิธียกน้ำชา ฯลฯ ใครที่ญาติเยอะก็อาจจะปวดหัวสักหน่อย แต่เอาเข้าจริงๆ ไม่มีอะไรยากเลย แพรว wedding จะแนะนำวิธีเรียงลำดับญาติให้ไปเลือกใช้กัน แถมด้วย คนสำคัญงานแต่ง ที่บ่าวสาวต้องใส่ใจ

18-23
วิธีที่ 1 : แบ่งตามความอาวุโส

วิธีนี้เราอยากให้ทั้งสองครอบครัวปรึกษากันดูว่า ใครที่มีอายุและมีความอาวุโสมากที่สุด ซึ่งผู้ที่มีอายุมากที่สุดในงานอาจเป็นผู้ใหญ่ฝ่ายหญิงหรือฝ่ายชายก็ได้ ให้เริ่มจากคนๆ นั้น อย่างเช่น คุณยายทวด คุณตาทวด (ถ้ายังอยู่) แล้วค่อยไล่ลงมาเรื่อยๆ ถึงคุณตา คุณยาย พ่อ แม่ และญาติคนอื่นๆ ตามลำดับอาวุโส และอาจจะสลับไปมาระหว่างคนจากฝั่งเจ้าบ่าวและฝั่งเจ้าสาวตามความเหมาะสม

IMG_0349
วิธีที่ 2 : แบ่งกันทีละครอบครัว

ในกรณีทั้งฝ่ายเจ้าสาวและฝ่ายเจ้าบ่าวอาจต้องตกลงกันเองว่าจะให้ครอบครัวของฝั่งใครเป็นคนเริ่มพิธีก่อน โดยส่วนใหญ่แล้วตามประเพณีทั้งไทยและจีนมักจะให้เริ่มจากครอบครัวฝ่ายเจ้าบ่าว เพราะโบราณถือว่าผู้ชายคือผู้นำครอบครัว เมื่อครบทั้งครอบครัวเจ้าบ่าวแล้วจึงตามด้วยครอบครัวของเจ้าสาว แต่ในปัจจุบันหลายคนอาจให้เกียรติเจ้าสาวโดยการเริ่มพิธีด้วยคนฝ่ายเจ้าสาวก่อน และแน่นอนว่ายังต้องเรียงลำดับความอาวุโสของคนในครอบครัวด้วย

สำหรับงานของใครที่มีประธาน ไม่ว่าจะหนึ่งคนหรือสองคนที่แบ่งเป็นประธานฝ่ายเจ้าสาวและประธานฝ่ายเจ้าบ่าว ส่วนใหญ่มักจะให้ประธานของงานเริ่มต้นพิธี หรืออาจจะเรียงลำดับต่อจากคุณตา คุณยายก็ได้ แล้วจึงตามด้วยประธาน และพ่อแม่ จากนั้นค่อยไล่เรียงบุคคลในครอบครัว พี่น้อง และเพื่อนฝูงตามลำดับ

จริงๆ แล้วเรื่องลำดับความสำคัญของบุคคลในงานแต่งไม่ใช่เรื่องยาก เพียงแค่ให้ทั้งสองครอบครัวตกลงกันว่าจะเริ่มจากใครและเริ่มอย่างไร มีใครที่คนในครอบครัวและบ่าวสาวเคารพมากเป็นพิเศษ ถึงแม้จะไม่ใช่ญาติมิตรก็สามารถจัดลำดับให้มาอยู่เป็นคนแรกๆ ได้เช่นกัน

นี่ก็เป็นอีกเรื่องที่บ่าวสาวต้องรู้นะ >>> กฎข้อเดียวจำไม่ยาก บุคคนเหล่านี้รดน้ำสังข์ได้

ภาพ : nalitaiss.studios

ห้ามพลาด! ซ่อนรองเท้าเจ้าบ่าวไว้เรียกค่าไถ่กิมมิกสุดน่ารักในพิธีแต่งงานไทย

เคยได้ยินพิธีซ่อน รองเท้าเจ้าบ่าว ไหม? ถ้าไม่…มาใกล้ๆ เราจะบอกให้ฟัง

พิธีแต่งงาน ไทยมีมากมายหลายขั้นตอน หลายคนอาจคิดว่าช่วงเวลาสนุกสนานมีอยู่เพียงแค่ตอนต่อรองประตูเงินประตูทองเท่านั้น แต่ความจริงแล้วยังมีช่วงเวลาสนุกเล็กๆ น้อยๆ อย่างประเพณีการซ่อน รองเท้าเจ้าบ่าว ที่แขกหลายคนต่างรอคอย

