“Forever Be My Always” โปรโมชั่นสุดว้าวจากโรงแรมพูลแมน กรุงเทพ จี 

ว่าที่บ่าวสาวที่กำลังมองหาโปรโมชั่นแต่งงานดีๆ ในปีนี้ต้องตาลุกวาว เพราะ โรงแรมพูลแมน กรุงเทพ จี พร้อมมอบโปรโมชั่นดีๆ ให้กับคุณแล้ว

หากคุณกำลังมองหาสถานที่จัดงานแต่งไม่เหมือนใคร ณ ใจกลางเมืองกรุงเทพฯ บนจุดสูงสุดของย่านสีลม โรงแรมพูลแมน กรุงเทพ จี ขอเป็นหนึ่งในตัวแทนที่พร้อมเนรมิตให้ฝันของคุณเป็นจริงได้ มาเซย์ไอดู ไปพร้อมกับวิวสุดตระการตา และทีมงานผู้เชี่ยวชาญที่พร้อมจะรังสรรค์งานแต่งงานของคุณจากฝันให้เป็นจริง พบกับแพ็คเกจแต่งงาน Forever By My Always ราคาเริ่มต้นเพียง 199,999 บาทสุทธิ (สำหรับ 150 ท่าน) ได้ตั้งแต่วันที่ 9 กันยายนถึง 10 ตุลาคม 2563

โรงแรมพูลแมน กรุงเทพ จี 

โรงแรมพูลแมน กรุงเทพ จี 

โรงแรมพูลแมน กรุงเทพ จี 

แพ็คเกจประกอบไปด้วย

-ห้องพักจีดีลักซ์​สุดชิค คุมโทนสไตล์ในฝันของเจ้าสาว 1 คืน

– เค้กงานแต่งงานรังสรรค์ได้ตามสไตล์ที่ต้องการโดยทีมงานระดับมืออาชีพ

– เข็มกลัดติดเสื้อแบบพิเศษสำหรับแขกวีไอพี

– ดอกไม้ประดับในงาน

– หนังสืออวยพร

– การจัดเตรียมเวที และแบคดร็อปพร้อมโลโก้

– ช่อดอกไม้สำหรับเจ้าสาว

– น้ำอัดลมแบบไม่อั้นเป็นเวลา 4 ชั่วโมง

– ระบบแสงสีเสียงตามมาตรฐานโรงแรมฯ ​5 ดาว

พิเศษสุด สำหรับคู่รักที่ทำการจองและมัดจำภายในวันที่ 9 กันยายน -10 ตุลาคม 63  รับทันที เซ็ตดินเนอร์สุดหรูสำหรับ 2 ท่าน ณ ห้องอาหารมิชลินเพลตอย่าง สการ์เล็ตไวน์บาร์ รูฟท็อปติดอันดับของกรุงเทพฯ โดยเชฟมากฝีมือจากฝรั่งเศสให้ได้สวีทกับคนรักในคืนก่อนงานแต่งงานทันที

*เงื่อนไขเป็นไปตามที่โรงแรมฯ กำหนด

สอบถามข้อมูลเพิ่มเติม โทร. 02 352 4000 ต่อ 1405 อีเมล [email protected]หรือสอบถามผ่านทางหน้าเฟสบุค www.facebook.com/pullmanbangkokhotelgไลน์ @pullmanbkkhotelgและเว็บไซต์ website www.hotels-g.com/bangkok

ปรับตัวหลังแต่งงาน เรื่องที่บ่าวสาวทุกคู่ควรรู้ ให้รักนี้ยาวนาน

บ่าว – สาว ที่กำลังจะแต่งงานเริ่มต้นใช้ชีวิตอยู่ร่วมกัน หลายคนมีความกังวลซ่อนอยูในใจ กับเส้นทางชีวิตคู่ที่กำลังจะเริ่มต้น สงสัยว่าต้อง ปรับตัวหลังแต่งงาน อย่างไรดี ครั้งนี้ แพรว wedding จึงเชิญ แพทย์หญิงวนัทดา ถมค้าพาณิชย์ จิตแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านความรักและชีวิตคู่ ประจำโรงพยาบาลมนารมย์ มาเป็นผู้ให้คำตอบ

ปัญหาที่คู่แต่งงานใหม่มาพบจิตแพทย์ มักจะเกิดจากการที่แต่ละคนมี “ตัวตน” ของตนเองมากจนเกินไป ทำให้กระบวนการ ปรับตัวหลังแต่งงาน เป็นไปได้ยาก ซึ่งการแต่งงานกับใครสักคนนั้น มักจะมีสิ่งที่เราชอบและไม่ชอบเกี่ยวกับเขาเสมอ เป็นไปไม่ได้เลยที่จะเจอใครสักคนที่เราชอบทุกอย่าง ดังนั้นการที่เราพยายามทำความรู้จัก ยอมรับ และปรับตัวให้เข้ากับอีกฝ่ายนั้นจึงเป็นสิ่งที่สำคัญมาก

เรามักเคยได้ยินว่า “พอหลังแต่งงาน เขาก็เปลี่ยนไป” มันเป็นอย่างนั้นจริงๆ หรือเป็นเพราะยังไม่ได้รู้จักตัวตนของเขาดีพอ และเราอาจจะคาดหวังบางอย่างมากกว่าที่ควรจะเป็น ดังนั้นก่อนที่จะแต่งงาน ก็ควรจะทำความเข้าใจซึ่งกันและกันให้ชัดเจนก่อน

สิ่งแรกที่ควรทำความเข้าใจร่วมกันก็คือ “เป้าหมายและภาพของชีวิตคู่ที่เราจะใช้ไปด้วยกัน ซึ่งจะเกิดขึ้นได้จากการพูดคุยและตกลงระหว่างกันให้ชัดเจน เช่น บางคนอยากแยกออกมาเป็นครอบครัวเล็กๆ อยากจะมีลูกกี่คน ภรรยาอยากทำงาน ฯลฯ

ปรับตัวหลังแต่งงาน

ภาพในการใช้ชีวิตคู่ยังรวมไปถึงข้อตกลงพื้นฐาน เช่น “การที่ไปมีผู้หญิงอื่นนี่ไม่ OK นะ” ก็ควรจะต้องคุยกันให้เข้าใจก่อน เพราะวัฒนธรรมหรือการเติบโตมาของแต่ละคนอาจจะไม่เหมือนกัน ทำให้มีความคาดหวังที่ไม่ตรงกันในชีวิตแต่งงาน

การปรับตัวเข้าหากันหลังแต่งงานนั้นเป็นสิ่งสำคัญเป็นอย่างมาก เพราะการแต่งงานคือการตกลงใช้ชีวิตร่วมกันของคนสองคน ซึ่งอาจจะต้องเสียสละบางอย่างไม่ว่าจะเป็นเวลา ความชอบส่วนตัว แต่ถ้าหากยังทำทุกอย่างเหมือนเดิมโดยไม่มีการปรับเข้ากัน ก็อาจจะทำให้เกิดปัญหาในชีวิตคู่ได้

การปรับตัวทำได้ด้วยการเปิดใจรับฟัง เป็นการทำความรู้จักและเรียนรู้อีกฝ่ายไปพร้อมๆ กัน หากพยายามปรับตัวเข้าหากันด้วยการมองว่าเหตุผลของใครดีกว่ากัน โดยไม่มีความเข้าใจกันก็ไม่ใช่ลักษณะของคนที่รักกันที่จะอยู่ร่วมกัน

การเปิดใจเข้าหาอีกฝ่ายนั้น ยังรวมถึงการทำความเข้าใจความแตกต่างของกันและกัน ไม่ว่าจะเป็นวัฒนธรรม ครอบครัว หรือตัวตนที่ไม่เหมือนกัน เรียนรู้ที่จะยอมรับอีกฝ่าย พร้อมที่จะปรับตัวเข้าหาอีกฝ่ายหนึ่ง

การเรียนรู้และเปิดใจเข้าหากันจะต้องทำทั้งสองฝ่าย หากทำอยู่ฝ่ายเดียวจะทำให้ชีวิตคู่นั้นขาดสมดุลและเกิดปัญหาขึ้นในที่สุด ซึ่งการปรับตัวเข้าหากันนี้ควรทำด้วยความเต็มใจ บอกสิ่งที่ต้องการให้อีกฝ่ายฟัง แต่จะทำได้แค่ไหนนั้นเป็นอีกประเด็นหนึ่ง

ปรับตัวหลังแต่งงาน

การมองเห็นส่วนที่อีกฝ่ายพยายามทำให้เรามากกว่าสิ่งที่เขาทำไม่ได้ หรือไม่ได้ทำ จะช่วยให้ความรักยืนยาวขึ้นและเป็นแรงกระตุ้นทำให้เขาอยากทำอีก ในทางกลับกันหากเรามัวแต่คิดถึงสิ่งที่ทำไม่ได้ ก็จะทำให้เรามีแต่ความทุกข์ ในขณะที่อีกฝ่ายก็จะรู้สึกว่าทำหรือไม่ทำก็มีค่าเท่ากัน และจะเลิกทำในที่สุด

สำหรับชีวิตคู่ หลายครั้งที่คู่แต่งงานใหม่ไม่ได้เตรียมใจเตรียมตัวพร้อมก่อนจะแต่งงาน ทำให้มีปัญหาต้องมาพบจิตแพทย์ โดยเฉพาะคนที่เข้าใจว่า “เดี๋ยวแต่งงานก็ดีเอง” “เดี๋ยวมีลูกก็ดีเอง” ก็มักจะต้องพบกับการผิดหวังเสมอ เพราะเป็นการคาดหวังอย่างเลื่อนลอย โดยปราศจากการยอมรับ และการปรับตัวเข้าหากัน

การที่เราจะอยู่ร่วมกันหลังแต่งงานได้อย่างดีนั้น การมองค่าของความต้องการของอีกฝ่ายหนึ่งและพร้อมที่จะปรับตัวเข้าหากัน เป็นสิ่งที่จำเป็นอย่างยิ่ง ต้องคิดเสมอว่า การที่เรามองแตกต่างนั้น ไม่ได้แปลว่าใครถูกหรือผิด มันอาจจะเป็นเพียงการมองกันคนละด้าน และความขัดแย้งก็ไม่ได้หมายถึงปัญหาเสมอไป การที่เราสามารถแลกเปลี่ยนความคิดและความรู้สึกกับอีกฝ่ายหนึ่งได้ และพร้อมที่จะพัฒนาความเป็น “เรา” ไปด้วยกัน จะทำให้ชีวิตคู่ยั่งยืนขึ้น หรือหากไม่แน่ใจว่าพร้อมจะแต่งงานแล้วจริงๆ ก็มีวิธีที่ทำให้เช็คได้จากความรู้สึกเหมือนกัน

เรื่อง แพทย์หญิงวนัทดา ถมค้าพาณิชย์ จิตแพทย์ โรงพยาบาลมนารมย์

ภาพ Pixabay

ขบวนขันหมากงานแต่งตามแบบไทยแท้ต้องจัดอย่างไร … มาดูกัน

อยากจัด ขบวนขันหมากงานแต่ง ให้ถูกตามแบบไทยแท้ ไม่ยากอย่างที่คิดหรอกนะ

ในขบวนขันหมากแต่งที่เจ้าบ่าวจะเคลื่อนขบวนมายังบ้านเจ้าสาว พร้อมเสียง โห่ ฮิ้ววววววว แสนคึกคัก ที่มีองค์ประกอบและรายละเอียดที่ต้องแจกแจงมากมาย และนี่คือ ขบวนขันหมากงานแต่ง ตามแบบไทยแท้ จะมีอะไรบ้าง และบ่าวสาวจะสามารถทำตามได้หรือไม่ ไปหาคำตอบกันค่ะ

 

ขันหมากเอก

ประกอบด้วยขันหมากที่บรรจุหมาก 4 ผล พลู 4 เรียง และขันที่รองใบเงิน ใบทอง ใบนาก บรรจุสินสอดหรือเงินทุนพร้อมกับถั่วเขียว, ข้าวเปลือก, ข้าวตอก, งาดำ ที่บรรจุแยกเป็นถุงเล็กๆ เช่นเดียวกับ ขันหมากหมั้น (หรือจะรวมทั้ง 2 ขันเป็นขันเดียวกันก็ได้)

ขบวนขันหมากงานแต่ง
ขันหมากเอกใน ขบวนขันหมากงานแต่ง

พานผ้าไหว้ 3 สำรับ

เพื่อใช้ไหว้ผู้ใหญ่ฝ่ายหญิง สำรับแรกเรียกว่าผ้าสรวง เป็นผ้าขาวสำหรับนุ่ง 1 ผืนและห่ม 1 ผืน และธูปเทียนสำหรับไหว้ เพื่อใช้ไหว้ปู่ย่าตายายที่ล่วงลับของเจ้าสาว ส่วนอีก 2 สำรับจัดเสื้อผ้าสำหรับพ่อตาและแม่ยาย แต่ละสำรับผูกด้วยริบบิ้นหรือปิดด้วยกระดาษสีแดง หรือจะตกแต่งด้วยดอกไม้แบบไทยก็ได้เช่นกัน

เตียบเครื่องคาวหวาน

เตียบ คือภาชนะคล้ายพานแต่ก้นลึกกว่า และมีฝาครอบที่มีลักษณะคล้ายกรวย ใช้สำหรับใส่อาหาร แต่หากหาไม่ได้ สามารถจัดใส่พานหรือถาดและใช้ผ้าคลุมแทนก็ได้ ตามธรรมเนียมต้องจัดเตรียมไว้ 4 เตียบ

เตียบที่ 1 ใส่เหล้า 1 ขวด

เตียบที่ 2 ใส่ไก่ย่าง 1 ตัว

เตียบที่ 3 ใส่เส้นขนมจีน (บางแห่งก็ใส่น้ำยาและห่อหมกปลาไปด้วย)

เตียบที่ 4 ใส่กล้วย 1 ใบ ส้ม 1 ลูก มะพร้าวอ่อน 1 ลูก และขนมหวานต่างๆ เช่น ขนมชั้น ขนมต้มขาว ขนมต้มแดง หรือข้าวเหนียวหัวหงอก (ข้าวเหนียวโรยหน้าด้วยมะพร้าวขูด)

ซึ่งในแต่ละท้องถิ่น ธรรมเนียมการจัดเตียบอาจจะแตกต่างไปจากนี้ หากญาติผู้ใหญ่แนะนำอย่างไร ก็จัดตามคำที่สืบต่อกันมา

ขันหมากโท

ประกอบด้วยขนมและผลไม้ต่างๆ ใส่พานหรือถาด และมีธงกระดาษสีแดงปักตรงกลาง จำนวนถาดไม่จำกัด ได้ตั้งแต่ 10 ไปจนถึง 100 ถาดก็ได้ โดยมักจะกำหนดเป็นจำนวนคู่ ชนิดของขนมและผลไม้ในขันหมากโทไม่มีธรรมเนียมตายตัว แต่มักจะเลือกสิ่งที่เป็นมงคล เช่น ขนมหวานจำพวกทองหยิบ, ทองหยอด, ฝอยทอง, ทองเอก, จ่ามงกุฎ, ขนมชั้น ซึ่งมีความหมายดี หรือผลไม้จำพวกส้ม มะพร้าวอ่อน กล้วย ทั้งผลไม้และขนมในแต่ละถาดก็ต้องจัดเป็นจำนวนคู่ด้วยเช่นกัน และอาจจะมีต้นอ้อย หรือหน่อกล้วยอย่างละคู่ เพื่อนำไปปลูกยังเรือนหอ เพื่อให้ชีวิตคู่งอกงามและมีลูกหลานสืบสกุล

ขบวนขันหมากงานแต่ง
ขันหมากโทใน ขบวนขันหมาก

ปัจจุบันพานผ้าไหว้ และเตียบเครื่องคาวหวานอาจจะถูกตัดออกไป คงเหลือไว้เพียงแค่ขันหมากเอก และขันหมากโท แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นทุกอย่างก็ขึ้นอยู่กับความเชื่อและธรรมเนียมของแต่ละบ้าน เอาเป็นว่าทำอะไรที่ผู้ใหญ่ท่านอยากให้ทำเพื่อความสบายใจของทุกฝ่ายเป็นดีที่สุดเนอะ

