ราว 10 ปีก่อน กมล สุโกศล แคลปป์ หรือที่คนในวงการเพลงรู้จักกันในชื่อ “สุกี้” ได้บิดมอเตอร์ไซค์คันโตออกจากกรุงเทพฯ อันเป็นบ้านเกิดและเมืองที่เขาเติบโต โดยทิ้งหลายสิ่งหลายอย่างเอาไว้เบื้องหลัง
ไม่ว่าจะเป็นชีวิตคู่ที่เพิ่งกลายเป็นอดีต…ค่ายเพลงที่เขามีส่วนร่วมก่อตั้ง…กีตาร์…สตูดิโอ…และวงการดนตรี เขาเดินทางไกลไปบนพาหนะ 2 ล้อราคาแพงระยับ โดยที่ไม่มีกำหนดกลับ…ไม่มีแม้แต่เป้าหมายที่ปลายทาง เวลานั้นสุกี้ไม่รู้จริงๆ ว่าชีวิตเขาจะเป็นอย่างไรต่อไป กลับไปสานต่อธุรกิจโรงแรมของครอบครัว หรือว่ามองหาเส้นทางใหม่ๆ
ไม่นานนัก ในระหว่างที่ยังอยู่ในช่วงเวลาของความสับสนบนทางแยกของชีวิต เขาก็ได้พบกับผู้หญิงคนหนึ่ง…เธอ คือ เจ ปนัดดา เลิศหัตศิลป์ ผู้บริหาร “สมบัติเพิ่มพูน แกลเลอรี่” แกลเลอรี่เอกชนขนาดใหญ่ที่สุดของเมืองไทย ซึ่งเป็นที่รู้จักดีในหมู่นักสะสมงานศิลป์ ในฐานะศูนย์รวมผลงานของศิลปินชื่อดังที่มีมูลค่านับพันล้านบาท
แล้วนับจากนั้นชีวิตของ “เขา” และ “เธอ” ก็เปลี่ยนไป…
Route 1: Love at First Ride
“การแต่งงานเป็นเรื่องแปลกนะ ชีวิตก็ดูเหมือนเดิม แต่ไม่เหมือนเดิม”
ผู้ชายที่เพิ่งผ่านงานใหญ่ครั้งแรกของชีวิตมาได้ไม่นานนัก (ในวันที่สัมภาษณ์) เปรยขึ้นมา ถัดจากคำทักทายถึงชีวิตคู่ที่เพิ่งเริ่มต้น “อย่างเป็นทางการ” กับภรรยาของเขา ซึ่งเส้นทางของทั้งคู่ได้มาโคจรพบกันเมื่อหลายปีก่อน
“ผมเจอกับเจครั้งแรกที่งานวันเกิดของเพื่อนคนหนึ่ง ประมาณ 5 ปีครึ่งมาแล้ว” คุณสุกี้อธิบายท่ามกลางบรรยากาศร่มรื่นริมน้ำของอพาร์ตเมนต์หรูย่านสาทร ซึ่งครั้งหนึ่งเคยเป็นบ้านหลังแรก นับจากที่เขาต้องกลับมาใช้ชีวิตลำพัง แตกต่างจากครั้งนี้ที่กลายเป็นเรือนหอของเขากับผู้หญิงที่ถูกยกให้เป็น “คนที่เอาสุกี้อยู่!”
