คีย์โน้ตสำหรับ ชุดเจ้าสาว สุดเก๋ในทศวรรษ 1920 ที่หลอมรวมเอาศิลปะอาร์ตเดโค เพลงแจ๊ซและการเต้นรำแบบชาร์ลสตัน ภาพวาดสุดมหัศจรรย์จากศิลปินนามเออร์เต้ งานปักวิจิตรจากลองแวง และผลพวงจากสงครามโลกครั้งที่ 1 จนกลายเป็นก้าวแรกที่เปลี่ยนวิถีชีวิต ความคิดและการแต่งกายที่ส่งอิทธิพลมาถึงยุคปัจจุบัน
1. Edwardian Style

ในยุคเอ็ดวาร์เดียน ราวปี ค.ศ. 1901 – 1910 คอร์เสตยังทำหน้าที่รัดเอวคอดกิ่วของผู้หญิง กระโปรงยาวกรอมเท้า คอเสื้อตั้งปิดขึ้นไปถึงคอหอยที่เรียกว่า “Wedding Band Collar” หรือคอเสื้อแหวนแต่งงาน แขนเสื้อพองช่วงต้นแขนและลีบเล็กตั้งแต่ช่วงศอกลงมาจนถึงข้อมือที่เรียกว่า “Gigot Sleeves” หรือแขนเสื้อขาแกะ ซึ่งฝ่ายสตรีนิยมมองว่าเครื่องแต่งกายแบบนี้สร้างมาเพื่อทรมานผู้หญิง เหมือนการรัดเท้าให้เล็กเพื่อจะถูกมองว่าสวย เป็นผู้ดี บอบบาง
คอนซูเอโล แวนเดอร์บิลท์ทายาทอภิมหาเศรษฐีชาวอเมริกันผู้ร่ำรวยทรัพย์แต่อับจนศักดินา ชุดแต่งงานของเธอออกแบบโดยชาร์ลส์เฟเดอริกเวิร์ธ แฟชั่นดีไซเนอร์ผู้ทรงอิทธิพลในยุคนั้น เธอแต่งงานกับชาร์ลส์ สเปนเซอร์ – เชอร์ชิลล์ ดยุคแห่งมาร์ลโบโรห์ ผู้ร่ำรวยที่ดินแต่จนเงินในปี ค.ศ. 1895 และกลายเป็นต้นแบบของเจ้าสาวที่กลายเป็นเซเลบริตี้ มีนิตยสารรายงานพิธีแต่งงานละเอียดยิบ ความงามของเธอถึงกับทำให้ผู้ชายคนหลายเพ้อ เช่น เซอร์เจมส์แบร์รี่ ที่รำพึงว่า “ข้าพเจ้านั่งรอกลางสายฝนได้ทั้งคืน เพียงเพื่อจะได้ยลโฉมคอนซูเอโล แวนเดอร์บิลท์ ก้าวขึ้นรถม้า”
2. Paul Poirel

ในปี ค.ศ. 1905 ปอลปัวเรต์ ดีไซเนอร์ชาวฝรั่งเศสนำเสนอดีไซน์ใหม่ที่เรียกว่า “Nouvelle Vague” ซึ่งได้แรงบันดาลใจจากชุดกรีกโบราณที่เน้นการจับเดรปและปล่อยให้ชายผ้าทิ้งตัวลู่ไปตามสรีระของผู้หญิงโดยไม่มีคอร์เสตเข้ามาช่วยจัดแจงรูปร่าง ต่างจากแฟชั่นแบบเอ็ดวาร์เดียนที่ขับเน้นทรวดทรงองค์เอวชัดเจน โดยคอลเล็คชั่นต่อมาปัวเรต์ยังนำเสนอชุดที่ได้แรงบันดาลใจจากตะวันออก เช่น กิโมโน กางเกงแขก ผ้าโพกหัว ซึ่งต่อมาได้กลายเป็นเอกลักษณ์ของดีไซเนอร์ผู้นี้ที่กล้าปฏิเสธคอร์เสตอย่างสิ้นเชิง
3. WWI
