Romantic Lucerne ควงคนรัก ล่องทะเลสาบ ชมความงามเมือง ลูเซิร์น

1

หากพูดถึงสถานที่สุดโรแมนติก แน่นอนว่า ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ คงจะอยู่ในใจเป็นอันดับต้นๆ ของใครหลายๆ คนเป็นแน่ และหนึ่งแหล่งท่องเที่ยวที่นักท่องเที่ยวทั่วโลกรวมไปถึงคู่ฮันนีมูนหลายคู่ต่างใฝ่ฝันอยากจะไปยลไปเยือน และไปเยี่ยมเยียนเป็นที่สุด ก็คงจะหนีไม่พ้นเมืองอากาศดีที่อยู่เกือบใจกลางประเทศอย่าง ลูเซิร์น (Lucerne) เมืองตากอากาศยอดฮิตติดอันดับเมืองหนึ่งของดินแดนหลังคาแห่งทวีปยุโรปนี้ เราจึงไม่พลาดที่จะใส่ไว้ในแผนเดินทางรอบโลกในแฟนเพจเฟซบุ๊ค Hoo Backpack ของผมและเก็บเรื่องราวโรแมนติก ณ เมืองนี้มาฝากกัน

นอกจากวิวทิวทัศน์อันสวยงามและความเก่าแก่ของสถาปัตยกรรมแล้ว เมืองลูเซิร์นยังมีทะเลสาบลูเซิร์นที่เป็นเสน่ห์ดึงดูดนักท่องเที่ยวจากทั่วทุกมุมโลก กิจกรรมยอดฮิตเมื่อมาเยือนสถานที่แห่งนี้จึงจะเป็นอะไรไปไม่ได้ นอกจากการล่องเรือไปตามสายน้ำใสเขียวบริสุทธิ์ ยืนอ้าแขนรับลมเย็นๆ พร้อมกับสูดโอโซนเข้าไปให้เต็มปอด เพลิดเพลินไปกับวิวทิวทัศน์สวยๆ ริมฝั่งทะเลสาบที่แสนแปลกตา แต่มีเอกลักษณ์ไม่เหมือนใคร สร้างความประทับใจแรกเห็นให้กับคนที่หลงใหลในเสน่ห์ของธรรมชาติและแอบเทใจให้กับบรรยากาศโรแมนติกแบบนี้ไม่น้อยเลยทีเดียว

Along the Lake : ล่องเรือชมความงามทะเลสาบลูเซิร์น

2

ทะเลสาบลูเซิร์น มีชื่อเรียกว่า Lake of the four forest cantons ตั้งอยู่ท่ามกลางหุบเขา โอบล้อมไปด้วยอ้อมกอดแห่งเทือกเขาธรรมชาติและอาคารบ้านเรือนรูปทรงน่ารักสะดุดตา แต่งแต้มให้เกิดทัศนียภาพอันสวยงาม และให้กลิ่นอายแห่งความเป็นเมืองแห่งขุนเขาได้เป็นอย่างดี หากใครกำลังวางแผนมาล่องเรือชมความงามของทะเลสาบแห่งนี้ เราขอแนะนำ เส้นทางล่องเรือ Luzern – Hergiswil – Alpnachstad

ซึ่งจุดที่น่าสนใจของเส้นทางสายนี้ก็คือ จากเมือง Alpnachstd เราสามารถต่อ cogwheel railway เพื่อที่จะขึ้นไปสัมผัสหมอกหยอกล้อกับยอดเขา Pilatus ที่สูง 2,132 เมตรได้ โดยเจ้า cogwheel railway นี้ ได้ถูกจัดอันดับให้เป็นสายรถ cogwheel ที่ชันที่สุดในโลก โดยมีความชันถึง 48 องศา หากใครอยากอัพเลเวลความตื่นเต้นบวกประทับใจให้พุ่งปรี๊ดเราขอแนะนำ รับรองว่า กดไลค์กันแทบไม่ทันเชียวล่ะ

อีกสิ่งหนึ่งที่น่าสนใจ หากใครมีเวลาต้องลองทำดู ก็คือ ระหว่างเส้นทางสายนี้ ก่อนถึงท่า Alpnachstad Pilatus เรือจะมีจุดจอดแวะระหว่างเมืองต่างๆ ประมาณ 3-4 จุด ซึ่งเราสามารถลงไปเดินเล่น ชมวิถีชีวิตของคนพื้นเมืองที่หาดูไม่ได้ง่ายๆ แต่ขอแนะนำให้เช็คตารางเวลาของเที่ยวเรือให้ดี เพราะไม่อย่างนั้น อาจทำให้เสียเวลาเที่ยวสถานที่อื่นๆ ไปอย่างน่าเสียดาย

Emag142-458Don’t Miss!