5 สุดยอดอาหารต้าน ผมร่วง ว่าที่เจ้าสาวควรหามาทานโดยด่วน

ปัญหา ผมร่วง ใครๆ ก็ไม่อยากเจอ ยิ่งเจ้าสาวที่เส้นผมต้องเจอสารเคมีอย่างหนักในวันงานด้วยแล้ว ควรจะหาวิธีดูแลเส้นผมแต่เนิ่นๆ จะดีที่สุด และอาหารการกินถือว่ามีส่วนสำคัญเป็นอย่างมาก แพรว wedding ขอแนะนำ สุดยอดอาหารต้านผมร่วง ที่ว่าที่เจ้าสาวควรรีบหามาทานกัน

ผู้หญิงมีปัญหา ผมร่วง และบางสาเหตุหลักๆ เป็นผลมาจากมลภาวะ และการดำเนินชีวิต ผมร่วงมีผลต่อจิตใจและการดำเนินชีวิตของผู้หญิงเป็นอย่างมาก  แต่ก็โชคดีที่ปัญหาผมร่วงในผู้หญิงมักแก้ไขได้ง่ายและผมมักกลับมาได้ไม่ยาก ถ้าแก้ไขปัญหาที่สาเหตุได้ทัน

ผู้หญิงก็มีโอกาส ผมบาง หรือ ล้าน เฉพาะตรงบริเวณกลางศีรษะ ส่วนแนวผมด้านหน้ายังคงดีอยู่ไม่ถอยร่นเข้าไปเหมือนในผู้ชาย แต่บางคนอาจมีศีรษะเถิกแบบผู้ชาย สาเหตุมาจากมีฮอร์โมนเพศชายมาก ทำให้มีศีรษะล้านแบบชายได้

สาเหตุอื่นๆ ที่ทำให้ผมร่วง มักเกิดจากการเจ็บป่วย และเป็นโรคบางชนิด เช่น โรคผมร่วงชนิดเป็นหย่อม โรคของต่อมไทรอยด์เป็นพิษ ( Toxic goiter ) ต่อมไทรอยด์ทำงานน้อย ( Hypothyroidism ) โรคโลหิตจาง โรคมะเร็งรังไข่ที่ผลิตฮอร์โมนเพศชาย โรคเอสเเอลอี โรคไข้ไทฟอยด์ โรคซิฟิลิส โรคเบาหวาน การเจ็บป่วยเรื้อรัง หรืออาจเกิดจากยาบางชนิด เช่น ยาเคมีบำบัดเพื่อรักษามะเร็ง

นอกจากนี้ยังอาจเกิดจากการอดอาหารมาก ๆ เพื่อลดน้ำหนัก ความเครียด โรคผิวหนังบางชนิด และโรคจิตที่ชอบถอนผมตัวเอง ( Trichotillomania )

5 อาหารชนิดนี้จะช่วยเยียวยาปัญหาผมร่วงได้ ถ้าทานเป็นประจำ

1. ไข่

มีไบโอตินซึ่งเป็นส่วนสำคัญที่ทำให้เส้นผมมีสุขภาพดี

2. แครอต

มีวิตามินบีสูง ช่วยในการเจริญเติบโตของเส้นผม

3. งาดำ

มีแคลเซียมและสารเซซาโมลิน ช่วยให้เส้นผมดกดำ และรากผมแข็งแรง

 

4. นม โยเกิร์ต

มีวิตามินบี 2 และแคลเซียม ช่วยให้เส้นผมงอกเร็วขึ้นและลดการเกิดรังแค

ผมร่วง

 

5. ฟักทอง

มีวิตามินหลายชนิดที่ช่วยบำรุงหนังศรีษะให้มีสุขภาพดี

ผมร่วง

รู้อย่างนี้แล้ว รีบหาอาหารเหล่านี้มาทานกันนะคะ เพื่อผมแข็งแรงไม่หลุดร่วงง่าย ทำผมทรงไหนก็สวย ^^

>> อ่านเรื่องราวเกี่ยวกับความสวยความงาม และสุขภาพเจ้าสาวเพิ่มเติม คลิกเลย <<

ภาพ  pinterest

เคลียร์ปัญหาเขยฝรั่ง พิธีแต่งงานไทยเต็มไปด้วยอะไรที่ I ไม่เข้าใจสักนิด?!

สะใภ้สายฝอ. ต้องเคลียร์ หาก เขยฝรั่ง ไม่เก็ตพิธีแต่งงานไทย

แพรว wedding ขอเอาใจสาวไทยหัวใจอินเตอร์ที่กำลังจะควงแขนแฟนต่างชาติเข้าพิธีวิวาห์ แต่ติดปัญหาเรื่องความแตกต่างทางวัฒนธรรมที่ทำยังไง้ยังไงว่าที่ เขยฝรั่ง ก็ไม่เข้าใจว่า “ทำไมต้องจ่ายค่าสินสอด” “ทำไมต้องแห่ขันหมาก” และอีกหลายๆ “ทำไม…” ที่คุณก็ไม่รู้จะตอบยังไงให้ he เก็ต เราจึงขอไขข้อข้องใจบรรดาหนุ่มๆ ตาน้ำข้าว ด้วยคำตอบเหล่านี้ที่เราเตรียมมาให้ว่าที่เจ้าสาวสายฝอไปบอกเขยฝรั่งของครอบครัวให้เขาเข้าใจ รับรองว่าจะหมดปัญหาเป็นเจ้าบ่าวจำไมแน่นอน

สินสอดคืออะไร? นี่ไอกำลังจะจ่ายเงินซื้อ you เหรอ!!

เรื่องนี้คือปัญหาใหญ่สุด เพราะหากไปเจอเขยฝรั่งบางคนที่ไม่ยอมเข้าใจว่าต้องจ่ายเงินซื้อผู้หญิงไปทำไมกัน แล้วถ้ายิ่งอธิบาย หรือหาคำตอบที่ชัดเจนไม่ได้ เรื่องยาวไปอีก เพราะฉะนั้นถ้าสาวๆ เจอคำถามนี้ อันดับแรกตั้งสติและทำความเข้าใจว่า นี่คือความแตกต่างทางด้านวัฒนธรรม ชาวต่างชาติส่วนใหญ่ยืนด้วยลำแข้งตัวเองมาตั้งแต่เด็ก พอแก่ตัวก็มีรัฐสวัสดิการดูแล ไม่ได้มีลูกหลานคอยเลี้ยงดูเหมือนคนไทย ดังนั้นเขาจึงไม่เข้าใจว่าค่าสินสอดและค่าน้ำนมคืออะไร ทำไมต้องจ่ายเงินให้พ่อแม่ของเจ้าสาวเพื่อที่จะได้แต่งงานเหมือนกับว่าเจ้าสาวเป็นสินค้า เมื่อว่าที่เจ้าสาวทำความเข้าใจข้อนี้ได้แล้ว ก็ค่อยๆ อธิบายให้เขาฟังอย่างใจเย็น ตามนี้นะคะ

ค่าสินสอดเป็นธรรมเนียมที่มีมาแต่โบราณ เพราะสมัยก่อนคนไทยไม่ได้มีการคบหาดูใจกันนานๆ ก่อนแต่งเหมือนสมัยนี้ บางคู่แต่งงานกันโดยการแนะนำกันของแม่สื่อ บางคู่พ่อแม่จับคลุมถุงชน จึงต้องมีการเตรียมสินสอดเพื่อเป็นหลักประกันว่าฝ่ายชายมีฐานะที่พอจะเลี้ยงดูลูกสาวสุดที่รักให้ไม่ลำบาก หรือถ้าเป็นคู่ที่รู้จักหน้าค่าตากันอยู่แล้ว การที่ฝ่ายชายมีความพยายามในการหาสินสอดมาสู่ขอ ก็ทำให้พ่อแม่พอจะเบาใจว่ารักลูกสาวเราจริงและขยันขันแข็งทำมาหากิน จะไม่พากันไปอดมื้อกินมื้อ

เขยฝรั่ง

แล้วสินสอดเนี่ยไอต้องเตรียมเท่าไหร่?

เรื่องจำนวนสินสอดไม่มีกำหนดตายตัว ขึ้นอยู่กับทางพ่อแม่ฝ่ายหญิงจะเรียกร้อง ซึ่งต้องเข้าใจว่าทัศนคติของแต่ละครอบครัวนั้นต่างกัน บางครอบครัวที่หัวสมัยหน่อยอาจจะเรียกพอเป็นพิธี บางบ้านก็แล้วแต่ฝ่ายชายจะจัดหามาพอสมควร บางบ้านอาจขอแหวนหมั้นวงเดียวหรือไม่เรียกสินสอดเลย หรือบางบ้านไม่ขออะไรขอแค่เจ้าบ่าวอย่าหนีงานแต่งเป็นพอ!!

ขณะที่บางครอบครัวก็อาจจะเรียกเยอะ ซึ่งส่วนใหญ่มาจาก 2 กรณีคือฝ่ายหญิงมาจากครอบครัวที่มีฐานะดี เมื่อลูกสาวจะแต่งงานก็อยากให้ดูสมฐานะ และมองว่าเงินก้อนนั้นไม่มากเกิน หรือบางครอบครัวอาจจะมีความคิดผิดๆ ที่ว่าเป็นชาวต่างชาติคงจะร่ำรวยและมีเงินเยอะแน่ๆ ดังนั้นถ้าแฟนคุณไม่ได้มีเงินถุงเงินถัง ก็ควรบอกพ่อแม่ไปตรงๆ ตั้งแต่แรกนะจ๊ะ พวกท่านจะได้ไม่คาดหวังจนเรียกสินสอดแพงลิ่ว

แต่ปัจจุบันนี้พ่อแม่ส่วนมากนิยมคืนสินสอดกลับมาตอนรับไหว้เพื่อให้ลูกสาวและลูกเขยได้นำไปตั้งตัว หากคุยกับพ่อแม่แล้วท่านบอกว่าจะคืนสินสอดให้แน่ๆ ไม่ว่าจะทั้งหมดหรือบาวส่วน คุณควรบอกแฟนให้สบายใจว่าเงินสินสอดที่หามาให้นั้น ท่านจะคืนกลับมาให้คุณทั้งคู่ เพื่อที่ he จะได้สบายใจมากขึ้น

จ่ายค่าสินสอดแล้ว แล้วค่าน้ำนมคืออะไร ไอไม่เข้าใจ ต้องจ่ายอีกเหรอ?

บางบ้านอาจมีการเรียกค่าน้ำนมแยกต่างหาก คุณต้องอธิบายให้แฟนเข้าใจว่าเมืองไทยไม่ได้มีรัฐสวัสดิการเหมือนต่างประเทศ พ่อแม่สู้อุตส่าห์เลี้ยงดูและให้การศึกษาคุณมาอย่างดีตั้งแต่เล็กจนโต หากคุณจะแต่งงานและย้ายไปอยู่ต่างประเทศถาวร การมอบเงินทองไว้ให้ท่านใช้ยามชราก็ถือเป็นการแสดงน้ำใจและแสดงความกตัญญู ทดแทนกับการที่คุณจะไม่ได้อยู่ปรนนิบัติดูแลท่านเหมือนลูกคนอื่น ส่วนจะให้เท่าไหร่นั้นก็ตามแต่จะเรียกร้องและต่อรองกัน หรือบางคู่ใช้วิธีหักจากค่าสินสอดก็มี

ค่าผ่านประตูเงินประตูทอง เจอแบบนี้ไอยิ่งงงเข้าไปอีก!!

ข้อนี้แถมให้ขำๆ สำหรับเจ้าบ่าวขี้สงสัยว่ากว่าจะถึงตัวเจ้าสาวได้ทำไมยากเย็นเหลือเกิน แถมยังต้องจ่ายค่าผ่านประตูเงินประตูทองให้เพื่อนๆ ตั้งหลายด่าน บอกเขาไปเลยค่ะว่านี่เป็นประเพณีสนุกๆ อย่างหนึ่งที่จะให้เจ้าบ่าวได้ฝ่าฟันก่อนเข้าไปรับตัวเจ้าสาว ทำนองว่าเจ้าสาวเนี่ย สวย เลอค่าเหลือเกิน แต่ถ้าเป็นสมัยก่อนก็ถือเป็นการทำความคุ้นเคยกับญาติๆ และเพื่อนๆ ของฝ่ายหญิงไปในตัว เพราะบางคนอาจไม่เคยเห็นหน้าค่าตากันมาก่อนเลย แล้วอย่าลืมบอก he นะว่า ซองที่จะให้คนกั้นประตูหน่ะก็ไม่ได้มากมายอะไร ซองละ 100-200 บาทเท่านั้นเอ๊งงงง

ทำไมคนไทยแต่งงานแขกถึงได้เยอะขนาดนี้?

นี่เป็นอีกหนึ่งปัญหาที่เขยชาวตะวันตกมักงงเป็นไก่ตาแตกเมื่อเห็นลิสต์รายชื่อแขกฝั่งเจ้าสาว ทั้งนี้ก็เพราะตามธรรมเนียมของชาวตะวันตกจะเชิญเฉพาะญาติและเพื่อนสนิทมางานเท่านั้น ดังนั้นคุณต้องอธิบายเขาว่า การแต่งงานสำหรับคนไทยไม่ใช่เรื่องของคนสองคน แต่เป็นเรื่องของสองครอบครัว การแต่งงานของลูกคือความภาคภูมิใจและเป็นหน้าเป็นตาของพ่อแม่ อาจอธิบายเพิ่มไปอีกนิดว่าคนไทยค่อนข้างจะแคร์สายตาของคนรอบข้าง ซึ่งเป็นลักษณะนิสัยประจำชาติอย่างหนึ่ง

และตามปกติแล้วนอกจากแขกของบ่าวสาว ยังต้องเชิญแขกของพ่อแม่และคู่ค้าทางธุรกิจด้วย โดยเฉพาะในแวดวงข้าราชการ ไม่ว่าจะตัวเราหรือพ่อแม่ที่รับราชการถ้าเชิญนายมาไม่ครบ หรือเชิญเพื่อนมาไม่พร้อมหน้า อาจดูเสียมารยาทและเกิดการขัดเคืองใจกันได้ ส่วนในวงการธุรกิจ การเชิญคู่ค้ามาร่วมงานก็ถือเป็นการสร้างคอนเน็กชั่นอย่างหนึ่ง และเพื่อให้ he สบายใจไร้กังวลก็บอกไปเลยว่า แขกที่เชิญมางานทุกคนจะใส่ซองช่วยงานกลับมาด้วย เพราะฉะนั้นถ้านำมาคำนวณค่าใช้จ่ายในการจัดเลี้ยงที่เมืองไทยซึ่งไม่ได้แพงหูฉี่เหมือนเมืองนอก บวกลบออกมาแล้วก็อาจจะไม่ได้เข้าเนื้อจนถึงขั้นล้มละลาย ขอหมายเหตุตัวโตๆ ไว้ว่า ถ้าคุณไม่ได้จัดงานเว่อร์เกินฐานะ

ขันหมากคืออะไร? ทำไมต้องทำเสียงดังไปทั้งซอย!!