สงครามโลกครั้งที่ 1 ส่งผลให้ผู้หญิงชนชั้นล่างซึ่งทำงานเป็นคนรับใช้ตามบ้านต้องตกงานเป็นจำนวนมาก ซ้ำยังถูกแย่งอาชีพไปโดยชนชั้นกลางที่ต้องการหารายได้เช่นกัน อีกทั้งระหว่างสงคราม ผู้ชายถูกเกณฑ์ให้ไปรบอยู่แนวหน้ากันหมด บรรดานายจ้างหรือเจ้าของกิจการต่างๆ ไม่มีทางเลือกอื่น นอกจากต้องว่าจ้างผู้หญิงที่ถูกทิ้งให้อยู่แนวหลังพวกเธอกลายเป็นแรงงานสำคัญเป็นทั้งสาวโรงงาน คนขับรถ พยาบาล ทำงานในไร่นาเป็นอาสาสมัครกาชาดและทำงานในกองทัพ ซึ่งในหลายๆ อาชีพมีข้อบังคับให้ต้องใส่เครื่องแบบผู้คนลดความสุรุ่ยสุร่ายในการใช้ชีวิตลง ผู้หญิงงดใส่เครื่องประดับ ลดความบอบบางของวัสดุเช่น ลูกไม้ การปักเลื่อมพราย ฯลฯ
ประมาณกันว่าช่วงสงครามระหว่างปี ค.ศ. 1914 – 1918 มีผู้หญิงเป็นแรงงานกว่า 1,600,000 คน จึงอาจกล่าวได้ว่า สงครามที่อาจจะไม่มีข้อดีให้พูดถึงมากนัก แต่ในแง่หนึ่ง มันได้ปลดปล่อยผู้หญิงให้เป็นอิสระ เพราะการทำงานไปด้วยใส่สุ่มคอร์เสตไปด้วยนั้นเป็นสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ เครื่องทรมานร่างกายจึงถูกปลดออกจากสรีระผู้หญิงในที่สุด
4. Bohemian Gown

ลูซิล (Lucile) และเอด้าวูล์ฟ (Aida Woolf) สองดีไซเนอร์สร้างสไตล์ใหม่ที่ถือว่าเป็นแฟชั่นอาวองต์การ์ด หรือแฟชั่นที่มาก่อนกาลในทศวรรษ 1900 จากโครงสร้างรูปตัว S ที่เน้นอก เอว และสะโพกของผู้หญิง ถูกทดแทนด้วยอิทธิพลจากยุคกลาง ทำให้แฟชั่นคลี่คลายไปเป็นเชปทรงตรงเหมือนหลอด ช่วงเอวสูง และแขนเสื้อมีระบาย
5. Royal Weddings

พิธีแต่งงานในราชวงศ์หลายคู่ส่งผลต่อเทรนด์ชุดแต่งงานในห้วงเวลานั้น เนื่องจากสื่อมวลชนกระจายข่าวอย่างแพร่หลาย
6. Jazz Age
ในยุคสงคราม ชาวแอฟริกัน – อเมริกันกว่า 500,000 คนในสหรัฐฯ พากันโยกย้ายไปหางานทำทางฝั่งเหนือของประเทศ พวกเขานำพาวัฒนธรรมทางดนตรีแจ๊ซบลูส์ และการเต้นรำแบบชาร์ลสตันเข้าไปเผยแพร่ในนิวยอร์กและชิคาโก ก่อนจะข้ามมหาสมุทรแอตแลนติกไปฮิตในอังกฤษและฝรั่งเศส ศิลปินแจ๊ซผู้มีชื่อเสียงในยุคนี้ เช่น หลุยส์ อาร์มสตรอง, เบสซี สมิธ, วง The Hot Fives, ดุ๊กเอลลิงตัน, โจเซฟ โอลิเวอร์ และมาเรนีย์ การเต้นแบบชาร์ลสตันและจังหวะคึกคักของแจ๊ซ เป็นอีกเหตุผลหนึ่งที่กระโปรงของผู้หญิงต้องหดสั้นขึ้นเพื่อให้เต้นได้สะดวก
7. Erte: King Of Art Deco