อันว่าการซ่อนรองเท้าเจ้าบ่าว เป็นประเพณีที่ทำกันมานานแล้ว ครั้งหนึ่งฮีบินก็เคยไปจดๆ จ้องๆ รอคว้ารองเท้าลุงเขยเหมือนกัน เคล็ดลับการฉวยรองเท้าเจ้าบ่าวก็ทำได้ง่ายๆ คือ เมื่อไหร่ที่เจ้าบ่าวเตรียมตัวจะถอดรองเท้าขึ้นเรือนเจ้าสาว สายตาหลากหลายคู่ก็จะจับไปที่รองเท้าคู่งาม พอเท้าพ้นจากรองเท้าปุ๊บ มือไม้หลายข้างก็จะฉวยเอาไปในทันที บางคนมือไวก็ได้ไปทั้งสองข้าง บางครั้งอาจจะแบ่งกันไปคนละข้าง สุดท้าย ก็เอาไปซ่อนรอให้ถึงเวลาเจ้าบ่าวลงจากเรือน

เมื่อถึงเวลาที่บ่าวสาวจะต้องลงจากเรือนมาพบปะแขกเหรื่อ ทีนี้แหละค่ะ ใครมือดีคว้ารองเท้าได้ไป ก็จะเริ่มปรากฏตัวเรียกค่าไถ่ โดยมีรองเท้าเป็นตัวประกัน ซึ่งส่วนมากก็จะอิดออดขอค่าไถ่เยอะๆ แต่อย่าเพิ่งผลีผลาม หรือยอมคืนให้ง่ายๆ นะคะ บางคนได้เงินอย่างเดียวแล้วพอ บางคนได้เหล้าอย่างเดียว แต่บางคนได้ทั้งเงิน ได้ทั้งเหล้า แบบนี้ก็อยู่ที่เทคนิคการต่อรองของใครของมันแล้วเน้อ

ส่วนฝ่ายเจ้าบ่าวก็อย่าเพิ่งนอยด์ไปว่า จะต้องเสียเงินเสียเหล้ามากมายกว่าที่ได้เตรียมไว้ วิธีแก้เผ็ดดักทางยังพอจะมีอยู่บ้าง โดยให้สังเกตว่า ผู้ที่เอารองเท้าไปซ่อนนั้น เป็นชาย หรือ เป็นหญิง หากว่าเป็นหญิง ฮีบินขอแนะนำว่า ให้เจ้าบ่าวส่งเพื่อนเจ้าบ่าวหล่อๆ สักคนไปขอคืน (จริงๆ) รับรองว่า ได้คืนมาไม่ยาก แต่หากว่าคนที่เอารองเท้าไปซ่อนเป็นผู้ชาย คุณเจ้าบ่าวก็อาจจะส่งญาติพี่น้อง หรือ ทาบทามเพื่อนเจ้าสาวสวยๆ สักคนไปขอคืนก็ได้เช่นกัน หรือถ้าผู้ที่ได้รองเท้าไปเป็นผู้หลักผู้ใหญ่

บอกกันมาขนาดนี้แล้ว ใครที่กำลังจะเป็นเพื่อนเจ้าสาว เพื่อนเจ้าบ่าว หรือได้รับเชิญไปงานแต่งงานก็เล็งรองเท้าเจ้าบ่าวคู่งามไว้ให้ดีนะจ๊ะ ถอดออกมาเมื่อไหร่ จะได้ไปคว้ามาซ่อนไว้เป็นตัวประกัน เรียกค่าไถ่แบบพอหอมปากหอมคอ ถือซะว่าเล่นสนุกๆ สร้างบรรยากาศครื้นเครงและรอยยิ้มก็แล้วกันนะ

เซฟไปได้เราไม่หวง >>> แจกกันแบบสเต็ปบายสเต็ป กับขั้นตอนลำดับพิธีแต่งงานไทยฉบับสมบูรณ์

เวลเจ้าสาว 101 คอร์สเร่งรัดเรื่องเวลแต่งงานที่เจ้าสาวต้องรู้

ส่วนมากชุดแต่งงานในฝันมักจะมี เวลเจ้าสาว พ่วงมาด้วย เพราะเป็นแอสเซสซอรี่ที่ช่วยเสริมความสง่างามให้กับชุดแต่งงานและเจ้าสาวได้เป็นอย่างดี ซึ่งเวลเจ้าสาวก็มีให้เลือกหลายแบบ หลายสไตล์ และหลายระดับความยาว แพรว wedding เลยขอชวนว่าที่เจ้าสาวมาเข้าคอร์สเรียนรู้เรื่องเวลเจ้าสาวแบบง่ายๆ ก่อนที่จะไปเลือกเวลแต่งงานให้เข้ากับชุดของเจ้าสาวกัน

เพราะฉะนั้นหากว่าที่เจ้าสาวยังไม่รู้ว่าจะเลือกเวลแบบไหน แพรว wedding ได้รวบรวมเวลเจ้าสาวแบบต่างๆ และระดับความยาวมาให้แล้ว