“วันนั้นพี่สาวไปด้วย (คุณดารณี สุโกศล แคลปป์) แล้วเขาอยู่กับเพื่อนสวยๆ เต็มเลย ซึ่งที่ผ่านมาเขาไม่เคยแนะนำใครให้น้องชาย เพราะคิดว่าน้องชายทุเรศ (หัวเราะลั่น)”
แม้จะเพิ่งผ่านประสบการณ์อันเจ็บปวดในเรื่องความรักมา แต่ด้วยแววตาสดใสที่เปี่ยมด้วยความมั่นใจของคุณเจ ทำให้สัญชาตญาณกระซิบกับคุณสุกี้ว่า “นี่แหละคนที่เราเฝ้าคอยมาตลอด”
แม้ว่าอีกฝ่ายหนึ่งจะไม่ได้รู้สึกพิเศษอะไรกับตัวเขา หรือเหตุการณ์ในวันนั้นเลยก็ตาม
“คืนนั้นพี่ดารณีแนะนำน้องชายให้รู้จัก แต่ก็ไม่ได้รู้สึกพิเศษอะไรนะคะ เพราะว่าไม่ได้คุยกันเลย รู้แค่ อ๋อ นี่คือน้องชายพี่ดารณี แล้วก็รู้แค่ว่า เขาอยู่ในวงการบันเทิง” คุณเจเล่าด้วยรอยยิ้มถึงช่วงเวลาที่เป็นจุดเริ่มต้นของทุกอย่าง
เหตุการณ์หลังจากคืนนั้นเป็นยังไงบ้าง
“จากที่เจอวันนั้น ผมก็ตั้งใจว่าจะจีบเขา แต่ไม่รู้ว่าจะทำยังไงต่อ เพราะผมเป็นคนขี้อายและไม่มั่นใจตัวเองในเรื่องผู้หญิงมาตลอด สมัยเด็กๆ ก็ไม่เคยจีบใครติดเลย…แต่จะเอาคนนี้! (หัวเราะ) ผมเลยเริ่มจากขับรถไปบ้านพี่ณีแล้วบอกเขาว่า ‘คนนี้ไอชอบจริง ยูอย่าทำพังนะ’ ซึ่งตอนที่พูดเขากำลังกินข้าวอยู่ พอได้ยินแล้วเขาก็… (ทำหน้าอ้าปากหวอ) คือผมกลัวเขาไปพูดต่อแล้วทำทุกอย่างพัง” คุณสุกี้เล่าเสียงดัง ขณะที่คุณเจนั่งฟังยิ้มๆ
“หลังจากนั้นพี่สา (มาริสา สุโกศล หนุนภักดี) จัดงานเปิดตัวหนังสือของเขา (“มาริสา อัลบั้มรับเฉพาะรัก”) ซึ่งต่างคนต่างก็ได้ไปร่วมงาน และทุกอย่างเริ่มคืบหน้าเมื่อ จุ๊ก (อาทิตย์ อัสสรัตน์) เพื่อนผม จัดการชวนเจไปที่บ้านเขา”
“ตอนนั้น ยูนิ ภรรยาของคุณจุ๊กเพิ่งย้ายมาจากสิงคโปร์ เขาทำงานเกี่ยวกับศิลปะ แล้วจุ๊กหรือยู (หมายถึง สุกี้) นี่แหละเมล์มาหาเจว่า อยากแนะนำให้รู้จักกับยูนิ ถึงแม้ว่าจะไม่เคยรู้จักกับคุณจุ๊กมาก่อน เราก็คิดแค่ว่าได้รู้จักกันไว้ก็ไม่เสียหาย เผื่อจะได้ร่วมงานกัน”
แล้วคุณเจเริ่มรู้ตัวเมื่อไหร่ว่าผู้ชายคนนี้มาจีบเรา