โรแมน ดิ ติรตอฟ (Romain de Tirtoff) หรือเออร์เต้ เป็นศิลปินชาวรัสเซียที่เดินทางสู่ปารีสเพื่อทำงานออกแบบ เขาเข้าทำงานกับปอลปัวเรต์ ในปี ค.ศ. 1913 จากนั้นอีกสองปีได้เซ็นสัญญาวาดภาพปกให้กับนิตยสาร ฮาร์เปอร์ส บาซาร์ ซึ่งได้ทำงานต่อเนื่องมาถึง 24 ปีกับภาพปกกว่า 250 ชิ้น เออร์เต้ได้ชื่อว่าเป็นบิดาแห่งอาร์ตเดโค ศิลปะที่เข้ามาแทนที่อาร์ตนูโว อันมีโครงสร้างหลักเป็นเส้นสายโค้ง บอบบางและเหมือนจริงตามธรรมชาติ เช่น รูปดอกไม้ใบหญ้าทั้งหลาย แต่เออร์เต้ตัดทอนรายละเอียดต่างๆ ให้เหลือแต่เค้าโครง เป็นลักษณะการใช้คิวบิสม์และรูปทรงเรขาคณิตที่มีเส้นสายชัดเจน ตรง แข็ง เด็ดเดี่ยว รวมทั้งสีสันสดเข้มเออร์เต้ยังออกแบบคอสตูมละครเวทีต่างๆ ปกนิตยสาร และคอลเล็คชั่นเสื้อผ้าอีกมากมาย และมีชีวิตยืนยาวถึง 97 ปี
8. The Flapper – Garconne

สังคมในช่วงหลังสงคราม ผู้คนมองชีวิตในกรอบกฎระเบียบอย่างเสียดเย้ยและสลัดความเศร้าจากสงครามด้วยการทำทุกอย่างที่เป็นด้านตรงข้ามของสิ่งที่เรียกว่าศีลธรรมจรรยาอันดี เป็นสังคมที่เมามายอย่างวายป่วง จนเอฟสกอตต์ฟิตซ์เจอรัลด์ ผู้ประพันธ์นวนิยาย The Great Gatsby ที่สะท้อนความเสื่อมของสังคมยุคนี้ ขนานนามว่าเป็น Lost Generation ผู้หญิงที่ออกจากบ้านมาทำงานในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 1 ก็ไม่เคยกลับไปเป็นแม่บ้านผู้สงบเสงี่ยมอีกเลยนับแต่นั้น พวกเธอขับรถเที่ยว สูบบุหรี่มวนต่อมวน ดื่มเหล้าเป็นน้ำในทุกปาร์ตี้ ตัดผมบ๊อบสั้น แต่งหน้าจัด เซ็กซี่ ใส่เดรสที่ช่วงเอวต่ำลงมาที่สะโพก ชายกระโปรงหดสั้นขึ้นไป เป็นสาวเก๋ซิ่งและซ่าเรียกว่า “แฟลปเปอร์” เพราะเด็กสาวในวิทยาลัยมักใส่รองเท้าบู๊ต โดยไม่ได้ติดกระดุม เวลาเดินสายคาดรองเท้าจะสะบัดไปมาเหมือนนกกระพือปีกเป็นที่มาของชื่อ Flapper (ลูกนก) หรือการ์ซอนน์ (เด็กผู้ชาย) ในภาษาฝรั่งเศส โดยมีโคโค่ชาแนล เป็นผู้นำเทรนด์นำเสื้อผ้าผู้ชายเข้ามาปรับใช้กับเสื้อผ้าผู้หญิงด้วยเดรสหลวมโพรกไม่ขับเน้นสรีระ
9. Mary Jane
ตั้งแต่ยุคเอ็ดวาร์เดียน ผู้หญิงใส่แต่รองเท้าบู๊ต แต่ในยุคนี้รองเท้าบู๊ตติดกระดุมได้พัฒนาขึ้นให้สวยงามด้วยการปักประดับหรือหุ้มด้วยผ้าไหมแต่งลายด้วยมือ มีสายคาดเหมือนรองเท้านักเรียนหรือเป็นสายรูปตัวทีด้านหน้ารองเท้า เสริมส้นแบบคิวบัน (Cuban Heel) สูง 2 นิ้วที่เรียกว่า “แมรี่เจน” เพื่อรองรับไลฟ์สไตล์ปาร์ตี้แอนิมอลของสาวๆ ยุคนี้โดยเฉพาะ
