5 ช่างแต่งหน้าคิวทองของเมืองไทย

เรื่อง : Red Velvet

           เชื่อว่าเจ้าสาวหลายคนคงอยากสวยที่สุดในวันพิเศษของตัวเอง และหากคุณกำลังมองหาช่างแต่งหน้าที่อยู่ในอันดับต้นๆของเมืองไทยคงหนีไม่พ้น 5 อันดับช่างแต่งหน้าคิวทอง ที่มีผลงานมากมายให้เราได้เห็นจากอินสตาแกรมของเหล่าดารา รวมไปถึงการแต่งหน้าเจ้าสาวที่แต่ละคนมีผลงานการันตีนับร้อย เราไปทำความรู้จักกับพวกเขากันเลยค่ะ

 
1. วินิจ บุญชัยศรี (ป้อม) Instagram : @pom_vinij

1           หากพูดถึงช่างแต่งหน้าของเมืองไทยที่กำลังโด่งดังในตอนนี้ หลายคนต้องรู้จักพี่ป้อม วินิจ ซึ่งมีผลงานการแต่งหน้าให้ซุปตาร์ตัวแม่อย่าง “ชมพู่-อารยา เอ ฮาร์เก็ต” ให้โดดเด่นที่เมืองคานส์ในปีที่ผ่านมา ด้วยสไตล์การแต่งหน้าที่ออกแนวสวยคม ตาแน่น ปากแน่น ขนตาเป๊ะ ซึ่งสไตล์นี้ทำให้ตาดูคมขอบตาชัดและรับกับปากที่เข้ากันสุดๆไปเลยค่ะ เหมาะกับเจ้าสาวที่ต้องการอยากได้ลุคที่จัดเต็มเป็นนางพญาค่ะ นอกจากนี้ยังมีแฮชแท็กประจำใจอย่างเช่น #ลูกสาวสวยมาก #ทำทุกงานเราไม่บ่น เพราะความจนมันน่ากลัว อีกด้วย
ข้อมูลการติดต่อ : โทร. 09-4236-4424 , www.fiatbypomvinit.com
ผลงานเพิ่มเติมทาง Instagram : @pom_vinij

2. ฉัตรชัย เพียงอภิชาติ (ฉัตร) Instagram : @nongchat

2           อีกหนึ่งช่างแต่งหน้าที่ทำให้ “หญิง-รฐา โพธิ์งาม” ได้เดินสวยบนพรหมแดงที่เมืองคานส์ คงหนีไม่พ้นน้องฉัตรที่กำลังมาแรง นับเป็นช่างแต่งหน้าที่อายุน้อยแต่มีชื่อเสียงมากในขณะนี้ สไตล์การแต่งหน้าของน้องฉัตรจะออกแนวหวาน โทนสีชมพู สีพีช สีนู้ด เน้นดวงตาให้ดูหวานฉ่ำ หน้าเจ้าสาวจะดูหวานเป็นธรรมชาติ ไม่หนาจนเกินไปนอกจากนี้น้องฉัตรเองยังแต่งหน้าผู้ชายได้เริ่ดอีกด้วยค่ะ งานผมนี่ไม่ต้องพูดถึงเป๊ะปังสะกดทุกสายตาแขกในงานกันเลยทีเดียว หากเจ้าสาวคนไหนชอบสไตล์หน้าหวานๆ สไตล์เจ้าหญิงโลกสวย ดวงตากลมโต และงานขนตา น้องฉัตรคือคำตอบของคุณค่ะ
ข้อมูลการติดต่อ : โทร. 09-1739-3056, Line : nongchat111 หรือ aimmyitchy21, Facebook : suaytamsung
ผลงานเพิ่มเติมทาง Instagram : @nongchat

3. นพกร เพชรล้ำ (ชาติ) Instagram : @chartmakeup

3           ช่างแต่งหน้าที่เนรมิตรหน้าเจ้าสาวให้ได้หวานหยดย้อยคงหนีไม่พ้น พี่ชาติ หรือที่หลายคนคงรู้จักในชื่อ ชาติ เมคอัพ สไตล์ของพี่ชาติจะเน้น Eyes shadow ดูเป็นธรรมชาติ ขอบตาที่เฉี่ยว ปากเต็ม สะกดสายตาประหนึ่งว่าเป็นเจ้าหญิง เจ้าสาวคนไหนที่อยากได้ดวงตาโฉบเฉี่ยว ลุคเจ้าสาวเบาๆ ไม่หนักหน้า พี่ชาติช่วยเนรมิตให้คุณสวยได้แน่นอนค่ะ นอกจากนี้ยังมีผลงานการแต่งหน้าให้กับ “ปอย ตรีชฎา” อยู่เป็นประจำด้วยนะคะเรียกได้ว่าเป็นลูกรักกันเลยทีเดียว
ข้อมูลการติดต่อ : โทร. 08-6999-3101, Line : Teka_boy
ผลงานเพิ่มเติมทาง Instagram : @chartmakeup

4. ทศพล สนั่นวงศ์ (ฮั้ว) Instagram : @hollyhua

4           ช่างแต่งหน้าที่นักแสดงแถวหน้าในเมืองไทยรู้จักอย่าง ฮั้ว ทศพล ซึ่งเคยแต่งหน้าเจ้าสาวอย่าง “แอฟ ทักษอร” และ “ตั๊ก บงกช” สไตล์ของพี่ฮั้ว ทศพล จะเน้นใบหน้าที่ดูมีสีสันของแก้มและปาก คิ้วชัด เน้นงานตาที่เบา ปากชัด ลุคเจ้าสาวที่ได้จะออกแนวสาวใสวัยแรกแย้มแบบย้อนวัยกันเลยทีเดียวค่ะ เจ้าสาวคนใดชอบสไตล์ขี้เล่นเจ้าสาวแสนสนุก ติดต่อพี่ฮั้ว ทศพลได้เลยค่ะรับรองไม่ผิดหวังแน่นอน
ข้อมูลการติดต่อ : โทร. 08-1638-5911, Line : Hollyhua
ผลงานเพิ่มเติมทาง Instagram : @hollyhua

5. พรรวิษิษฐ์ สุขารมณ์ (ป๊อก) Instagram : @lovemelondon

5           พี่ป็อกเป็นช่างแต่งหน้าที่มีโอการแต่งหน้าอภิเษกสมรสของสมเด็จพระราชินีเจกซุน และเจ้าชายจิกมีแห่งภูฏานค่ะ เราจะเห็นผลงานการแต่งหน้าของพี่ป็อกได้จากซุปตาร์อย่าง “พลอย เฌอมาลย์” เป็นประจำ สไตล์การแต่งหน้าของพี่ป็อกจะออกแนวจมูกชัด แก้มชัด ขนตาเป็นธรรมชาติไม่หนาจนเป็นแพ และงานดั้งกับงานเน้นหัวตาที่ชัดเจนทำให้หน้าดูมีมิติมากค่ะ
ข้อมูลการติดต่อ : โทร. 08-5196-4242
ผลงานเพิ่มเติมทาง Instagram : @lovemelondon

ขอขอบคุณภาพจาก IG : @pom_vinij , @nongchat, @chartmakeup, @hollyhua, @lovemelondon

The Route of Love สุกี้-กมล และ เจ-ปนัดดา

ราว 10 ปีก่อน กมล สุโกศล แคลปป์ หรือที่คนในวงการเพลงรู้จักกันในชื่อ “สุกี้” ได้บิดมอเตอร์ไซค์คันโตออกจากกรุงเทพฯ อันเป็นบ้านเกิดและเมืองที่เขาเติบโต โดยทิ้งหลายสิ่งหลายอย่างเอาไว้เบื้องหลัง

ไม่ว่าจะเป็นชีวิตคู่ที่เพิ่งกลายเป็นอดีต…ค่ายเพลงที่เขามีส่วนร่วมก่อตั้ง…กีตาร์…สตูดิโอ…และวงการดนตรี เขาเดินทางไกลไปบนพาหนะ 2 ล้อราคาแพงระยับ โดยที่ไม่มีกำหนดกลับ…ไม่มีแม้แต่เป้าหมายที่ปลายทาง เวลานั้นสุกี้ไม่รู้จริงๆ ว่าชีวิตเขาจะเป็นอย่างไรต่อไป กลับไปสานต่อธุรกิจโรงแรมของครอบครัว หรือว่ามองหาเส้นทางใหม่ๆ

ไม่นานนัก ในระหว่างที่ยังอยู่ในช่วงเวลาของความสับสนบนทางแยกของชีวิต เขาก็ได้พบกับผู้หญิงคนหนึ่ง…เธอ คือ เจ ปนัดดา เลิศหัตศิลป์ ผู้บริหาร “สมบัติเพิ่มพูน แกลเลอรี่” แกลเลอรี่เอกชนขนาดใหญ่ที่สุดของเมืองไทย ซึ่งเป็นที่รู้จักดีในหมู่นักสะสมงานศิลป์ ในฐานะศูนย์รวมผลงานของศิลปินชื่อดังที่มีมูลค่านับพันล้านบาท

แล้วนับจากนั้นชีวิตของ “เขา” และ “เธอ” ก็เปลี่ยนไป…

1Route 1: Love at First Ride

“การแต่งงานเป็นเรื่องแปลกนะ ชีวิตก็ดูเหมือนเดิม แต่ไม่เหมือนเดิม”

ผู้ชายที่เพิ่งผ่านงานใหญ่ครั้งแรกของชีวิตมาได้ไม่นานนัก (ในวันที่สัมภาษณ์) เปรยขึ้นมา ถัดจากคำทักทายถึงชีวิตคู่ที่เพิ่งเริ่มต้น “อย่างเป็นทางการ” กับภรรยาของเขา ซึ่งเส้นทางของทั้งคู่ได้มาโคจรพบกันเมื่อหลายปีก่อน

“ผมเจอกับเจครั้งแรกที่งานวันเกิดของเพื่อนคนหนึ่ง ประมาณ 5 ปีครึ่งมาแล้ว” คุณสุกี้อธิบายท่ามกลางบรรยากาศร่มรื่นริมน้ำของอพาร์ตเมนต์หรูย่านสาทร ซึ่งครั้งหนึ่งเคยเป็นบ้านหลังแรก นับจากที่เขาต้องกลับมาใช้ชีวิตลำพัง แตกต่างจากครั้งนี้ที่กลายเป็นเรือนหอของเขากับผู้หญิงที่ถูกยกให้เป็น “คนที่เอาสุกี้อยู่!”

“วันนั้นพี่สาวไปด้วย (คุณดารณี สุโกศล แคลปป์) แล้วเขาอยู่กับเพื่อนสวยๆ เต็มเลย ซึ่งที่ผ่านมาเขาไม่เคยแนะนำใครให้น้องชาย เพราะคิดว่าน้องชายทุเรศ (หัวเราะลั่น)”

แม้จะเพิ่งผ่านประสบการณ์อันเจ็บปวดในเรื่องความรักมา แต่ด้วยแววตาสดใสที่เปี่ยมด้วยความมั่นใจของคุณเจ ทำให้สัญชาตญาณกระซิบกับคุณสุกี้ว่า “นี่แหละคนที่เราเฝ้าคอยมาตลอด”

แม้ว่าอีกฝ่ายหนึ่งจะไม่ได้รู้สึกพิเศษอะไรกับตัวเขา หรือเหตุการณ์ในวันนั้นเลยก็ตาม

“คืนนั้นพี่ดารณีแนะนำน้องชายให้รู้จัก แต่ก็ไม่ได้รู้สึกพิเศษอะไรนะคะ เพราะว่าไม่ได้คุยกันเลย รู้แค่ อ๋อ นี่คือน้องชายพี่ดารณี แล้วก็รู้แค่ว่า เขาอยู่ในวงการบันเทิง” คุณเจเล่าด้วยรอยยิ้มถึงช่วงเวลาที่เป็นจุดเริ่มต้นของทุกอย่าง

2เหตุการณ์หลังจากคืนนั้นเป็นยังไงบ้าง

“จากที่เจอวันนั้น ผมก็ตั้งใจว่าจะจีบเขา แต่ไม่รู้ว่าจะทำยังไงต่อ เพราะผมเป็นคนขี้อายและไม่มั่นใจตัวเองในเรื่องผู้หญิงมาตลอด สมัยเด็กๆ ก็ไม่เคยจีบใครติดเลย…แต่จะเอาคนนี้! (หัวเราะ) ผมเลยเริ่มจากขับรถไปบ้านพี่ณีแล้วบอกเขาว่า ‘คนนี้ไอชอบจริง ยูอย่าทำพังนะ’ ซึ่งตอนที่พูดเขากำลังกินข้าวอยู่ พอได้ยินแล้วเขาก็… (ทำหน้าอ้าปากหวอ) คือผมกลัวเขาไปพูดต่อแล้วทำทุกอย่างพัง” คุณสุกี้เล่าเสียงดัง ขณะที่คุณเจนั่งฟังยิ้มๆ

“หลังจากนั้นพี่สา (มาริสา สุโกศล หนุนภักดี) จัดงานเปิดตัวหนังสือของเขา (“มาริสา อัลบั้มรับเฉพาะรัก”) ซึ่งต่างคนต่างก็ได้ไปร่วมงาน และทุกอย่างเริ่มคืบหน้าเมื่อ จุ๊ก (อาทิตย์ อัสสรัตน์) เพื่อนผม จัดการชวนเจไปที่บ้านเขา”