เรื่องนี้เคลียร์ง่ายกว่าเรื่องเงินและเรื่องแขกเยอะ เพราะชาวต่างชาติส่วนใหญ่ชื่นชอบวัฒนธรรมไทยอยู่แล้ว แค่อาจจะรู้สึกเขินๆ ปนไม่เข้าใจว่าทำไมต้องโห่ร้องเสียงดังจนทำให้คนหันมามองขนาดนี้ ก็บอกเขาไปตรงๆ เลยว่า การแต่งงานถือเป็นข่าวดีที่ต้องประกาศให้โลกรู้ว่าลูกสาวบ้านนี้ขายออกแล้วจ้า ไม่ได้หนีตามกันไปนะจ๊ะ และในเมื่อเป็นงานมงคลก็ต้องมีขบวนกลองยาวสร้างความครึกครื้นกันหน่อย อีกอย่างชาวบ้านจะได้เห็นหน้าค่าตาเขยบ้านนี้ในฐานะสมาชิกใหม่ของชุมชนอีกด้วย สุดท้ายบอกเขาไปว่า ไม่ต้องเขิน แล้วมาสนุกกันดีกว่า

เคลียร์ให้ชัดทุกประเด็นขนาดนี้แล้ว รับรองว่าจากอาการคิ้วขมวดไม่เข้าใจจะกลายเป็นรอยยิ้มบนใบหน้าใสๆ ของว่าที่เขยต่างชาติสมาชิกคนใหม่ของครอบครัวคุณแน่นอน

แจกจ้า!! สคริปต์พิธีการแต่งงานไทยในช่วงต่างๆ แบบ 2 ภาษา
พิธีสงฆ์
พิธีรดน้ำสังข์

พิธีล้างเท้าเจ้าบ่าว
พิธีไหว้ผู้ใหญ่
พิธีแห่ขันหมาก
เจรจา สู่ขอ นับสินสอด และสวมแหวน
พิธีปูเตียงเรียงหมอน

ภาพประกอบงานแต่งงานคุณเพชร & คุณเจอโรม @ The House on Sathorn ถ่ายโดย Good Bless U Team 

ทรงผมเจ้าสาวชุดไทย รูปหน้าแบบนี้ทำทรงแบบไหนแล้วจะรอด

ทรงผมเจ้าสาวชุดไทย เลือกยากไม่แพ้กับชุดไทยเลยใช่ไหมคะ เพราะด้วยรูปแบบชุดที่ดูไท๊ยไทย ถ้าเลือกทรงผมผิดจากเจ้าสาวอาจกลายเป็นนางรำ แล้วถ้ามิหนำซ้ำเลือกทรงผมไม่เข้ากับรูปหน้าอีกก็คงจะไปกันใหญ่ แพรว wedding เลยมาบอกเคล็ดลับการเลือกทรงผมให้เข้ากับรูปหน้า พร้อมทรงผมสวยๆ จากดารานักแสดงเหล่านี้ให้สาวๆ ได้นำไปเป็นเรฟเฟอร์เรนซ์ให้กับช่างแต่งหน้าทำผมของตัวเองในวันแต่งงานได้เลย

หน้ารูปไข่

หากคุณคือสาวหน้ารูปไข่ เลดี้ขอแสดงความยินดีด้วยจ้า เพราะสามารถทำผมได้ทุกทรงตามที่ใจปรารถนา แต่ถ้าจะให้เป๊ะคะแนนเต็มร้อยละก็ ขอแนะนำให้เกล้าผมมวยต่ำ เพื่อโชว์ใบหน้าสวยๆ รับรองเริ่ด! แต่ทั้งนี้อย่าได้คิดที่จะตีโป่งยกสูงหรือปล่อยปอยผมเป็นอันขาด เพราจะทำให้หน้าดูยาวเชียวล่ะ

ทรงผมเจ้าสาวชุดไทย

ทรงผมเจ้าสาวชุดไทย

 

หน้ากลม

สาวหน้ากลมอย่าได้แคร์สื่อกับความแป้นของหน้า เพราะรูปหน้าแบบนี้จะช่วยให้ดูอ่อนเยาว์และสดใสกว่ารูปหน้าอื่นๆ สำหรับทรงผมเจ้าสาวที่เหมาะกับคุณคือ ผมเกล้าสูงปัดแสกข้างแล้วปล่อยให้ผมลงมาปิดช่วงข้างแก้มจะช่วยทำให้รูปหน้าดูยาวยิ่งขึ้น แต่ห้ามเกล้าสูงและพองใหญ่จนเกินไป เพราะจะยิ่งทำให้หน้าบานเป็นจานดาวเทียม

ทรงผมเจ้าสาวชุดไทย

ทรงผมเจ้าสาวชุดไทย

 

หน้าเหลี่ยม

สาวๆ คนไหนที่มีช่วงเหลี่ยมกรามชัดเจนเหมาะกับการเกล้าผมสูงแล้วทิ้งปลายผมให้ยาวประมาณหัวไหล่ หรือใช้การดัดลอนใหญ่เพิ่มความหวานให้ใบหน้า แล้วปล่อยผมด้านหลัง แต่หากใครที่มีกรามใหญ่มากๆ ควรปล่อยให้มีปอยผมปิดช่วงกราม สามารถช่วยเพิ่มความยาวให้หน้าได้ ทั้งนี้สาวๆ ที่ผมสั้นควรไว้ผมเสียแต่เนิ่นๆ เพราะผมยาวสามารถทำทรงได้มากกว่านะจ๊ะ

ทรงผมเจ้าสาวชุดไทย

ทรงผมเจ้าสาวชุดไทย

 

หน้ายาว

สำหรับสาวๆ ที่มีรูปหน้ายาว ควรทำผมที่ช่วยเสริมให้หน้าดูกว้างและสั้นลงอย่างการเกล้ามวยต่ำ ปาดเฉียงหรือแสกกลางผมด้านหน้า เพื่อเพิ่มความสมดุลให้กับรูปหน้า และถ้ามีโหนกแก้มหรือกรามใหญ่ เพิ่มการใช้ลูกผมมาช่วยปิด ก็สามารถลดความคมชัดลงได้

ทรงผมเจ้าสาวชุดไทย

ทรงผมเจ้าสาวชุดไทย

 

หน้ารูปเพชร

จุดเด่นของสาวหน้ารูปเพชรคือ จะมีช่วงโหนกแก้มที่ชัดเจน เลดี้แนะนำให้ทำผมที่เปิดโชว์หน้าไปเลย และขอห้ามแบบเด็ดขาดว่าอย่าปล่อยปอยผมมาปิดโหนกแก้มทั้งสองเป็นอันขาด เพราะจะทำให้หน้าดูตอบและเล็กแคบ ไม่งามอย่างยิ่ง

ทรงผมเจ้าสาวชุดไทย

 

หน้ารูปหัวใจ

ด้วยความที่สาวหน้ารูปหัวใจมีช่วงหน้าผากและกรามกว้างกว่าคาง ขอให้ทำผมข้างหน้าแบบปัดข้าง เน้น! ว่าต้องปัดข้างเท่านั้น และเพิ่มวอลุ่มให้ผมด้วยการดัดลอนแล้วเกล้าต่ำแบบหลวมๆ ดูพริ้วไหว จะช่วยพลางให้ใบหน้าคุณสาวๆ ดูเรียวยาวยิ่งขึ้นนั่นเองจ้า

 

หน้าผากกว้าง

แถมด้วยสาวๆ หน้าผากกว้าง แน่นอนว่าทุกคนจะต้องทำทรงที่มีผมปิดหน้าผากแน่นอน ไม่ใช่แค่สักแต่เอาผมมาปิดอย่างเดียวนะจ๊ะ สาวๆ จะต้องทำเป็นเคิร์ฟลงมาปิดซักเล็กน้อย ทั้งนี้ก็อย่าได้ทำซะเรียบแป้ไปล่ะ แต่ควรทำเป็นลอนเปียก เพราะไม่อย่างนั้นหน้าผากของคุณจากที่จะดูแคบเล็กจะกลับกลายเป็นกว้างกว่าเดิมได้

>> เลือกทรงผมได้แล้ว ก็ไปเลือกชุดแต่งงานไทยและชุดแต่งงานสากลสวยๆ ได้ที่นี่อีกเพียบ คลิกเลย! <<

เรื่องเงินต้องพูด “งานไหนใครจ่าย” ในงานแต่งงานของสองเรา

เรามักจะเน้นเรื่องเงินๆ ทองๆ สำหรับคู่รักอยู่หลายครั้ง เพราะเห็นมาหลายคู่แล้วที่รักกัน แต่พอจะจัด งานแต่งงาน ที่ต้องใช้เงินเยอะกลับเคลียร์เรื่องนี้ไม่ลงตัวจนถึงขั้นเลิกรา ถ้าว่าที่สามีของใครเป็นพ่อบุญทุ่มออกให้ทุกบาททุกสตางค์ก็อย่าไปปฏิเสธเขานะคะ (ดีจะตาย!)

แบ่งให้ดี เคลียร์ให้ลงตัว งานแต่งงาน ของเราใครจะจ่ายส่วนไหนบ้าง

Photo by Karolina Grabowska from Pexels

ส่วนใครที่ไม่ได้โชคดีขนาดนั้นก็มักจะใช้วิธี “แบ่งกันจ่าย” ซึ่งมักจะเกิดปัญหาแบ่งกันไม่ลงตัว ไม่รู้ว่าใครควรจะจ่ายส่วนไหน แพรว wedding เลยนำเทคนิคการแบ่งความรับผิดชอบจากประสบการณ์ของบ่าวสาวหลายคู่ที่บอกว่า แบ่งกันแบบนี้ไร้ปัญหากวนใจ เวิร์กสุดๆ!

1. ตกลงกันก่อนว่าจะจัดกี่วัน จัดกี่พิธี แล้วใครจ่ายเงินพิธีไหน?

เรื่องนี้เราอยากให้ว่าที่บ่าวสาวคุยกันตั้งแต่ต้นค่ะ เพราะเราจะได้รู้ว่าต้องใช้งบประมาณเท่าไหร่ จ่ายไปกับส่วนไหนบ้าง อีกทั้งยังเหมาะกับทุกคู่รัก ทุกชาติ ทุกศาสนา ยกตัวอย่างง่ายๆ ถ้าคุณเป็นคู่รักที่นับถือศาสนาเดียวกัน อาจเลือกจัดพิธีทางศาสนา 1 พิธี แล้วตามด้วยพิธีฉลองมงคลสมรสอีก 1 พิธี คราวนี้ก็ตกลงกันไปเลยว่าใครจะรับผิดชอบค่าใช้จ่ายในพิธีไหน แบบนี้เป็นต้น

สำหรับคู่รักต่างศาสนาก็ไม่ยากอะไรค่ะ ส่วนใหญ่ที่เราพบเจอมาเขาจะแบ่งกันแบบนี้คือ พิธีทางศาสนาของใครคนนั้นก็รับผิดชอบไป ส่วนพิธีฉลองมงคลสมรสก็แล้วแต่ว่าเจ้าบ่าวจะใจป้ำออกหมด มีคุณพ่อคุณแม่เป็นสปอนเซอร์ หรือจะช่วยกันจ่ายคนละครึ่งแบบนี้ก็แฟร์ๆ ดีค่ะ

2. ตัดสินยังไงว่าใครจะจ่ายส่วนไหนบ้าง?

อย่างที่เราบอกไปข้างต้นว่า “แบ่งรับผิดชอบกันคนละพิธี” แบบนี้ก็ง่าย แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นยังมีรายละเอียดยิบย่อยที่ต้องพิจารณากันอีกว่า อันนี้ใครจะจ่าย เพื่อไม่ให้สับสนเราเลยลิสต์มาให้ดูเป็นข้อๆ เลยจ้า

2.1 แบ่งกันจ่ายตามประเพณี

ส่วนใหญ่แล้วพิธียกขันหมากตามประเพณีไทยหรือแม้แต่พิธียกน้ำชาแบบจีนมักจะให้ความสำคัญกับฝ่ายหญิงและจัดขึ้นที่บ้านของฝ่ายหญิง ซี่งทางเจ้าสาวก็จะรับผิดชอบค่าใช้จ่ายในเรื่องการจัดตกแต่งสถานที่รับขันหมากและเรื่องอาหารเลี้ยงแขกหลังเสร็จพิธี ส่วนสินสอดทองหมั้นและของในขบวนขันหมาก แน่นอนว่าฝ่ายชายรับไปนะจ๊ะ

2.2 เสื้อผ้า หน้าผม จ่ายใครจ่ายมัน

เรื่องนี้บอกคงต้องบอกว่า “ดูแลตัวเอง” กันนะคะ เจ้าสาวอยากใส่ชุดไหน ใส่กี่ชุด เชื่อมือช่างแต่งหน้าทำผมคนไหนก็ลงทุนออกเงินเองเลยค่ะ เจ้าบ่าวก็เช่นกันนะ อยากหล่ออยากเท่ยังไงก็จ่ายตังค์เอง อาจจะโชคดีหน่อยถ้าคุณรู้จักมองหาโปรโมชั่นควบสอง อย่างเช่น ซื้อชุดเจ้าสาวแถมชุดเจ้าบ่าว แถมช่างแต่งหน้าทำผมแบบ one stop service อย่างนี้จะหารกันจ่ายก็ได้นะ

2.3 การ์ดและของชำร่วย

ถึงแม้จะเป็นเรื่องเล็กๆ น้อยๆ แต่ก็ต้องตกลงกันให้ดีค่ะ หลายคู่ใช้วิธีแบ่งจ่ายตามจำนวนแขกฝั่งตัวเองแล้วสบายใจก็ทำได้ หรือจะอเมริกันแชร์คนละครึ่งไม่แบ่งแขกฉันแขกเธอแบบนี้ก็เริดอยู่ คนส่วนใหญ่ก็ทำอย่างนี้แหละ หรือถ้าจะให้แอดวานซ์หน่อยก็แบ่งกันไปเลยว่า การ์ดและของชำร่วยงานเช้าเธอจ่าย ส่วนงานเย็นฉันจ่าย จะเลือกแบบไหนก็ตกลงกันให้ดี เอาที่สบายใจทั้งคู่แล้วกันเนอะ

การแต่งงานเป็นอีกหนึ่งอีเวนท์สำคัญในชีวิต ไม่แปลกอะไรที่จะต้องใช้จ่ายเงินมากเป็นพิเศษ แต่ถ้าไม่ได้โชคดีมีพ่อบุญทุ่มแม่บุญทุ่มออกค่าใช้จ่ายให้ครบเสร็จสรรพ ว่าที่บ่าวสาวทั้งหลายคงต้องชัดเจนในเรื่องการแบ่งจ่ายใช้งบประมาณกันสักนิด ป้องกันการสับสนและปัญหาที่จะตามมาในอนาคตนะ

ถ้าแบ่งค่าใช้จ่ายกันเรียบร้อยลงตัว อีกหนึ่งสเต็ปที่บ่าวสาวต้องวางแผนก็คือการหาผู้ช่วยจัดงานอย่างเวดดิ้งแพลนเนอร์ เพราะฉะนั้นหากบ่าวสาวแน่ใจว่างานนี้ต้องใช้บริการผู้เชี่ยวชาญแน่ๆ ก็ต้องไปศึกษา >> 3 สเต็ปพิชิตงานแต่งงานในฝันก่อนไปหาเวดดิ้งแพลนเนอร์ << กันต่อเลย

ภาพ : www.time.com

ยิ่งทะเลาะกับแฟนความรักยิ่งสตรอง กับ 5 เหตุผลที่จะทำให้คุณรักกันมากขึ้น

แพรว wedding เชื่อว่าหลายคนมักจะคิดว่าการ ทะเลาะกับแฟน จะยิ่งทำให้ความสัมพันธ์แย่ลง และเป็นการสร้างรอยร้าวให้กับความรักและชีวิตคู่ แต่หารู้ไม่ว่าการทะเลาะกันเนี่ย ถ้าทะเลาะแบบพอดีๆ และมีสติ การทะเลาะนั้นก็ทำให้คุณทั้งคู่รักกันมากยิ่งขึ้นได้นะคะ ประมาณว่า ยิ่งทะเลาะยิ่งสตรอง ไงคะ นอกจากนี้ยังเสมือนเป็นฐานคอนกรีตที่จะทำให้ความสัมพันธ์ของคุณยิ่งเข้มแข็ง เอาเป็นว่าอ่านตรงนี้และมองโลกในแง่ดีเข้าไว้จากนั้นลองพิจารณาเรื่องเหล่านี้ให้ดี แล้วคุณจะรู้ว่าทะเลาะกันบ้างก็ไม่เห็นเป็นไร

1. การทะเลาะกันทำให้ได้นึกถึงใจเขาใจเรา

ทุกคนไม่เพอร์เฟ็คไปหมดจริงไหมคะ และก็คงไม่มีคู่รักคู่ไหนเข้าใจกันตลอดเวลาด้วย อยู่ที่ว่าคุณสองคนพยายามจะเข้าใจสิ่งเหล่านั้นมากน้อยแค่ไหนมากกว่า ฉะนั้นการทะเลาะกันทำให้เกิดการเรียนรู้ ปรับเปลี่ยน และแก้ไขอยู่เสมอ และแน่นอนว่า เมื่อคุณทะเลาะกันก็จะยิ่งเรียนรู้ชีวิตคู่ว่าต่างฝ่ายต่างคิดยังไงบ้าง

2. การทะเลาะกันทำให้ได้หันหน้าเข้าหากัน และช่วยกันหาวิธีแก้ไข

หลังจากวันที่เมาเละเทะ ช่วงนั้นของเดือน หรือแสนเหน็ดเหนื่อยจากงาน ลองตั้งข้อสังเกตดูว่าเพราะเหตุใด คุณจึงทะเลาะกันในช่วงนั้นมากกว่าปกติ ถ้ารู้แล้วก็จงหลีกเลี่ยงการปะทะคารมในช่วงนั้นๆ สิคะ หรือถ้าจะทะเลาะกันก็บอกเขาไปด้วยว่า มันเป็นเพราะสาเหตุนี้นะ หรือหากคุณสองคนเบื่อกับการต้องพูดแต่เรื่องเดิมๆ จนปากเปียกปากแฉะ คุณรู้ว่าปัญหานี้ต้องเกิดขึ้นอีกแน่นอนแล้วล่ะก็ คุณสองคนจะต้องช่วยกันคิดแก้ปัญหานั้นให้ได้อย่างเป็นระบบที่สุด เพื่อป้องกันไม่ให้ปํญหานั้นเกิดซ้ำซากอีกต่อไป