“เริ่มรู้วันที่มีงานเปิดนิทรรศการที่หอศิลป์กรุงเทพ หลังจากวันที่เจอกันที่บ้านคุณจุ๊กประมาณอาทิตย์หนึ่ง เจกำลังถือพวกหนังสือสูจิบัตรอยู่เป็นปึกๆ แล้วเขาเข้ามาบอกว่าจะถือให้ จุดนั้นทำให้เริ่มสะกิดใจ พอดีงานวันนั้นเลิกไม่ดึก เราต่างคนต่างไม่ได้เอารถมา ต้องลงมาเรียกแท็กซี่อยู่แล้ว ก็เลยถามว่า ไปกินข้าวกันไหม คืนนั้นเลยมีโอกาสได้คุยกัน 2 คนเป็นครั้งแรก”
Route 2: Love is on the way
จากจุดเริ่มต้นคืนนั้น ประตูความสัมพันธ์ของทั้งคู่ก็ค่อยๆ แง้มออกมาช้าๆ ขณะที่วันเวลาที่ผ่านไปก็พิสูจน์ว่า เสียงกระซิบจากสัญชาตญาณของคุณสุกี้ในครั้งแรกที่พบกันนั้นถูกต้อง…ทั้งยังชัดเจนขึ้นทุกขณะ
“เขาเป็นผู้หญิงที่สามารถอยู่กับเพื่อนผมได้ สามารถซ้อนมอเตอร์ไซค์เข้าป่าได้ แถมยังไปพิพิธภัณฑ์กับคุณกมลา (กมลา สุโกศล คุณแม่ของคุณสุกี้) ได้นี่หายากนะเว่ย เรียกว่าขึ้นเหนือลงใต้ ไฮโซโลโซได้หมด” คุณสุกี้ชมคุณเจ ก่อนจะเล่าต่อถึงเส้นทางความรักที่เริ่มเบ่งบาน
ขณะเดียวกันทางฝั่งของคุณเจ ก็รู้สึกประทับใจในความแข็งแรงบึกบึนและ “ถึก” ในแบบผู้ชายๆ ของเขา แถมบุคลิกบางอย่างของคุณสุกี้ยังไปมีส่วนคล้ายคลึงกับผู้ชายคนที่เป็นดั่งรักแรกของเธอ
“พอคบกันมาเรื่อยๆ ก็รู้สึกว่า เฮ้ย เขาเหมือนพ่อเรา คือคุณพ่อจะเป็นศิลปิน สมัยก่อนท่านเคยเขียนป้ายโรงหนังเฉลิมไทยด้วย นอกจากนั้นคุณสุกี้ยังดีอย่างหนึ่งคือ เขาเป็นศิลปินที่มีความเป็นนักธุรกิจอยู่ในตัว คุณพ่อเจก็เหมือนกัน ความเป็นศิลปินของคุณพ่อคือ มีความคิดสร้างสรรค์ ไม่ยึดติดอยู่ในกรอบ แต่ก็จะเป็นคนมีระเบียบ”
ด้วยฝ่ายชายหมั่นส่งข้อความแสดงความรู้สึกภายในใจผ่านโปรแกรมแชตแบล็คเบอร์รี่ไปหาฝ่ายหญิงเป็นภาษาคาราโอเกะตามที่เพื่อนฝูงได้สอนเอาไว้ ระยะห่างระหว่างทั้ง 2 คนก็ค่อยๆ เขยิบเข้ามาใกล้ชิดเป็นลำดับ กระทั่งบททดสอบแรกที่ทำให้ความสัมพันธ์ของทั้งคู่พัฒนาไปอีกขั้นได้มาถึง
บททดสอบนั้นคืออะไรหรือครับ
“เราสองคนได้บังเอิญไปเจอดีโน่ (ลูกชายคุณสุกี้กับภรรยาคนแรก) ที่ร้านแห่งหนึ่งแถวสุขุมวิท”
“เป็นการเจอกันแบบแปลกๆ ด้วย เพราะวันนั้นดีโน่อยู่กับพ่อแม่ของแฟนเขา ซึ่งผมไม่เคยเจอพวกเขามาก่อน”