“ตอนนั้น ยูนิ ภรรยาของคุณจุ๊กเพิ่งย้ายมาจากสิงคโปร์ เขาทำงานเกี่ยวกับศิลปะ แล้วจุ๊กหรือยู (หมายถึง สุกี้) นี่แหละเมล์มาหาเจว่า อยากแนะนำให้รู้จักกับยูนิ ถึงแม้ว่าจะไม่เคยรู้จักกับคุณจุ๊กมาก่อน เราก็คิดแค่ว่าได้รู้จักกันไว้ก็ไม่เสียหาย เผื่อจะได้ร่วมงานกัน”

3แล้วคุณเจเริ่มรู้ตัวเมื่อไหร่ว่าผู้ชายคนนี้มาจีบเรา

“เริ่มรู้วันที่มีงานเปิดนิทรรศการที่หอศิลป์กรุงเทพ หลังจากวันที่เจอกันที่บ้านคุณจุ๊กประมาณอาทิตย์หนึ่ง เจกำลังถือพวกหนังสือสูจิบัตรอยู่เป็นปึกๆ แล้วเขาเข้ามาบอกว่าจะถือให้ จุดนั้นทำให้เริ่มสะกิดใจ พอดีงานวันนั้นเลิกไม่ดึก เราต่างคนต่างไม่ได้เอารถมา ต้องลงมาเรียกแท็กซี่อยู่แล้ว ก็เลยถามว่า ไปกินข้าวกันไหม คืนนั้นเลยมีโอกาสได้คุยกัน 2 คนเป็นครั้งแรก”

4Route 2: Love is on the way

จากจุดเริ่มต้นคืนนั้น ประตูความสัมพันธ์ของทั้งคู่ก็ค่อยๆ แง้มออกมาช้าๆ ขณะที่วันเวลาที่ผ่านไปก็พิสูจน์ว่า เสียงกระซิบจากสัญชาตญาณของคุณสุกี้ในครั้งแรกที่พบกันนั้นถูกต้อง…ทั้งยังชัดเจนขึ้นทุกขณะ

“เขาเป็นผู้หญิงที่สามารถอยู่กับเพื่อนผมได้ สามารถซ้อนมอเตอร์ไซค์เข้าป่าได้ แถมยังไปพิพิธภัณฑ์กับคุณกมลา (กมลา สุโกศล คุณแม่ของคุณสุกี้) ได้นี่หายากนะเว่ย เรียกว่าขึ้นเหนือลงใต้ ไฮโซโลโซได้หมด” คุณสุกี้ชมคุณเจ ก่อนจะเล่าต่อถึงเส้นทางความรักที่เริ่มเบ่งบาน

ขณะเดียวกันทางฝั่งของคุณเจ ก็รู้สึกประทับใจในความแข็งแรงบึกบึนและ “ถึก” ในแบบผู้ชายๆ ของเขา แถมบุคลิกบางอย่างของคุณสุกี้ยังไปมีส่วนคล้ายคลึงกับผู้ชายคนที่เป็นดั่งรักแรกของเธอ

“พอคบกันมาเรื่อยๆ ก็รู้สึกว่า เฮ้ย เขาเหมือนพ่อเรา คือคุณพ่อจะเป็นศิลปิน สมัยก่อนท่านเคยเขียนป้ายโรงหนังเฉลิมไทยด้วย นอกจากนั้นคุณสุกี้ยังดีอย่างหนึ่งคือ เขาเป็นศิลปินที่มีความเป็นนักธุรกิจอยู่ในตัว คุณพ่อเจก็เหมือนกัน ความเป็นศิลปินของคุณพ่อคือ มีความคิดสร้างสรรค์ ไม่ยึดติดอยู่ในกรอบ แต่ก็จะเป็นคนมีระเบียบ”

ด้วยฝ่ายชายหมั่นส่งข้อความแสดงความรู้สึกภายในใจผ่านโปรแกรมแชตแบล็คเบอร์รี่ไปหาฝ่ายหญิงเป็นภาษาคาราโอเกะตามที่เพื่อนฝูงได้สอนเอาไว้ ระยะห่างระหว่างทั้ง 2 คนก็ค่อยๆ เขยิบเข้ามาใกล้ชิดเป็นลำดับ กระทั่งบททดสอบแรกที่ทำให้ความสัมพันธ์ของทั้งคู่พัฒนาไปอีกขั้นได้มาถึง

5บททดสอบนั้นคืออะไรหรือครับ

“เราสองคนได้บังเอิญไปเจอดีโน่ (ลูกชายคุณสุกี้กับภรรยาคนแรก) ที่ร้านแห่งหนึ่งแถวสุขุมวิท”

“เป็นการเจอกันแบบแปลกๆ ด้วย เพราะวันนั้นดีโน่อยู่กับพ่อแม่ของแฟนเขา ซึ่งผมไม่เคยเจอพวกเขามาก่อน”

“ตอนนั้นเราเพิ่งเริ่มๆ คบกัน เจยังไม่มีโอกาสได้เจอดีโน่เลย แล้วอยู่ดีๆ ไปเจอกันที่ร้านอาหาร เจก็รู้สึกผิดนิดนึงว่า ดีโน่ไม่น่าถูกสถานการณ์บังคับให้ต้องมาเจอกันเลย เขาน่าจะเจอเราในสถานการณ์ที่เขาอยากจะเจอ แต่สุดท้ายมันก็ไม่มีอะไร ต่างคนต่างก็ไปนั่งโต๊ะของตัวเอง แต่ทุกอย่างก็โอเคค่ะ (ยิ้ม)”

6ทำไมคุณเจถึงมองว่า วันนั้นเป็นเหตุการณ์ที่ทำให้ความสัมพันธ์ก้าวหน้า

“เพราะดีโน่เป็นส่วนสำคัญของชีวิตเขา แล้วคุณสุกี้ก็จะพยายามปกป้องดีโน่ คือถ้ายังไม่แน่ใจกับคนที่คบจริงๆ เขาก็จะไม่แนะนำให้ดีโน่รู้จักเลย ดังนั้นพอเรายังไม่ได้เจอส่วนสำคัญของชีวิตเขา ก็เหมือนกับมีช่องว่างขนาดใหญ่มากั้นเราไว้ ทำให้เรายังไม่สนิทกันจริงๆ น่ะค่ะ ดังนั้นพอเราอุดช่องว่างนั้นไปได้แล้ว ทุกอย่างก็ดีขึ้น”

“จากก้าวแรก ผมเอาเขาซ้อนมอเตอร์ไซค์ได้ พอผ่านก้าวที่สอง เขาได้เจอดีโน่แล้ว ก็มาถึงก้าวที่สามตอนที่ได้เจอคุณกมลา” คุณสุกี้ไล่ระดับความสัมพันธ์แบบเข้าใจง่ายให้ฟัง

8งั้นขอย้อนกลับไปก้าวแรกก่อนว่า วันแรกที่คุณเจยอมซ้อนมอเตอร์ไซค์คุณเป็นยังไงบ้าง

“วันนั้นเพื่อนๆ ผมมีแข่งมอเตอร์ไซค์กันที่บางแสน ผมเลยให้เจซ้อนไปบางแสน แล้วเป็นวันที่ร้อนมากๆ เลย พอเรากลับมาถึงที่นี่ ผมกับเจเดินขึ้นบันไดสวนกับน้อย (กฤษดา สุโกศล แคลปป์ หรือ น้อย วงพรู) น้อยมองเราแล้วก็ถามว่า “What do you do to her?” เอาเขาไปทำอะไรมา (หัวเราะ)”

7โอเค กลับมาก้าวที่สาม คุณเจไปพบคุณกมลาได้ยังไงครับ

“เจอโดยบังเอิญที่เอ็มโพเรี่ยมค่ะ เหมือนคราวดีโน่เลย คือเราก็ไม่รู้ว่ามันถึงเวลาที่จะได้เจอแม่เขาหรือยัง แต่อยู่ดีๆ มาเจอ ก็เลยรู้สึกแบบ…ยังไงล่ะ แต่สุดท้ายก็ไม่มีอะไร” คุณเจเล่า “จริงๆ ตอนที่คุณสุกี้ได้เจอคุณพ่อเจก็บังเอิญอีกเหมือนกันนะคะ คือคุณสุกี้ไปแกลเลอรี่ แล้วคุณพ่อมาพอดี ก็เลยได้เจอกัน”

นับจากที่คบกันจริงจัง เคยมีปัญหาหรือทะเลาะกันบ้างไหมครับ

“ผมโดนด่าทุกวัน (หัวเราะ) ซึ่งผมคิดว่าเป็นเรื่องดี เพราะปกติคนไทยจะไม่ค่อยเถียงกัน แล้วก็จะเก็บเอาไว้ในใจ แต่เขาเป็นคนพูดตรงๆ “สุ ยูผิด!” ซึ่งปกติผมไม่ค่อยฟังใคร และไม่มีใครด่าผมไง (นิ่งคิด) แต่เราก็ไม่ทะเลาะกันมากนะครับ นานๆ ที แต่ก็มีอยู่ช่วงหนึ่ง ตอนที่ผมคบเขาไปได้ประมาณครึ่งทาง เขาเคยบอกว่า “สุกี้ ไอน่ะปกติ ยูน่ะแปลก” (หัวเราะ)”

“คือเจรู้สึกว่าเขาจะมีความซับซ้อนทางความรู้สึกและความคิดค่อนข้างมาก แล้วก็มี Conflict กับตัวเองเยอะ แต่เจเป็นผู้หญิงที่ชัดเจน ชอบอะไรก็บอกชอบ ไม่ชอบก็บอกไม่ชอบ จะไม่มีประเภท ชอบ แต่ว่า…”

แล้วความซับซ้อนตรงนี้ทำให้ความสัมพันธ์เป็นไปได้ยากขึ้นหรือเปล่า

“ยากค่ะ ยิ่งช่วงแรกๆ ที่คบกัน ด้วยความสัมพันธ์ยังไม่ได้แน่นแฟ้น เราเลยยังก้าวข้ามเส้นเขาไม่ค่อยได้” คุณเจยอมรับ “แต่พอคบมาเรื่อยๆ ก็เริ่มเข้าใจและปรับตัวได้ว่าที่สุดแล้ว เราต้องมีความบาลานซ์กัน ความสัมพันธ์จึงเริ่มดีและแน่นแฟ้นขึ้น”

9Route 3: Love is….

ความสัมพันธ์ของทั้งคู่ดำเนินมาเรื่อยๆ โดยราบรื่น…เพื่อที่จะพบว่า เส้นทางชีวิตของทั้งเขาและเธอได้มาถึงทางแยกให้ต้องเลือกไปอีกครั้ง…

“หลังจากที่คบกันมาได้ประมาณ 3 ปี ก็คิดว่าแล้วมันจะไปไหนต่อ เพราะในมุมหนึ่งเจก็อยากมีครอบครัว เลยเกิดคำถามขึ้นว่า ความต้องการของเรา 2 คนตรงกันหรือเปล่า เราคบผู้ชายที่มีลูกแล้ว เราเองก็อายุ 30 จะคบกันอย่างนี้ไปเรื่อยๆ เป็นแฟนกันตลอดไป โดยที่เขาก็มีลูกของเขาอย่างนี้น่ะเหรอ ก็เลยต้องคุยกันจริงจัง” คุณเจ รำลึกถึงช่วงเวลาหัวเลี้ยวหัวต่อนั้น

“มันมาถึงจุดที่ผมต้องตัดสินใจซะที ความที่ผมเคยมีครอบครัวมาแล้ว ผมต้องตอบตัวเองให้ได้ก่อนว่า อยากจะมีอีกหรือเปล่า แล้วในเวลาเดียวกัน ดีโน่ก็โตเป็นผู้ใหญ่ กำลังจะออกจากบ้านไปมีชีวิตของตัวเอง ตรงนั้นเลยถือเป็นจุดเปลี่ยนครั้งใหญ่ของชีวิตเลย” คุณสุกี้เล่า “ผมต้องเลือกอย่างใดอย่างหนึ่ง เราคงจะใช้ชีวิตอย่างนี้ไปเรื่อยๆ ไม่ได้แล้ว มันไม่แฟร์กับผู้หญิง จนในที่สุดผมก็ตัดสินใจได้ว่า ถ้าไม่แต่งงานกับเจ เขาก็คงทิ้งผมไปแล้วล่ะ (หัวเราะ) พอตัดสินใจอย่างนั้น ดีโน่เขาก็สนับสนุนเต็มที่”  

จุดเปลี่ยนที่ว่านี้เกิดขึ้นเมื่อไหร่ครับ

“น่าจะประมาณ 2 ปีได้แล้วเนอะ (หันไปถามภรรยา) แต่ตอนนั้นผมกำลังทำอัลบั้ม Monkey Disco Boy ของตัวเองอยู่ ผมเลยพูดกับเขาตลอดว่า “ขอให้เสร็จก่อน ขอให้เสร็จก่อน” แล้วค่อยแต่งงาน (หัวเราะ)”

“ได้มาคุยเรื่องงานแต่งงานกันจริงจังในช่วงต้นปี 58 นี่เองค่ะ หลังจากนั้นก็คงคล้ายๆ กับคู่อื่น ที่จะต้องคุยกันว่า ช่วงไหนดี พอสรุปว่าเป็นช่วงปลายปีแล้ว คุณแม่เจก็เอาวันเกิดไปดูฤกษ์กับผู้ใหญ่ของเขา สุดท้ายก็เลยได้เป็นวันที่ 13 ธันวาคมค่ะ”