3. การทะเลาะทำให้คุณมั่นใจได้ว่า ที่ทะเลาะกันอยู่ไม่ใช่การทำลายความสัมพันธ์

อย่าได้ยอมแพ้และรู้สึกว่า ทะเลาะกันทีไรก็อยากเลิกกันทุกที ลองมองการทะเลาะกันให้เป็นเรื่อง “สร้างความเข้าใจ” กัน โดยแยกแยะให้ออกว่ามันคือการทะเลาะกันแบบทำร้ายกันหรือสร้างความเข้าใจให้กัน มองแบบนี้บ้าง การทะเลาะที่คิดว่าคือตัวบ่อนทำลายความสัมพันธ์จะเปลี่ยนไปค่ะ

4. การทะเลาะกันทำให้ได้ฝึกควบคุมสติ และเลือกใช้คำพูด

เมื่อคุณทั้งคู่ต่างมีอารมณ์ มันเป็นเรื่องที่ง่ายมากที่คุณจะเอาเรื่องราวทุกอย่างมาผสมปนเปเพื่อใช้เป็นถ้อยคำรุนแรงทำร้ายกัน เช่น  “เธอไม่เคย..”  หรือ “เธอเป็น…อย่างนี้เสมอ” ทั้งที่ปัญหาในการทะเลาะกันเป็นแค่เรื่องเล็กนิดเดียวเท่านั้น ขอให้โฟกัสเรื่องที่ทะเลาะกัน และบอกความต้องการแก่แฟนของคุณ แล้วสื่อสารกันให้เข้าใจ ด้วยภาษาแบบเดียวกับที่เราเองก็อยากได้ยิน แบบนี้เรียกวาทะเลาะแล้วยังได้สติไม่บ้าคลั่งจนเผลอพูดอะไรแย่ๆ ที่ต้องมานั่งเสียใจที่หลังออกไป

5. การทะเลาะทำให้ได้มีโอกาสทำเรื่องดีๆ ให้กัน

ทะเลาะแล้วจะทำให้ได้ทำเรื่องดีๆ ให้กันได้อย่างไรใช่ไหมคะ เชื่อเถอะค่ะว่า ในทุกครั้งที่คุณทะเลาะกัน ความรู้สึกผิดที่สำนึกได้หรือรู้ตัวว่าทะเลาะด้วยเรื่องไร้สาระหรืออะไรก็ตาม จะทำให้คุณยิ่งได้คิด และอยากจะปฎิบัติตัวดีต่อกันมากขึ้น ทั้งการให้ความเคารพ ให้ความซื่อสัตย์ ให้ความรัก ให้ความเอาใจใส่กับความรักในทุกๆ วัน เช่น โทรหา ทำกับข้าวให้กิน ซื้อขนมมาฝาก แม้จะไม่ใช่การทำดีแบบพลิกหน้ามือเป็นหลังมือ แต่การค่อยๆ เข้าใจกันจากข้า 1-4 ที่เราบอกไป จะกลายเป็นผลพวงของการทะเลาะที่เสมือนเป้็นจุดเริ่มต้นให้คุณได้ทำเรื่องดีๆ ให้กันมากขึ้นทุกวันไงคะ

>> อ่านเรื่องราวเกี่ยวกับความรักและความสัมพันธ์เพิ่มเติมได้ที่นี่ คลิกเลย! <<

ภาพ : www.girlsallaround.com

เคล็ดลับเมคอัพติดทนนานให้เจ้าสาวสวยเป๊ะในวันสำคัญ

ในพิธีแต่งงานแบบไทยในช่วงเช้าหรือพิธีฉลองมงคลสมรสในช่วงเย็นนั้นต่างก็กินเวลาที่ยาวนาน จนทำให้บางครั้งเมคอัพที่อุตส่าห์แต่งมาแบบจัดเต็มค่อยๆ ของเจ้าสาวค่อยๆ ลดเลือนทำให้เจ้าสาวเกิดความไม่มั่นใจ แพรว wedding เลยจัดเคล็ดลับ เมคอัพติดทนนาน มาฝาก รับรองว่าหากทำตามนี้ไม่ว่าพิธีการจะยืดยาวแค่ไหนเจ้าสาวก็มั่นใจได้หายห่วงแน่นอน 

1. สครับผิวหน้าก่อนถึงวันงาน 1 สัปดาห์

หากเจ้าสาวต้องการแต่งหน้าให้ดูสดใสเรียบเนียน สิ่งแรกที่จะต้องจัดการคือ การผลัดเซลล์ผิวโดยการขัดหน้า อาจใช้ครีมบำรุง หรือทำทรีตเมนต์เป็นประจำก็ได้ เพราะจะทำให้สาวๆ เผยผิวที่สดใสออกมา ไม่ว่าจะแต่งหน้าแบบไหนโทนใด ก็เปล่งปลั่ง มีออร่าแน่นอน

2. เพิ่มความชุ่มชื่นให้กับผิว

ก่อนถึงวันงานเจ้าสาวทั้งหลายจะต้องมั่นใจว่าผิวหน้าของคุณนั้นได้รับความชุ่มชื่นอย่างเต็มที่แล้ว ก่อนที่จะได้รับการแต่งหน้าแบบจัดเต็ม โดยใช้ครีมบำรุงผิวที่เน้นให้ความชุ่มชื่นแก่ผิวหน้า เพราะความชุ่มชื่นนี้จะทำให้การแต่งหน้าของคุณติดแน่นทนนานสวยเป๊ะตลอดทั้งวัน

 

3. จำไว้ว่า ง่ายๆ แต่งาม

งานแต่งงานทั้งทีสาวๆ บางคนคิดว่าทุกอย่างฉันต้องเต็ม จนลืมไปว่าการแต่งหน้าให้สวยนั้น ไม่จำเป็นจะต้องจัดเต็มไปซะทุกอย่าง แต่งหน้าแค่พองามแต่ก็สามารถออกมาดูดีได้นะคะ หรือสามารถแต่งเพิ่มเติมระหว่างวันก็ได้ รับรองว่ายังคงสวยเป๊ะเหมือนเดิมแน่นอน

4. อย่าปล่อยให้หน้ามัน

ระหว่างวันที่ต้องเจอกับสิ่งต่างๆ อาจทำให้สาวๆ มีหน้ามันเยิ้ม ฉะนั้นต้องหลีกเลี่ยงการสัมผัสบนใบหน้าให้มากที่สุด แต่ก็อย่าปล่อยให้หน้ามันจนเกินไปนะ ถ้าเริ่มรู้สึกว่าหน้ามันเพียงเล็กน้อยแล้ว ให้ใช้กระดาษซับมัน ซับบนหน้าเบาๆ เพียงเท่านี้ก็กลับมาสวยเป๊ะเหมือนเดิมเพิ่มเติมคือความมั่นใจ

>> ดูเรื่องราวเกี่ยวกับความงามและสุขภาพเพิ่มเติมได้ที่นี่ คลิกเลย! <<

ภาพ : simplysouthwedding.com, favful.com, amazon.com,
thebaghdadpost.com, thefemalenetwork.com, exquisiteweddingsmagazine.com, liveabout.com, gratismakeupsamples.com

รู้ทันและเอาอยู่ กับ 4 ปัญหากวนใจหลังแต่งงานที่หลายคนต้องเจอ

ชีวิตคู่จะสมบูรณ์ ถ้าไร้ปัญหากวนใจเหล่านี้

อย่างที่หลายคนเคยได้ยินว่า ชีวิตคู่ หลังแต่งงาน อาจไม่เหมือนเดิมเมื่อเปรียบเทียบกับตอนที่เป็นแฟนกัน การต้องย้ายเข้ามาอยู่บ้านเดียวกัน และอยู่ใกล้กันตลอดเวลานี่คือตัวแปรสำคัญเลยทีเดียว  เพราะการอยู่ร่วมกันต้องมีการกระทบกระทั่งกันบ้าง  และนี่คือ 4 เรื่องเล็กๆ ที่ แพรว wedding  ขอแนะนำคู่แต่งงานใหม่ที่อาจจะต้องเจอ และถ้าไม่หาวิธีแก้ปัญหาร่วมกันแต่เนิ่นๆ ก็อาจจะกลายเป็นเรื่องราวใหญ่โตได้ ดังนั้น เรามาเตรียมพร้อมรับสภถานการณ์กันไว้ก่อนดีกว่านะคะ

การจัดการงานบ้าน

หลายคู่เมื่อแต่งงานกันไป ก็ต้องมาใช้ชีวิตอยู่ร่วมชายคาเดียวกัน และถ้าจะปล่อยปะละเลยให้บ้านสกปรกยังกะรังหนูก็กระไรอยู่ แต่ครั้นจะให้ทำด้วยกัน บางทีก็เกี่ยงกันอีก จนทำให้เกิดการมึนตึงใส่กัน วิธีแก้ปัญหาง่าย ๆ คือการร่วมมือกัน อาจจะแบ่งหน้าที่ไปเลยว่าใครต้องทำห้องไหน จัดตารางเวรให้เป็นระเบียบ แบ่งหน้าที่ให้เท่ากัน เพราะต่างคนต่างก็เหนื่อยมาจากการทำงานนอกบ้าน ดังนั้น วิธีที่ดีที่สุดก็คือวิธีนี้นั่นเอง

เรื่องเสื้อผ้า

เราขอบอกเลยว่าเรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องที่ควรมองข้าม  เพราะแค่เสื้อผ้านี่แหละ ที่สามารถสร้างปัญหาได้สารพัด ตั้งแต่ปัญหาเล็กๆ จนถึงปัญหาตัวเท่าช้าง ไม่ว่าจะเป็นฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งมีจำนวนเสื้อผ้า รองเท้า กระเป๋ามากเกินไป รวมถึงการแชร์พื้นที่ในตู้เสื้อผ้าด้วย รวมถึงปัญหาจุกจิก เช่น ฝ่ายชายไม่อยากให้ฝ่ายหญิงแต่งตัวล่อแหลมเกินควร หรือฝ่ายหญิงอยากให้ฝ่ายชายแต่งตัวคล้ายกัน เช่น ใส่เสื้อคู่ทั้งที่ฝ่ายชายไม่อยากใส่ จนทำเกิดการโต้เถียงกัน

พฤติกรรมการนอน

รู้หรือเปล่าว่าแค่เรื่องเตียงเรื่องเดียวก็กลายเป็นปัญหาได้ เพราะไม่ว่าจะเป็นใคร ต่างก็มีลักษณะนิสัยการนอนที่แตกต่างกัน และความแตกต่างนี้เองอาจทำให้เกิดปัญหาได้ อย่างเช่น บางคนชอบเตียงนอนแข็งๆ บางคนชอบเตียงนอนนุ่มๆ รวมถึงเรื่องอุณหภูมิบางคนชอบเปิดเครื่องปรับอากาศเย็นจัด ขณะที่อีกฝ่ายชอบแบบพอดีๆ ไหนจะเรื่องของแสงและเสียงอีก เช่น ฝ่ายชายอาจชอบนอนแบบมืดมิด ส่วนฝ่ายหญิงชอบเปิดไฟสลัวๆ นี่ยังไม่รวมถึงท่าทางการนอน และการนอนกรนอีกนะ เห็นไหมว่าแค่เรื่องเตียงเรื่องเดียว ก็มีสิ่งต่างๆ ที่อาจทำให้เกิดปัญหาได้ ขึ้นอยู่กับการที่คู่รักแต่ละคู่จะยอมรับ เข้าใจ และถ้อยทีถ้อยอาศัยกันขนาดไหน อย่าปล่อยให้เรื่องบนเตียงเป็นปัญหาระหว่างความรักเด็ดขาดล่ะ

ดูหนัง และฟังเพลง

เมื่อคุณได้เข้ามาอยู่ในบ้านเดียวกันแบบเต็มตัว ดังนั้น หลายสิ่งจึงจำเป็นต้องแชร์กันด้วย เช่นเดียวกับการขับรถไปทำงาน เพื่อเป็นการประหยัดค่าน้ำมัน แต่หลายครั้งก็เกิดปัญหาตรงรสนิยมการฟังเพลง ต่างฝ่ายต่างชอบไม่เหมือนกัน เปลี่ยนไปเปลี่ยนมาก็เกิดการทะเลาะเบาะแว้งกันได้ นี่ก็เป็นปัญหา คุณอาจจะแก้ปัญหาเฉพาหน้าไปด้วยการปิดเพลง แล้วเปลี่ยนเป็นคุยกันแทนก็น่าจดีนะคะ ทีนี้พอเลิกงานเสร็จก็กลับมาบ้าน สันทนาการในบ้านคงหนีไม่พ้นทีวี แต่จะทำอย่างไรถ้าคุณอยากดูละคร ส่วนแฟนคุณอยากดูฟุตบอล หลายคู่แก้ปัญหาด้วยการซื้อทีวีสองเครื่อง ไม่ก็ให้ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งดูผ่านทางอินเตอร์เน็ตไปเลยก็เป็นการจบปัญหาแบบไม่ยืดเยื้อดีเหมือนกัน

เมื่อไร้ปัญหาแล้ว ก็ไปเติมความสดชื่นกันต่อตามนี้เลย >> เติมความสดใสให้ชีวิตคู่ ด้วย 6 ไอเดียเดทสุดสดชื่น! <<

ภาพ www.pexels.com

สวยทรงพลังด้วยเทคนิคเลือกชุดแต่งงานในฝันให้เข้ากับรูปร่าง

ชุดแต่งงาน แบบไหนที่เหมาะกับรูปร่างของคุณ ไปเช็กกันเลย

แน่นอนว่าสาวๆ คนไหนก็มีชุดแต่งงานในฝันอยู่ในใจด้วยกันทั้งนั้น และเมื่อถึงวันสำคัญของชีวิตก็อยากที่จะทำชุดแต่งงานในฝันให้กลายเป็นความจริง แต่ช้าก่อน เราอยากให้ว่าที่เจ้าสาวทั้งหลายฉุกคิดสักนิดว่า ชุดแต่งงาน ที่ชอบหรือเล็งไว้นั้นเข้ากับรูปร่างของคุณเจ้าสาวหรือไม่ แพรว wedding เลยจัดคัมภีร์ว่าด้วยการแมตช์ชุดที่ชอบกับรูปร่างที่ใช่มาฝาก เท่านี้ว่าที่เจ้าสาวก็พร้อมเลือกชุดที่ชอบได้อย่างสบายใจแล้ว

เจ้าสาวหุ่นลูกแพร์

สิ่งที่ต้องมองหาในชุดแต่งงานเป็นอันดับแรกสำหรับเจ้าสาวหุ่นแบบนี้ก็คือ กระโปรงทรงเอ-ไลน์ที่ไม่เน้นช่วงสะโพกและต้นขา แต่จะเน้นช่วงบนให้เข้ารูปและช่วงเอวที่เป็นธรรมชาติ ลองเลือกเป็นเนื้อผ้าแบบ duchesse satin หรือผ้า taffeta ก็เวิร์กไม่น้อย โดยสามารถดีไซน์เสื้อช่วงบนให้เป็นแบบเส้นสปาเกตตี้หรือคอวีเพื่อช่วยให้รูปร่างของเจ้าสาวดูเพรียวบาง ซึ่งกระโปรงทรงเอ-ไลน์อาจจะให้ลุคที่ดูเป็นทางการ ซึ่งถ้าหากเจ้าสาวอยากได้ลุคที่สบายๆ ขึ้นมาหน่อยจะเลือกเป็นผ้าลูกไม้แบบ eyelet หรือผ้าไหม Shantung ก็ได้เหมือนกัน

เจ้าสาวอกใหญ่

ลองเลือกชุดเจ้าสาวแบบคอกลม ที่จะช่วยเปิดใบหน้าของเจ้าสาวให้ดูเด่นและไม่เน้นหน้าอกหน้าใจของคุณจนเกินไป แต่ถ้าอยากใส่เป็นชุดแต่งงานแบบเกาะอก แนะนำให้เลือกเกาะอกทรงหัวใจที่บริเวณขอบของเกาะอกมีความหนาสักหน่อย เพื่อช่วยพรางหน้าอกให้ดูเล็กลง และอย่าเด็ดขาดกับการเลือกชุดท่อนบนให้มีความแวววาว อย่างผ้าออแกนซ่า, ผ้าซาติน หรือผ้าไหม เพราะนั่นจะยิ่งเน้นความใหญ่ของหน้าอกหน้าใจเข้าไปอีก