10. Shower Bouquet
ช่อดอกไม้ทรงน้ำตกเป็นที่นิยมแทนบูเกต์ทรงกลม เป็นอิทธิพลรูปทรงเรขาคณิตของศิลปะแนวอาร์ตเดโค และยังเป็นน้ำตกช่อใหญ่มาก ดอกไม้สุดฮิตคือลิลี่สีขาว สื่อถึงความบริสุทธิ์ของความรัก เจ้าสาวมักโอบช่อดอกไม้ไว้ข้างใดข้างหนึ่งแทนการถือช่อดอกไม้ไว้กลางลำตัว
11. Juliet Headdress

ยุคนี้ไม่มีหญิงรับใช้ตามบ้าน เพราะทุกคนต้องออกไปทำงานแทนผู้ชาย ทำให้ผู้หญิงที่เคยไว้ผมยาวถึงสะโพกและมีคนรับใช้คอยหวีจัดแต่งทรงผมให้ ต้องตัดผมสั้นเป็นทรงบ๊อบยาวแค่คางและด้านหลังตัดให้ทุยสูงขึ้นไป เรียกว่า “Eton Crop” สำหรับเจ้าสาวมีเครื่องประดับผมแบบใหม่ที่นำมาจากหมวกของจูเลียตตัวละครเอกในวรรณกรรมคลาสสิกของเชกสเปียร์ โดยใส่หมวกคาดทับปิดหน้าผากและติดเวลเข้าไป อีกทั้งเวลในยุคนี้ยาวเป็นพิเศษ จนกล่าวได้ว่า กระโปรงยิ่งสั้น เวลยิ่งยาว
12. Heavy Beading

อิทธิพลของอาร์ตเดโคส่งผลต่อการตกแต่งเสื้อผ้าผ่านการปักประดับชุดให้วิบวับแพรวพราวเป็นอย่างมาก โดยเฉพาะเดรสรูปทรงตรงๆ เหมือนหลอดในยุคนี้ยิ่งทำให้การปักประดับเป็นไปได้สะดวกยิ่งขึ้น ผู้นำเทรนด์ปักคือฌานน์ ลองแวง (Jeanne Lanvin) ผู้ก่อตั้งห้องเสื้อ Lanvin ในปัจจุบัน งานออกแบบของเธอใช้ช่างปักจากเมซง เลอซาจ (Maison Lesage) ซึ่งเป็นงานฝีมือชั้นสูงของฝรั่งเศสที่ทำทุกอย่างด้วยมือ
13. 1920 s Themed Weddings

และสุดท้ายสำหรับเจ้าสาวยุคปัจจุบันที่หลงใหลความงามในยุคแจ๊ซ แล้วนำมาปรับใช้กับพิธีแต่งงานในศตวรรษที่ 21ได้อย่างเก๋ไก๋และกลมกล่อม
































บรรยากาศของสถานที่จัดงานที่สุดแสนจะโรแมนติก
การ์ดเชิญที่ถูกออกแบบให้เหมือนกับใบประกาศจับพ่อทูนหัวของแฮร์รี่ ซีเรียส แบล็ค
รายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ อย่างรองเท้าของเจ้าสาวก็ถูกนำมาเพ้นท์เป็นชื่อและสัญลักษณ์ประจำบ้านใน Hogwarts
สร้อยข้อมือที่ได้แรงบันดาลใจมากจากลูกสนิช
ลายเครื่องรางยมทูตที่ถูกเพ้นท์บนเล็บของเจ้าสาว
และเธอก็ไม่ลืมสัญลักษณ์ประจำบ้านลงบนสิ่งนี้ด้วย !
