10 เรื่องสำคัญที่คู่รักต้องคุยกันให้เคลียร์ก่อนจะตัดสินใจแต่งงาน

เราเชื่อว่าหลังจาก แต่งงาน ไปแล้วใครๆ ก็อยากได้ชีวิตครอบครัวที่แฮปปี้ใช่ไหมล่ะ ถ้า “ใช่” แพรวเวดดิ้งก็อยากให้คู่รักทุกคู่ลองเปิดใจคุย 10 หัวข้อนี้กันก่อนแล้วค่อยตัดสินใจแต่งงานก็ยังไม่สายนะ เพื่ออนาคตรักที่สดใสไร้ปัญหากวนใจ

1. เข้าใจคำว่า “แต่งงาน” ว่าอย่างไร?

สิ่งแรกที่แพรวเวดดิ้งอยากให้คุณคิดให้ตกและคุยกันก็คือ สำหรับคุณแล้วการแต่งงานคืออะไร? แต่สำหรับแพรวเวดดิ้งแล้วการแต่งงานไม่ได้เป็นเพียงการจัดงานเลี้ยงฉลองและประกาศอย่างเป็นทางการว่า “เราเป็นสามีภรรยาแล้วนะ” เท่านั้น แต่มันหมายถึงการเริ่มต้นชีวิตคู่ที่แท้จริงและมีสิ่งใหม่ๆ อีกมากมายที่คุณจะต้องเรียนรู้ร่วมกันรออยู่ข้างหน้า เพราะฉะนั้นถ้าคุณคิดแบบเดียวกันอย่างที่แพรวเวดดิ้งคิด เราก็อยากให้คุณและคนรักลองคุยกันสักนิดว่า หลังจากที่ชีวิตคู่เริ่มต้นแล้ว คุณจะต้องปรับตัวอย่างไรกับความสัมพันธ์ที่พัฒนาไปอีกขั้น จะมีอะไรเปลี่ยนแปลงไปบ้าง หรือสิ่งไหนที่จะยังคงเดิม

แพรวเวดดิ้งเชื่ออย่างหนึ่งว่า การแต่งงานไม่ใช่เป็นการบอกว่า “คุณจะได้เป็นเจ้าของกันและกัน” และเข้าไปยุ่งวุ่นวายทุกอย่างในชีวิตของเขาหรือเธอได้สบาย เพราะถึงแม้ว่าคุณจะแต่งงานกันแล้ว ก็ต้องเว้นระยะห่างในบางเรื่องให้กันและกันบ้าง มาถึงตรงนี้คุณอาจจะถามตัวเองและคนรักสักนิดว่า คุณทั้งคู่เข้าใจคำว่า “แต่งงาน” อย่างไร?

2. อยากมีลูกหรือเปล่า?

สิ่งที่อยากให้คุยกันสำหรับเรื่องเจ้าตัวเล็กก็คือ คุณทั้งคู่อยากมีลูกหรือไม่?, จะพยายามปั๊มลูกกันหลังจากแต่งงานเลยไหม หรือจะรอสัก 1-2 ปี? และจะมีลูกกี่คนดี?

การปรึกษาเรื่องนี้มีข้อดีไม่น้อย เนื่องจากคุณจะได้วางแผนการมีลูกได้อย่างรอบคอบว่า ควรเตรียมสุขภาพอย่างไรให้พร้อมมีลูก หรือในทางกลับกันบางคู่ก็จะได้รู้เหตุผลและทำความเข้าใจกันและกันว่าเพราะอะไรจึงไม่อยากมีลูก จะได้ไม่ต้องทะเลาะกันในอนาคต

