ปัญหาชีวิตคู่ สามีเปลี่ยนไปหลังแต่งงาน หลังแต่งงานไม่เป็นอย่างที่คิด กับอีกสารพัน บลาๆๆ ที่บีบให้เจ้าสาวต้องตื่นจากฝัน แล้วก้าวเข้าสู่โลกแห่งความจริง โลกที่ต้อง รับมือกับปัญหาหลังแต่งงาน
งานแต่งงานที่งดงามเหมือนฝัน ความสนใจของคนรอบข้างที่จ้องมองมาที่คุณราวกับคุณเป็น “เจ้าหญิง” ได้ผ่านไปแล้ว ตอนนี้เหลือเพียงคุณกับเขาที่ต้องดำเนินชีวิตคู่กันต่อไป และนั่นคือจุดเริ่มต้นของปัญหาหลังแต่งงานทั้งหลายแหล่ อะไรที่ไม่เคยเจอ ก็จะได้เจอตอนนี้แหละ
แต่จะดีกว่าไหม ถ้าคุณเจ้าสาวมือใหม่ได้รู้เคล็ดวิชา รับมือกับปัญหาหลังแต่งงาน ฉบับ Expert Tip ที่แพรวเวดดิ้งรวบรวมมาไว้ในสิลต์นี้
1. Wedding Blues ซึมเศร้าหลังงานแต่งผ่านพ้นไป
อาการซึมเศร้าหลังแต่งงานที่ฝรั่งเรียกภาษาบ้านๆ ว่า “Wedding Blues” (ภาษาทางการเรียก Postnuptial Depression) เป็นคำตอบของความเศร้าหลังแต่งงานที่เจ้าสาวหลายคนอาจประสบ แต่ไม่สามารถนิยามสิ่งที่ ตัวเองเป็นได้ว่าคืออะไร งานแต่งงานงดงามดั่งฝันเพิ่งจบไป แม้แต่ชุดเจ้าสาวแสนสวยก็จะไม่ใช่ของเราอีกต่อไป สิ่งเหล่านี้ทำให้เจ้าสาวทั้งหลายเกิดความรู้สึกใจหาย จากที่เคยวุ่นวายเตรียมงานมาเป็นปี บัดนี้เป้าหมายได้สำเร็จลุล่วงไปแล้ว ความรู้สึกราวกับเจ้าหญิงจบลงแล้วเมื่อแขกคนสุดท้ายลากลับ ทำให้เจ้าสาวหลายคนรู้สึกหดหู่จนถึงกับว่างเปล่า
วิธีรับมือ:
การเตรียมงานแต่งงานเป็นเรื่องวิเศษ ตราบใดที่คุณไม่ถึงขนาดบ้าคลั่งไปกับมัน การใช้ชีวิตหนึ่งปีก่อนแต่งงานเพื่อวันเพียงวันเดียวจะทำให้คุณรู้สึกเหมือนสูญเสียกะทันหันเมื่อมันจบลง ควรแบ่งเวลาสำหรับการเตรียมงานและใช้ชีวิตปกติของคุณให้พอดี จำไว้ว่าปีแรกของการแต่งงานก็ควรเป็นช่วงเวลาที่พิเศษเช่นกัน อย่ามัวนอยด์จนพลาดเก็บเกี่ยวช่วงเวลาดีๆ ลองจัดปาร์ตี้เล็กๆ นัดเพื่อนและครอบครัวมาดูรูปถ่ายและวิดีโองานแต่ง หาเวลาว่างในช่วงวันหยุดสั้นๆ ไปเที่ยวใกล้ๆ กันสองคน ไม่ใช่กลับจากฮันนีมูน มาแล้วก็ไม่คิดจะไปไหนอีกเลย สิ่งนี้จะช่วยให้คุณค่อยๆ ก้าวลงจากจุดพีคในวันแต่งงานได้อย่างไม่หักดิบจนเกินไป
2.เวลาอยู่บ้านคุณเป็นแบบนี้เหรอ!