11การเตรียมงานยุ่งยากไหมครับ สำหรับทายาทโรงแรมอย่างคุณสุกี้

“สำหรับผม เราเคยจัดคอนเสิร์ตมาเยอะ มันจะยากแค่ไหนวะ แล้วเดอะสุโกศลน่ะ ปีนึงๆ จัดงานแต่งงานประมาณ 150 งาน เขารู้อยู่แล้วว่าต้องทำอะไรบ้าง” คุณสุกี้อธิบาย “อย่างงานคอนเสิร์ต สมัยก่อนผมดูแลทั้งหมดเอง แต่เดี๋ยวนี้ผมปล่อยมากขึ้น ตอนเตรียมงานแต่งงานผมก็คิดแบบนี้เหมือนกัน เลยไม่ได้รู้สึกว่ามันจะยุ่งยากอะไร รู้แต่ว่าจะต้องใส่ใจเขาเยอะๆ”

“ส่วนตัวเจไว้ใจทางบ้านคุณสุกี้กับทางโรงแรมอยู่แล้วว่าน่าจะจัดออกมาดีแน่นอน คุณสุกี้เองก็จะพูดตลอดว่าเคยจัดคอนเสิร์ตมาแล้ว งานแต่งเรื่องง่ายนิดเดียว แต่พอเวลาผ่านไป ทำไมมันยังไม่มีอะไรเลย ทำไมเรายังไม่ได้คุยกับใครเลย เราก็เริ่มรู้สึกว่าไม่ใช่ละ คือเขาจะแค่พูด แต่ไม่ทำซะทีไงคะ เวลาทำคอนเสิร์ต เขาก็จะจ้างคนนั้นคนนี้มาทำงานใช่ไหม ถ้างั้นงานแต่งงานก็ต้องจ้างนะเว้ย ไม่ใช่นั่งๆ พูดแล้วมันจะเกิดขึ้น”

12แล้วเรื่องชุดละครับ ทราบว่าคุณสุกี้เพิ่งซื้อไทก่อนวันแต่งงานเพียงวันเดียวด้วยซ้ำ

“คือผมมองว่า โอเค สูทต้องสั่งตัดล่วงหน้าอยู่แล้ว ส่วนเรื่องไทน่ะไม่เห็นจะยากตรงไหน ก็แค่เดินไปห้างแล้วชี้ว่าเอาอันนี้ พอวันงานทุกคนชมชุดผมกันทั้งนั้น อย่างแม่พอเห็นผมในชุดนั้นก็มองผมคล้ายจะบอกว่า ‘You look different today’ ซึ่งแม่ไม่เคยมองผมอย่างนั้นมาก่อน ทั้งที่วิธีเลือกแบบสูทของผมน่ะโคตรง่ายเลย ผมชอบยุค 1920s ผมก็เข้าไปค้นหาภาพจากหนังเรื่อง Great Gatsby แล้วก็เอาภาพไปให้ร้านตัดตาม”

“แต่เราสองคนไม่เคยเห็นชุดกันและกันเลยนะคะ จนกระทั่งวันงาน เราก็กลัวเหมือนกันว่าชุดจะเข้ากันไหม”

“ชุดของเขาแบรนด์ฝรั่งเศส ส่วนของผม พิ้งกี้ เทเลอร์ สำเพ็ง” คุณสุกี้หัวเราะลั่น

13แล้วคุณสองคนคิดอย่างไรกับกระแสดราม่าคุณน้อยร้องเพลงบนโต๊ะอาหารในงานแต่งบ้าง

“ผมไม่ได้ใส่ใจเรื่องนั้นเลย ส่วนน้อยเขาก็โอเคนะ เพราะมันเป็นงานแต่งของพี่เขา โรงแรมของครอบครัวเรา”

“เจว่า กระแสมันเกิดจากที่คนส่วนใหญ่ไม่รู้กันว่าตอนนั้นแขกกลับไปหมดแล้ว เหลือแต่เด็กๆ แล้วก็พวกเบเกอรี่ฯ ที่ยังเต้นกันอยู่ คนเขาอาจจะคิดว่ายังมีคนนั่งกินข้าวอยู่ก็ได้เนอะ” คุณเจหันไปถามสามี

14หลังจากที่ได้ใช้ชีวิตคู่มาพอสมควรแล้ว คิดว่าการแต่งงานดีกับชีวิตยังไงบ้าง

“ผมรู้สึกว่าการแต่งงานทำให้ผมไม่อยู่ไปวันๆ ช่วงที่ผมออกจากเบเกอรี่ฯ แล้วเอาแต่ขี่มอเตอร์ไซค์น่ะ ถ้าไม่มีดีโน่นี่เละเลยนะ ผมไม่มีหลักอะไรให้ยึดอีกแล้ว แต่การแต่งงานทำให้ผมมีแกนให้ยึดได้”

“มุมมองความรักก็เปลี่ยนไปบ้างเหมือนกันนะคะ สมัยก่อนเวลาเรามี Puppy Love หรือเวลาดูหนัง ก็จะเจอแต่ความรักที่หวานแหววหรือหวือหวา แต่ในความเป็นจริงแล้ว คนที่จะอยู่กับเราได้ก็คือคนที่สามารถเข้ากันได้”

“เราอาจมีอะไรหลายอย่างไม่เหมือนกัน แต่เพราะเรามีแกนที่เหมือนกันถึงทำให้สามารถอยู่ด้วยกันได้ ไอ้พวกเรื่องเปลือกนอกน่ะสามารถประนีประนอมหรือปรับกันได้ แต่เรื่องแกนเป็นเรื่องที่ประนีประนอมไม่ได้ ลึกๆ ต้องเชื่อในสิ่งเดียวกัน ไม่งั้นไปยังไงก็พัง ไม่ช้าก็เร็ว หรือถ้าไม่พังก็จะรู้สึกทุกข์ทรมาน”

“การเข้ากันได้คือส่วนสำคัญที่ทำให้ความรักไม่หมดไป แต่ถ้ามีแค่ความรัก ซักวันก็จะค่อยๆ หมดไปในที่สุด เห็นด้วยไหมคะ”

คำถามทิ้งท้ายของคุณเจ แม้จะชัดเจนว่าไม่ต้องการคำตอบ แต่ที่ชัดเจนกว่านั้นคือสิ่งที่แฝงอยู่ในระหว่างประโยค ระหว่างคำพูดตลอดบทสนทนาก็คือ ความผูกพันที่ทั้งคู่มีให้แก่กัน ซึ่งเกิดการเพาะบ่มจากวันเวลากว่าครึ่งทศวรรษ…จากวุฒิภาวะของทั้ง 2 คนที่เป็นผู้ใหญ่กันแล้ว และแน่นอน…จากความรัก

ทั้งหมดเป็นคำตอบที่ยังผลให้เกิดสิ่งที่คุณสุกี้ได้กล่าวเอาไว้ในตอนต้นที่เราขอเติมคำห้อยท้ายให้ว่า

“ชีวิตที่ดูเหมือนเดิม แต่ไม่เหมือนเดิม…อีกต่อไป”

Romantic Lucerne ควงคนรัก ล่องทะเลสาบ ชมความงามเมือง ลูเซิร์น

1

หากพูดถึงสถานที่สุดโรแมนติก แน่นอนว่า ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ คงจะอยู่ในใจเป็นอันดับต้นๆ ของใครหลายๆ คนเป็นแน่ และหนึ่งแหล่งท่องเที่ยวที่นักท่องเที่ยวทั่วโลกรวมไปถึงคู่ฮันนีมูนหลายคู่ต่างใฝ่ฝันอยากจะไปยลไปเยือน และไปเยี่ยมเยียนเป็นที่สุด ก็คงจะหนีไม่พ้นเมืองอากาศดีที่อยู่เกือบใจกลางประเทศอย่าง ลูเซิร์น (Lucerne) เมืองตากอากาศยอดฮิตติดอันดับเมืองหนึ่งของดินแดนหลังคาแห่งทวีปยุโรปนี้ เราจึงไม่พลาดที่จะใส่ไว้ในแผนเดินทางรอบโลกในแฟนเพจเฟซบุ๊ค Hoo Backpack ของผมและเก็บเรื่องราวโรแมนติก ณ เมืองนี้มาฝากกัน

นอกจากวิวทิวทัศน์อันสวยงามและความเก่าแก่ของสถาปัตยกรรมแล้ว เมืองลูเซิร์นยังมีทะเลสาบลูเซิร์นที่เป็นเสน่ห์ดึงดูดนักท่องเที่ยวจากทั่วทุกมุมโลก กิจกรรมยอดฮิตเมื่อมาเยือนสถานที่แห่งนี้จึงจะเป็นอะไรไปไม่ได้ นอกจากการล่องเรือไปตามสายน้ำใสเขียวบริสุทธิ์ ยืนอ้าแขนรับลมเย็นๆ พร้อมกับสูดโอโซนเข้าไปให้เต็มปอด เพลิดเพลินไปกับวิวทิวทัศน์สวยๆ ริมฝั่งทะเลสาบที่แสนแปลกตา แต่มีเอกลักษณ์ไม่เหมือนใคร สร้างความประทับใจแรกเห็นให้กับคนที่หลงใหลในเสน่ห์ของธรรมชาติและแอบเทใจให้กับบรรยากาศโรแมนติกแบบนี้ไม่น้อยเลยทีเดียว

Along the Lake : ล่องเรือชมความงามทะเลสาบลูเซิร์น

2

ทะเลสาบลูเซิร์น มีชื่อเรียกว่า Lake of the four forest cantons ตั้งอยู่ท่ามกลางหุบเขา โอบล้อมไปด้วยอ้อมกอดแห่งเทือกเขาธรรมชาติและอาคารบ้านเรือนรูปทรงน่ารักสะดุดตา แต่งแต้มให้เกิดทัศนียภาพอันสวยงาม และให้กลิ่นอายแห่งความเป็นเมืองแห่งขุนเขาได้เป็นอย่างดี หากใครกำลังวางแผนมาล่องเรือชมความงามของทะเลสาบแห่งนี้ เราขอแนะนำ เส้นทางล่องเรือ Luzern – Hergiswil – Alpnachstad

ซึ่งจุดที่น่าสนใจของเส้นทางสายนี้ก็คือ จากเมือง Alpnachstd เราสามารถต่อ cogwheel railway เพื่อที่จะขึ้นไปสัมผัสหมอกหยอกล้อกับยอดเขา Pilatus ที่สูง 2,132 เมตรได้ โดยเจ้า cogwheel railway นี้ ได้ถูกจัดอันดับให้เป็นสายรถ cogwheel ที่ชันที่สุดในโลก โดยมีความชันถึง 48 องศา หากใครอยากอัพเลเวลความตื่นเต้นบวกประทับใจให้พุ่งปรี๊ดเราขอแนะนำ รับรองว่า กดไลค์กันแทบไม่ทันเชียวล่ะ

อีกสิ่งหนึ่งที่น่าสนใจ หากใครมีเวลาต้องลองทำดู ก็คือ ระหว่างเส้นทางสายนี้ ก่อนถึงท่า Alpnachstad Pilatus เรือจะมีจุดจอดแวะระหว่างเมืองต่างๆ ประมาณ 3-4 จุด ซึ่งเราสามารถลงไปเดินเล่น ชมวิถีชีวิตของคนพื้นเมืองที่หาดูไม่ได้ง่ายๆ แต่ขอแนะนำให้เช็คตารางเวลาของเที่ยวเรือให้ดี เพราะไม่อย่างนั้น อาจทำให้เสียเวลาเที่ยวสถานที่อื่นๆ ไปอย่างน่าเสียดาย

Emag142-458Don’t Miss!