นอกจากนี้ ยังมีอีกหนึ่งเส้นทางล่องเรือที่น่าสนใจ นั่นก็คือ Luzern – Weggis – Vitznau – Beckenried – Gersau – Brunnen – Flüelen ซึ่งสามารถล่องเรือชมทิวทัศน์ตามทะเลสาบไปเรื่อยๆ จนถึงเมือง Vitznau จากนั้นต่อรถรอกกว้านสมัยเก่าและรถกระเช้า (Aerial Cable Car) เพื่อขึ้นไปชมความงามและสัมผัสบรรยากาศความเยือกเย็นบนยอดเขาสูงเสียดฟ้าบนภูเขา Rigi (ซึ่งมีความสูง 1,798 เมตรเหนือระดับน้ำทะเล) และภูเขา Stanserhorn

Swiss Pass

สำหรับใครที่เดินทางเองและใช้ Swiss Pass สามารถนำมาใช้แสดงเพื่อรับส่วนลดสูงสุดร้อยละ 50 ในการซื้อตั๋วรถไฟเอกชนขึ้นภูเขาและตั๋วรถกระเช้าไฟฟ้าได้ นอกจากนี้ บัตรนี้ยังสามารถใช้บริการโดยไม่จำกัดทั้งทางรถไฟ รถประจำทาง และเรือภายใต้เครือข่าย Swiss Travel System network อีกด้วย

Around the City: เดินชมเมืองเก่าแห่งทะเลสาบ

4

หลังจากล่องเรือชมความงามของทะเลสาบกันอย่างจุใจแล้ว เราลองมาเปลี่ยนบรรยากาศเดินชมเมืองเก่าลูเซิร์นกันบ้าง โดยเลือกที่จะเดินทางด้วยรถไฟจากเมือง Alpnachstad มุ่งหน้ากลับเข้าสู่เมืองลูเซิร์น เพื่อเริ่มต้นชมความงามอันเป็นอมตะของเมืองนี้กันแบบชิลๆ

ลูเซิร์นถือเป็นเมืองเก่าแก่ ซึ่งเคยปกครองตนเองก่อนจะรวมเข้าเป็นหนึ่งเดียวกันกับประเทศสวิตเซอร์แลนด์เมื่อปี ค.ศ.1332 โดยตัวเมืองถูกแบ่งออกเป็น 2 ส่วน ด้านตะวันออกเป็นเมืองเก่ามีอายุกว่า 500 ปี ตัวอาคารบ้านเรือนในเขตนี้ได้รับการอนุรักษ์ไว้เป็นอย่างดี จึงมีเสน่ห์ดึงดูดนักท่องเที่ยวมากเป็นพิเศษ กับอีกส่วนที่อยู่ทางด้านตะวันตก ซึ่งเป็นเมืองที่ถูกสร้างขึ้นภายหลัง แม้ฝั่งนี้บ้านเมืองจะออกทันสมัยกว่า แต่ก็ยังคงมีร่องรอยของการเป็นหัวเมืองโบราณให้เห็นอยู่บ้าง สวยงามได้บรรยากาศไปอีกแบบ

สำหรับคนที่มาเยือนเมืองเก่าแห่งนี้ ต้องไม่พลาดแวะเช็คอินกันที่แลนด์มาร์คยอดฮิต ซึ่งก็คือสะพานไม้เก่าแก่ Chapel Bridge และอนุสาวรีย์รูปสิงโตหินแกะสลัก Lion Monument สองสิ่งนี้ถือเป็นสัญลักษณ์ประจำเมืองเลยก็ว่าได้

Chapel Bridge สะพานไม้โบราณสุดคลาสสิก

5

จากสถานีรถไฟลูเซิร์น หากมองไปทางด้านซ้ายมือจะเห็นสะพาน Chapel Bridge ทอดตัวข้ามแม่น้ำรอยซ์ (Reuss River) รอให้เราแวะเข้าไปทักทาย จากจุดตรงนี้ เราสามารถเดินเลียบริมน้ำไปเรื่อยๆ เพื่อไปยังสะพานไม้ ระหว่างทางนอกจากจะได้ชมทัศนียภาพของทะเลสาบที่แสนสวยงามและมีทิวเขาของ Pilatus เป็นฉากหลัง ให้ได้อัพรูปกันรัวๆ แล้ว ยังมีหงส์และเป็ดน้ำจำนวนมากแหวกว่ายกันอยู่ในน้ำให้ได้ดูกันเพลินๆ เพิ่มบรรยากาศความสดชื่นมีชีวิตชีวาได้ไม่น้อยเลยทีเดียว