ช่อบูเกต์สวยๆ ของเจ้าสาวที่รังสรรค์จากกระดาษที่ตัดมาจากในเล่มจริงของนวนิยายเรื่องนี้
ช่อดอกไม้ติดหน้า ของเจ้าบ่าวก็มีด้วยนะ
รองเท้าของเจ้าสาวก็มีแล้ว เจ้าบ่าวก็ไม่พลาดนะ
หมอนวางแหวนหมั้นที่คุ้นตาถูกแทนที่ด้วยแฮร์รี่ ภาคสุดท้าย
งานแต่งงานถูกสรรสร้างให้อยู่ในโลกแห่งเวทย์มนตร์
แขกผู้ร่วมงานนับ 130 คนต่างถือคฑาร่ายมนตร์แสดงความยินดีกับบ่าวสาว
สวยงามราวกับถูกต้องมนตร์
เหล่าบรรดาโต๊ะอาหารของแขกผู้มาร่วมงานถูกตกแต่งด้วยบรรดาสัญลักษณ์และของต่างๆจากโลกพ่อมดแม่มด
ลูกสนิชสีทองและหนังสือบ้านเรเวนคลอ
เค้กที่ถูกออกแบบอย่างสวยงามให้กับเข้ากับบรรยากาศ
มีเราตลอดไป
ยาพิษที่รักษาโรคได้ทุกประเภท
ส่วนหนึ่งของหนังสือที่วางเรียงรายบนโต๊ะ
อาจารย์ใหญ่ผู้น่าเคารพในฮอกวอตส์ อัลบัส ดัมเบิลดอร์
เมื่อปีที่แล้วทั้งคู่ได้ทำพิธีหมั้นในตรอกไดแอกอน ที่รัฐฟลอลิด้า ประเทศสหรัฐอเมริกา
รายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ ที่บ่าวสาวพิถีพิถันให้เกิดขึ้น
ลิ้มลองลูกอมหลากรส ใครแจ๊คพอตได้รสอะไรขี้มูก รสอ้วก ก็โชคร้ายหน่อยนะคะ
บรรยากาศช่างเป็นใจให้ทั้งคู่จริงๆ
พร้อมเดินทางไปชานชาลา เก้าเศษสามส่วนสี่หรือยัง ?
นกฮูกคู่ใจของพ่อมดผู้มีแผลเป็นบนใบหน้า
Dreams Tulum รีสอร์ทสุดโรแมนติกตั้งอยู่ริมทะเลประเทศเม็กซิโก เป็นรีสอร์ทในฝันของหลายคู่รักที่อยากจะจัดงานแต่งงานที่นี่เลยค่ะ เพราะด้วยทัศนียภาพที่สวยงามและตัวโบสถ์มีความกลมกลืนทางสถาปัตยกรรมท้องถิ่นแบบดั้งเดิมของประเทศเม็กซิโก แค่คิดก็ยิ้มไม่หุบแล้วใช่ไหมคะ ลองคิดดูนะคะว่าจะดีแค่ไหนถ้าได้จัดงานแต่งงานท่ามกลางโบสถ์ที่ตั้งอยู่ริมทะเลและชมพระอาทิตย์ตกพร้อมจุดเทียนเพื่อเพิ่มความโรแมนติกระหว่างเข้าพิธี โอ๊ย…แค่คิดก็ฟินแล้วค่ะ
แค่เห็นภาพก็ร้องว้าวแล้วใช่ไหมล่ะคะกับวิวที่มองออกไปจากตัวโบสถ์คาทอลิกแบบพาโนรามาของ Royal Playa Del Carmen รีสอร์ทติดริมทะเลอีกหนึ่งสถานที่ที่เหล่าคู่รักนิยมจัดงานแต่ง เพราะได้ทั้งบรรยากาศสุดแสนโรแมนติกและความทันสมัยของโบสถ์ที่ล้อมไปด้วยกระจกที่มีความหนาถึงสามชั้น ทีนี้ก็ไม่ต้องกลัวฝนฟ้าหรือพายุที่ไหนมาสร้างความหงุดหงิดเลยล่ะจ้ะ
โรงแรม Cabo Azul ตั้งอยู่ชายฝั่งทะเลแปซิฟิก ประเทศเม็กซิโกค่ะ เสน่ห์ของโรงแรมนี้อยู่ที่โบสถ์กลางแจ้งติดทะเล ให้ความรู้สึกโรแมนติกและชิลล์เป็นที่สุด สถานที่นี้เหมาะกับบ่าวสาวที่อยากรับลมทะเลและกลิ่นทะเลพร้อมกับแสงแดดอุ่นๆ แค่คิดก็เคลิ้มแล้วจริงๆ ว่าแล้วก็รีบพุ่งตัวไปหาว่าที่เจ้าบ่าวกันเถอะ