นอกจากนี้ ยังมีอีกหนึ่งเส้นทางล่องเรือที่น่าสนใจ นั่นก็คือ Luzern – Weggis – Vitznau – Beckenried – Gersau – Brunnen – Flüelen ซึ่งสามารถล่องเรือชมทิวทัศน์ตามทะเลสาบไปเรื่อยๆ จนถึงเมือง Vitznau จากนั้นต่อรถรอกกว้านสมัยเก่าและรถกระเช้า (Aerial Cable Car) เพื่อขึ้นไปชมความงามและสัมผัสบรรยากาศความเยือกเย็นบนยอดเขาสูงเสียดฟ้าบนภูเขา Rigi (ซึ่งมีความสูง 1,798 เมตรเหนือระดับน้ำทะเล) และภูเขา Stanserhorn

Swiss Pass

สำหรับใครที่เดินทางเองและใช้ Swiss Pass สามารถนำมาใช้แสดงเพื่อรับส่วนลดสูงสุดร้อยละ 50 ในการซื้อตั๋วรถไฟเอกชนขึ้นภูเขาและตั๋วรถกระเช้าไฟฟ้าได้ นอกจากนี้ บัตรนี้ยังสามารถใช้บริการโดยไม่จำกัดทั้งทางรถไฟ รถประจำทาง และเรือภายใต้เครือข่าย Swiss Travel System network อีกด้วย

Around the City: เดินชมเมืองเก่าแห่งทะเลสาบ

4

หลังจากล่องเรือชมความงามของทะเลสาบกันอย่างจุใจแล้ว เราลองมาเปลี่ยนบรรยากาศเดินชมเมืองเก่าลูเซิร์นกันบ้าง โดยเลือกที่จะเดินทางด้วยรถไฟจากเมือง Alpnachstad มุ่งหน้ากลับเข้าสู่เมืองลูเซิร์น เพื่อเริ่มต้นชมความงามอันเป็นอมตะของเมืองนี้กันแบบชิลๆ

ลูเซิร์นถือเป็นเมืองเก่าแก่ ซึ่งเคยปกครองตนเองก่อนจะรวมเข้าเป็นหนึ่งเดียวกันกับประเทศสวิตเซอร์แลนด์เมื่อปี ค.ศ.1332 โดยตัวเมืองถูกแบ่งออกเป็น 2 ส่วน ด้านตะวันออกเป็นเมืองเก่ามีอายุกว่า 500 ปี ตัวอาคารบ้านเรือนในเขตนี้ได้รับการอนุรักษ์ไว้เป็นอย่างดี จึงมีเสน่ห์ดึงดูดนักท่องเที่ยวมากเป็นพิเศษ กับอีกส่วนที่อยู่ทางด้านตะวันตก ซึ่งเป็นเมืองที่ถูกสร้างขึ้นภายหลัง แม้ฝั่งนี้บ้านเมืองจะออกทันสมัยกว่า แต่ก็ยังคงมีร่องรอยของการเป็นหัวเมืองโบราณให้เห็นอยู่บ้าง สวยงามได้บรรยากาศไปอีกแบบ

สำหรับคนที่มาเยือนเมืองเก่าแห่งนี้ ต้องไม่พลาดแวะเช็คอินกันที่แลนด์มาร์คยอดฮิต ซึ่งก็คือสะพานไม้เก่าแก่ Chapel Bridge และอนุสาวรีย์รูปสิงโตหินแกะสลัก Lion Monument สองสิ่งนี้ถือเป็นสัญลักษณ์ประจำเมืองเลยก็ว่าได้

Chapel Bridge สะพานไม้โบราณสุดคลาสสิก

5

จากสถานีรถไฟลูเซิร์น หากมองไปทางด้านซ้ายมือจะเห็นสะพาน Chapel Bridge ทอดตัวข้ามแม่น้ำรอยซ์ (Reuss River) รอให้เราแวะเข้าไปทักทาย จากจุดตรงนี้ เราสามารถเดินเลียบริมน้ำไปเรื่อยๆ เพื่อไปยังสะพานไม้ ระหว่างทางนอกจากจะได้ชมทัศนียภาพของทะเลสาบที่แสนสวยงามและมีทิวเขาของ Pilatus เป็นฉากหลัง ให้ได้อัพรูปกันรัวๆ แล้ว ยังมีหงส์และเป็ดน้ำจำนวนมากแหวกว่ายกันอยู่ในน้ำให้ได้ดูกันเพลินๆ เพิ่มบรรยากาศความสดชื่นมีชีวิตชีวาได้ไม่น้อยเลยทีเดียว

สำหรับสะพาน Chapel Bridge นับเป็นสะพานไม้ที่เก่าแก่ที่สุดในยุโรป และจัดว่าเป็นสะพานแบบโครง (truss bridge) ที่เก่าแก่ที่สุดในโลกด้วย สร้างขึ้นตั้งแต่สมัยศตวรรษที่ 14 มีความยาว 285 เมตร สร้างเชื่อมระหว่างเขตเมืองเก่าซึ่งอยู่ทางขวาของแม่น้ำรอยซ์ ไปยังเขตเมืองใหม่ที่อยู่ทางซ้ายของฝั่งแม่น้ำ บริเวณกึ่งกลางสะพานเชื่อมอยู่กับ Wasserturm หรือ Water Tower ซึ่งมีลักษณะเป็นป้อมรูปทรงแปดเหลี่ยม สูง 43 เมตร สร้างขึ้นก่อนตัวสะพานราว 30 ปี เดิมที่นี่ใช้เป็นที่คุมขังนักโทษและเก็บเอกสารรวมทั้งของมีค่าของเมืองไว้

ความโดดเด่นของสะพานไม้แห่งนี้อยู่ที่การมุงหลังคาแบบโบราณ ซึ่งที่จั่วของแต่ละช่องของสะพานจะมีภาพเขียนเก่าแก่ตั้งแต่สมัยศตวรรษที่ 17 บอกเล่าเรื่องราวประวัติความเป็นมาของเมืองลูเซิร์น เดิมมีทั้งหมด 158 ภาพ แต่เหตุการณ์ไฟไหม้เมื่อปี ค.ศ. 1993 ทำให้ภาพวาดดั้งเดิมเสียหายไปมาก ปัจจุบันได้มีการซ่อมแซมจนมีสภาพใกล้เคียงกับของเดิม คุณอาจสังเกตเห็นร่องรอยของไฟไหม้อยู่บ้างตามทางเดิน ซึ่งก็นับว่าเป็นเสน่ห์เตะตาไปอีกแบบ สำหรับใครที่วางแผนจะมาชมสะพานแห่งนี้ ขอแนะนำให้มาช่วงเย็นๆ เพราะนอกจากจะได้แสงสวยๆ ยามอาทิตย์อัสดงแล้ว ยังได้สัมผัสกับแสงไฟที่นำมาตกแต่งบนสะพานไม้แห่งนี้อย่างตระการตาอีกด้วย สมกับที่เป็น the city of lights เสียจริง

Don’t Miss!

นอกจากนี้บนสะพานไม้ยังมีร้านขายของที่ระลึกสีสันสวยงาม ปลูกสร้างเป็นห้องๆ ลดหลั่นกันไปตามความลาดของสะพาน หากใครกำลังมองหาของฝาก หรือของที่ชวนให้รำลึกถึงเมืองลูเซิร์น ต้องลองแวะเข้าไปดู รับรองถูกใจขาช้อปไม่น้อยเลยทีเดียว

Löwendenkmal (Lion Monument) ประติมากรรมเลื่องชื่อของยุโรป

6

เดินต่อไปจากสะพานไม้ ลัดเลาะไปตามถนน Lowenstrasse เพียงไม่ถึงครึ่งชั่วโมงก็จะถึงอนุสาวรีย์รูปสิงโตหินแกะสลักอันเลื่องชื่ออยู่บนหน้าผาหินก้อนใหญ่ เบื้องหน้ารูปแกะสลักนี้จะมีสระน้ำเล็กๆ กั้นอยู่ และแวดล้อมไปด้วยต้นไม้น้อยใหญ่ สร้างบรรยากาศให้ดูร่มรื่นและเงียบสงบเหมาะสำหรับนั่งพักผ่อนหย่อนใจไม่เบา

อนุสาวรีย์รูปสิงโตแกะสลักนี้ สร้างขึ้นในปี ค.ศ. 1821 โดยด้านบนจะมีตัวอักษรจารึกไว้เหนือสิงโตว่า “Helvetiorum fedei ac Virtuti” แปลว่า “แด่ความจงรักภักดีและความกล้าหาญของชาวสวิต” สร้างขึ้นเพื่อเป็นอนุสรณ์สถานให้กับทหารสวิตที่เสียชีวิตจากการรับจ้างออกไปรบ จำนวน 786 คน โดยทำหน้าที่เป็นทหารองครักษ์ให้กับพระเจ้าหลุยส์ที่ 16 และเสียชีวิตช่วงสงครามปฏิวัติครั้งใหญ่ในประเทศฝรั่งเศสปี 1792 นอกจากจะเป็นสิ่งที่แสดงให้เห็นถึงความภาคภูมิใจ ความซื่อสัตย์ และความกล้าหาญของชายชาติทหารแล้ว ยังแสดงถึงความงดงามในด้านประติมากรรมที่มีชื่อเสียงของสวิตเซอร์แลนด์อีกด้วย

เจ้าสิงโตตัวนี้ เป็นผลงานการออกแบบของนักประติมากรรมชาวเดนมาร์ก Bertel Thorvaldsen แต่ถูกสร้างโดยช่างก่ออิฐชาวเยอรมัน Lukas Ahorn มีความยาวเกือบ 10 เมตร ความโดดเด่นอยู่ที่การแกะสลักลงไปบนพื้นผิวหินทรายที่ดูสมจริงจนน่าทึ่ง จนนักเขียนชื่อดังอย่าง Mark Twain ได้กล่าวถึงอนุสาวรีย์สิงโตนี้ว่า “เป็นหินที่ดูเศร้าและสะเทือนใจที่สุดในโลก” หากใครอยากจะมาสัมผัสความสวยงามของสถาปัตยกรรมขึ้นชื่อชิ้นนี้ ขอแนะนำให้มาช่วงเช้าตรู่ หรือช่วงเย็นไปเลย เพราะนอกจากจะไม่เบียดเสียดกับกลุ่มนักท่องเที่ยวที่มากันอย่างหนาแน่นแล้ว ยังมีเวลาเดินชมสถานที่น่าสนใจในบริเวณใกล้เคียง อย่าง Glacier Garden สวนหินและพรรณไม้กึ่งร้อนชื้น ที่เต็มไปด้วยความสดชื่นอันน่าตื่นตาตื่นใจ เหมาะแก่การเดินเล่นเกี่ยวก้อยหยอกล้อกันชิลๆ เข้ากับบรรยากาศสบายๆ ของเมืองตากอากาศชั้นนำของสวิตฯ แห่งนี้เป็นที่สุด

นอกจากแลนด์มาร์กชื่อดังแล้ว ลูเซิร์น ยังนับว่าเป็นเมืองสวยงามที่มีบรรยากาศเหมาะแก่การเดินทอดน่องชมสถาปัตยกรรมของอาคารบ้านเรือนกันเพลินๆ ได้ไม่มีเบื่อ เพียงแค่ลัดเลาะไปตามถนนสายเล็กๆ ก็อาจนำคุณไปโผล่ใจกลางแหล่งช้อปปิ้ง ที่เต็มไปด้วยร้านรวงดีไซน์เก๋ที่แฝงไว้ด้วยกลิ่นอายแห่งความเก๋า หรืออาจจะไปเจอกับจัตุรัสสุดคลาสสิกที่มีน้ำพุเต้นระบำเล่นแสงธรรมชาติอย่างไม่แคร์สายตาใคร เรียกได้ว่า ทริปการเที่ยวชมเมืองลูเซิร์นครั้งนี้ จัดเต็มไปด้วยความสวยงามที่น่าค้นหา เหมาะสำหรับคู่รักนักสำรวจ เพราะไม่ว่าจะค้นลึกเข้าไปสักเท่าไหร่ ก็ยิ่งพบเจอกับความอัศจรรย์ใจมากขึ้นเท่านั้น จนเผลอหลงรักเมืองแห่งทะเลสาบนี้เข้าอย่างไม่รู้ตัว

Don’t Miss!

สำหรับใครที่เริ่มจะเมื่อยน่องกันบ้างแล้ว เมืองนี้ยังมีบริการทางลัดสำหรับการชมเมืองแบบไม่ต้องใช้แรงเยอะอีกด้วย นั่นก็คือ City Train Luzern ซึ่งจะออกทุกๆ 1 ชม. ให้คุณได้นั่งรถชมความงามของสถาปัตยกรรมย่าน Old Town และความงดงามของแหล่งท่องเที่ยวสำคัญๆ ของเมืองลูเซิร์นกันในเวอร์ชันสบายๆ แต่รถไฟสายนี้จะปิดให้บริการในช่วงเดือนมกราคมและกุมภาพันธ์ ใครแพลนจะใช้บริการ ต้องเช็คกันให้ดีอีกที

7More about Lucerne  

Location: เมืองลูเซิร์น เป็นเมืองที่อยู่เกือบใจกลางประเทศ โดยตั้งอยู่ด้านตะวันตกเฉียงเหนือของทะเลสาบลูเซิร์น ที่มีชื่อเรียกว่า ทะเลสาบสี่แคว้นแดนป่าไม้ (Lake of the four forest cantons) ตรงบริเวณปากแม่น้ำรอยซ์ (Reuss River)

Need Help: ภาษาที่ใช้มีอยู่ 4 ภาษา คือ เยอรมัน ฝรั่งเศส อิตาเลียน และโรมานซ์ (ภาษาละตินโบราณ) แต่จะใช้ภาษาเยอรมันกับฝรั่งเศสเป็นหลัก หากใครหลงทางหรือต้องการความช่วยเหลือก็ไม่ต้องตกใจไป เพราะที่นี่ยังพอพูดภาษาอังกฤษกันได้ โดยเฉพาะในตัวเมืองและตามแหล่งท่องเที่ยว

Shopping: ใช้สกุลเงินฟรังก์สวิต (CHF) สามารถแลกได้ตามธนาคารทุกแห่ง ท่าอากาศยาน สถานีรถไฟใหญ่ๆ รวมถึงที่โรงแรม หรือจะใช้จ่ายผ่านบัตรเครดิตก็ได้ อย่างเข่น อเมริกันเอ็กซ์เพรส วีซ่า และมาสเตอร์การ์ด