3. วางแผนเลี้ยงลูกให้ถูกทาง

ถ้าคุณสองคนตัดสินใจกันเรียบร้อยแล้วว่า “จะมีลูกแน่นอน” ก็ควรจะเริ่มคุยกันได้เลยค่ะว่า อยากให้ลูกโตขึ้นในสภาพแวดล้อมแบบไหน แต่ละคนมีวิธีการเลี้ยงลูกอย่างไร บางคนรู้ตัวว่าชอบใจอ่อนกับลูก เทวดาตัวน้อยขออะไรก็ไม่กล้าขัดใจ ควรตกลงกันว่าต้องมีคนที่ใจแข็งกับลูกบ้าง มีอะไรที่ตามใจได้ อะไรที่ควรทำโทษหากเขาทำผิด และวิธีทำโทษควรเป็นอย่างไรไม่ให้รุนแรงเกินไป ไม่เช่นนั้นเด็กอาจจะโตมาเป็นคนเอาแต่ใจตัวเองและก้าวร้าว แบบนี้ต้องระวังให้ดี

4. บทรัก “บนเตียง”

เรื่องรักๆ ใคร่ๆ อย่าอายที่จะพูดกันนะคะ เพราะเรื่องเซ็กส์ก็เป็นส่วนประกอบสำคัญของชีวิตคู่ไม่ต่างจากเรื่องอื่นๆ หลายคู่ไม่รู้ใจกันว่าคนรักชอบให้ทำแบบไหน เล้าโลมอย่างไร ลีลาไหนที่จะช่วยให้ถึงฝั่งฝันจนกลายเป็นปัญหาใหญ่โต บางคนถึงกับออกไปหาความสุขและความแปลกใหม่นอกบ้าน ขาเตียงหักรักร้าวกันไปหลายรายแล้ว แต่ของแบบนี้ต้องลองหาจังหวะพูดดีๆ นะ เพราะเผลอๆ คุยเสร็จก็อาจจะลองทดสอบความชอบกันสักรอบเนอะ อิอิ!

5. “ศาสนา” เรื่องละเอียดอ่อนที่ต้องคุย

คู่รักคู่ไหนที่นับถือศาสนาเดียวกันก็ใช่ว่าจะไม่เป็นปัญหานะคะ เพราะถ้าคุณนับถือกันคนละนิกาย วิธีปฏิบัติก็อาจจะแตกต่างกันไปบ้าง รวมถึงคู่ที่นับถือคนละศาสนาแพรวเวดดิ้งขอบอกว่าเรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องเล่นๆ เพราะจะมีผลกับคุณตั้งแต่การเตรียมงานแต่ง ไปจนถึงชีวิตของลูกเลยทีเดียว

อย่างแรกที่อยากให้คุณคุยกันให้ชัดเจนคือ พิธีแต่งงาน ต้องปรึกษากันว่าจะจัดพิธีอย่างไร จัดกี่ศาสนา จัดกี่วัน รวมถึงเตรียมตัวและซักซ้อมสำหรับการเข้าพิธีที่คุณไม่คุ้นชินด้วย

อย่างที่สองคือ หลังจากแต่งงานไปแล้ว ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งจะต้องเปลี่ยนศาสนาหรือไม่ ซึ่งเรื่องนี้ก็สำคัญไม่แพ้กัน บางคนรักกัน อยากแต่งงานแต่ไม่อยากเปลี่ยนศาสนา เพราะฉะนั้นควรจะพูดคุยกันเกี่ยวกับเรื่องนี้ให้ชัดเจนตั้งแต่แรก

อย่างสุดท้ายคือ ถ้ามีลูกจะให้ลูกนับถือศาสนาอะไร บางบ้านตัดสินใจให้เด็กเลยตั้งแต่ยังไม่เกิด บางบ้านบอกว่ารอเด็กโตก่อนแล้วให้เขาเลือกเอง หากเป็นอย่างหลังก็ต้องคุยกันอีกว่า ระหว่างที่เขายังไม่โตและไม่สามารถตัดสินใจเองได้ จะเลี้ยงเขาและพาเขาเข้ารวมกิจกรรมศาสนาอย่างไรบ้าง