เจ้าสาวไซส์ใหญ่

ต้องเป็นชุดแต่งงานทรงเอมไพร์ถึงจะรอด ที่ช่วงกระโปรงจะเริ่มจากใต้หน้าอกลงมาและเป็นกระโปรงทรงเอ-ไลน์ และเทคนิคการใส่ชุดนี้ให้ดูสวยคือจะต้องเป็นชุดที่ได้รับการตัดเย็บให้พอดีกับรูปร่างเจ้าสาวแบบเป๊ะๆ เพราะถ้าหากชุดดูหลวมเมื่อไหร่จากชุดแต่งงานอาจจะกลายเป็นชุดคลุมท้องได้ง่ายๆ และลองมองหาเนื้อผ้าอย่างผ้าซาตินที่ให้เท็กซ์เจอร์ของความทิ้งตัวเพื่อช่วยพรางหุ่นของคุณให้ดูเล็กลง แต่ถ้าเจ้าสาวอยากได้เนื้อผ้าที่ดูโรแมนติกขึ้นมาหน่อย ก็อาจจะเลือกเป็นกระโปรงผ้าทูลล์ที่เล่นเป็นเลเยอร์ก็ได้เช่นกัน

เจ้าสาวหุ่นแอปเปิ้ล

เพิ่มกิมมิกเล็กๆ เพื่อเป็นจุดสนใจบริเวณเอว เพื่อช่วยให้หุ่นทรงแอปเปิลดูเป็นนาฬิกาทรายขึ้นมาหน่อย โดยชุดท่อนบนสามารถเล่นรายละเอียดต่างๆ ได้มากมาย เช่น การจับผ้าสไตล์ ruche เป็นต้น เพื่อช่วยพรางรูปร่างให้ดูสมส่วน ส่วนคอเลื้อที่เหมาะที่สุดคือเสื้อแบบคอวี เพื่อช่วยดึงสายตาให้ช่วงตัวดูยาวขึ้น และห้ามเด็ดขาดกับชุดแต่งงานทรงทรัมเป็ต เพราะจะยิ่งเน้นรูปร่างของคุณให้ดูกว้างขึ้นไปอีก

เจ้าสาวรูปร่างสูง

เลือกชุดแต่งงานแบบเอวต่ำที่มีความยาวพอดีกับพื้นเพื่อช่วยลดความสูงของเจ้าสาว และหากจะเลือกสวมชุดแต่งงานแขนยาวก็ต้องเลือกให้มีความยาวเลยข้อมือมาเล็กน้อย และด้วยรูปร่างอันสง่างามของคุณอาจจะทำให้เผลอเรอเลือกชุดมาใส่แบบผิดประเภท เช่น ชุดที่มีระบายหรือกิมมิกการเดรปผ้าเป็นดอกกุหลาบไว้ที่กระโปรง อันนี้เราไม่แนะนำนะคะ

เจ้าสาวหน้าอกเล็ก

การเพิ่มเนื้อผ้าบริเวณท่อนบนของชุดจะช่วยขยายขนาดร่างกายส่วนบนให้เจ้าสาวได้ หรืออาจเลือกเป็นชุดแต่งงานแบบคล้องคอก็ช่วยให้เจ้าสาวดูมีหน้าอกหน้าใจได้เช่นกัน ซึ่งชุดแต่งงานแบบคล้องคอมักเป็นชุดที่ต้องโชว์แผ่นหลังเพราะฉะนั้นอย่าลืมมองหาซิลิโคนหรือแผ่นแปะหน้าอกเอาไว้ด้วยนะคะ จะได้ช่วยให้ลุคของเจ้าสาวดูสวยสมบูรณ์

เจ้าสาวรูปร่างเล็ก

จะเลือกเป็นชุดแต่งงานทรงทรัมเป็ต ชุดแต่งงานแบบเข้ารูปเน้นสัดส่วน หรือชุดแต่งงานทรงเอ-ไลน์สไตล์โมเดิร์นก็ยังได้ แล้วหาเข็มขัดงามๆ สักเส้นคาดไว้ที่เอว เพื่อให้ช่วงตัวด้านล่างดูยาวขึ้น ส่วนเนื้อผ้าก็สามารถเลือกได้เลยตามใจชอบ และหากเจ้าสาวอยากเพิ่มรายละเอียดให้ชุดแต่งงานโดดเด่นขึ้น ก็สามารถเสริมกิมมิกเล็กๆ น้อยๆ ได้แต่นั่นต้องไม่ใช่โบขนาดใหญ่ เพราะจะยิ่งเน้นให้เจ้าสาวดูตัวเล็กมากขึ้น และเลี่ยงชุดทรงบอลกาวน์เพราะจะทำให้ตัวคุณถูกกลืนหายเข้าไปในชุดได้ง่ายๆ สุดท้ายหลีกให้ไกลจากกระโปรงที่มีความยาวระดับ calf-length (ความยาวเลยเข่าลงประมาณครึ่งน่อง) เพราะจะทำให้คุณดูตัวสั้นเข้าไปอีก

เจ้าสาวหุ่นตรง

ต้องหาชุดแต่งงานที่ช่วยสร้างเคิร์ฟให้กับรูปร่าง การเลือกชุดแต่งงานแบบเข้ารูปก็เป็นความคิดที่ไม่เลว เพราะจะทำให้รูปร่างของคุณดูเริดบรรเจิดไปสามสี่โลก หรือจะเลือกเป็นชุดทรงบอลกาวน์ความยาวเสมอพื้นก็ยังได้ แล้วเพิ่มดีเทลช่วงเอวเพื่อให้หุ่นของคุณดูมีเคิร์ฟและดูมีสะโพกขึ้นมาอีกหน่อย และถ้าหากคุณเป็นเจ้าสาวหุ่นตรงแถมยังหน้าอกเล็กอีกให้มองหาชุดแต่งงานที่ท่อนบนมีลูกเล่นขึ้นมาหน่อยจะได้ช่วยเสริมให้มีหน้าอกหน้าใจมากขึ้น

หากรู้แล้วว่ารูปร่างของตัวเองต้องแต่งชุดแต่งงานแบบไหน ก็ไปเลือกแบบชุดแต่งงานกันต่อเลยกับ >> 6 สไตล์ชุดแต่งงานเรียบหรูสุดอินเทรนด์ไม่เชยแถมไม่มีวันตกยุค <<

ภาพ : essensedesigns.com, fashionoah.com, pinterest.com, chicvintagebrides.com, dhgate.com, tbdress.com, queenofvictoria.com

7 เรื่องสำคัญที่บ่าวสาวต้องเห็นพ้องต้องกันก่อนจะวางแผนจัดงานแต่ง

คู่รักที่กำลังจะเข้าสู่ประตูวิวาห์ต่างรู้กันดีอยู่แล้วว่า อะไรบ้างที่จะต้องเตรียม ต้องจัดหาในการวางแผน จัดงานแต่ง แต่เรื่องหนึ่งที่มักจะลืมและเป็นเรื่องสำคัญกว่าเรื่องไหนๆ คือ ความเห็นพ้องต้องกันในการเตรียมตัวในแต่ละขั้นตอนที่จะต้องเห็นชอบไปในทิศทางเดียวกันก่อน ซึ่งเรื่องที่ว่าก็มีไม่กี่อย่าง แต่เชื่อไหมคะว่าทำให้หลายคู่เกิดอาการขัดใจกันระหว่างเตรียมงานมานักต่อนัก เรามาดูกันค่ะว่า เรื่องไหนบ้างต้องเซย์เยสไปในทิศทางเดียวกันก่อนบ้าง

1. งบประมาณ

เรื่องสำคัญมากสุดคือเรื่องเงินๆ ทองๆ แต่คุณเชื่อไหมว่า การจะตกลงเรื่องนี้มันยากแสนยาก แต่ถ้าตกลงกันได้เมื่อไหร่ การเตรียมการทุกขั้นตอนจะไหลลื่นไม่มีสะดุด ซึ่งงบประมาณที่เราขอให้คุณตกลงมีทั้งงบประมาณก้อนใหญ่ที่ครอบบคลุมค่าใช้จ่ายทั้งงาน จากนั้นตั้งงบประมาณให้กับหัวข้อการใช้จ่ายรายย่อยๆ อย่างละเอียด เพื่อที่เวลาเลือกซื้อเลือกหาของมาใช้ในงานแต่งจะได้รู้ว่าควรคุมเงินอยู่ที่เท่าไหร่ และสามารถโยกย้ายหรือผันเงินที่ตั้งไว้ไปตรงจุดไหนได้แบบไม่เกินงบ

2. ลำดับความสำคัญของการใช้จ่าย

แน่นอนว่าคุณก็ฝันว่าอยากจัดงานแต่งงานแบบที่ชอบ อีกฝ่ายก็ฝันเหมือนกัน ซึ่งไม่รู้ว่าหน้าตาของงานในฝันของคุณจะเป็นไปในทิศทางเดียวกันไหม ซึ่งส่งผลต่อการให้น้ำหนักในค่าใช้จ่ายแต่ละส่วนต่างกันไปด้วย สาวบางนางซีเรียสเรื่องชุดเจ้าสาวมากถึงมากที่สุดก็อาจทุ่มงบไปกับเรื่องชุด แต่ขณะเดียวกันหนุ่มๆ อาจมองว่าชุดใส่ไม่กี่ชั่วโมง แต่เรื่องอาหารการกินสำคัญกับแขก คุณก็จะต้องมาจับเข่าตกลงกันแล้วว่า คุณทั้งคู่ (ย้ำว่าทั้งคู่) จะให้ความสำคัญกับอะไรมาเป็นอันดับ 1, 2, 3… เพื่อการจัดสรรงบประมาณตามความสำคัญไงคะ

3. สถานที่จัดงาน

พื้นที่จัดงานเป็นเรื่องแรกเลยก็ว่าได้ที่คุณต้องตกลงกันให้ลงตัว ยิ่งถ้าคุณเป็นคนต่างจังหวัดแต่มาทำงานในเมืองหลวงเท่ากับชีวิตคุณมีสังคมที่ต้องดูแลอยู่ 2 พื้นที่ ฉะนั้นตกลงกันก่อนว่าจะจัดงานในกรุงเทพฯ หรือกลับไปจัดที่บ้านเกิด จากนั้นสรุปกันต่อไปว่าจะจัดโรงแรม สโมสร หรือที่บ้าน โดยต้องไม่ลืมนึกถึงความสะดวกสบายของแขกในการตัดสินใจด้วยนะคะ

4. วันที่จัดงาน

คนไทยจะจัดงานมงคลเป็นต้องดูฤกษ์ยาม แต่สมัยนี้ไม่เคร่งเท่าเมื่อก่อน บ่าวสาวหลายคู่นิยมยึดฤกษ์มงคลในช่วงประกอบพิธี แต่งานฉลองส่วนใหญ่เป็นฤกษ์สะดวก ซึ่งเจ้าฤกษ์สะดวกนี่แหละที่ทำเอาตีกันมาหลายคู่แล้ว ฉะนั้นต้องตกลงกันให้ดีนะ ส่วนจะเอาเกณฑ์อะไรมาวัดความสะดวก เราบอกใบ้ให้ว่าลองนึกถึงญาติกับแขกเข้าไว้ ประมาณว่าโหวตกันเองแล้วเสียงส่วนใหญ่น่าจะมากันได้ คุณก็ฟันธงเลยค่ะ

5. รูปแบบงาน

เรื่องรูปแบบการจัดงานส่วนใหญ่หนุ่มๆ จะตามใจสาวๆ แต่อย่างที่บอกไปว่า เมื่อเธอมีฝันได้ เขาก็มีฝันได้เช่นกัน แม้เขาจะบอกว่าให้สาวๆ ได้สานฝัน แต่คุณสาวๆ ต้องรู้ไว้นะว่า บางครั้งฝันของคุณอาจไม่ใช่ฝันแบบเดียวกับเขา เพราะเขาอาจไม่ได้อยากได้งานแต่งในโรงแรมหรูที่เสกตัวเองให้สวมบทบาทเป็นเจ้าหญิงเจ้าชายใน 3 ชั่วโมง เขาอาจต้องการแค่เป็นพรานป่ารูปหล่อจัดงานในสวนสวยที่รายล้อมไปด้วยสีเขียวสดชื่นกับเสียงนกร้องก็เป็นได้ ซึ่งถ้าคุณรักเขาจริง ไม่ต้องทิ้งฝันในการจัดงาน แค่รู้จักปันพื้นที่ให้เขาได้จัดงานอย่างฝันบ้างก็จะได้แฮปปี้ทั้งสองฝ่ายนะคะ

6. แขกที่เชิญ

เคยไปร่วมงานแต่งมานับร้อยๆ งาน สิ่งหนึ่งที่สงสัยมากคือบ่าวสาวรู้จักแขกทุกคนเลยหรือเปล่า ในหัวข้อนี้จึงอยากบอกว่าที่บ่าวสาวว่า ให้ช่วยกันฟันธงว่าจะส่งการ์ดเชิญไปเชิญใครบ้าง ซึ่งอาจจะต้องสัมพันธ์กับความสนิทสนมส่วนตัว และงบประมาณในการจัดงานด้วยนะคะ แถมบางคนที่เชิญคุณต้องคิดให้หนักว่าเขาจะสะดวกมาร่วมงานด้วยไหม หรือบางทีคนนั้นอาจเป็นคนที่เจ้าบ่าวไม่อยากให้เชิญ แต่เจ้าสาวอยากให้มา ถ้าเชิญไปแล้วเขาจะลำบากใจหรือเปล่า เรื่องแบบนี้ต้องช่วยกันคิดและร่างรายชื่อแขกก่อนจะร่อนการ์ดนะ

7. เวลาที่ใช้ในการวางแผน

แน่นอนว่าคนที่จัดงานแต่งงานไม่ว่าจะจ้างแพลนเนอร์หรือจัดเองล้วนต้องมีเวลาในการเตรียมงาน ฉะนั้นอย่าลืมตกลงกันไปเลยว่า ในหนึ่งสัปดาห์จะมีช่วงเวลาไหนบ้างที่จะใช้ร่วมกันในการเตรียมงาน เพราะถึงแม้ว่าเรื่องนี้คุณจะต้องตัดสินใจร่วมกัน แต่คุณก็ต้องไม่ลืมว่าต่างคนต่างก็มีภาระและหน้าที่ประจำวันที่ยังต้องทำ ไม่ใช่ต้องทุ่มเวลาทั้งหมดมาเตรียมงาน จึงควรจับเข่าคุยกัน นัดแนะเวลาเหมาะๆ ที่จะช่วยกันเตรียมงาน ดีกว่ามางอนกันว่าฉันเตรียมอยู่คนเดียว ส่วนเธอก็เอาแต่ทำงานไม่สนใจ แบบนี้ไม่ดีแน่ จริงไหม

>> ติดตามเรื่องราวเกี่ยวกับความสัมพันธ์ของคู่รักทั้งก่อนแต่งหลังแต่งเพิ่มเติมได้ที่นี่ คลิกเลย! <<

ภาพ : www.marriagemattersbalt.org/

รู้ไว้ไม่มีพลาด กับ 5 สิ่งสำคัญที่เจ้าบ่าวเจ้าสาวมักลืมทำในวันแต่งงาน

แน่นอนค่ะว่าวันแต่งงานของเราทั้งทีเป็นใครก็ตื่นเต้นกันทั้งนั้น ซึ่งความตื่นเต้นดีใจนี้อาจทำให้เราหลงลืม และพลาดทำสิ่งสำคัญบางอย่างได้ ดังนั้นเพื่อให้วันสำคัญของคุณว่าที่เจ้าบ่าว เจ้าสาว ทั้งหลาย ออกมาได้อย่างสมบูรณ์แบบที่สุด แพรว wedding จึงรวบรวม 5 สิ่งสำคัญที่บ่าวสาวมักลืมทำในวันแต่งงานมาฝากไว้ให้ระวังกันพลาดนะคะ

ลืมกิน

เพราะงานแต่งมันยุ่งซะจนเจ้าภาพอย่างเราต้องทำอะไรเองไปซะหมด ไม่งั้นไม่สบายใจ และนี่แหละค่ะจึงเป็นสาเหตุให้สาว ๆ ลืมหาอะไรรองท้องก่อนเข้าร่วมงานวิวาห์ได้ ซึ่งงานนี้มันจัดตั้งหลายชั่วโมง ต้องยืน ต้องเดินตลอดงาน ถ้าไม่มีอาหารตกถึงท้องแล้วเกิดเป็นลมขึ้นมาล่ะแย่เลย