Best time for couple: ลูเซิร์น จัดเป็นเมืองที่สามารถเที่ยวได้ตลอดทั้งปี ซึ่งแต่ละช่วงเวลาก็จะมีเสน่ห์แตกต่างกันไป หากคู่รักคู่ไหนชอบบรรยากาศแบบซัมเมอร์ ขอแนะนำช่วงเดือนมิถุนายน-กันยายน เพราะอากาศกำลังสบาย ถึงแม้จะเป็นช่วงหน้าร้อน แต่ก็มีอากาศเย็นประมาณ 12-24 องศาเซลเซียส กิจกรรมที่เหมาะในช่วงนี้คือการเดินเขาและปั่นจักรยานชมเมือง แต่ข้อเสียก็มีนะ เพราะเป็นช่วงที่อากาศดี๊ดี จึงทำให้นักท่องเที่ยวแห่กันมาเยอะ ราคาข้าวของจึงพุ่งสูงขึ้นเป็นพิเศษ แต่หากคู่ไหนชอบบรรยากาศโรแมนติกแบบวินเทอร์ ช่วงเดือนตุลาคมเป็นต้นไปเหมาะกับคุณที่สุด อุณหภูมิจะอยู่ที่ประมาณ 6-14 องศาฯ และจะลดลงเรื่อยๆ ถึงขั้นติดลบจนถึงกุมภาพันธ์ จากนั้นจะค่อยๆ เพิ่มสูงขึ้น นอกจากจะมีอากาศหนาวเย็นเหมาะแก่การซุกไออุ่นกันแล้ว ยังเป็นช่วง off season ทำให้ไม่มีนักท่องเที่ยวมากวนใจมากนัก แถมค่าใช้จ่ายยังถูกลงอีกด้วย กิจกรรมที่น่าสนใจก็คือ การเล่นสกี นิยมเล่นกันในช่วงพฤศจิกายนไปจนถึงกลางเดือนเมษายน

Emag142-465How to Go

จากกรุงเทพไปเมืองลูเซิร์น มีสายการบินโลคอสให้เลือกมากมายตามงบแต่ต้องเสียเวลาต่อเครื่องนิดหน่อย ใครบินนานๆ ไม่ไหวแนะนำให้บินตรง ใช้เวลาประมาณ 12 ชั่วโมง มีสายการบินไทยและสายการบินของสวิสแอร์ กรุงเทพ-ซูริค จากนั้นสามารถต่อรถไฟจากสนามบินที่สถานี Zürich Flughafen เข้าเมืองลูเซิร์น ใช้เวลาประมาณ 1 ชั่วโมง รถออกทุก 30 นาที เรียกว่าเดินทางสะดวกสบายมากๆ

เต้าหู้ – ณฤต เลิศอุตสาหกูล หรือที่หลายคนรู้จักในนาม Hoo DIY ผู้ชอบประดิษฐ์สิ่งของรอบตัวให้เป็นงานศิลปะแปลกใหม่จนเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัว เต้าหู้เป็นทั้งศิลปิน คอลัมนิสต์ พิธีกรรายการ และล่าสุดเขาเพิ่งพิชิตภารกิจท่องยุโรป 17 ประเทศโดยรถไฟ ติดตามการเดินทางของเขาได้ที่ FB/IG: HooBackpack

Story & Photo : Hoo Backpack

เตรียมปากสวยรอรับจูบวันวาเลนไทน์

เรื่อง : Red Velvet

                ใกล้เทศกาลแห่งความรักเข้ามาทุกที สาวๆ หลายคนคงตื่นเต้นไม่น้อยว่าปีนี้จะได้ช่อดอกไม้จากคนรักหรือเปล่า ก่อนที่จะตั้งตารอช่อดอกไม้ช่อโตหรือแหวนเพชรสุดหรู สาวๆ ต้องมีความสวยที่จะสะกดสายตาหนุ่มๆ ตลอดเวลาและสิ่งสำคัญที่ห้ามมองข้ามก็คือ รอยยิ้มและริมฝีปากที่พร้อมรับการจูบ!

 
1. ขัดเซลล์ผิวที่ปากด้วยแปรงสีฟัน

thegloss                หลังจากแปรงฟันเรียบร้อยแล้ว ใช้แปรงสีฟันขัดวนไปมาเบาๆ บริเวณริมฝีปากทำทุกครั้งหลังแปรงฟันเช้า เย็น วีธีนี้จะช่วยให้ปากไม่ดำค่ะ เพราะเป็นการช่วยผลัดเซลล์ทุกวันให้หลุดลอกไป

2. ดื่มน้ำให้เพียงพอ

stylecaster                สูตรสวยด้วยน้ำยังอมตะเสมอ การดื่มน้ำอย่างน้อย 8 แก้วต่อวันนอกจากจะช่วยให้ร่างกายได้รับน้ำอย่างเพียงพอแล้วยังส่งผลให้สุขภาพผิวปากไม่แห้งลอกหรือเป็นขุยและห้ามลืมเด็ดขาดนะคะหากสาวๆ ปากแห้งแตกเวลาที่อยู่ในห้องแอร์หรืออากาศหนาวห้ามใช้ลิ้นเลียริมฝีปากจะยิ่งทำให้ปากดำ

3. เลือกผลิตภัณฑ์สครับริมฝีปาก

thatsnay-blogspot-com                สาวๆ อาจจะเลือกใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีอยู่ทั่วไปตามท้องตลาดหรือจะทำสครับปากสำหรับไว้ใช้เองก็ได้ค่ะ วัตถุดิบก็หาได้จากครัวแถมไม่มีขั้นตอนการทำที่ยุ่งยาก วันนี้ Red Velvet มีสูตรมาฝากเผื่อสาวๆ คนไหนสนใจที่จะทำสครับไว้ใช้เองด้วยนะคะ
                สูตรแรกคือใช้ น้ำผึ้ง + วาสลีน + น้ำตาลทราย (น้ำตาลทรายธรรมดานะคะ ไม่ต้องถึงกับน้ำตาลไอซ์ซิ่ง) ส่วนผสมอย่างละ 1 ช้อนชา นำมาผสมจนเป็นเนื้อเดียวกัน ใช้สครับถูวนไปมาบริเวณปากเบาๆ (หอมหวานน้ำผึ้งก็อย่าเผลอเลียปากตัวเองนะคะไม่ได้สครับกันพอดี) แล้วทิ้งไว้ประมาณ 5 – 10 นาทีแล้วล้างออก
                อีกหนึ่งสูตรสำหรับสาวๆ คนไหนที่ชอบกลิ่นของมะนาวใช้ มะนาว + น้ำนม + น้ำตาลทราย นมก็เป็นนมกล่องธรรมดาที่หาได้นะคะสาวๆ ส่วนผสมอย่างละ 1 ช้อนชาหลังจากที่สาวๆ สครับปากเรียบร้อยแล้วอย่าลืมใช้ลิปบาล์มเพื่อเพิ่มความชุ่มชื่นด้วยนะคะ

4. การใช้ลิปบาล์มที่มีสารกันแดด

lifehealthandbeauty                เรารู้กันดีอยู่แล้วว่าประเทศไทยมี 3 ฤดูนั่นก็คือ ฤดูร้อน ฤดูร้อนมาก และฤดูร้อนมากที่สุด เรียกได้ว่าเกิดเป็นสาวไทยต้องเจอแดดกันทั้งปี แล้วสาวๆ ส่วนใหญ่ก็เลือกใช้ผลิตภัณฑ์กันแดดปกป้องแค่หน้าผิวและผิวกายโดยลืมไปว่าเจ้าแสงแดดนั้นสามารถทำให้ปากเราคล้ำลงได้ด้วยนะคะ ดังนั้นควรจะเลือกใช้ลิปบาล์มที่มีส่วนผสมของสารป้องกันรังสี UV ซึ่งปัจจุบันเราจะเห็นได้จากลิตภัณฑ์ส่วนใหญ่ที่มีทั้งป้องกันรวมบำรุง ไปในตัว ก็เหลือแต่สาวๆ จะเลือกใช้ตัวไหนให้เหมาะกับตัวเอง

5. เลือกลิปสติกสีสวยน่าจูบ

makeupandbeauty                การเลือกใช้ลิปสติกเพื่อเพิ่มความดึงดูดไม่ว่าจะเป็นการใช้สีหรือเนื้อสัมผัสของลิปสติกเอง สีที่สาวๆ ควรเลือกให้เข้ากับเทศกาลแห่งความรักนั้นก็คือและพร้อมที่จูบคือโทนสีนู้ด สีชมพูนู้ด สีส้มนู้ด สีนู้ดพีช ยังสามารถใช้สีสดใสเพื่อเน้นให้ปากดูเซ็กซี่ เฉดสีเช่น สีชมพู สีแดง แต่ก็อย่าเปรี้ยวปรี้ดจนเกินงามนะคะส่วนเนื้อสัมผัสจะเน้นไม่มันวาวจนเกินไปสาวๆ ควรเลือกใช้เนื้อแมทเพราะมีเม็ดสีที่แน่น ละเอียด  จูบไม่หลุด และปากดูเหมือนกำมะหยี่ยั่วยัวใจชาย ที่สำคัญเทรนด์นี้กำลังมาแรง!!
                อีกหนึ่งเนื้อสัมผัสคือ Shine Lipsticks ให้สีที่มีความแวววาว เปล่งประกาย ดูสดใสสาวน้อยแรกแย้ม นอกจากนี้สาวๆ ยังสามารถเลือกใช้ทินส์และลิปกลอสเพื่อเพิ่มความเซ็กซี่ อาจจะทาทินส์บางๆ ชิดขอบปากด้านในแบบสาวเกาหลีเบาๆ ส่วนสาวๆ คนไหนที่มีรูปปากหรือขอบปากไม่ชัดเจนอาจจะวาดขอบด้วยดินสอเขียนขอบปากก่อนทาสีลิปสติกก็ได้ค่ะ
                การดูแลปากให้สวยฉ่ำน่าจูบไม่ใช่แค่ช่วงวาเลนไทน์เท่านั้นนะคะ เพราะใครจะรู้ว่าคุณจะถูกจูบเมื่อไหร่ เวลาไหน เพราะฉะนั้นควรดูแลตัวเองให้สวยสะกดใจชายทุกเวลา และอีกอย่างการสร้างรอยยิ้มที่สวยงามเป็นการสร้างความประทับใจให้หนุ่มๆ ด้วยนะคะ หวังว่าสาวๆ หลายคนจะนำทริคเล็กๆ น้อยๆ ที่ WE-MAG จัดมาให้ไปปรับใช้นะคะ

ภาพจาก : www.lifehealthandbeauty.com, www.makeupandbeauty.com, www.stylecaster.com, www.thatsnay.blogspot.com, www.thebeautylookbook.com, www.thegloss.com, www.aelida.com

เตียงใหม่คนรักเดิมกับ 5 ห้องพักหรูกลางกรุง

อยากทำอะไรพิเศษๆ ให้กับคนรักในวาระที่เปี่ยมไปด้วยความหมายใช่ไหมล่ะ แต่ครั้นจะจองตั๋วเดินทางไกลไปเซอร์ไพร้ส์รักเวลาก็อาจไม่อำนวย ไหนจะต้องฝ่ารถติดกว่าจะเดินทางไปถึงจุดหมายทั้งเหนือใต้ออกตก ถ้าอย่างนั้นเอาแบบนี้ดีไหม ควงแขนคนรักคนเดิมไปประเดิมเตียงใหม่ใน ห้องพักหรูกลางกรุง กันดีกว่า การันตีเลยว่า แต่ละห้องที่ เราคัดมาสุดพิเศษ ทั้งฟังก์ชั่นการใช้งาน การตกแต่งและบริการที่มีครบครัน

“Paranim Penthouse” เพนเฮ้าส์กลางกรุงรอให้คุณไปค้นหา @ Hotel Muse Bangkok

Paranim Penthouse
Paranim Penthouse เพนเฮ้าส์ดีไซน์คลาสิคบนชั้น 23 ของ โฮเทล มิวส์ แบงค็อก

ถ้าเพนเฮ้าส์คือหนึ่งในความฝันของคุณและคนรัก เราขอบอกว่า อ่านตรงนี้ถูกทางแล้วค่ะ เพราะห้องพักที่เรากำลังจะแนะนำคุณ ณ ตอนนี้คือ “Paranim Penthouse” เพนเฮ้าส์ดีไซน์คลาสิคบนชั้น 23 ของ โฮเทล มิวส์ แบงค็อก โรงแรมที่ให้ความรู้สึก “ลึกลับและน่าค้นหา” เพราะสำหรับที่นี่คุณจะไม่เจอภาพล๊อบบี้ที่โอ่โถงและสว่างไสวจากที่นี่ แต่จะได้อารมณ์อบอุ่นด้วยแสงไฟสลัวๆ ในพื้นที่ขนาดเล็กที่ตกแต่งย้อนยุคในโทนสีเข้ม ทั้งโต๊ะไม้สีดำ โซฟาหนังสีน้ำตาลและที่โดนใจคือโครงเหล็กลวดลายแบบตะวันตก