6. เรื่องเงินๆ ทองๆ ไม่ควรละเลย

คนเราแต่งงานหนึ่งครั้งใช้เงินไม่ใช่น้อยๆ ควรเปิดใจพูดคุยกันว่าสภาพการเงินหรือหนี้สินของคุณและคู่รักเป็นอย่างไร สามารถแบ่งมาเป็นค่าสินสอด และใช้เป็นงบประมาณสำหรับจัดงานแต่งได้เท่าไหร่ ยิ่งไปกว่านั้น หลังจากงานแต่งผ่านไปแล้ว คุณและคนรักวางแผนการใช้เงินกันอย่างไร จะรวมเป็นกระเป๋าเดียวกัน หรือจะแยกเงินใครเงินมันเหมือนก่อนแต่งงาน  เรื่องนี้ก็ควรจะคุยกันให้ชัดเจน เพราะเรื่องเงินไม่เข้าใครออกใคร หลายคู่เลิกกันไปเพราะเรื่องนี้ก็มีไม่น้อย

7. หากมีลูกติดต้องคิดให้หนัก

แน่นอนค่ะว่าความรักไม่เข้าใครออกใคร หลายคนพบรักกับคุณพ่อ-คุณแม่เรือพวงและกำลังจะตัดสินใจแต่งงานกัน เพราะฉะนั้นสิ่งที่ต้องตระหนักให้จงมั่นคือ คุณเข้ากับลูกของคนรักได้ดีแค่ไหน และเขามีท่าทีกับคุณเช่นไร ยอมรับให้คุณเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งในครอบครัวหรือแสดงอาการต่อต้าน คุณสามารถเติมเต็มสิ่งที่เขาขาดได้หรือไม่ และถ้าคุณมีลูกของตัวเอง คุณจะให้ความรักกับเขาจนเขาไม่รู้สึกน้อยใจได้หรือเปล่า

รวมถึงถ้าคุณมีลูกติดและคนรักก็มีเช่นกัน หากจะแต่งงานด้วยกันสิ่งที่ต้องคิดให้มากกว่าปกติคือ ลูกของคุณทั้งคู่จะเข้ากันได้หรือไม่ ต้องทำความเข้าใจกันให้ดีๆ เพราะความรู้สึกของเด็กก็สำคัญไม่แพ้ความรักของพวกคุณทั้งสองคนเช่นกัน

8. จะเป็นพ่อบ้าน แม่บ้าน หรือจะยังทำงานทั้งคู่

เรื่องนี้แพรวเวดดิ้งเห็นมาบ่อยจากบุคคลใกล้ตัว บางคนแต่งงานแล้วลาออกจากงานประจำผันตัวไปเป็นแม่บ้าน อยู่กับเหย้าเฝ้ากับเรือน แต่บางคนก็รักชีวิตการทำงาน ชอบการเป็นเวิร์กกิ้งวูแมนก็มี แพรวเวดดิ้งจึงอยากให้คุณเคลียร์ให้ชัดเจนว่า แต่งงานไปแล้วคุณจะทำงานเหมือนเดิมหรือจะออกมาเป็นแม่บ้านพ่อบ้าน ถ้าเป็นอย่างหลังก็ควรจะคิดต่อด้วยว่าคุณจะเอาเงินที่ไหนใช้ ของแบบนี้ถ้าคู่ชีวิตเลี้ยงดีก็สบายไป

แต่สำหรับบางคนก็คิดว่าจะมัวแต่รอเขาส่งเงินให้อย่างเดียวก็กระไรอยู่ อยากทำงานหาเงินใช้เองจะได้พอมีอำนาจต่อรองในเรื่องต่างๆ บ้าง ถ้าเป็นอย่างนั้นแพรวเวดดิ้งก็อยากให้คุณคิดไปอีกสเต็ปหนึ่งว่า การดูแลความเรียบร้อยของบ้านจะทำอย่างไร อาจจะแบ่งกันไปเลยว่าคุณผู้ชายรดน้ำต้นไม้ คุณผู้หญิงซักผ้า หรือจะจ้างแม่บ้านมาทำแบบนี้ก็สะดวกดี (อย่าลืมตกลงเรื่องจ่ายค่าแรงให้แม่บ้านด้วยนะ)

อีกเรื่องหนึ่งที่ต้องคิดไว้บ้างก็คือ ถ้าคุณมีลูก คุณจะลาออกจากงานมาเลี้ยงลูกหรือไม่ หรือจะฝากให้ปู่ยาตายายช่วยเลี้ยงก็ควรจะต้องปรึกษาท่านด้วยนะ