“ตอนนั้นเราเพิ่งเริ่มๆ คบกัน เจยังไม่มีโอกาสได้เจอดีโน่เลย แล้วอยู่ดีๆ ไปเจอกันที่ร้านอาหาร เจก็รู้สึกผิดนิดนึงว่า ดีโน่ไม่น่าถูกสถานการณ์บังคับให้ต้องมาเจอกันเลย เขาน่าจะเจอเราในสถานการณ์ที่เขาอยากจะเจอ แต่สุดท้ายมันก็ไม่มีอะไร ต่างคนต่างก็ไปนั่งโต๊ะของตัวเอง แต่ทุกอย่างก็โอเคค่ะ (ยิ้ม)”
ทำไมคุณเจถึงมองว่า วันนั้นเป็นเหตุการณ์ที่ทำให้ความสัมพันธ์ก้าวหน้า
“เพราะดีโน่เป็นส่วนสำคัญของชีวิตเขา แล้วคุณสุกี้ก็จะพยายามปกป้องดีโน่ คือถ้ายังไม่แน่ใจกับคนที่คบจริงๆ เขาก็จะไม่แนะนำให้ดีโน่รู้จักเลย ดังนั้นพอเรายังไม่ได้เจอส่วนสำคัญของชีวิตเขา ก็เหมือนกับมีช่องว่างขนาดใหญ่มากั้นเราไว้ ทำให้เรายังไม่สนิทกันจริงๆ น่ะค่ะ ดังนั้นพอเราอุดช่องว่างนั้นไปได้แล้ว ทุกอย่างก็ดีขึ้น”
“จากก้าวแรก ผมเอาเขาซ้อนมอเตอร์ไซค์ได้ พอผ่านก้าวที่สอง เขาได้เจอดีโน่แล้ว ก็มาถึงก้าวที่สามตอนที่ได้เจอคุณกมลา” คุณสุกี้ไล่ระดับความสัมพันธ์แบบเข้าใจง่ายให้ฟัง
งั้นขอย้อนกลับไปก้าวแรกก่อนว่า วันแรกที่คุณเจยอมซ้อนมอเตอร์ไซค์คุณเป็นยังไงบ้าง
“วันนั้นเพื่อนๆ ผมมีแข่งมอเตอร์ไซค์กันที่บางแสน ผมเลยให้เจซ้อนไปบางแสน แล้วเป็นวันที่ร้อนมากๆ เลย พอเรากลับมาถึงที่นี่ ผมกับเจเดินขึ้นบันไดสวนกับน้อย (กฤษดา สุโกศล แคลปป์ หรือ น้อย วงพรู) น้อยมองเราแล้วก็ถามว่า “What do you do to her?” เอาเขาไปทำอะไรมา (หัวเราะ)”
โอเค กลับมาก้าวที่สาม คุณเจไปพบคุณกมลาได้ยังไงครับ
“เจอโดยบังเอิญที่เอ็มโพเรี่ยมค่ะ เหมือนคราวดีโน่เลย คือเราก็ไม่รู้ว่ามันถึงเวลาที่จะได้เจอแม่เขาหรือยัง แต่อยู่ดีๆ มาเจอ ก็เลยรู้สึกแบบ…ยังไงล่ะ แต่สุดท้ายก็ไม่มีอะไร” คุณเจเล่า “จริงๆ ตอนที่คุณสุกี้ได้เจอคุณพ่อเจก็บังเอิญอีกเหมือนกันนะคะ คือคุณสุกี้ไปแกลเลอรี่ แล้วคุณพ่อมาพอดี ก็เลยได้เจอกัน”
นับจากที่คบกันจริงจัง เคยมีปัญหาหรือทะเลาะกันบ้างไหมครับ
“ผมโดนด่าทุกวัน (หัวเราะ) ซึ่งผมคิดว่าเป็นเรื่องดี เพราะปกติคนไทยจะไม่ค่อยเถียงกัน แล้วก็จะเก็บเอาไว้ในใจ แต่เขาเป็นคนพูดตรงๆ “สุ ยูผิด!” ซึ่งปกติผมไม่ค่อยฟังใคร และไม่มีใครด่าผมไง (นิ่งคิด) แต่เราก็ไม่ทะเลาะกันมากนะครับ นานๆ ที แต่ก็มีอยู่ช่วงหนึ่ง ตอนที่ผมคบเขาไปได้ประมาณครึ่งทาง เขาเคยบอกว่า “สุกี้ ไอน่ะปกติ ยูน่ะแปลก” (หัวเราะ)”