Paranim Penthouse ห้องพักสุดหรูใจกลางเมืองที่ได้รับการออกแบบอันเป็นเอกลักษณ์ไม่ซ้ำใครใน สไตล์โฮเทล มิวส์ แบงค็อกด้วยการตกแต่งในสไตล์ไทยร่วมสมัย ภายในห้องประกอบไปด้วยเตียงเดี่ยวขนาดใหญ่ ห้องอาบน้ำพื้นที่กว้างขวางที่มีอ่างอาบน้ำขนาดใหญ่เป็นพิเศษสำหรับสองท่าน และห้องอาบน้ำสำหรับแขก ห้องนั่งเล่น ห้องรับประทานอาหารและพิเศษกับระเบียงถึงสามจุดที่คุณสามารถเพลิดเพลินไปกับ วิวทิวทัศน์อันงดงามยามค่ำคืนของเมืองหลวง นอกจากนี้ยังมีพื้นที่สำหรับทำสปาแบบส่วนตัว

หากคุณกำลังมองหาห้องพักสมบูรณ์แบบที่สุด ให้คุณได้จัดปาร์ตี้สังสรรค์หรือพักแบบผ่อนคลายในคืนพิเศษที่มีเพียงคุณสอง คนต้องไม่พลาด Paranim Penthouse เพนท์เฮ้าส์ที่รอให้คุณไปค้นหา
*สำรองห้องพักในคืนพิเศษได้ที่ โรงแรมมิวส์ กรุงเทพฯ (Hotel Muse Bangkok) ถ.หลังสวน โทร. 0-2630-4000

“Circular Suite” นอนเตียงกลมชมแสงสี @ Le Meridien Bangkok Hotel

Circular Suite
เตียงนอนทรงกลมสุดโรแมนติกที่ Le Meridien Bangkok Hote

ถ้าคุณคิดว่าโรงแรม 5 ดาวจะมีแค่เตียงสี่เหลี่ยมคิงไซส์ควีนไซส์ขอให้คิดซะใหม่ เพราะโรงแรมเลอ เมอรีเดียน สุรวงศ์ จะทำให้ความคิดของคุณเปลี่ยนไปอย่างแน่นอน ด้วยไฮไลน์ของห้อง Circular Suite นี้อยู่ที่เตียงนอนทรงกลมขนาดกำลังพอดีแต่ให้อารมณ์แฟนตาซีมากกว่าที่คิด ไหนจะบรรยากาศภายในห้องที่ดีไซเนอร์พิถีพิถันเป็นพิเศษกับการตกแต่งในธีมสีแดงทับทิมตัดสลับกับสีน้ำตาลอ่อนสร้างความลงตัวคู่ไปกับการนำกลอนไพเราะที่สื่อถึงความรักสุดหัวใจจากกวีเอกอย่างสุนทรภู่มาเป็นส่วนหนึ่งของการตกแต่งบริเวณหัวเตียง

แต่ความดีงามยังไม่หมดเพียงเท่านี้ เพราะสำหรับคู่รักสุดพิเศษเช่นคุณ โรงแรมเลอ เมอรีเดียน ได้เตรียมบริการสุดพิเศษไว้คอยท่าอีกเพียบ ไม่ว่าจะเป็นบริการตกแต่งห้องพักทำเซอร์ไพร้ส์คนรักด้วยลูกโป่งหรือดอกไม้ เมนูแชมเปญที่คุณเลือกปรุงรสชาติได้ด้วยตัวเอง เพียงโทรศัพท์เข้ามาออเดอร์กับเจ้าหน้าที่ รับรองล้านๆ เปอร์เซนต์ค่ะว่า ค่ำคืนพิเศษจะเปี่ยมไปด้วยความรักอย่างที่คุณตั้งใจอย่างแน่นอน

*สำรองห้องพักในคืนพิเศษได้ที่ โรงแรม เลอ เมอริเดียน กรุงเทพฯ (Le Meridien Bangkok Hotel) ถ.สุรวงศ์ โทร. 0-2232-8888

“Stylish Suite” ห้องพักมีสไตล์ในโรงแรมสีสันจัดจ้าน @ Aloft Bangkok Sukhumvit 11

Stylish Suite
Stylish Suite ห้องพักที่ Aloft Bangkok Sukhumvit 11 เหมาะกับคู่รักที่ชอบชีวิตแบบสนุกสนาน คึกคัก

สำหรับคู่รักที่ชอบความคึกคักและหลงใหลชีวิตที่เปี่ยมไปด้วยความสนุกสนาน เราขอเชียร์ให้ไปเปรี้ยวกันในวันพิเศษที่โรงแรมอลอฟท์ กรุงเทพฯ สุขุมวิท 11 เพราะทันทีที่ก้าวเท้าเข้าประตูโรงแรมก็ได้สัมผัสกับการตกแต่งที่เน้นสีสันชนิดที่ว่าไม่จำกัดธีมสี นอกจากนี้ยังใส่สไตล์เฉพาะตัวของอลอฟท์ให้กับห้องพัก “Stylish Suite” ที่เราอยากให้คุณควงแขนกันไปเปลี่ยนที่นอนกันในคืนพิเศษ

“Stylish Suite” ห้องพักขนาด 60-62 ตร.ม. ที่จัดแบ่งพื้นที่การใช้งานอย่างเป็นสัดส่วน ตกแต่งด้วยสีสันสบายตาประมาณว่าละมุนนุ่มหลังจากเปรี้ยวหนักจัดเต็มกันที่ฟังก์ชั่นส่วนอื่นๆ ของโรงแรมมาแล้ว ห้องนี้พร้อมให้คุณทั้งคู่ใช้เวลาสวีทกันสองต่อสองแบบค่อยเป็นค่อยไป ทั้งในพื้นที่ห้องนั่งเล่นเล็กๆ ที่ให้ความรู้สึกเหมือนบ้านกับสิ่งอำนวยความสะดวกสุดไฮเทคที่ช่วยให้อารมณ์การพักผ่อนของคุณได้เริ่มต้นผ่อนคลาย ห้องนอนโดดเด่นที่หน้าต่างขนาดใหญ่ให้คุณได้เปิดม่านยืนมองบรรยากาศสุขุมวิทยามค่ำคืน และถ้าคุณเหนื่อยหนักและอยากลงแช่น้ำเอนกาย ภายในห้องมีฟังชั่นก์ดีๆ ที่มีสไตล์มากกว่าที่คิดพร้อมให้คุณมาใช้เวลาร่วมกันในวันพิเศษ

*สำรองห้องพักในคืนพิเศษได้ที่ โรงแรมอลอฟท์ กรุงเทพ – สุขุมวิท 11(Aloft Bangkok – Sukhumvit 11) ถ. สุขุมวิท โทร. 0-2207-7000

“Club Siam Suite” บ้านหลังที่สองที่รอให้คุณมาเช็คอิน @ Sukosol Hotel

Club Siam Suite
ห้องพักสไตล์ไทยร่วมสมัยที่ Sukosol Hotel

ย้อนนึกถึงวันคืนหวานๆ เมื่อแรกพบสบตากันหน่อยไหม กับ “Club Siam Suite” ห้องพักสไตล์ไทยร่วมสมัยขนาด 76 ตร.ม. ที่มาพร้อมห้องนั่งเล่น ห้องรับประทานอาหารและห้องนอนที่แยกจากกันเป็นสัดส่วน แถมยังสร้างพื้นที่ให้คุณได้ย้ำเตือนความหวานกับห้องน้ำขนาดใหญ่ที่คุณสามารถจูงมือกันลงแช่ตัวพร้อมกันในบรรยากาศสุดแสนโรแมนติกประหนึ่งว่านี่แหละคือความอบอุ่นแห่งความรักที่อบอวลในบ้านของตัวเอง

นอกจากนี้ Sukosol Hotel ยังมีบริการพิเศษอีกเพียบให้คุณได้ใช้เวลาร่วมกันอย่างคุ้มค่า ไม่ว่าจะเป็นการเช็คอินแบบส่วนตัวที่เล้านจ์บนชั้น 21 สิทธิ์ในการใช้บริการ Club Siam Lounge / บริการชา-กาแฟ และของว่างตลอด 24 ชั่วโมง พร้อมช่วงเวลาพิเศษของ Happy Hour ให้บริการค็อกเทลและคานาเป้ฟรีทุกวัน ตลอดช่วงเวลาตั้งแต่ 17:30น. – 19:00น.

*สำรองห้องพักในคืนพิเศษได้ที่ โรงแรมเดอะสุโกศล (The Sukosol) ถ.ศรีอยุธยา โทร. 0-2247-0123

“Serenity Club” สวีทหวานกับวิวแม่น้ำกลางใจเมือง @ Banyan Tree Bangkok

Serenity Club @Banyan Tree Bangkok
Serenity Club ห้องพักวิวแม่น้ำเจ้าพระยา

ถ้าคู่ของคุณปลื้มปริ่มกับความสวยงามของสายน้ำหัวใจกรุงเทพฯ อย่างแม่น้ำเจ้าพระยา คืนพิเศษที่กำลังเตรียมการอยู่ต้องไม่พลาดจูงมือคนสำคัญมาทำเซอร์ไพร้ส์และเช็คอินที่ “Serenity Club” ห้องพักแบบใหม่ที่โรงแรมบันยันทรี กรุงเทพฯ

ความพิเศษของ Serenity Club มีมากกว่าทำเลที่ตั้งซึ่งอยู่ใจกลางเมืองอย่างถนนสาทร แต่เพราะการปรับโฉมใหม่ให้ห้องพักห้องนี้มีความทันสมัยมากยิ่งขึ้น เพราะนอกจากสิ่งอำนวยความสะดวกที่ครบครันแล้ว ด้วยตำแหน่งของห้องพักอยู่สูงตั้งแต่ชั้นที่ 50-58 ทำให้คุณสามารถมองเห็นวิวของทั้งฝั่งตัวเมืองและฝั่งแม่น้ำเจ้าพระยาได้อย่างชัดเจน และที่เด็ดอีกอย่างและเรารีวิวมาแล้วว่ามาเช็คอินแล้วต้องไม่พลาดคือ คลับเลาจน์ บนชั้น 19 ซึ่งมีของว่างและเครื่องดื่มไว้คอยให้บริการทุกท่านตลอดทั้งวัน เชื่อเถอค่ะว่า โลกทั้งโลกจะมีแค่คุณสองคนที่ได้ใช้เวลาร่วมกันอย่างดื่มด่ำ รู้แบบนี้ไม่ต้องรออะไรแล้วใช่ไหมคะ

*สำรองห้องพักในคืนพิเศษได้ที่ โรงแรมบันยันทรี กรุงเทพ (Banyan Tree Bangkok) ถ.สาทร โทร. 0-2679-1200

พรีเซนเทชั่นงานหมั้นแสนอบอุ่นระหว่าง “คุณสุกี้ กมล” และ “คุณเจ ปนัดดา”

          ผ่านไปเรียบร้อยแล้วกับพิธีหมั้นและพิธีแต่งงานระหว่างนักดนตรีและนักแต่งเพลงมือเก๋า “พี่สุกี้-กมล สุโกศล แคลปป์” กับ “คุณเจ-ปนัดดา เลิศหัตถศิลป์” ทายาทคนสวยของสมบัติเพิ่มพูน แกลเลอรี่ (แกลเลอรี่เอกชนที่ใหญ่ที่สุดของเมืองไทย) โดยงานนี้จัดขึ้นเมื่อวันที่ 13 ธันวาคม ณ โรงแรมเดอะสุโกศล ท่ามกลางความอบอุ่นจากคนในครอบครัวและเพื่อนสนิทที่มาร่วมแสดงความยินดีมากมาย วันนี้ WE-MAG.COM เลยขอนำภาพบรรยากาศความประทับใจภายในงานมาฝากกันค่ะ

ขอบคุณภาพวิดีโอจาก : Clearfc Wedding

บรรยากาศพิธีหมั้นหวานชื่นของสาว “มัดหมี่ พิมดาว” และ “สัว ศุภชัย”

เรื่อง : JeenHuiBin

          สละโสดอย่างเป็นทางการไปเรียบร้อยแล้วกับนักร้องสาวเสียงหวาน “มัดหมี่-พิมดาว พานิชสมัย” และ แฟนหนุ่มสุดหล่อ “สัว-ศุภชัย กาญจนศักดิ์ชัย” ซึ่งจัดพิธีหมั้นและสวมแหวนไปเมื่อเช้าวันที่ 29 พฤศจิกายนที่ผ่านมา ณ โรงแรมสวิสโฮเต็ล ปาร์คนายเลิศ โดยมีองคมนตรี พลเอก เปรม ติณสูลานนท์เป็นประธานในพิธีพร้อมญาติผู้ใหญ่ทั้งสองฝ่ายและเพื่อนพ้องคนสนิท บรรยกาศภายในงานเป็นไปด้วยความสนุกสนาน ชื่นมื่น และอบอุ่น งานนี้เจ้าบ่าวลงทุนบอกรักเจ้าสาวถึง 8 ภาษาเลยทีเดียว WE ขอแสดงความยินดีกับทั้งคู่ด้วยนะคะ ส่วนภาพบรรยากาศงานในช่วงเย็นรอติดตามชมกันได้เลยจ้า