Bird Cage Wedding Veil : ความยาว 4-9 นิ้ว

เวลแบบสั้นที่มีความยาวปิดดวงตา ความยาวอยู่ที่ประมาณระดับจมูกไล้ลงมาถึงบริเวณกราม มักทำจากผ้าตาข่ายหรือลูกไม้ ซึ่งเวลลักษณะนี้เรียกอีกชื่อหนึ่งว่า bandeau veil

Blusher Wedding Veil : ความยาว 30 นิ้ว

หรือเรียกอีกชื่อหนึ่งว่า angle veil หรือ wedge veil เป็นเวลเจ้าสาวที่ให้ลุคย้อนยุคดูวินเทจและกึ่งทางการเล็กน้อย เป็นเวลเจ้าสาวแบบปิดหน้าที่มีความยาวลงมาถึงบริเวณส่วนบนสุดของชุดแต่งงาน

Shoulder-Length Wedding Veil : ความยาว 20-22 นิ้ว

ความยาวของเวลระดับนี้ คือยาวระดับบริเวณไหล่ของเจ้าสาว และเป็นสไตล์เวลเจ้าสาวที่ให้ลุคแบบทางการและค่อนข้างเป็นที่นิยมเพราะระดับความยาวของเวลไม่ไปกวนดีเทลต่างๆ ของชุดแต่งงานนั่นเอง

Elbow Wedding Veil : ความยาว 32 นิ้ว

เวลเจ้าสาวที่มีระดับความยาวถึงศอกนี้ เป็นเวลสำหรับว่าที่เจ้าสาวหัวอนุรักษ์นิยมที่อยากได้ลุคหรูหรา ซึ่งผ้าคลุมสไตล์นี้จะยาวผ่านไหล่ของเจ้าสาวลงมาถึงข้อศอกพอดี

Fingertip Wedding Veil : ความยาว 38-40 นิ้ว

เป็นเวลที่ปลายเวลเจ้าสาวจะยาวถึงระดับสะโพกพอดี และเป็นตัวเลือกที่ได้รับความนิยมในหมู่เจ้าสาวเป็นจำนวนมาก และมักจะทำมาจากผ้าโปร่งผืนบางเพื่อให้มองเห็นดีเทลที่ด้านหลังของชุดเจ้าสาวได้อย่างชัดเจน

Knee-Length Veil : ความยาว 48 นิ้ว

เวลเจ้าสาวระดับนี้จะช่วยให้เจ้าสาวดูสง่างามชวนฝันโดยไม่รู้สึกหนักหรือเกะกะแต่อย่างใด ซึ่งความยาวของเวลระดับนี้จะอยู่ที่ประมาณเหนือหรือยาวกว่าหัวเข่าเล็กน้อยก็ได้ เพราะระดับความยาวที่สวยงามต้องดูให้เหมาะสมกับความสูงของเจ้าสาวด้วยนั่นเอง

Waltz Wedding Veil : ความยาว 60 นิ้ว

หรือเรียกอีกชื่อหนึ่งว่า ballet veil เวลที่มีความยาวถึงระดับกลางน่อง เหมาะสำหรับว่าที่เจ้าสาวที่อยากสวมเวลยาวแบบไม่เกะกะและสามารถเคลื่อนไหวได้อย่างสะดวก เหมาะสำหรับใส่ในพิธีการฉลองเพื่อให้เจ้าสาวดูสวยแกรนด์

Floor-Length Wedding Veil : ความยาว 72 นิ้ว

เวลเจ้าสาวที่มีความยาวถึงพื้น และต้องแมตช์ให้เข้ากับความยาวของชุดเจ้าสาวด้วยถึงจะสวย แนะนำให้เลือกผ้าเวลที่มีความอ่อนนุ่มพลิ้วไหวจะช่วยให้ลุคของเจ้าสาวดูสง่างามในเวลระดับนี้มากขึ้น และเหมาะที่จะสวมกับชุดแต่งงานทรงบอลกาวน์ หรือชุดแต่งงานแบบเข้ารูป

Chapel Wedding Veil : ความยาว 90 นิ้ว

ถึงแม้จะเป็นเวลที่ยาวมากแต่เจ้าสาวก็ยังสามารถเคลื่อนไหวและเดินเข้างานได้อย่างสะดวก และคีย์หลักของเวลสไตล์นี้คือ จะต้องมีความยาวที่เกินออกมาจากความยาวของกระโปรงเจ้าสาวด้วย

Cathedral Wedding Veil : ความยาว 108-120 นิ้ว

เป็นเวลที่มีความยาวที่สุด เหมาะสำหรับการสวมในช่วงเดินเข้างานหรือเดินเข้าโบสถ์มากๆ

ดูไอเดียเกี่ยวกับชุดแต่งงานเพิ่มเติม คลิกเลย!

ภาพ pinterest, pexels.com