9. ญาติฉัน ญาติเธอ เราเข้ากันได้ไหม

อีกหนึ่งองค์ประกอบของชีวิตคู่ที่หนียังไงก็ไม่พ้นก็คือ คนในครอบครัวของทั้งสองฝ่าย หลายคนรู้ตัวเองว่าไม่สามารถเข้ากันได้กับญาติพี่น้องของคนรัก ก็แก้ปัญหาด้วยการย้ายออกมาเป็นครอบครัวเดี่ยว ถึงวันหยุดหรือเทศกาลสำคัญก็ค่อยกลับไปเยี่ยม ดีกว่าที่จะต้องเจอหน้ากันทุกวัน ลดการกระทบกระทั่งกันให้น้อยลง หรือบางคนที่ผู้ใหญ่รักผู้ใหญ่หลงก็ย้ายเข้าไปอยู่ด้วยกันซะเลย ญาติพี่น้องเอ็นดูแบบนี้ก็สบายไปอีก ลองปรึกษากับคนรักดูว่าคุณเป็นอย่างแรกหรืออย่างหลัง แล้วค่อยๆ หาทางแก้ปัญหากันไป ชีวิตหลังแต่งงานจะได้ไม่มีปัญหามากมาย

10. เรือนหอของเราจะเอาแบบไหน

ข้อสุดท้ายที่อยากให้ตกลงคุณกันตั้งแต่ก่อนแต่งงานก็คือ “แต่งกันแล้วจะไปอยู่ที่ไหน” (ฟังดูเหมือนไม่มีที่ไป!) บางคนย้ายไปอยู่บ้านผู้ชาย บางคนย้ายไปอยู่บ้านผู้หญิง แบบนี้ก็ต้องดูธรรมเนียมและประเพณีของแต่ละครอบครัวด้วย เช่น ครอบครัวคนจีนมักจะให้สะใภ้ย้ายเข้าไปอยู่บ้านสามี เป็นต้น ส่วนใครที่ตั้งใจจะย้ายเข้าเรือนหอใหม่ ไม่ว่าจะเป็นบ้านหรือคอนโดก็ควรตกลงกันดีๆ ว่าจะตกแต่งบ้านให้เป็นสไตล์ไหน ถ้าฝ่ายหญิงชอบสีชมพูฟรุ้งฟริ้ง แต่ฝ่ายชายชอบสีดำดีพดาร์ก แบบนี้ก็ตกลงกันคนละครึ่งทางนะจ๊ะ อาจจะเป็นชั้นล่างสีชมพู แล้วชั้นบนสีดำ ก็ว่ากันไปตามที่สบายใจแล้วกัน

10 เรื่องที่ว่ามานี้ไม่จำเป็นจะต้องคุยกันวันเดียวให้จบทุกเรื่องนะคะ อย่างนั้นปวดหัวตายไม่ต้องแต่งงานกันพอดี เอาเป็นว่าค่อยๆ คุยกันไปวันละเรื่อง วันนี้คุยไม่จบก็ยังมีพรุ่งนี้ให้คุยต่อ ไม่ต้องเร่งรัดเร่งรีบมากมาย ที่สำคัญก็คือ คุยกันด้วยความเข้าใจซึ่งกันและกัน ความรักจะยั่งยืนไม่แห้งเหี่ยวไปตามกาลเวลาเนอะ

cr : everydayhealth.com, vaisnavafamilyresources.org, lovemybrit.com

อ่านบทความเพิ่มเติม

เริ่มต้น ชีวิตคู่ อย่างมั่นคงด้วย 7 เคล็ดลับช่วยคู่รักออมเงินแบบเห็นผล!

รู้ทันกันไว้กับ 10 ปัญหาชีวิตคู่ที่คุณและคนรักอาจจะเจอเข้าสักวัน

3 เคล็ดลับช่วยพิชิตปัญหาเรื่องเงิน ๆทองๆ ที่มักเกิดขึ้นกับชีวิตคู่รัก

Recommended