สำหรับสะพาน Chapel Bridge นับเป็นสะพานไม้ที่เก่าแก่ที่สุดในยุโรป และจัดว่าเป็นสะพานแบบโครง (truss bridge) ที่เก่าแก่ที่สุดในโลกด้วย สร้างขึ้นตั้งแต่สมัยศตวรรษที่ 14 มีความยาว 285 เมตร สร้างเชื่อมระหว่างเขตเมืองเก่าซึ่งอยู่ทางขวาของแม่น้ำรอยซ์ ไปยังเขตเมืองใหม่ที่อยู่ทางซ้ายของฝั่งแม่น้ำ บริเวณกึ่งกลางสะพานเชื่อมอยู่กับ Wasserturm หรือ Water Tower ซึ่งมีลักษณะเป็นป้อมรูปทรงแปดเหลี่ยม สูง 43 เมตร สร้างขึ้นก่อนตัวสะพานราว 30 ปี เดิมที่นี่ใช้เป็นที่คุมขังนักโทษและเก็บเอกสารรวมทั้งของมีค่าของเมืองไว้

ความโดดเด่นของสะพานไม้แห่งนี้อยู่ที่การมุงหลังคาแบบโบราณ ซึ่งที่จั่วของแต่ละช่องของสะพานจะมีภาพเขียนเก่าแก่ตั้งแต่สมัยศตวรรษที่ 17 บอกเล่าเรื่องราวประวัติความเป็นมาของเมืองลูเซิร์น เดิมมีทั้งหมด 158 ภาพ แต่เหตุการณ์ไฟไหม้เมื่อปี ค.ศ. 1993 ทำให้ภาพวาดดั้งเดิมเสียหายไปมาก ปัจจุบันได้มีการซ่อมแซมจนมีสภาพใกล้เคียงกับของเดิม คุณอาจสังเกตเห็นร่องรอยของไฟไหม้อยู่บ้างตามทางเดิน ซึ่งก็นับว่าเป็นเสน่ห์เตะตาไปอีกแบบ สำหรับใครที่วางแผนจะมาชมสะพานแห่งนี้ ขอแนะนำให้มาช่วงเย็นๆ เพราะนอกจากจะได้แสงสวยๆ ยามอาทิตย์อัสดงแล้ว ยังได้สัมผัสกับแสงไฟที่นำมาตกแต่งบนสะพานไม้แห่งนี้อย่างตระการตาอีกด้วย สมกับที่เป็น the city of lights เสียจริง

Don’t Miss!

นอกจากนี้บนสะพานไม้ยังมีร้านขายของที่ระลึกสีสันสวยงาม ปลูกสร้างเป็นห้องๆ ลดหลั่นกันไปตามความลาดของสะพาน หากใครกำลังมองหาของฝาก หรือของที่ชวนให้รำลึกถึงเมืองลูเซิร์น ต้องลองแวะเข้าไปดู รับรองถูกใจขาช้อปไม่น้อยเลยทีเดียว

Löwendenkmal (Lion Monument) ประติมากรรมเลื่องชื่อของยุโรป

6

เดินต่อไปจากสะพานไม้ ลัดเลาะไปตามถนน Lowenstrasse เพียงไม่ถึงครึ่งชั่วโมงก็จะถึงอนุสาวรีย์รูปสิงโตหินแกะสลักอันเลื่องชื่ออยู่บนหน้าผาหินก้อนใหญ่ เบื้องหน้ารูปแกะสลักนี้จะมีสระน้ำเล็กๆ กั้นอยู่ และแวดล้อมไปด้วยต้นไม้น้อยใหญ่ สร้างบรรยากาศให้ดูร่มรื่นและเงียบสงบเหมาะสำหรับนั่งพักผ่อนหย่อนใจไม่เบา

อนุสาวรีย์รูปสิงโตแกะสลักนี้ สร้างขึ้นในปี ค.ศ. 1821 โดยด้านบนจะมีตัวอักษรจารึกไว้เหนือสิงโตว่า “Helvetiorum fedei ac Virtuti” แปลว่า “แด่ความจงรักภักดีและความกล้าหาญของชาวสวิต” สร้างขึ้นเพื่อเป็นอนุสรณ์สถานให้กับทหารสวิตที่เสียชีวิตจากการรับจ้างออกไปรบ จำนวน 786 คน โดยทำหน้าที่เป็นทหารองครักษ์ให้กับพระเจ้าหลุยส์ที่ 16 และเสียชีวิตช่วงสงครามปฏิวัติครั้งใหญ่ในประเทศฝรั่งเศสปี 1792 นอกจากจะเป็นสิ่งที่แสดงให้เห็นถึงความภาคภูมิใจ ความซื่อสัตย์ และความกล้าหาญของชายชาติทหารแล้ว ยังแสดงถึงความงดงามในด้านประติมากรรมที่มีชื่อเสียงของสวิตเซอร์แลนด์อีกด้วย