ลืมเข้าห้องน้ำ

สาว ๆ ทั้งหลายห้ามลืมเข้าห้องน้ำเด็ดขาดเลยนะก่อนจะใส่ชุดวิวาห์น่ะ เพราะชุดนี้ถ้าใส่แล้วคือมันต้องใส่เลย จะมาถอดเข้าถอดออกง่าย ๆ ไม่ได้ ไม่งั้นหมดสวยกันพอดี เพราะฉะนั้นเตรียมตัวเองให้พร้อมด้วยล่ะ

ลืมดื่มน้ำ

สำคัญพอ ๆ กับอาหารก็น้ำนี่แหละค่ะ เพราะอย่างที่บอกไปว่าเราต้องใช้เวลากับงานนี้แทบจะทั้งวัน มันไม่มีเวลาให้เราพักผ่อนหย่อนใจอย่างที่คิดหรอกค่ะ ดังนั้นจิบน้ำให้บ่อย ๆ ก่อนที่ร่างกายจะเป็นอะไรไปด้วยนะ

เผลอใส่เสื้อยืด

วันแต่งงานเราต้องทั้งทำผม ทั้งแต่งหน้า เสียเวลาหลายชั่วโมงเพื่อความสวยของเรา แน่นอนว่าเราไม่ได้ทำทั้งหมดนั้นในชุดวิวาห์แน่ ๆ หลายคนเผลอตัวดันใส่เสื้อยืดมาให้ช่างแต่งหน้าทำผม พอจะเข้าพิธีก็ไม่สามารถเปลี่ยนเสื้อได้ เพราะไม่อย่างนั้นทรงผมต้องพังทลายแน่ ดังนั้นสาว ๆ ทั้งหลายอย่าลืมใส่เสื้อเชิ้ตในตอนแต่งหน้าทำผมเด็ดขาดเลยน้า

ลืมเตรียมกระเป๋าไว้

เพราะในวันงานเราจะมีสัมภาระเยอะมาก ไหนจะรองเท้าเอาไปเปลี่ยน ไหนจะของใช้จำเป็นทั้งหลายแหล่ ซึ่งบอกเลยว่าถ้าลืมพกกระเป๋าใบเล็ก ๆ ติดไว้ ชีวิตเจ้าสาวต้องยากขึ้นอีกเยอะเลยล่ะค่ะ

>> ดูไอเดียและคำแนะนำดีๆ ในการจัดงานแต่งงานเพิ่มเติม คลิกเลย! <<

cr : shefinds.com, .thebridalbox.com

แชร์ต่อให้เขารู้! 8 เรื่องที่เจ้าสาวอยากให้เจ้าบ่าวช่วยช่วงเตรียมงานแต่ง

แพรว wedding ขอทำหน้าที่เป็นกระบอกเสียงแทนสาวๆ กับเรื่องที่อยากให้ว่าที่เจ้าบ่าวช่วยร่วมมือกันหน่อยในช่วงการ เตรียมงานแต่ง จะมีเรื่องไหนบ้างไปไล่ดูกัน            

1. ช่วยพูดความจริงเรื่องงบประมาณ

สาวๆ อยากให้ว่าที่เจ้าบ่าวบอกกันตรงๆ ในเรื่องงบประมาณ อย่าได้ปิดบังว่ามีเงินเท่าไหร่สำหรับการจัดงานแต่ง จะได้รู้ว่าแต่ละอย่างที่จะเลือกมาประกอบร่างเป็นงานแต่งในฝันควรเลือกในระดับไหน ในราคาเท่าไหร่ ไม่ใช่พูดแต่ว่าอยากได้อะไรจัดเลย แต่สุดท้ายเจ้าสาวต้องจ่ายก่อนจนจบงานก็ไม่ได้คืน

2. ช่วยแชร์ความฝันส่วนตัว

สาวๆ เชื่อว่าไม่ใช่แค่พวกเธอเท่านั้นที่มีภาพฝันวันแต่งงาน แต่หนุ่มๆ ก็ไม่ต่าง ก็เลยอยากบอกว่าช่วยเล่าให้เธอฟังบ้างว่าภาพงานแต่งของคุณเป็นแบบไหน เธอจะได้นำมาจับคู่กับฝันของเธอ และช่วยกันสร้างงานแต่งของเราทั้งคู่ไปด้วยกัน

3. ช่วยหาข้อมูลบ้าง

อย่ายกหน้าที่การหาข้อมูลทั้งหมดให้กับเจ้าสาว เพราะเธออยากได้มุมมองของคุณในการพิจารณาข้อมูลต่างๆ มาประกอบการตัดสินใจเหมือนกัน และแพรว wedding ว่า การที่หนุ่มๆ หาข้อมูลมาเสนอบ้าง คุณจะได้กรองข้อมูลในเบื้องต้นด้วยตัวเองว่านี่แหละที่คุณโอเค

4. ช่วยออกความเห็นหน่อย

คำพูดประจำที่สาวๆ เจอกันบ่อยมากก็คือ อะไรก็ได้ ยังไงก็ได้ แต่พอพวกเธอเลือกอะไรมาก็ตินั่นนี่ ฉะนั้นถ้าไม่ชอบอะไรที่สาวๆ เลือก กรุณาออกความเห็นมาตั้งแต่แรก จะได้ไม่ตีกันทีหลังว่า อ้าว…แล้วตอนนั้นบอกว่าอะไรก็ได้

เตรียมงานแต่ง

5. ช่วยเฉียดเวลาไปด้วยกันสักนิด

จริงๆ แล้วพวกเธอก็อยากให้ว่าที่เจ้าบ่าวไปช่วยดูนั่นนี่ด้วยกันในทุกขั้นตอนการเตรียมงาน แต่พวกเธอก็เข้าใจค่ะว่าหนุ่มๆ อาจรู้สึกว่าไม่ใช่งานถนัดหรือบางคนติดงาน แต่ก็ขอเถอะว่า เฉียดเวลามาร่วมรับรู้หน้างานตอนเจรจาเลือกบ้างจะขอบคุณมาก

6. ช่วยต่อรองราคาในบางโอกาส

ว่าที่เจ้าบ่าวส่วนใหญ่หน้าบางมากถึงมากที่สุด ทั้งที่ลึกๆ ในใจก็รู้สึกว่าแพงแต่กลับไม่กล้าต่อรอง ในความเป็นจริงถ้าคุณช่วยกันออกแรงแข็งขันสองปากพูดเจรจาไปเนี่ย ได้ผลกว่าพูดคนเดียวเยอะเลยนะคะ ลองดูหน่อยจะเป็นไรไปเนอะ

7. ช่วยกล่อมพ่อแม่ด้วย

อย่างน้อยๆ ก็พ่อแม่ของคุณว่าที่เจ้าบ่าวนี่แหละค่ะที่อาจจะมีคอมเม้นสารพัดเกี่ยวกับรายละเอียดการเตรียมงานจนบางทีกลายเป็นสิ่งบีบหัวใจสาวๆ เพราะใจก็อยากจะได้สิ่งนั้นสิ่งนี้แต่ติดี่พ่อแม่สามีไม่เห็นด้วย หรือไม่เข้าใจในความจำเป็น ฉะนั้นคุณคะ ในฐานะลูกชายก็ช่วยๆ พูดให้ว่าที่เจ้าสาวบ้างก็จะน่ารักมากๆ ค่ะ

8. ช่วยเข้าใจความเป็นเจ้าสาว

ข้อนี้คือสุดยอดแห่งความต้องการที่สาวๆ ฝากแพรว wedding บอกกับคุณว่าที่เจ้าบ่าวค่ะ เพราะหนุ่มๆ ไม่ค่อยเข้าใจว่างานแต่งงานและตำแหน่งเจ้าสาวเป็นอะไรที่สำคัญในชีวิตของสาวๆ จะมากน้อยหรือเน้นหนักไปที่เรื่องไหนก้แล้วแต่คนไป แต่รวมๆ แล้วเมื่อจะจัดงาน ความฝัน ความต้องการ และความคาดหวังมีในใจพวกเธอแน่นอน

เพราะฉะนั้นถ้าเธอดูใส่ใจกับทุกองค์ประกอบของงานแต่งมากมายก็อย่าได้รำคาญหรือรู้สึกว่าจะอะไรกันนักหนากับแค่วันๆ เดียวเลยค่ะ คอยอยู่ข้างๆ เธอเสมอ เข้าใจในสิ่งที่เธอคิดและต้องการ ที่สำคัญ ช่วยในเรื่องทั้งหมดที่เธอฝากเรามาบอก รับรองค่ะว่าอาการไฝว้กันในช่วงเตรียมงานจะลดน้อยลงจนแทบไม่มีให้ปวดใจค่ะ

>> ดูเรื่องราวเกี่ยวกับความรักและความสัมพันธ์เพิ่มเติมได้ที่นี่ คลิกเลย! <<

เรื่อง :ดอกปีบ
ภาพ : savethedatemagazine.co.uk,Martha Stewart Weddings

สกัด! สต๊อป! ความเยอะของญาติเพื่อการจัดงานแต่งงานอย่างมีความสุข

หรือ งานแต่งงาน จะพังไม่เป็นท่า เพราะความ “เยอะ” ของบรรดาญาติสนิท!!

การเตรียม งานแต่งงาน ถือเป็นช่วงที่วุ่นวายและยุ่งยากที่สุดเลยก็ว่าได้ เพราะนอกจากคู่รักจะต้องปรึกษาหารือในเรื่องรายละเอียดต่างๆ ของงานแต่งแล้ว ยังมีญาติพี่น้องที่มักจะออกความคิดเห็นนู่นนี่นั่นอยู่เสมอ เข้าใจนะคะว่าทุกอย่างเกิดจากความหวังดี แต่บางทีมันก็เยอะเกินไปจนทำให้บ่าวสาวอึดอัด เพราะฉะนั้นว่าที่บ่าวสาวทุกคนลองมาฝึกวิทยายุทธ์รับมือความเยอะของญาติๆ กับเรากันดีกว่า

“เยอะ” ในเรื่องอะไรบ้าง?

ก่อนที่เราจะไปดูวิธีการรับมือ เราอยากจะบอกให้รู้กันสักนิดว่าญาติผู้ใหญ่จะชอบมา “เยอะ” ใส่บ่าวสาวในเรื่องอะไรบ้าง เริ่ม!

1. “เยอะ” เรื่องความเป๊ะของพิธีการ ความเชื่อ และฤกษ์ยาม

ขบวนขันหมากต้องจัดแบบนี้สิ ฤกษ์นี้ต้องเริ่มก้าวเท้าไหนเคลื่อนขบวนขันหมาก ถึงบ้านเจ้าสาวต้องเวลานี้ สินสอดต้องวางด้านนั้น รดน้ำสังข์อย่างนี้ เจ้าสาวนั่งฝั่งนั้น เจ้าบ่าวนั่งฝั่งนี้ ต้องลุกขึ้นก่อนจะได้มีอำนาจเหนือเมีย และอีกสารพัดความ “เป๊ะเวอร์!” ที่ถาโถมเข้ามาพร้อมกับประโยคที่ว่า “ฉันอาบน้ำร้อนมาก่อน ฉันรู้ดีกว่า” ประโยคเด็ดตลอดกาล เอาเป็นว่าทำใจร่มๆ ไว้ก่อนนะ

2. “เยอะ” เรื่องเสื้อผ้าหน้าผมของเจ้าสาว

เรื่องชุดเจ้าบ่าวคงไม่มีอะไรให้ผู้หลักผู้ใหญ่จะต้องพูดมาก แต่! ชุดเจ้าสาวและหน้าผมก็เป็นอีกหนึ่งอย่างที่มักได้การตอบรับดี (รึเปล่า) เสมอ เช่น ทำไมใส่ชุดยกน้ำชาเป็นสีชมพูล่ะ ทำไมไม่ใส่สีแดง ไม่เป็นมงคลเลย (อันนี้สำหรับอาหมวยทุกคน) หรืออาจจะเป็น ชุดเจ้าสาวแบบเกาะอกมันโป๊เกินไปนะ ทรงผมก็ดูเรียบเกินไป แต่งหน้าซีดไปหน่อย ฯลฯ เจ้าสาวที่ได้ยินก็อย่าเพิ่งปรี๊ดนะคะ Keep Calm and Smile เข้าไว้

3. “เยอะ” เรื่องการเชิญแขก

เรื่องนี้จะไม่เป็นปัญหาถ้าครอบครัวรักกันดีและมีเงินเยอะ ที่ต้องบอกแบบนี้เพราะอะไร? เพราะบ่าวสาวบางคู่มีงบสำหรับงานแต่งจำกัด และสถานที่จัดงานไม่ได้ใหญ่มาก แต่ผู้ใหญ่บางครอบครัวจะเกิดความเยอะที่ว่า ต้องเชิญแขกคนนี้ ห้ามตัดรายชื่อแขกคนนั้น ต้องเชิญครอบครัวนั้นมาทั้งหมดเพราะคุณพ่อสนิทมาก ยิ่งไปกว่านั้นก็จะเจอปัญหาที่ว่าอาเจ๊กคนนี้จะไม่มาเพราะว่าไม่ถูกกับอาแปะอีกคนหนึ่ง เฮ้อ…ท่องไว้นะคะว่า อดทน อดทน อดทน!

ใครที่มีแนวโน้มจะ “เยอะ” ได้บ้าง

ข้อนี้ไม่สามารถระบุเฉพาะเจาะจงได้ว่าเป็นใคร แต่! ทุกคนในครอบครัวมีสิทธิ์จะ “เยอะ” ได้ทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็น พ่อ แม่ ลุง ป้า น้า อา พี่ น้อง แต่ขอให้บ่าวสาวจำไว้ว่าที่ท่านพูดก็เพราะท่านหวังดี อยากให้ทุกอย่างถูกต้องตามประเพณีเป๊ะๆ

สกัดความเยอะ ตัดไฟตั้งแต่ต้นลม!

สิ่งที่อยากให้บ่าวสาวทำตั้งแต่เริ่มเตรียมงานแต่งคือ “ประเมินสถานการณ์” ลองสำรวจดูทั้งครอบครัวของคุณและครอบครัวของแฟนว่า ใครมีความเป็นไปได้ว่าจะ “เยอะ” ใส่คุณมากที่สุด และท่านจะเยอะในเรื่องอะไร จากนั้นให้เตรียมคำตอบพร้อมเหตุผลดีๆ ไว้อธิบายให้ท่านฟังด้วย

ในอีกกรณีหนึ่งถ้าท่านเหล่านั้นอยากจะมีส่วนร่วมและช่วยจัดงานแต่ง คุณอาจจะแบ่งหน้าที่การเตรียมงานในส่วนต่างๆ ให้ท่านช่วยรับผิดชอบไปเลย เช่น แบ่งให้ผู้ใหญ่ช่วยจัดงานพิธีเช้าที่ต้องทำตามประเพณี ส่วนคู่บ่าวสาวก็มาเต็มที่ตามสไตล์ของตัวเองในงานช่วงเย็นแทน แบบนี้ก็เวิร์ก!

สต๊อปความ “เยอะ” แบบเฉพาะหน้า!

ถ้าคุณเตรียมการไปได้สักพักแล้ว เกิดมาเจอกับความเยอะที่อยู่ๆ โผล่มาแบบเซอร์ไพร้ส์จนคุณไม่ทันตั้งตัว (ประเมินสถานการณ์พลาด!) ไม่ว่าจะเป็นเรื่องแขก เรื่องพิธีการ หรือเรื่องของเสื้อผ้า คราวนี้ถึงเวลาที่จะต้องมานั่งจับเข่าคุยกันแล้วว่าทำไมคุณถึงเลือกจัดงานแบบนี้ ทำไมถึงเลือกใส่ชุดนี้ และทำไมถึงไม่สามารถเชิญแขกท่านนั้นท่านนี้ได้ ซึ่งอาจเป็นเหตุผลด้านเวลา ความสะดวก งบประมาณ และสถานที่ที่เตรียมไว้ แต่ขอให้ระวังเป็นอย่างมากในเรื่องของอารมณ์และน้ำเสียงที่คุณใช้ เพราะว่าคุณเด็กว่า อายุน้อยกว่า ฉะนั้นคุณจะต้องอธิบายเหตุผลด้วยน้ำเสียงนุ่มๆ และห้ามวีนแตกแบบพ่อไม่เข้าใจตุ้มเด็ดขาด!