โบสถ์เล็กๆน่ารักที่ซุกตัวอยู่ในสวนที่มีชื่อว่า โบสถ์แฟรงค์ วอร์เรน ตั้งอยู่บนอ่าว Sandals Montego ประเทศจาไมก้าค่ะ ตัวโบสถ์สร้างโดยการสนับสนุนจากภรรยาม่ายของ ด็อกเตอร์ แฟรงค์ วอร์เรน สร้างขึ้นเพื่อเป็นความทรงจำของเธอและสามี โดยเธอหวังว่าบ่าวสาวที่มาแต่งงานและแลกเปลี่ยนคำสาบานที่นี่จะมีความรักที่มั่นคง และสัมผัสได้ถึงความรักชั่วนิรันด์ของเขาทั้งคู่ค่ะ
โบสถ์ San Salvador โบสถ์กลางแจ้งที่ตั้งอยู่ใน Barcelo Bavaro Resort โบสถ์แห่งนี้ถึงแม้จะตั้งอยู่ในรีสอร์ท แต่ก็สามารถทำพิธีแต่งงานสำหรับคู่รักที่นับถือคริสต์นิกายคาทอลิกได้ค่ะเพราะตั้งอยู่ในมุมสงบ และยังมีทะเลสาบสร้างบรรยากาศให้พิธีแต่งงานโรแมนติกให้ความรู้สึกศักดิ์สิทธิ์แถมยังอบอวลไปด้วยความรักได้อย่างแน่นอนค่ะ
สาวคนไหนที่เป็นแฟนตัวยงของค่ายการ์ตูนชื่อดังอย่าง Waltz Disney ต้องกรีดร้องแน่นอนค่ะ เพราะโบสถ์สำหรับจัดพิธีแต่งงานนี้ตั้งอยู่ใน Disney’s Grand Floridian รีสอร์ทให้ความรู้สึกเหมือนเราอยู่ในเทพนิยาย และยังมีลานสำหรับเต้นรำที่บ่าวสาวจะสวมบทเป็นเจ้าชายกับเจ้าหญิงเต้นรำท่ามกลางแขกเหรื่อที่มาร่วมแสดงความยินดี หากใครที่อยากเป็นเจ้าหญิงก็คงต้องหาเจ้าชายขี่ม้าขาวมาพิทักษ์หัวใจก่อนนะคะ
อีกหนึ่งโบสถ์ใน Grand Wailea รีสอร์ทตั้งอยู่บนเกาะเมาวีในฮาวายเพราะความเงียบสงบและร่มรื่น บ่าวสาวหลายคู่เลือกที่นี่เป็นสถานที่จัดงานวันสุดพิเศษของพวกเขาค่ะ เพราะนอกจากตัวโบสถ์จะตั้งอยู่ริมทะเลได้รับลมเย็นๆจากทะเลแล้วภายในโบสถ์ยังนั้นยังมีผนังบางส่วนทำจากกระจกสีที่วาดเป็นรูปดอกไม้ต่างๆ บรรยากาศทั้งภายนอกและภายในช่างสวยงามหาที่ติไม่ได้เลยค่ะ
นอกจากโบสถ์ของ Grand Wailea รีสอร์ทที่ตั้งอยู่บนหมู่เกาะฮาวายแล้วยังมีโบสถ์ของ Turtle Bay รีสอร์ทที่สวยงามและเหมาะจะเป็นสถานที่แต่งงานค่ะ โบสถ์แห่งนี้ตั้งอยู่บนเกาะโอฮาอูทางตอนเหนือของนอร์ทชอร์ ตัวโบสถ์ติดทะเลและยังล้อมด้วยประตูกระจกทำให้เรามองเห็นวิวโดยรอบได้อย่างเพลิดเพลินเชียวล่ะ