เจ้าสิงโตตัวนี้ เป็นผลงานการออกแบบของนักประติมากรรมชาวเดนมาร์ก Bertel Thorvaldsen แต่ถูกสร้างโดยช่างก่ออิฐชาวเยอรมัน Lukas Ahorn มีความยาวเกือบ 10 เมตร ความโดดเด่นอยู่ที่การแกะสลักลงไปบนพื้นผิวหินทรายที่ดูสมจริงจนน่าทึ่ง จนนักเขียนชื่อดังอย่าง Mark Twain ได้กล่าวถึงอนุสาวรีย์สิงโตนี้ว่า “เป็นหินที่ดูเศร้าและสะเทือนใจที่สุดในโลก” หากใครอยากจะมาสัมผัสความสวยงามของสถาปัตยกรรมขึ้นชื่อชิ้นนี้ ขอแนะนำให้มาช่วงเช้าตรู่ หรือช่วงเย็นไปเลย เพราะนอกจากจะไม่เบียดเสียดกับกลุ่มนักท่องเที่ยวที่มากันอย่างหนาแน่นแล้ว ยังมีเวลาเดินชมสถานที่น่าสนใจในบริเวณใกล้เคียง อย่าง Glacier Garden สวนหินและพรรณไม้กึ่งร้อนชื้น ที่เต็มไปด้วยความสดชื่นอันน่าตื่นตาตื่นใจ เหมาะแก่การเดินเล่นเกี่ยวก้อยหยอกล้อกันชิลๆ เข้ากับบรรยากาศสบายๆ ของเมืองตากอากาศชั้นนำของสวิตฯ แห่งนี้เป็นที่สุด

นอกจากแลนด์มาร์กชื่อดังแล้ว ลูเซิร์น ยังนับว่าเป็นเมืองสวยงามที่มีบรรยากาศเหมาะแก่การเดินทอดน่องชมสถาปัตยกรรมของอาคารบ้านเรือนกันเพลินๆ ได้ไม่มีเบื่อ เพียงแค่ลัดเลาะไปตามถนนสายเล็กๆ ก็อาจนำคุณไปโผล่ใจกลางแหล่งช้อปปิ้ง ที่เต็มไปด้วยร้านรวงดีไซน์เก๋ที่แฝงไว้ด้วยกลิ่นอายแห่งความเก๋า หรืออาจจะไปเจอกับจัตุรัสสุดคลาสสิกที่มีน้ำพุเต้นระบำเล่นแสงธรรมชาติอย่างไม่แคร์สายตาใคร เรียกได้ว่า ทริปการเที่ยวชมเมืองลูเซิร์นครั้งนี้ จัดเต็มไปด้วยความสวยงามที่น่าค้นหา เหมาะสำหรับคู่รักนักสำรวจ เพราะไม่ว่าจะค้นลึกเข้าไปสักเท่าไหร่ ก็ยิ่งพบเจอกับความอัศจรรย์ใจมากขึ้นเท่านั้น จนเผลอหลงรักเมืองแห่งทะเลสาบนี้เข้าอย่างไม่รู้ตัว

Don’t Miss!

สำหรับใครที่เริ่มจะเมื่อยน่องกันบ้างแล้ว เมืองนี้ยังมีบริการทางลัดสำหรับการชมเมืองแบบไม่ต้องใช้แรงเยอะอีกด้วย นั่นก็คือ City Train Luzern ซึ่งจะออกทุกๆ 1 ชม. ให้คุณได้นั่งรถชมความงามของสถาปัตยกรรมย่าน Old Town และความงดงามของแหล่งท่องเที่ยวสำคัญๆ ของเมืองลูเซิร์นกันในเวอร์ชันสบายๆ แต่รถไฟสายนี้จะปิดให้บริการในช่วงเดือนมกราคมและกุมภาพันธ์ ใครแพลนจะใช้บริการ ต้องเช็คกันให้ดีอีกที