อีกวิธีหนึ่งก็คือ “การต่อรอง” อาจจะขอท่านๆ ทั้งหลายว่า หนูชอบงานแบบนี้ แต่ญาติๆ อยากได้แบบนี้ “งั้นเรามาเจอกันคนละครึ่งทางดีไหม” ใครครึ่งไหนก็แล้วแต่จะตกลงกัน

ส่วนวิธีที่ซอฟท์ที่สุด ละมุนละม่อมที่สุดคงเป็นการ “ยอม” อย่างที่บอกไปว่า ผู้ใหญ่ท่านเยอะใส่เพราะว่าความหวังดี อันไหนที่ไม่เหลือบ่ากว่าแรงก็ยอมลงให้ท่านหน่อยก็แล้วกัน ปัญหาจะได้ไม่บานปลายใหญ่โตไปกระทบชีวิตหลังแต่ง

ช่วงระหว่างการเตรียมงานแต่งว่าที่บ่าวสาวหลายคู่อาจเจอสารพัดปัญหาเข้ามาทักทาย ซึ่งถือเป็นบททดสอบก่อนเริ่มต้นชีวิตคู่อย่างดี ไม่ว่าจะเจอใครมา “เยอะ” ใส่คุณสักแค่ไหนก็ขอให้คุณทั้งคู่ Strong! Strong! Strong! เข้าไว้ละกันนะจ๊ะ ไฟท์ติ้ง!!!

Read More 6 เรื่องสำคัญที่ต้องเตรียมการไว้ให้พร้อมก่อนเริ่มวางแผนจัดงานแต่งงาน

ภาพ : chrishughesphotography.co.uk, pinterest

24 คำถามที่ว่าที่บ่าวสาวต้องถามใจตัวเองก่อนวางแผนจัดงานแต่ง

บ่าวสาวที่กำลังจะวางแผนเพื่อแต่งงานอาจจะกำลังงงงวย นึกไม่ออกว่าต้องเริ่มจากตรงไหนดี เพราะมีสารพัดเรื่องให้ต้องจัดการเหลื๊อเกิน แพรว wedding จึงขอจัดคำถามให้คุณบ่าวสาวตอบกับตัวเองให้ได้ก่อนที่จะลงมือ วางแผนจัดงานแต่ง แล้วจะทำให้การจัดงานเป็นเรื่องง่ายชนิดที่ว่าปอกกล้วยยังยากกว่า

 

1. จัดงานแต่งที่ไหนดีน๊า… เรื่องสถานที่เป็นอะไรที่ทำให้คุณบ่าวสาวกุมขมับมานักต่อนัก เพราะนึกไม่ออกจริงๆ ว่าจะจัดงานที่ไหนดี ลองตั้งคำถามกับตัวเองเกี่ยวกับสถานที่ ที่มีความสำคัญในชีวิตที่ผ่านของคุณทั้งคู่ ไม่ว่าจะเป็น

2. เจอกันครั้งแรกที่ไหน เผื่อว่าคุณจะได้ย้อนเวลากลับไปเมื่อวันที่เจอกันครั้งแรก และก็จัดงานในสถานที่นั้นเสียเลย

3. ตอนเด็กๆ ชอบไปที่ไหน  อาจจะเป็นแคมป์หรือจังหวัดที่คุณประทับใจตอนเมื่อครั้งไปกับคุณพ่อคุณแม่ คราวนี้ก็ไปสร้างความทรงจำกับคุณว่าที่สามีเพิ่มขึ้น

4. ไปเที่ยวด้วยกันที่แรกที่ไหน ก็เป็นการย้อนวันรำลึกความหลัง กระตุ้นให้งานแต่งหวานสวีทยิ่งขึ้น สถานที่นั้นอาจมีแก๊งเพื่อนไปด้วยก็ไม่ผิด ถ้าที่แห่งนั้นเต็มเปี่ยมไปด้วยความทรงจำ

5. เดตแรกที่ไหน ลองเช็คดูว่าสถานที่นั้นจัดงานแต่งงานได้ไหม ถ้าจัดได้ก็จัดเลย เวลาใครถามว่าทำไมเลือกที่นี่ก็บอกไปเลยว่าเพราะว่าเราเดตกันครั้งแรกค่ะ หวานป่ะละ

6. ไปที่ไหนด้วยกันแล้วประทับใจเหมือนๆ กัน การจัดงานในสถานที่ที่คุณประทับใจจะยิ่งทำให้ภาพความแต่งงานในความทรงจำยิ่งตราตรึงอยู่ในใจไปอีกนาน ยิ่งเป็นที่ๆ คุณทั้งคู่มีความรู้สึกร่วมกันด้วยยิ่งดี

7. งานฉลองแบบไหนจะเริ่ดที่สุด พูดถึงงานฉลอง เป็นอะไรที่บ่าวสาวทุ่มทุนกันสุดๆ แต่บางคนก็ยังเริ่มต้นไม่ถูกโดยเฉพาะคุณว่าที่เจ้าสาวที่บอกเลยว่าบางทีก็ฟุ้งเกินไปจึงต้องถูกจัดลำดับความคิดด้วย 5 คำถามนี้

8. สีไหนที่คุณชอบที่สุด เป็นการหาธีมจากสีที่คุณชอบ ทำให้คุณได้อยู่ท่ามกลางสีที่ชอบ กับคนที่คุณรัก ดีจะตายไป

9. ดอกไม้อะไรที่คุณชอบ เจ้าสาวส่วนใหญ่ก็เลือกดอกไม้มาประดับงานจากความชื่นชอบนั่นแหล่ะ แต่ถ้าเลือกใช้ดอกไม้สดก็อาจต้องระวังเรื่องแพ้เกสรด้วยนะ  

10. เพลงโปรดในใจ  เพลงที่เปิดในช่วงเวลาสำคัญบางคนอาจมีเป็นลิสต์ หรือไปหาลิสต์ที่มีคนจัดไว้แล้ว แต่ถ้าคุณมีเพลงที่ชอบเป็นพิเศษก็จัดมา ไม่จำเป็นต้องใช้เพลงเหมือนคนอื่นหรอก

11. มีสมบัติชิ้นไหนของครอบครัวที่คุณอยากจะใส่ในวันพิเศษนี้ไหม อย่างพวกเครื่องประดับที่เป็นมรดกตกทอด หรือบางคนถือคติ Something old ก็เอามาเป็นส่วนหนึ่งของชุดแต่งงานหรือการตกแต่งในงานก็ได้

12. คุณมีสัตว์เลี้ยงคล้องใจกันหรือเปล่า ถ้าหากว่าคู่ของคุณมีสัตว์เลี้ยงที่เลี้ยงด้วยกัน ก็เอามาร่วมเป็นสักขีพยานในงานได้นะ น่ารักเก๋ไก๋ดีออก

13. จะดูแลแขกยังไงให้ได้ใจ แถมไม่ถูกบ่นลับหลัง เป็นอีกเรื่องที่คุณบ่าวสาวกังวลใจอยู่ลึกๆ ว่าจะจัดงานออกมาได้ประทับใจแขกหรือเปล่า บางคู่ถึงขนาดที่ว่าทุ่มงบก้อนใหญ่ที่สุดเพื่อการนี้เลยทีเดียว ส่วนวิธีจัดงานให้ได้ใจก็ไม่ยาก ด้วยการลองคิดแบบแทนใจแขกเหรื่อด้วยการตอบคำถามเหล่านี้

14. เครื่องดื่มสุดโปรดของคุณคืออะไร ในการเลือกเครื่องดื่มบางคนอาจคิดไปไกล มีให้เลือก 18 อย่าง ซึ่งจริงๆ แล้วไม่ต้องก็ได้ แค่เลือกชนิดที่คุณชอบมาอย่างเดียวมารับรองแขกก็โอเคแล้ว

15. ทีมกีฬาสุดรัก ถ้าหากคุณมีทีมกีฬาที่ชอบก็อาจจะเอามาเป็นกิมมิคตกแต่งในงานก็ได้ อย่างพวกตราสัญลักษณ์ หรือสีประจำทีมงี้

16. ร้านอาหารที่ชอบทาน ลองติดต่อร้านอาหารที่คุณชอบ ให้เขามาจัดซุ้มอาหารในงานแต่ง เผื่อเป็นทางเลือกให้กับแขกในงานได้กินอาหารที่หลากหลายมากกว่าที่โรงแรมจัดให้

17. อาหารที่กินกันบ๊อยบ่อย คู่ของคุณมีอะไรที่กินกันเป็นประจำหรือเปล่า เช่นอาหารญี่ปุ่น หรืออื่นๆ แบบว่าเอามาไว้ในงาน ตั้งเป็นซุ้มรวมอาหารแห่งความทรงจำก็เก๋นะ

18. สิ่งที่คุณหลงใหลที่สุด  บางคู่ก็เอาความชอบมาเป็นส่วนหนึ่งของงาน หรือมาเป็นธีมงานก็ได้อย่าง ชอบการ์ตูนซูเปอร์ฮีโร่ ก็เอามาเป็นธีมงานก็เคยมีมาแล้ว

19. ลงลึกดีเทลละเอียดยิบ ในส่วนของดีเทลอย่างการ์ดเชิญ ของชำร่วย ถ้ายังนึกไม่ออกว่าจะเป็นอะไร และก็อยากลองมองของที่สื่อตัวตนของคนทั้งคู่ คนมองเห็นเมื่อไหร่ก็นึกถึงคุณเมื่อนั้น

20. ของสะสมหรืองานอดิเรกของคุณคืออะไร ก็เอามาทำเป็นของชำร่วยได้นะ อย่างสาวๆ บางคนชอบเทียนหอม ก็เอาเทียนหอมกลิ่นโปรดมาเป็นของชำร่วยให้แขกก็ได้

21. มีความฝันอะไรที่อยากทำในคืนพิเศษหรือเปล่า  ถ้าในวัยเด็กเคยมีความฝันว่าอยากจะทำนู้นนี่นั่นในวันแต่งงาน ขอให้ทำเลยค่ะ เพราะวันแต่งงานไม่มีเทคสองให้กลับมาทำตามความฝันอีกรอบ

22. มีชื่อเล่นอะไรที่เรียกกันระหว่างสองเราหรือเปล่า จะบี๋ จะบู๋ จะลิ่งไหม เพราะชื่อเหล่านี้สามารถเอามาทำเป็น แฮชแทคในงานแต่งงานได้นะ น่ารักดีด้วย แถมพิมพ์ง่ายกว่าชื่อจริงที่ยาวเป็นหางว่าว

23. มีหนังสือเล่มโปรดหรือคำซึ้งๆที่ฟังแล้วกินใจไหม ถ้ามีคุณอาจเอาข้อความมาประดับในงาน เป็นโซน Love Quote ให้แขกมายืนอ่านเพลินๆ ก็ได้นะ

24. หนังเรื่องโปรด อันนี้ใช้เป็นไอเดียสำหรับพรีเซนเทชั่นได้เลยนะ นอกจากให้แขกดูบางครั้งยังเป็นตัวแทนความสัมพันธ์ของคู่บ่าวสาวได้อีกด้วย

หลังตอบคำถามทั้ง 24 ข้อนี้แล้ว จะทำให้เห็นว่าความชอบของคุณบ่าวสาวคืออะไร และเราสามารถนำความชอบเหล่านี้สร้างสรรค์ออกเป็นงานแต่งงานที่พรั่งพร้อมไปด้วยคนที่คุณรัก ท่ามกลางบรรยากาศที่แสนอบอุ่นและเป็นตัวเองที่สุด

ดูไอเดียงานแต่งงานและคำแนะนำดีๆ อีกเพียบได้ที่นี่ คลิกเลย!

a a a a a a a a a a a a a a a a a a a a a a a a a a a a a a a a a a a

10 พฤติกรรมทำลายชีวิตคู่ รักมากแค่ไหนก็ไปไม่รอด!

คู่รักหลายคู่มักจะคิดว่าความรักของเรานั้นมั่นคงและแน่นอน ไม่มีใครมาทำให้พังลงได้ หลายคู่รักจึงมีเกราะป้องกันปัญหาภายนอกที่แข็งแกร่ง จนบางครั้งก็ลืมไปว่าปัญหาภายในที่เกิดจากคนสองคนนั่นแหละที่คอยบั่นทอนความสัมพันธ์ของพวกคุณอยู่ตลอดเวลา โดยเฉพาะคู่ที่แต่งงานอยู่กินด้วยกันยิ่งต้องระวังให้มาก เพราะบางพฤติกรรมที่คุณคิดว่ารับได้เมื่อตอนแต่งแรกๆ อยู่ๆ ไปเริ่มรับไม่ไหว ใครที่อยากรู้ว่าพฤติกรรมอะไรบ้างที่จะทำให้ ชีวิตคู่ จบเห่ รีบตามมาอ่านด่วนๆ เลย!

1. ไม่รู้จักคำว่า “กึ่งกลาง”

ชีวิตคนเราเกิดมาร้อยพ่อพันแม่ ต่างคนต่างมีลักษณะนิสัยและความต้องการของตัวเองกันทุกคน แต่ในเมื่อต้องมาใช้ชีวิตร่วมกันแล้วมันก็ต้องรู้จักคำว่า 50:50 บ้างนะคะ หลายคู่ต้องเลิกรากันไปเพราะหากึ่งกลางระหว่างกันไม่เจอ ฉันจะเอาอย่างนี้ เธอจะเอาอย่างนั้น ไม่มีใครยอมใคร ถือเอาความรู้สึกและความต้องการของตัวเองเป็นสิ่งสำคัญ พูดง่ายๆ ว่าต่างคนต่างเอาแต่ใจตัวเอง แล้วแบบนี้ชีวิตคู่มันจะไปกันรอดเหรอคะ ถามจริง?

2. หาไม่เจอว่าเธอต้องการอะไร

อย่างที่บอกไปข้อที่แล้วว่าต่างคนต่างมีความต้องการเป็นของตัวเอง และเมื่อมีคนรักแล้วก็หวังจะให้อีกคนเข้ามาเติมเต็มในส่วนที่ยังขาด แต่ในความเป็นจริงหลายคนมักที่จะไม่พูดออกมาตรงๆ ว่าอะไรคือสิ่งที่ตัวเองต้องการ และอีกหลายคนก็ปากหนักเกินจะถามว่าคนรักของคุณอยากได้สิ่งไหน ยิ่งไปกว่านั้นคือ คิดเองเออเองเสร็จสรรพว่าเขาก็ต้องการสิ่งเดียวกันกับคุณ ซึ่งบางทีมันก็ผิดนะจ๊ะ! ลองคิดดูว่าถ้าคุณไม่พูด เขาไม่ถาม แล้วจะรอให้ตรัสรู้ด้วยตัวเองหรือยังไง! (คนธรรมดานะไม่ใช่ผู้วิเศษ)

3. ต่างคนต่างก็เงียบหายไป

บางครั้งบางทีความเงียบก็ช่วยแก้ปัญหาได้ดีเหมือนกันนะ เพราะเมื่อเวลาทะเลาะกันแล้วลองปล่อยให้ความเงียบเข้ามาจัดการสถานการณ์สักพักอะไรๆ ก็มักจะดีขึ้น แต่! อย่าปล่อยให้เงียบนานจนเกินไป เมื่ออารมณ์คงที่เมื่อไหร่ควรหันหน้ามาคุยกันดีๆ เพราะถ้าขืนคุณเงียบหายไปนานๆ เป็นวันเป็นเดือน แบบนี้ความรักก็คงจะหายตามไปด้วยแน่นอน (เผลอๆ ไปเจอคนใหม่ไฉไลกว่าเดิมอีก!)