“คือเจรู้สึกว่าเขาจะมีความซับซ้อนทางความรู้สึกและความคิดค่อนข้างมาก แล้วก็มี Conflict กับตัวเองเยอะ แต่เจเป็นผู้หญิงที่ชัดเจน ชอบอะไรก็บอกชอบ ไม่ชอบก็บอกไม่ชอบ จะไม่มีประเภท ชอบ แต่ว่า…”
แล้วความซับซ้อนตรงนี้ทำให้ความสัมพันธ์เป็นไปได้ยากขึ้นหรือเปล่า
“ยากค่ะ ยิ่งช่วงแรกๆ ที่คบกัน ด้วยความสัมพันธ์ยังไม่ได้แน่นแฟ้น เราเลยยังก้าวข้ามเส้นเขาไม่ค่อยได้” คุณเจยอมรับ “แต่พอคบมาเรื่อยๆ ก็เริ่มเข้าใจและปรับตัวได้ว่าที่สุดแล้ว เราต้องมีความบาลานซ์กัน ความสัมพันธ์จึงเริ่มดีและแน่นแฟ้นขึ้น”
Route 3: Love is….
ความสัมพันธ์ของทั้งคู่ดำเนินมาเรื่อยๆ โดยราบรื่น…เพื่อที่จะพบว่า เส้นทางชีวิตของทั้งเขาและเธอได้มาถึงทางแยกให้ต้องเลือกไปอีกครั้ง…
“หลังจากที่คบกันมาได้ประมาณ 3 ปี ก็คิดว่าแล้วมันจะไปไหนต่อ เพราะในมุมหนึ่งเจก็อยากมีครอบครัว เลยเกิดคำถามขึ้นว่า ความต้องการของเรา 2 คนตรงกันหรือเปล่า เราคบผู้ชายที่มีลูกแล้ว เราเองก็อายุ 30 จะคบกันอย่างนี้ไปเรื่อยๆ เป็นแฟนกันตลอดไป โดยที่เขาก็มีลูกของเขาอย่างนี้น่ะเหรอ ก็เลยต้องคุยกันจริงจัง” คุณเจ รำลึกถึงช่วงเวลาหัวเลี้ยวหัวต่อนั้น
“มันมาถึงจุดที่ผมต้องตัดสินใจซะที ความที่ผมเคยมีครอบครัวมาแล้ว ผมต้องตอบตัวเองให้ได้ก่อนว่า อยากจะมีอีกหรือเปล่า แล้วในเวลาเดียวกัน ดีโน่ก็โตเป็นผู้ใหญ่ กำลังจะออกจากบ้านไปมีชีวิตของตัวเอง ตรงนั้นเลยถือเป็นจุดเปลี่ยนครั้งใหญ่ของชีวิตเลย” คุณสุกี้เล่า “ผมต้องเลือกอย่างใดอย่างหนึ่ง เราคงจะใช้ชีวิตอย่างนี้ไปเรื่อยๆ ไม่ได้แล้ว มันไม่แฟร์กับผู้หญิง จนในที่สุดผมก็ตัดสินใจได้ว่า ถ้าไม่แต่งงานกับเจ เขาก็คงทิ้งผมไปแล้วล่ะ (หัวเราะ) พอตัดสินใจอย่างนั้น ดีโน่เขาก็สนับสนุนเต็มที่”
จุดเปลี่ยนที่ว่านี้เกิดขึ้นเมื่อไหร่ครับ