7More about Lucerne  

Location: เมืองลูเซิร์น เป็นเมืองที่อยู่เกือบใจกลางประเทศ โดยตั้งอยู่ด้านตะวันตกเฉียงเหนือของทะเลสาบลูเซิร์น ที่มีชื่อเรียกว่า ทะเลสาบสี่แคว้นแดนป่าไม้ (Lake of the four forest cantons) ตรงบริเวณปากแม่น้ำรอยซ์ (Reuss River)

Need Help: ภาษาที่ใช้มีอยู่ 4 ภาษา คือ เยอรมัน ฝรั่งเศส อิตาเลียน และโรมานซ์ (ภาษาละตินโบราณ) แต่จะใช้ภาษาเยอรมันกับฝรั่งเศสเป็นหลัก หากใครหลงทางหรือต้องการความช่วยเหลือก็ไม่ต้องตกใจไป เพราะที่นี่ยังพอพูดภาษาอังกฤษกันได้ โดยเฉพาะในตัวเมืองและตามแหล่งท่องเที่ยว

Shopping: ใช้สกุลเงินฟรังก์สวิต (CHF) สามารถแลกได้ตามธนาคารทุกแห่ง ท่าอากาศยาน สถานีรถไฟใหญ่ๆ รวมถึงที่โรงแรม หรือจะใช้จ่ายผ่านบัตรเครดิตก็ได้ อย่างเข่น อเมริกันเอ็กซ์เพรส วีซ่า และมาสเตอร์การ์ด

Best time for couple: ลูเซิร์น จัดเป็นเมืองที่สามารถเที่ยวได้ตลอดทั้งปี ซึ่งแต่ละช่วงเวลาก็จะมีเสน่ห์แตกต่างกันไป หากคู่รักคู่ไหนชอบบรรยากาศแบบซัมเมอร์ ขอแนะนำช่วงเดือนมิถุนายน-กันยายน เพราะอากาศกำลังสบาย ถึงแม้จะเป็นช่วงหน้าร้อน แต่ก็มีอากาศเย็นประมาณ 12-24 องศาเซลเซียส กิจกรรมที่เหมาะในช่วงนี้คือการเดินเขาและปั่นจักรยานชมเมือง แต่ข้อเสียก็มีนะ เพราะเป็นช่วงที่อากาศดี๊ดี จึงทำให้นักท่องเที่ยวแห่กันมาเยอะ ราคาข้าวของจึงพุ่งสูงขึ้นเป็นพิเศษ แต่หากคู่ไหนชอบบรรยากาศโรแมนติกแบบวินเทอร์ ช่วงเดือนตุลาคมเป็นต้นไปเหมาะกับคุณที่สุด อุณหภูมิจะอยู่ที่ประมาณ 6-14 องศาฯ และจะลดลงเรื่อยๆ ถึงขั้นติดลบจนถึงกุมภาพันธ์ จากนั้นจะค่อยๆ เพิ่มสูงขึ้น นอกจากจะมีอากาศหนาวเย็นเหมาะแก่การซุกไออุ่นกันแล้ว ยังเป็นช่วง off season ทำให้ไม่มีนักท่องเที่ยวมากวนใจมากนัก แถมค่าใช้จ่ายยังถูกลงอีกด้วย กิจกรรมที่น่าสนใจก็คือ การเล่นสกี นิยมเล่นกันในช่วงพฤศจิกายนไปจนถึงกลางเดือนเมษายน

Emag142-465How to Go

จากกรุงเทพไปเมืองลูเซิร์น มีสายการบินโลคอสให้เลือกมากมายตามงบแต่ต้องเสียเวลาต่อเครื่องนิดหน่อย ใครบินนานๆ ไม่ไหวแนะนำให้บินตรง ใช้เวลาประมาณ 12 ชั่วโมง มีสายการบินไทยและสายการบินของสวิสแอร์ กรุงเทพ-ซูริค จากนั้นสามารถต่อรถไฟจากสนามบินที่สถานี Zürich Flughafen เข้าเมืองลูเซิร์น ใช้เวลาประมาณ 1 ชั่วโมง รถออกทุก 30 นาที เรียกว่าเดินทางสะดวกสบายมากๆ

เต้าหู้ – ณฤต เลิศอุตสาหกูล หรือที่หลายคนรู้จักในนาม Hoo DIY ผู้ชอบประดิษฐ์สิ่งของรอบตัวให้เป็นงานศิลปะแปลกใหม่จนเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัว เต้าหู้เป็นทั้งศิลปิน คอลัมนิสต์ พิธีกรรายการ และล่าสุดเขาเพิ่งพิชิตภารกิจท่องยุโรป 17 ประเทศโดยรถไฟ ติดตามการเดินทางของเขาได้ที่ FB/IG: HooBackpack

Story & Photo : Hoo Backpack

Recommended