ภาพจาก : www.groundworkcounseling.com
ภาพจาก : www.groundworkcounseling.com

4. ปล่อยให้ความรักจืดชืด

สิ่งที่ควรทำสำหรับชีวิตคู่คือ หมั่นเติมความหวานให้กันอยู่เสมอ จะดูหนัง ฟังเพลง หรืออะไรก็ทำเถอะค่ะ เพราะถ้าเมื่อไหร่ที่คุณปล่อยปละละเลยความสัมพันธ์ระหว่างกัน ไม่เติมเชื้อรักให้กับชีวิตคู่ เมื่อนั้นความรักที่มีก็คงจะระเหิดระเหยหายไป จากคำว่าคู่รักก็อาจเหลือเพียงแค่คนสองคนที่ใช้ชีวิตอยู่ในบ้านหลังเดียวกันแค่นั้นเอง

5. ไม่ใส่ใจกันและกัน

เรื่องนี้มักจะเกิดกับฝ่ายชายซะเป็นส่วนใหญ่ ไอ้อาการอัลไซเมอร์ชั่วขณะ ไม่ว่าจะลืมวันเกิด ลืมวันครบรอบ ลืมนัดสำคัญ ลืมนั่นลืมนี่ ติดเพื่อน ติดเกมส์ บางทีถ้าเป็นแบบนี้บ่อยๆ ก็ทำให้อีกฝ่ายคิดได้ว่าตัวเธอนั้นไม่มีความสำคัญพอให้จดจำเลยหรือ? นานวันไปกลายเป็นความน้อยใจ สุดท้ายทนไม่ไหวก็ขอบอกลาเลยแล้วกัน

6. เก็บงำทุกอย่างเอาไว้ในใจ

ปัญหานี้เกิดขึ้นกับทุกคนเลยนะคะ บางครั้งเวลาเราเจอเรื่องร้ายๆ ของคนรักทีไร ถ้ามันไม่หนักหนามากเกินไปก็เลือกที่จะเก็บเอาไว้ในใจไม่พูดไม่เคลียร์ ปล่อยให้มันผ่านไปเงียบๆ แต่! พอเจอพฤติกรรมเดิมๆ บ่อยๆ เข้า สิ่งที่เก็บไว้เริ่มจะเยอะจนล้นใจกลายเป็นระเบิดเวลา วันดีคืนดีหมดความอดทนเมื่อไหร่ก็ตู้ม-ม-ม! ปล่อยออกมาหมด รัศมีทำลายล้างเสียจนความรักพังทลายกู้คืนมาไม่ได้อีกแล้ว

ภาพจาก : www.quotesgram.com
ภาพจาก : www.quotesgram.com

7. ไม่แก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้น

เมื่อชีวิตคู่เจอปัญหาจนบางครั้งทำให้คุณทั้งคู่ทะเลาะกัน แต่พอพายุอารมณ์สงบ ต่างคนก็ต่างพูดคำว่าไม่เป็นไร ช่างมัน ปล่อยไปเถอะ แล้วก็ใช้ชีวิตเหมือนเดิมต่อไป แบบนี้เหตุการณ์ดูเหมือนจะดีนะ แต่สุดท้ายปัญหาเดิมๆ ก็กลับมาเยือนอีก ทะเลาะกันอีก เป็นแบบนี้วนลูปไปเรื่อยๆ โดยที่ปัญหาไม่ได้ถูกแก้ไข ไม่ได้ถูกปรับความเข้าใจ สุดท้ายทะเลาะกันจนเหนื่อย ประคองความรักไปต่อไม่ไหวก็ถอดใจเลิกกันไปอยู่ดี

8. ชอบเอาเรื่องเก่ามาเล่าใหม่

ปัญหาข้อนี้เป็นงานถนัดของฝ่ายหญิงค่ะ เอะอะอะไรก็ขุดคุ้ยเรื่องเก่าขึ้นมาพูด ย้อนหลังไปถึงความผิดพลาดในอดีตที่ผ่านมา แบบนี้ขอบอกเลยว่าไม่มีใครชอบหรอกค่ะ ร้อยทั้งร้อยถ้าโดนบ่อยๆ ก็อยากจะเซย์กู๊ดบายกันทั้งนั้น รวมไปถึงพฤติกรรมจู้จี้จุกจิก คิดเล็กคิดน้อยโดยไม่จำเป็นของผู้หญิงด้วยนะ ถ้าทำพฤติกรรมเช่นนี้เป็นประจำรับรองเลยว่าผู้ชายขอเลิกแน่!

9. ปล่อยให้ความเครียดเข้ามาครอบงำ

ปฏิเสธไม่ได้หรอกนะคะว่าชีวิตคนเรามันมีเรื่องวุ่นวายมาให้เครียดอยู่เสมอ บางคนจัดการกับความเครียดได้ดีก็รอดตัวไป แต่บางคนรับมือกับความเครียดไม่ได้จนส่งผลกระทบกับชีวิตคู่ เครียดจากที่ทำงานก็มาบ่นมาลงกับคนในบ้าน ทำให้คนรักออกอาการเอือมระอา เจอแบบนี้บ่อยๆ ทั้งคุณและคนรักก็ยิ่งเครียดหนักเข้าไปใหญ่ กลายเป็นการสร้างรอยร้าวให้ความสัมพันธ์ อีกหน่อยก็ต้องเลิกรากันไป เหมือนเพลงของคุณอิทธิที่ร้องว่า “แก้วที่มันร้าวไม่นานก็คงจะแตก!”

10. จะเอาชนะอย่างเดียว

หลายคู่รักอยู่ด้วยกันไม่ได้เพราะคิดอยู่แค่ว่าฉันจะต้องเป็นฝ่ายชนะ ฉันจะต้องได้ทุกอย่าง ฉันถูกเสมอ ฉันไม่ยอมและยอมไม่ได้ (อย่างกับนางร้ายในละคร) กลายเป็นปัญหาใหญ่โต ทะเลาะกันไปมา เพราะเธอก็ไม่ยอมและฉันก็ไม่ยอม สรุปว่าพอไม่มีใครยอมใครความสัมพันธ์และความรักก็เลยหักเป็น 2 ท่อน และส่วนใหญ่มักจะต่อไม่ติดซะด้วย แม้จะใช้กาวอย่างดีมาทาก็ยังมีรอยต่ออยู่ดีนั่นแหละ

ลองเช็คกันดูซิว่าคุณและคนรักมีพฤติกรรมแย่ๆ ทั้ง 10 ข้อตามที่ว่ามาหรือไม่ ถ้าเกิดว่ามีตามนี้ ก็คงถึงเวลาที่คุณทั้งคู่ต้องรีบหาทางแก้ไข หากว่ายังอยากประคับประคองชีวิตคู่ให้อยู่ตลอดรอดฝั่ง สิ่งที่จะช่วยแก้ปัญหาต่างๆ ได้คงต้องเริ่มจากการปรับปรุงตัวเองเสียก่อนเป็นอย่างแรก แล้วลองนึกดูสิว่าคุณรักกันเพราะอะไร แต่งงานกันเพราะอะไร แล้วอยากจะให้ชีวิตคู่เป็นแบบไหน สิ่งสำคัญเมื่อเกิดปัญหาก็คือ ลองถอยกันคนละก้าวให้ใจเย็นลงสักนิด พิจารณาว่าอะไรทำให้เกิดปัญหา และจะแก้ปัญหานั้นอย่างไร สุดท้ายท่องจำให้ขึ้นใจว่า “ใครขอโทษก่อนชนะ” จากนั้นให้ปรับความเข้าใจกัน แบบนี้ก็จะช่วยให้คุณทะนุถนอมชีวิตคู่ได้ยืดยาว

>> อ่านเรื่องราวเกี่ยวกับความรักและความสัมพันธ์เพิ่มเติม คลิกเลย! <<

เรียบเรียง : www.brides.com
ภาพ : quotesgram.com,  groundworkcounseling.com, huffingtonpost.com

คลายความกังวลใจกับคำถามที่ว่า ควรเชิญแฟนเก่ามาร่วมงานแต่งงานหรือไม่?

วันแต่งงานถือเป็นวันเฉลิมฉลองของคุณและความรักของคุณทั้งคู่ที่มีต่อกัน แต่ในส่วนของ แฟนเก่า คุณควรทำอย่างไรกับสถานการณ์เช่นนี้ดีล่ะ?

ภาพงานแต่งงานแสนหวานของคุณที่พากันเดินจูงมือเข้าประตูวิวาห์ แลกแหวนแต่งงานกัน และร่วมเฉลิมฉลองกับคนสำคัญอย่างมีความสุข… อาจถูกดับฝันลง เมื่ออยู่ดีๆ ก็มีภาพ แฟนเก่า ลอยมาในหัว T^T เชื่อว่าบางคนตัดสินใจลำบากไม่น้อยว่าจะเชิญแฟนเก่าของคุณมาร่วมงานด้วยดีไหม ยิ่งถ้าคุณกับคนรักเก่าจบกันไปได้ด้วยดี หรือมีผลประโยชน์ร่วมกันทางด้านธุรกิจแล้ว จะไม่เชิญมางานสำคัญก็กระไรอยู่เนอะ แต่ถ้าเชิญมาแล้วคนปัจจุบันและคนอื่นในงานล่ะจะคิดยังไง โอ้ยยยย ความคิดต่างๆ นานาถาโถเข้ามาให้หัวแบบนี้ก็ให้ แพรว wedding เป็นตัวช่วยในการตัดสินใจครั้งนี้ดีไหมคะ^^?

ควรเชิญมา ถ้า…

1. เป็นอดีตในวัยเด็ก

เช่น เขาเป็นป๊อบปี้เลิฟ หรือเป็นเรื่องความสัมพันธ์ในสมัยมัธยม หรือมันเป็นเรื่องที่น่าหัวเราะมากกว่าที่จะมานั่งเสียใจ โดยหลายๆ คนอาจผ่านความสัมพันธ์รักในวัยใสที่นึกย้อนกี่ทีก็หุบยิ้มไม่ได้ ไม่ใช่ว่าคิดถึงคนรักเก่านะคะ เพียงแต่นึกถึงเรื่องราวความน่ารักของคู่รักวัยเด็กที่ไม่ต้องมีข้อแม้อะไรเยอะแยะ ที่แตกต่างจากความรักในวัยของผู้ใหญ่ ความทรงจำที่ดีก็ควรเก็บไว้เป็นเรื่องดีๆ ไม่ผิดค่ะ ถ้าเขาคนนั้นยังอยู่ในชีวิตของคุณและคุณเป็นเพื่อนที่ดีต่อกัน คุณสามารถเชิญพวกเขาไปงานแต่งงานของคุณได้นะคะ ไม่ต้องคิดมากแล้ว

2. ทุกคนต้องรู้สึกสบายใจร้อยเปอร์เซ็นต์

วิธีง่ายๆ ในการตัดสินใจเรื่องนี้ก็คือ ความรู้สึกของบุคคลสำคัญภายในงานนี้ ได้แก่ คู่แต่งงาน พ่อ-แม่ ญาติ พี่-น้อง และเพื่อนสนิทของคุณ จะต้องไม่รู้สึกอึดอัดใจหากมีแฟนเก่าของคุณมาร่วมงานด้วย โดยเฉพาะอย่างยิ่งควรได้รับอนุญาตจากคู่แต่งงานของคุณด้วยค่ะ ถ้าแฟนเก่าทำให้คุณเกิดความกลัวว่าบุคคลเหล่านั้นจะรู้สึกไม่ดี และตัวคุณเองก็รู้สึกไม่สบายใจอย่างมากก็ควรที่จะตัดรายชื่อเขาออกไปได้เลย เพราะงานนี้เป็นงานที่คุณควรจะมีความสุขมากที่สุด ไม่ใช่มีเรื่องที่จะมาทำให้กังวลใจนะคะ

3. เขาเป็นอดีตคู่สมรสที่มีลูกกับคุณ

เมื่อคุณหย่าร้างกับเขาไปได้สักระยะ หลังจากนั้นคุณได้พบเจอกับคนที่คุณตกลงปลงใจที่จะเริ่มต้นการใช้ชีวิตคู่ใหม่อีกครั้ง ในกรณีนี้ถือเป็นเรื่องที่ละเอียดอ่อนมาก ให้คุณดูที่เงื่อนไข ระยะห่างระหว่างคุณและคู่สมรสเก่าที่ได้ตกลงกันไว้ เช่น ถ้าคุณทั้งสองตกลงได้ว่าเป็นเพื่อนที่ดีต่อกันได้ โดยทำหน้าที่พ่อและแม่ให้กับลูกคุณอย่างดีที่สุด คุณก็สามารถทำได้ในการบอกเขาว่าคุณกำลังจะแต่งงานอีกครั้ง ไม่ดูเป็นการเชิญชวนให้มาร่วมงานมากเกินไป และคุณก็จะไม่ซีเรียสหากเขาจะมาร่วมงานด้วย ส่วนการตัดสินใจว่าจะมาหรือไม่นั้นให้เขาเป็นคนตัดสินใจเอง ซึ่งส่วนใหญ่แล้วเขาจะไม่มากันหรอกค่ะ ฮ่าๆ นอกจากนี้อยากขอย้ำว่าควรที่จะปรึกษากับว่าที่เจ้าบ่าวเจ้าสาวคนปัจจุบันของคุณไว้ด้วยนะคะ ว่าจะสะดวกหรือไม่ถ้าเขาได้มาร่วมงานนี้ด้วย

แฟนเก่า

ไม่ควรเชิญมา ถ้า…

1. มีบางคนที่ไม่สบายใจกับการปรากฏตัวของเขาในงานนี้

เนื่องจากวันนี้เป็นวันของคุณและคนรัก ดังนั้นถ้าคุณไม่ต้องการให้คิ้วของแขกในงานถูกยกขึ้นด้วยความสงสัยว่า ทำไมถึงเชิญเขามาด้วย? ก็ควรหลีกเลี่ยงจะดีกว่าค่ะ เพราะเขาอาจจะกลายเป็นท็อปปิคให้แขกในงานพูดถึงกันอย่างไม่หยุดหย่อน แม้คุณอาจจะอยู่ในจุดที่ดีและเป็นมิตรกับอดีตคนรักเก่า แต่เชื่อเถอะ ไม่ใช่ทุกคนในงานที่จะรู้ว่าตอนนี้คุณทั้งคู่อยู่ในสถานะไหนกันแล้ว โดยเฉพาะคนที่จะเป็นห่วงคุณในเรื่องนี้ นั่นก็คือ คุณพ่อคุณแม่ของคุณนั่นเอง ท่านทั้งสองก็จะมีมุมมองความคิดแบบผู้ใหญ่ที่คนละเจนฯ กับพวกเรา จากความรักและความเป็นห่วงเรื่องชีวิตคู่ของคุณ พวกท่านคงไม่เห็นด้วยที่จะให้อดีตคนรักของคุณมาร่วมงานนี้หรอกน้า

2. เขาเป็นพวกขี้เมา

ทั้งเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ที่มีแน่ๆ ในงานแต่งนี้ บวกกับบรรยากาศงานแต่งงานที่หวานชื่นรื่นรมย์ระหว่างคุณกับคนรักใหม่ เป็นไปได้ง่ายเลยที่คนรักเก่าอย่างเขาเมื่อเห็นภาพนั้นแล้วจะรู้สึกเจ็บปวดขึ้นมาบ้าง ซึ่งวิธีทำให้ลืมความเจ็บปวดของบางคนก็จะตกอยู่กับการดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ที่ยิ่งดื่มก็ยิ่งเมา พอเมาก็ขาดสติสิคะ ยิ่งถ้าแฟนเก่าคุณเป็นพวกขี้เมาด้วยนะ บอกเลยว่าหายนะมาเยือนงานนี้แล้วแน่ๆ ทางที่ดีหลีกเลี่ยงการเชิญแฟนเก่าประเภทนี้มาร่วมงานแต่งงานของคุณจะดีกว่าค่ะ

3. คุณกังวลใจกับเรื่องนี้มากจนเกินไป

หากเรื่องนี้ทำให้คุณกังวลใจตั้งแต่การนั่งลิสต์รายชื่อแขก เกิดความลังเลด้วยเหตุผลอะไรหลายๆ อย่าง เราขอแนะนำว่า ถ้าในตอนนี้แฟนเก่าของคุณไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้อใดๆ ในชีวิตคุณแล้ว เป็นเพียงคนรู้จักแม้จะอยู่ในสถานะที่ยังเป็นเพื่อนกันได้อยู่ ไม่ค่อยได้เจอกันบ่อยนัก ก็ต้องขอบอกเลยนะคะว่าไม่จำเป็นเลยที่จะเชิญเขามา อย่างน้อยๆ ยังได้รักษาความรู้สึกเขาอยู่ เราเชื่อว่าน้อยคนนักที่จะสามารถทำใจได้เมื่อเห็นภาพแฟนเก่าแต่งงานกับคนรักใหม่ และคุณแฟนเก่าทั้งหลาย ถ้าใจไม่แข็งพอก็อย่าไปเลยค่ะ เราเป็นกำลังใจให้คุณอยู่นะคะ:)

ส่วนคนที่มีเหตุจำเป็นจริงๆ ต้องเชิญแฟนเก่ามาร่วมในงานนี้ ทั้งๆ ที่คุณก็ยังนึกภาพไม่ออกว่าต้องทำตัวแบบไหนดี เราก็มี >> 7 วิธีเผชิญหน้าแฟนเก่าแบบไหลลื่น << ให้คุณได้ลองนำไปใช้ด้วยนะคะ

เรื่องจาก : theknot.com
ภาพจาก : uk.businessinsider.com, datetricks.com