“น่าจะประมาณ 2 ปีได้แล้วเนอะ (หันไปถามภรรยา) แต่ตอนนั้นผมกำลังทำอัลบั้ม Monkey Disco Boy ของตัวเองอยู่ ผมเลยพูดกับเขาตลอดว่า “ขอให้เสร็จก่อน ขอให้เสร็จก่อน” แล้วค่อยแต่งงาน (หัวเราะ)”
“ได้มาคุยเรื่องงานแต่งงานกันจริงจังในช่วงต้นปี 58 นี่เองค่ะ หลังจากนั้นก็คงคล้ายๆ กับคู่อื่น ที่จะต้องคุยกันว่า ช่วงไหนดี พอสรุปว่าเป็นช่วงปลายปีแล้ว คุณแม่เจก็เอาวันเกิดไปดูฤกษ์กับผู้ใหญ่ของเขา สุดท้ายก็เลยได้เป็นวันที่ 13 ธันวาคมค่ะ”
การเตรียมงานยุ่งยากไหมครับ สำหรับทายาทโรงแรมอย่างคุณสุกี้
“สำหรับผม เราเคยจัดคอนเสิร์ตมาเยอะ มันจะยากแค่ไหนวะ แล้วเดอะสุโกศลน่ะ ปีนึงๆ จัดงานแต่งงานประมาณ 150 งาน เขารู้อยู่แล้วว่าต้องทำอะไรบ้าง” คุณสุกี้อธิบาย “อย่างงานคอนเสิร์ต สมัยก่อนผมดูแลทั้งหมดเอง แต่เดี๋ยวนี้ผมปล่อยมากขึ้น ตอนเตรียมงานแต่งงานผมก็คิดแบบนี้เหมือนกัน เลยไม่ได้รู้สึกว่ามันจะยุ่งยากอะไร รู้แต่ว่าจะต้องใส่ใจเขาเยอะๆ”
“ส่วนตัวเจไว้ใจทางบ้านคุณสุกี้กับทางโรงแรมอยู่แล้วว่าน่าจะจัดออกมาดีแน่นอน คุณสุกี้เองก็จะพูดตลอดว่าเคยจัดคอนเสิร์ตมาแล้ว งานแต่งเรื่องง่ายนิดเดียว แต่พอเวลาผ่านไป ทำไมมันยังไม่มีอะไรเลย ทำไมเรายังไม่ได้คุยกับใครเลย เราก็เริ่มรู้สึกว่าไม่ใช่ละ คือเขาจะแค่พูด แต่ไม่ทำซะทีไงคะ เวลาทำคอนเสิร์ต เขาก็จะจ้างคนนั้นคนนี้มาทำงานใช่ไหม ถ้างั้นงานแต่งงานก็ต้องจ้างนะเว้ย ไม่ใช่นั่งๆ พูดแล้วมันจะเกิดขึ้น”
แล้วเรื่องชุดละครับ ทราบว่าคุณสุกี้เพิ่งซื้อไทก่อนวันแต่งงานเพียงวันเดียวด้วยซ้ำ
“คือผมมองว่า โอเค สูทต้องสั่งตัดล่วงหน้าอยู่แล้ว ส่วนเรื่องไทน่ะไม่เห็นจะยากตรงไหน ก็แค่เดินไปห้างแล้วชี้ว่าเอาอันนี้ พอวันงานทุกคนชมชุดผมกันทั้งนั้น อย่างแม่พอเห็นผมในชุดนั้นก็มองผมคล้ายจะบอกว่า ‘You look different today’ ซึ่งแม่ไม่เคยมองผมอย่างนั้นมาก่อน ทั้งที่วิธีเลือกแบบสูทของผมน่ะโคตรง่ายเลย ผมชอบยุค 1920s ผมก็เข้าไปค้นหาภาพจากหนังเรื่อง Great Gatsby แล้วก็เอาภาพไปให้ร้านตัดตาม”
“แต่เราสองคนไม่เคยเห็นชุดกันและกันเลยนะคะ จนกระทั่งวันงาน เราก็กลัวเหมือนกันว่าชุดจะเข้ากันไหม”