ขอขอบคุณภาพวิดีโอจาก : Box Wedding

“SIRENA” The Best Elegant Bridal Shoes

          ในวันแต่งงานสิ่งหนึ่งที่สำคัญไม่แพ้ชุดวิวาห์สุดอลังการคือ “รองเท้าแต่งงาน” ที่จะเป็นดังเพื่อนคู่ใจของเจ้าสาวตั้งแต่ต้นจนจบงาน ซึ่งคงจะดีไม่น้อยหากว่าเจ้าสาวได้สวยสง่าพร้อมเยื้องย่างอย่างสบายเท้าในทุกย่างก้าว
          SIRENA รองเท้าแต่งงานแบรนด์ดังที่ครองใจเจ้าสาวมานานกว่า 28 ปี ด้วยความใส่ใจในทุกรายละเอียดจากช่างผู้เชี่ยวชาญ รวมถึงการเสาะแสวงหาวัสดุคุณภาพจากนานาประเทศ เพื่อรังสรรค์รองเท้าเจ้าสาวที่ตอบโจทย์ทั้งในแง่ของความสวมใส่สบายและให้ภาพลักษณ์ที่โก้หรู

sirena          นอกจากนี้ ทางแบรนด์ยังให้ความสำคัญกับการดีไซน์เป็นอย่างมาก โดยได้ Ms.Diane Hassall แชมป์ออกแบบรองเท้าแต่งงาน 3 สมัยมาเป็นหัวหน้าทีมออกแบบ ทั้งยังมีทีมงานชาวไทยที่มากด้วยประสบการณ์และฝีมือโดดเด่น จึงส่งให้แบรนด์ SIRENA มียอดขายระดับ Best Seller ทั้งในและต่างประเทศ

โดยรองเท้า 4 รุ่นที่ทางแบรนด์เลือกให้เป็น The Best ประจำปี 2015 ได้แก่
          CUPCAKE รองเท้าส้นสูง 5 นิ้ว เสริมแพลตฟอร์มด้านหน้า เพื่อความสง่างามและเดินสะดวก ตัดจากผ้าซาตินสีงาช้างเดินเส้นเป็นลวดลายไขว้กัน ให้ลุคเรียบโก้และคลาสสิค
          VESTA รองเท้าส้นเตารีดเปิดหน้าเท้าสูง 4 นิ้ว ตัดจากผ้าซาตินสีงาช้างหุ้มลูกไม้สีขาวบริสุทธิ์ ปักด้วยเลื่อมสีมุก ทั้งสวยน่ารักและยืนได้ตลอดงานโดยไม่ต้องกลัวเมื่อย
          ALLORA รองเท้าแคชชูส์สูง 4.5 นิ้ว ที่เพิ่มความอ่อนหวานด้วยการจับจีบด้านหน้า ล็อกด้วยอะไหล่เพชร
          ESME รองเท้าแคชชูส์ 3 ตอน สูง 4 นิ้ว โดดเด่นที่ตัวรองเท้าผลิตด้วยผ้าลูกไม้กากเพชรจากอิตาลี

ความประทับใจจากลูกค้าตัวจริง : คุณศรันญา ศิริฟ้า
          “เลือกใส่รองเท้า SIRENA ในวันแต่งงานเพราะเคยได้ยินชื่อมานาน และเพื่อนที่แต่งงานมาก่อนก็แนะนำว่าใส่สบาย เลยไปลองดูที่ร้าน เมื่อลองใส่ก็รู้สึกว่าใส่สบายจริง แบบก็ดูฟรุ้งฟริ้ง หวานๆ เจ้าหญิงๆ แมทช์กับชุดเจ้าสาวง่าย ตกแต่งสวยกำลังดี ไม่เวอร์เกินไป”

เครดิต SIRENA โทร.08-7717-0063 หรือ 0-2809-2397 (อัตโนมัติ) อีเมล : [email protected] เว็บไซต์ : www.sirenashoes.com เฟซบุ๊ก : sirenashoes

Wedding Presentation “ยุทธการขอสาวแต่งงาน”

          Wedding Presentation น่ารักๆ ของดีเจสาวแห่งคลื่น COOLfahrenheit 93 คุณป้อน – ลีลา สุนทรวิเนตร์ ลูกสาวคนสวยของเสี่ยวีวี-คุณวิทวัส สุนทรวิเนตร์ และคุณบาร์ท-ชาคริต หาญศิริสวัสดิ์ ที่ถ่ายทำแบบเรียบง่าย เน้นการตัดต่อที่ไหลลื่น แต่เผยความในใจของทั้งสองแบบคำต่อคำ และที่สำคัญพรีเซนนี้น่าเอาอย่างตรงที่มีครบทุกหน่วยของครอบครัวในคลิปเดียว ไม่ใช่ลองไปดูกันค่ะ

ขอแต่งงานจริง! กลางละครเวที “วันสละโสดกับโจทย์เก่าๆ”

          น่ารักสุดๆ กับการเซอร์ไพร้ส์ขอแต่งงานของคู่รักผู้โชคดีในกิจกรรมMy Proposal Story ที่  WE ร่วมกับ JW Marriott Hotel Bangkok งานนี้ผู้ชนะของเรา คุณกาย-ชัยพฤกษ์ บุญญฤทธ์” ว่าที่เจ้าบ่าวสุดเจ๋งลงทุนชวนแฟนสาวที่สานรักกันมากว่า 16 ปี “คุณกุ้ง-ณัฐพร ห่อประทีบทอง” ไปชมละครเวที วันสละโสดกับโจทย์เก่าๆ ซึ่งทางทีมงานและนักแสดงบนเวทีให้ความร่วมมือกับเจ้าบ่าวแบบสุดฝีมือ ทำเอาทั้งนักแสดง ทีมงาน และผู้ชมในฮอลล์ถึงกับน้ำตาซึมไปตามๆ กัน จะซึ้ง จะหวาน จะฟินแค่ไหน รีบคลิกดูเลยจ้า

พรีเซนเทชั่นงานแต่งแบบหวานปนฮาของ “ดีเจเผือก พงศธร” และ “ลูกจ๋า- วรินทรา”

เรื่อง : JeenHuiBin

          ภาพบรรยากาศงานวิวาห์ที่เรียบง่าย น่ารัก และอบอุ่น ระหว่างดีเจและนักแสดงอารมร์ดี “เผือก – พงศธร จงวิลาส” และแฟนสาว “ลูกจ๋า – วรินทรา ฤทธิ์สกุลชัย” งานนี้ได้เพื่อนผองน้องพี่ในวงการมากมายมาร่วมอวยพร และแน่นอนที่ขาดไม่ได้คือมุกสุดฮาเล็กๆ น้อยๆ จากหนุ่มเผือกที่เรียกรอยยิ้มและเสียงหัวเราะจากแขกภายในงาน
          สำหรับเพลงประกอบวิดีโอพรีเซนเทชั่นก็มีความหมายสุดๆ ชื่อเพลง “บ้านของหัวใจ” จากวง Superbaker ที่หนุ่มเผือกเคยบอกไว้ว่า “ถ้าวันไหนเจอผู้หญิงที่จะแต่งงานด้วย เขาจะให้เพลงๆ นี้กับผู้หญิงคนนั้น” ในขณะเดียวกันเจ้าสาวก็เคยบอกว่า ผู้ชายคนไหนให้เพลงนี้กับเขา เขาจะแต่งงานกับผู้ชายคนนั้น” รู้มาอย่างนี้คงต้องขอบอกว่า ซึ้งกินใจสุดเลยจ้า

ขอขอบคุณภาพวิดีโอและข้อมูลจาก : Buddy’s Wedding

แบบเล็บเจ้าสาวหลากสไตล์

เรื่อง : JeenHuiBin

           แหมมม… ได้เป็นเจ้าสาวกับเขาทั้งทีต้องสวยให้ครบทุกสัดส่วนนะจ๊ะ ตั้งแต่หน้า ผม ลำตัว แม้กระทั่งปลายเล็บก็ต้องแต่งเติมสีสันด้วย อย่าปล่อยให้เล็บโล้นเลียนเตียนโล่งดูจืดชืดเด็ดขาด หรือเวลาสวมแหวน จูงมือ หรือโยนช่อดอกไม้แล้วทุกสายตาจับจ้องมาจะได้ดูเพอร์เฟ็กต์ไม่เป็นจุดบอด ส่วนจะเลือกสีเล็บแบบไหน ลายอะไร ถึงจะเข้ากับธีมงานที่ตั้งเอาไว้ WE-MAG.COM ใจดีรวบรวมมาให้ดูเป็นตัวอย่าง จะเล็บสั้นหรือเล็บยาวก็สวยได้สบายมาก หวังว่าเจ้าสาวดูแล้วจะตัดสินใจเดินเข้าร้านทำเล็บกันทุกคนนะคะ

5 แบรนด์ถุงยางต้องใช้ในคืนแห่งความสุข

เติมรสชาติชีวิตเซ็กส์แบบปลอดภัยแต่ยังได้อารมณ์กับ ถุงยาง อนามัยที่การันตีได้จากหนุ่มทั่วโลกว่าคุณสมบัติดีงาม สร้างความบันเทิงเริงอารมณ์ไปพร้อมๆ กับความปลอดภัยมาให้ลองใช้กันดูในโมเม้นต์แห่งความสุข ถ้าพร้อมแล้วตามมาเลือกถุงที่เหมาะกับความต้องการของคุณกันเลยค่ะ

ถ้าอยากรู้สึกว่า “นี่ผมใส่ถุงยางอยู่เปล่า” ต้องเลือก Crown Skinless Skin

Crown Skinless Skin

แบรนด์นี้ติดอันดับความนิยมมานมนานจนหลายคนเก็บความปลื้มไว้ไม่อยู่ต้องเอามาแชร์ให้เพื่อนในแก๊งรู้ เพราะด้วยการผลิตจากน้ำยางธรรมชาติที่บางเบาที่สุดทำให้รู้สึกเหมือนไม่ได้สวมถุงยาง เพราะบางถึง 0.047 มิลลิเมตร พูดเต็มปากเลยว่า แม้จะบางก็เหนียวทนนะตัวเทอ ส่วนว่าใส่แล้วอึดไหม อันนี้คงต้องอยู่ที่ความสามารถเฉพาะบุคคลล่ะ

ถ้าอยากให้เขาอยู่กับคุณได้ยาวนานขึ้น ต้องเลือก LifeStyles Ever Last Intense

lifestyles_everlast_intense

“อึด” สั้นๆ แต่ได้ใจความและความรู้สึกที่ลึกซึ้ง ถุงยางแบรนด์นี้รุ่นนี้ ช่วยให้คุณอึดขึ้นกว่าเดิมแยะ หนุ่มๆ บอกว่าลองกันมาเยอะแล้วกับถุงยางที่มีสารวิเศษช่วยยืดอายุการแข็งตัวของหนุ่มๆ แต่แบรนด์นี้สุดยอดจริงๆ เพราะแรงไม่มีตกตั้งแต่เริ่มต้นส่งให้ความสุขส่งท้ายสวยงามเสมอๆ ไม่เชื่อ ลองถามสาวๆ ลองดู

ถ้าอยากรู้สึกถึงความกระชับ ต้องเลือก Iron Grip Condoms

Iron Grip Condoms

แบรนด์นี้เคยครองอันดับ 1 ตอนที่มีการจัดประกวดถุงยางสุดเจ๋งของเมืองนอกมากแล้ว และเหตุผลที่ชนะใจคือ คุณสมบัติพิเศษซึ่งอยู่ที่เนื้อยางฟิตกระชับน้องชายสุดๆ จึงเหมาะสำหรับบรรดาหนุ่มที่มีไซด์เล็กเป็นพิเศษ เพราะมั่นใจได้ล้านเปอร์เซนต์ว่าไม่หลุดออกง่ายๆ แถมยังมีความบางอยู่ที่ 0.07 มิลลิเมตร มาดามว่าแบรนด์นี้น่าจะเหมาะกับชายไทยเจ้าหนูจิ๋วโดยเฉพาะนะ อุ๊บส์!!

ถ้าอยากรู้สึกถึงกลิ่นหอมหวานตลอดเส้นทางเซ็กส์ ต้องเลือก Fantasy Flavored

Fantasy-Flavored

ถ้าพูดถึงถุงยางกลิ่นธรรมชาติต้องยกให้แบรนด์ Trojan Supra BareSkin Lubricated เพราะไร้กลิ่นยางมากวนจริต แต่ถ้าเป็นพวกถุงยางอนามัยที่มีกลิ่นผลไม้เมื่อไหร่ต้องยกนิ้วโป้งล้านๆ นิ้วให้แบรนด์ Fantasy Flavored มาเป็นอันดับ 1 เพราะมันจะมีกลิ่นผลไม้หลากหลายกลิ่นให้เลือก อาทิ กล้วย สตรอว์เบอร์รี่ องุ่น มิ้นท์ ช็อกโกแลต และวานิลลา ดีนะที่ผลิตนอกเลยไม่มีกลิ่นทุเรียนมาให้กุมขมับ

ถ้าอยากรู้สุกถึงความอบอุ่นถึงหัวใจ ต้องเลือก Night Light

nightLight

แน่นอนว่าเซ็กส์ที่ดีต้องเกิดขึ้นด้วยความรัก แต่มาดามขอบอกว่าเซ็กส์อันเร้าร้อนที่ตามมามีตัวช่วยน่าสนอย่าง Night Light จะเวิร์คมา เพราะสาวๆ หลายคนบอกมาเลยว่าการที่ถุงยางอนามัยให้ความรู้สึกร้อนๆ อุ่นๆ ยามที่สอดใส่อยู่ในกายเป็นสิ่งสำคัญที่ทำให้เธอรู้สึกดีไปถึงขั้วหัวใจ ก็แหม..ประหนึ่งได้รับไออุ่นขนาดนั้น แถมยังตรงจุดยุทธศาสตร์ซะด้วย ใครจะไม่ปลื้ม

เอาล่ะจ้ะหนุ่มๆ เลือกถุงแบบที่ชอบได้แล้วก็ลุยเลย สาวๆ รออยู่ Bye Bye 2015 แล้วเจอกันปีหน้านะคะ

HAPPY NEW YAER 2016 ค่ะ!!!