หากบ่าวสาวคู่ไหนที่ต้องการโบสถ์ที่เงียบสงบและเป็นส่วนตัว แนะนำที่นี่เลยจ้า Raffles รีสอร์ท ตั้งอยู่บนเกาะคาโนน หมู่เกาะเกรนาดีน บนทะเลคาริบเบียน โบสถ์ถูกสร้างขึ้นตามแบบฉบับของคริสตจักรชาวอังกฤษในศตวรรษที่ 19 ค่ะ จุดเด่นของโบสถ์นี้อยู่ที่ กำแพงและจิตรกรรมฝาผนังต่างๆ ซึ่งเป็นกระจกสีที่นำมาประดับและได้รับการบูรณะให้คล้ายของเดิมมากที่สุด นอกจากนี้ยังมีหินที่เป็นโครงสร้างของโบสถ์ก็ยังคงใช้หินแบบเดิม หากใครที่กำลังมองหาพิธีแต่งงานแบบดั้งเดิมของชาวคริสเตียนอย่างแท้จริงโบสถ์แห่งนี้เหมาะมากที่จะมาเติมเต็มความสมบูรณ์ของงานได้ดี
โรแมนติกสุดๆ และแปลกตาสุดๆ ไปเลยค่ะ สำหรับโบสถ์สุดท้ายที่ตั้งอยู่ใน Intercontinental Bora Bora Resort & Thalasso Spa โบสถ์ติดริมทะเลที่สามารถมองเห็นวิวรอบๆ ไฮไลท์ของโบสถ์ยังมีทางเดินที่ทำจากกระจกทำให้เราเห็นฝูงปลาแหวกว่ายในน้ำทะเลสีเขียวอมฟ้า ชวนให้เคลิบเคลิ้มแถมยังเข้ากับพิธีแต่งงานแบบดั้งเดิมของชาวโพลีนีเชียนให้ความรู้สึกที่พิเศษในวันพิเศษไปอีกแบบเลยค่ะ























































































เชื่อว่าคงไม่มีใครไม่รู้จักสะพานสารสิน สถานที่ท่องเที่ยวยอดนิยม ของจังหวัดภูเก็ต สถานที่แห่งนี้เป็นอนุสรณ์แห่งความรักของชายหนุ่มและหญิงสาวที่มีฐานะต่างกันและเป็นสถานที่ที่ทั้งคู่จบชีวิตลงพร้อมกัน
ตำนานรักที่เป็นที่เลื่องลือของคนทุกยุคทุกสมัย เรื่องราวของนางนาคและนายมาก สามีและภรรยาที่อาศัยอยู่ทุ่งพระโขนง ทั้งคู่ใช้ชีวิตอยู่ร่วมกันจนนางนากตั้งครรภ์อ่อนๆ ไม่นานนักนายมากถูกหมายเรียกให้ไปเป็นทหารประจำการ ทำให้นางนากต้องอยู่เพียงลำพัง จนเมื่อถึงกำหนดคลอดเด็กไม่กลับหัว ทำให้นางนาคสิ้นใจทันทีเพราะทนความเจ็บปวดไม่ไหว กลายเป็นผีตายทั้งกลม ด้วยความรักที่มีให้นายมาก นางนาคจึงไม่ยอมไปไหนกลายเป็นผีรอนายมากกลับมา
มุกเป็นสาวชาวบ้านที่มีฐานะค่อนข้างยากจนส่วนแสนเป็นลูกชายกำนันที่มีฐานะร่ำรวย จุดเริ่มต้นของทั้งคู่เกิดจาก เมื่อมุกเก็บว่าวของแสนที่ทำหลุดมาและแสนได้ให้ว่าวนั้นเป็นของที่ระลึก จากนั้นทั้งคู่จึงทำความรู้จักสนิทสนมกันมากขึ้น จนกลายเป็นความรักที่ลึกซึ้ง แต่ทางบ้านแสนเห็นว่ามุกไม่เหมาะสมเพราะมีฐานะยากจน จึงบังคับให้แสนแต่งงานกับหญิงที่ทางบ้านเลือกไว้แล้ว เมื่อมุกรู้เรื่องเกิดความเศร้าเสียใจเป็นอย่างมากจึงไปกระโดดเขาฆ่าตัวตาย ส่วนแสนเมื่อทราบเรื่องจึงกระโดดหน้าผาตายตามไป
ตำนานรักสุดท้ายที่ แพรว wedding นำมาให้ซาบซึ้งคือตำนานรักต่างเชื้อชาติ ต่างชนชั้นของเจ้าน้อยศุขเกษม ราชบุตรของเจ้าหลวงเชียงใหม่และมะเมียะสาวน้อยจากเมืองพม่า