“ชุดของเขาแบรนด์ฝรั่งเศส ส่วนของผม พิ้งกี้ เทเลอร์ สำเพ็ง” คุณสุกี้หัวเราะลั่น
แล้วคุณสองคนคิดอย่างไรกับกระแสดราม่าคุณน้อยร้องเพลงบนโต๊ะอาหารในงานแต่งบ้าง
“ผมไม่ได้ใส่ใจเรื่องนั้นเลย ส่วนน้อยเขาก็โอเคนะ เพราะมันเป็นงานแต่งของพี่เขา โรงแรมของครอบครัวเรา”
“เจว่า กระแสมันเกิดจากที่คนส่วนใหญ่ไม่รู้กันว่าตอนนั้นแขกกลับไปหมดแล้ว เหลือแต่เด็กๆ แล้วก็พวกเบเกอรี่ฯ ที่ยังเต้นกันอยู่ คนเขาอาจจะคิดว่ายังมีคนนั่งกินข้าวอยู่ก็ได้เนอะ” คุณเจหันไปถามสามี
หลังจากที่ได้ใช้ชีวิตคู่มาพอสมควรแล้ว คิดว่าการแต่งงานดีกับชีวิตยังไงบ้าง
“ผมรู้สึกว่าการแต่งงานทำให้ผมไม่อยู่ไปวันๆ ช่วงที่ผมออกจากเบเกอรี่ฯ แล้วเอาแต่ขี่มอเตอร์ไซค์น่ะ ถ้าไม่มีดีโน่นี่เละเลยนะ ผมไม่มีหลักอะไรให้ยึดอีกแล้ว แต่การแต่งงานทำให้ผมมีแกนให้ยึดได้”
“มุมมองความรักก็เปลี่ยนไปบ้างเหมือนกันนะคะ สมัยก่อนเวลาเรามี Puppy Love หรือเวลาดูหนัง ก็จะเจอแต่ความรักที่หวานแหววหรือหวือหวา แต่ในความเป็นจริงแล้ว คนที่จะอยู่กับเราได้ก็คือคนที่สามารถเข้ากันได้”
“เราอาจมีอะไรหลายอย่างไม่เหมือนกัน แต่เพราะเรามีแกนที่เหมือนกันถึงทำให้สามารถอยู่ด้วยกันได้ ไอ้พวกเรื่องเปลือกนอกน่ะสามารถประนีประนอมหรือปรับกันได้ แต่เรื่องแกนเป็นเรื่องที่ประนีประนอมไม่ได้ ลึกๆ ต้องเชื่อในสิ่งเดียวกัน ไม่งั้นไปยังไงก็พัง ไม่ช้าก็เร็ว หรือถ้าไม่พังก็จะรู้สึกทุกข์ทรมาน”
“การเข้ากันได้คือส่วนสำคัญที่ทำให้ความรักไม่หมดไป แต่ถ้ามีแค่ความรัก ซักวันก็จะค่อยๆ หมดไปในที่สุด เห็นด้วยไหมคะ”
คำถามทิ้งท้ายของคุณเจ แม้จะชัดเจนว่าไม่ต้องการคำตอบ แต่ที่ชัดเจนกว่านั้นคือสิ่งที่แฝงอยู่ในระหว่างประโยค ระหว่างคำพูดตลอดบทสนทนาก็คือ ความผูกพันที่ทั้งคู่มีให้แก่กัน ซึ่งเกิดการเพาะบ่มจากวันเวลากว่าครึ่งทศวรรษ…จากวุฒิภาวะของทั้ง 2 คนที่เป็นผู้ใหญ่กันแล้ว และแน่นอน…จากความรัก
ทั้งหมดเป็นคำตอบที่ยังผลให้เกิดสิ่งที่คุณสุกี้ได้กล่าวเอาไว้ในตอนต้นที่เราขอเติมคำห้อยท้ายให้ว่า
“ชีวิตที่ดูเหมือนเดิม แต่ไม่เหมือนเดิม…อีกต่อไป”