เรื่อง : Madam Hong Hern

ภาพ www.nydailynews.com

โอ่โอปักษ์ใต้บ้านเรา…ไม่เที่ยวบ้านเราจะเที่ยวบ้านใคร

สายลมและแสงแดดที่อบอวลไปด้วยกลิ่นเกลือทะเลอันแสนผ่อนคลาย ถือเป็นมนตร์เสน่ห์ที่เชื้อเชิญทั้งคนไทยและเทศให้มาสัมผัสกับความงดงามสุดเลอค่าที่ธรรมชาติบรรจงสร้างสรรค์ให้เป็นของขวัญสำหรับคนใต้ วันนี้เราจึงนำสถานที่ท่องเที่ยวเด็ดๆ จาก ปักษ์ใต้ มาฝากกันค่ะ

ทัชมาฮาลเมืองไทยที่ปลายด้ามขวาน

south3

คู่รักหลายคู่ดั้นด้นไปชมสถานที่บูชาความรักอันศักดิ์สิทธิ์ไกลถึงทัชมาฮาล ประเทศอินเดีย ทั้งที่จริงประเทศไทยก็มีสถานที่สวยงามไม่แพ้กัน นั่นคือ มัสยิดกลาง จังหวัดปัตตานี สถานที่ประกอบศาสนกิจของชาวไทยมุสลิม หากได้ไปเยือนรับรองว่าจะต้องทึ่งในความคล้ายคลึงกันกับอนุสาวรีย์แห่งความรักที่อินเดีย จนทำให้ได้รับการขนานนามว่าเป็นมัสยิดที่งดงามที่สุดในประเทศไทย

ทะเลงาม…น้ำใสกับมัลดีฟส์ทะเลใต้

south1

สุดยอดสถานที่ฮันนีมูนต้องยกให้หมู่เกาะมัลดีฟส์ แต่หากงบไม่ถึง ขอแนะนำให้คล้องแขนกันมาที่ เกาะหลีเป๊ะ จังหวัดสตูล ที่ธรรมชาติรังสรรค์ความงามมาให้ไม่แพ้ที่ใดในโลก ไม่ว่าจะเป็นเวิ้งอ่าวแสนสวยหรือหาดทรายขาวละเอียด แถมยังเป็นสวรรค์ของนักดำน้ำเพราะเต็มไปด้วยปะการังอันสมบูรณ์ อีกทั้งยังสามารถทำเซอร์ไพร้ส์ได้ที่หาดพัทยาที่ขึ้นชื่อว่าเป็นจุดชมพระอาทิตย์ตกที่สวยที่สุด

ล่องเรือหรรษา ณ กุ้ยหลินแดนใต้

south2

หากกลัวผิวไหม้แดดเพราะน้ำทะเล ภาคใต้ก็มีแหล่งท่องเที่ยวน้ำจืดอันงดงามปานดินแดนในเทพนิยาย นั่นคือ เขื่อนรัชชประภา จังหวัดสุราษฎร์ธานี ด้วยพื้นที่อันโอบล้อมไปด้วยภูเขาเรียงรายสลับซับซ้อนบนผืนน้ำสีเขียวมรกต หากล่องเรือในยามเช้าหรือหลังฝนตกจะพบกับหมอกบางๆ ปกคลุมทั่วยอดเขาได้เวลาเลี้ยวหัวเครื่องบินจากจีนแผ่นดินใหญ่มาปักหมุดที่ภาคใต้ของไทยกันแล้ว

ใครสนใจที่ไหนก็อย่าช้า สะกิดคนข้างๆ เข้ากูเกิลแล้วหาข้อมูลการเดินทางกันเลย รับรองว่าละเอียดที่สุดในสามโลก แถมมีรูปสวยๆ ยั่วน้ำลายเพียบ…ปีนี้บิลด์ด้วยการเที่ยวเมืองไทยก่อน ไว้ปีหน้าค่อยขยับเป้าหมายไปไกลถึงเมืองนอก!

เรื่อง : โชติกา
ขอบคุณภาพ
• มัสยิดกลาง จังหวัดปัตตานี จากนภดล ทิภยรัตน์
• เขื่อนรัชชประภา จังหวัดสุราษฎร์ธานี จากพิบูลย์ สัณฐิติเจริญวงศ์
• เกาะหลีเป๊ะ จังหวัดสตูล  จาก ikate_Nichanun Ausavapunyavat

รอยช้ำหลบไป…เทคนิคสุดเจ๋งอยู่ตรงนี้

เรื่อง : ตะนอยสอนสวย

          เฮลโล่…สาวๆ ชาว WE-MAG.com ทั้งหลายที่กำลังเตรียมเข้าสู่ประตูวิวาห์หรือกำลังรอช่อดอกไม้หล่นใส่มือ ก่อนอื่นขอแนะนำตัวอย่างเป็นทางการก่อนนะคะ “ตะนอย” คือผู้ที่จะมาคอยมอบความรู้เกี่ยวกับเรื่องความสวยงามให้กับสาวๆ เอาให้สวยกันตั้งแต่หนังศีรษะจรดปลายเล็บเท้าเพื่อรับวันสำคัญต่างๆ ที่กำลังจะมาถึงกันเลยทีเดียว ยังไงก็ฝากตัวไว้ในอ้อมอกด้วยนะคะ

esebju

          เรื่องแรกที่ตะนอยนำมาฝากเพื่อนสาวชาว WE-MAG.COM เป็นเคล็ดลับดีๆ สำหรับสาวซุ่มซ่ามที่มักเจ็บตัวจากการชนนู่นกระแทกนี่จนเกิดเป็นรอยฟกช้ำดำเขียวเอาง่ายๆ เพราะหากเกิดในบริเวณไม่สำคัญอย่างแขนขาก็อาศัยเสื้อผ้าปกปิดได้ แต่ถ้าโดนจังๆ เข้าที่ใบหน้าจะสวมหมวกโม่งก็คงไม่งาม (ยิ่งถ้าใส่แว่นดำด้วยก็ชี้ตัวได้เลย ฮ่า!) สาวบางนางถึงขั้นมีรอยช้ำลามปามมาถึงต้นคอ (เอ๊ะ! หรือรอยดูด) ตะนอยรู้สึกเห็นใจไม่อยากให้ใช้พลาสเตอร์ปิดเหมือนสก็อยสุดซ่า จึงได้นำเทคนิคเมคอัพกลบรอยช้ำที่อาจจะไม่ขั้นเทพ แต่รับรองว่าปกปิดได้แบบไร้ที่ติ..จริงๆ นะ
          ก่อนอื่นตะนอยขอแนะนำให้สังเกตก่อนว่ารอยฟกช้ำของคุณอยู่ในระดับไหน หากเป็นสีแดงแสดงว่ายังอยู่ในอาการบาดเจ็บขั้นเริ่มต้น ซึ่งอาจจะต้องพึ่งการเมคอัพนานสักหน่อยจนกว่ารอยช้ำจะโบกมือลา แต่ถ้าเริ่มกลายเป็นสีม่วงเมื่อไหร่ก็เตรียมฉีกยิ้มได้เลย เพราะเป็นสัญญาณบอกว่ารอยช้ำกำลังจะจากไปในเร็ววัน แต่ครั้นจะใช้รองพื้นโป๊ะๆ คอนซีลเลอร์แตะๆ ตะนอยบอกได้คำเดียวเลยว่ายังสตรองงงง! ไม่พอค่ะ เพราะรอยช้ำสีแดงและสีม่วงต้องการการปกปิดด้วยวิธีที่ต่างกัน

เลือกสีให้เริด…สวยเชิดในวันบอบช้ำ

ssss
          หากรอยฟกช้ำยังเป็นสีแดงไม่มีสีอื่นเจือปน ตะนอยแนะนำให้ใช้รองพื้นและเบสโทนสีเขียวที่นอกจากจะปกปิดได้เรียบเนียนแล้วยังได้ความเป็นธรรมชาติแถมมาด้วย แต่ถ้ารอยช้ำเริ่มมีสีเหลืองปนเข้ามาต้องคอลซีลเลอร์สีเหลืองหรือเหลืองอมส้มผสมกัน รับรองว่าเนียนกริบชนิดเพื่อนไม่ทัก ส่วนใครที่เข้าสู่ระยะสีม่วงต้องเบสสีเหลืองอ่อนและเขียวเท่านั้น จำไว้เสมอว่าสีเบสผิดชิวิตเปลี่ยนนะจ๊ะ

รอยช้ำน้องใหม่ แดงสะใจไร้สีใดเจือปน
          มาเริ่มกันที่รอยช้ำน้องใหม่เห็นกันจะๆ แดงๆ บนผิวกันเลยดีกว่า เริ่มกันเลยนะคะ…ก่อนแต่งหน้าตะนอยขอให้คุณลงไพรเมอร์เพื่อป้องกันเมคอัพหลุดระหว่างวัน ซึ่งในจุดนี้ตะนอยขอแนะนำแบบเนื้อเจลใสนะคะ เพื่อไม่ให้สีเบส คอนซีลเลอร์ และรองพื้นผิดเพี้ยนไปจากที่ควรจะเป็น จากนั้นใช้คอนซีลเลอร์สีสว่างกว่าใบหน้า 1 เฉด แต้มลงบริเวณรอยฟกช้ำก่อนเป็นอันดับแรก แล้วจึงเติมทับด้วยคอนซีลเลอร์สีที่ใกล้เคียงกับสีผิวจริงอีกครั้ง เพื่อไม่ให้บริเวณที่ปกปิดดูสว่างสะดุดตาจนเพื่อนล้อว่า พจมาน สว่างว้าบบบ!

ระยะสุดท้าย ใกล้ถึงเส้นชัย
          คราวนี้มาถึงสเต็ปรอยช้ำสีม่วง ซึ่งเป็นสีสุดท้ายก่อนที่จะเชิดหน้าสู่โลกกว้าง พร้อมยิ้มมุมปากว่าสวยแล้วจ้า เริ่มทำตามตะนอยได้เลยค่ะ
          ขั้นตอนที่ 1 ลงเบสแล้วต่อด้วยรองพื้นแบบครีม (ย้ำ! ว่าแบบครีมเท่านั้น) ถ้ายังกลบได้ไม่สะใจอาจโบกคอนซีลเลอร์เพิ่มเพื่อความสบายใจ ต่อด้วยขั้นตอนที่ 2 เลือกใช้คอนซีลเลอร์แบบเนื้อทึบที่เท็กเจอร์ไม่แห้งเกินไป (ไม่ใช่เนื้อหนาแต่เม็ดสีต้องแน่น) ในเฉดสีอมส้ม ถ้านึกไม่ออกให้นึกถึงสีเนื้อปลาแซลมอนเข้าไว้เพื่อช่วยให้สีรองพื้นใกล้เคียงกับสีผิวจริงมากที่สุด แล้วปิดท้ายด้วยขั้นตอนที่ 3 ถ้ารอยเริ่มจางลงอาจไม่ต้องพึ่งคอนซีลเลอร์อีกต่อไป เพราะเพียงแค่ลงรองพื้นสีเข้มกว่าผิว 1 เฉด แล้วตามด้วยลงสีอ่อนกว่าผิว 1 เฉดหรือสีที่ตรงกับสีผิวอีกรอบ ก็เนียนได้แบบไม่ต้องพึ่งกอเอี๊ยะแล้ว

dermablend-zombie-boy-1
          แต่หากสาวๆ ไม่อยากยุ่งยากกับหลายขั้นตอน ตะนอยมีรองพื้นขั้นเทพที่ทำให้หลายคนถึงกับตกตะลึงอ้าปากค้างมาแล้ว นั่นคือรองพื้น Dermablend Professional แค่ชื่ออาจยังนึกไม่ออกแต่ถ้าบอกว่าเป็นรองพื้นที่ใช้เนรมิตชายหนุ่มที่รอยสักทั้งใบหน้าและลำตัว ให้กลายเป็นบุรุษสุดสุภาพขึ้นมาแบบทันตาเห็น เชื่อว่าหลายคนต้องร้องอ๋อเพราะกลบมิดชนิดที่ว่าช่างสักต้องทิ้งเข็ม
          ซึ่งรองพื้นยี่ห้อนี้มีเนื้อครีมที่บางเบาไม่เหนียวเหนอะหนะ แถมยังมีคุณสมบัติกันแดด น้ำ และเหงื่อแบบครบสูตร ติดทนนาน มีให้เลือกทั้งหมด 4 เฉดสีคือ Ivory, Light, Tawny, caramel หากสาวๆ คนไหนสนใจสามารถสั่งซื้อหรือหาชมได้ทางอินเตอร์เน็ตเท่านั้นนะจ๊ะ
          ตะนอยว่าเป็นไอเทมสุดว้าวที่สาวๆ ควรมีไว้ในครอบครอง เพราะมีคุณสมบัติในการปกปิดที่ต้องมอบโล่ห์ให้ โดยเฉพาะกับสาวๆ ที่เป็นโรคแพ้ใบตองทั้งหลาย…

ภาพ : www.instructables.com