ผู้หญิงบางคนไม่เคยรู้เลยว่า เวลาอยู่บ้าน ผู้ชายของเธอมีพฤติกรรมการใช้ชีวิตอย่างไร เตรียมใจไว้เถอะว่า คุณอาจต้องเจอเรื่องน่าหงุดหงิดหลายเรื่อง อย่างเช่นที่เจ้าสาวป้ายแดงคนหนึ่งเคยช็อกกับพฤติกรรมการใช้ห้องน้ำของคุณสามีมาแล้ว
“เคยได้ยินจากเพื่อนบางคนว่า สามีไม่ยกฝารองนั่ง ทำให้เลอะเทอะมาก สำหรับสามีเรา แม้จะยกฝารองนั่งขึ้นแล้ว แต่ด้วยความไม่ระวังก็ทำให้เหลือร่องรอยเลอะตามขอบโถ บางครั้งตื่นมาเข้าห้องน้ำ กลางดึก งัวเงียนั่งลงไปก็เลอะ ทำให้รู้สึกไม่สะดวกใจ ทุกครั้งเมื่อต้องใช้ห้องน้ำต่อ ต้องคอยเตือนและให้คุณสามีเป็นคนทำความสะอาดเอง นอกจากนี้ยังชอบนอนกรน แย่งผ้าห่มกันตอนหลับ และนิสัยแบบผู้ชายเรื่องอื่นๆ เช่น ไม่ค่อยมีระเบียบ และชอบผัดวันประกันพรุ่งจนต้องตั้งฉายาให้ว่า ‘มิสเตอร์เดี๋ยว’ ”
วิธีรับมือ:
คิดเสียว่านี่แหละคือความแตกต่างของชายหญิงที่พระเจ้าให้มา และกำหนดให้ชายต้องคู่กับหญิง เพื่อเติมเต็มสิ่งที่อีกฝ่ายไม่มี เพราะเขาเป็นอย่างนี้จึงต้องมีเราคอยดูแล แค่เข้าห้องน้ำเลอะเทอะ วางของไม่เป็นที่ เราช่วยเก็บกวาดนิดหน่อยก็เป็นความสุขและความภูมิใจ มองอีกมุมเขาก็ต้องคอยดูแลเราเหมือนกัน แต่ก่อนเขาไปไหนคนเดียวก็เดินตัวปลิว พอมีเรา เขาก็ต้องรอ ต้องคอยถือกระเป๋า ถือของให้ เลิกงานก็ต้องฝ่ารถติดมารับ ซื้อเสบียงมาให้ คอยปกป้องสารพัด นี่ก็เป็นความภูมิใจของผู้ชายที่ได้ดูแลคนรักเช่นกัน
3. จากมดเรียกพี่ เดี๋ยวนี้ความหวานของเราหายไปไหนหมด!
จากที่เคยโทรหากันเช้า กลางวัน เย็น ก่อนนอน คุยโทรศัพท์กันทีนานสองนาน เจอเรื่องอะไรมาตั้งแต่เช้าจดเย็นก็แทบจะบรรยายให้ฟังทุกรายละเอียด แต่ทำไมแต่งงานแล้วกลับแทบไม่มีเวลาคุยกันเลย ปัญหาของสามี- ภรรยาคือการหยุดทำอะไรที่เคยทำก่อนแต่งงาน ไม่มีเดตที่ตื่นเต้นในวันสุดสัปดาห์ ไม่มีกิจกรรมเริ่ดๆ ที่ต่างฝ่ายต่างช่วยกันหามา ความโรแมนติกที่เคยท่วมท้นหดหายไปกะทันหัน
วิธีรับมือ:
เป็นธรรมดาของทุกคู่รักที่ความหวานจะน้อยลงเมื่อเทียบกับวันแรกๆ ที่จีบกัน ยิ่งเมื่อเริ่มต้นสร้างครอบครัวในวัยที่หน้าที่การงานกำลังก้าวหน้า ผู้ชายส่วนใหญ่จะยิ่งรู้สึกว่าต้องทุ่มเทให้หนัก เพื่อสร้างความมั่นคงให้กับครอบครัว จนหลายครั้งไม่มีเวลาที่จะอยู่นิ่งๆ ช้าๆ หรือหันมามองหน้าพูดคุยกันเลยก็มี
ในฐานะศรีภริยาที่มีสามีแบบนี้ บอกเลยว่าต้องเพลาๆ เอาการงอน หรือน้อยใจลงให้มากๆ ท่องไว้ว่ากำลังใจคือสิ่งสำคัญที่ช่วยให้คุณสามีหายเหนื่อยได้ และถ้าทำได้ก็ควรหมั่นแฝงความหวานไว้ในทุกวันเวลา แม้เขาจะยุ่งก็ต้องให้รู้ว่าเรานึกถึงเขาอยู่ตลอด เช่น หากต้องออกไปทำงานก่อน ก็แนบกระดาษโน้ตบอกรักหรือให้กำลังใจตามตู้เย็นหรือประตูบ้าน แค่นี้ก็ช่วยให้เขามีกำลังใจและมีรอยยิ้มไปผจญกับงานหนักแล้วละ
นอกจากนี้ต้องไม่ลืมที่จะกอดและบอกรักกันก่อนนอน เพื่อย้ำว่าเรายังมีกันเสมอ และควรมีหนึ่งวันในสัปดาห์ซึ่งเป็นวันที่ครอบครัวจะทำกิจกรรมร่วมกัน หากในบ้านมีผู้ใหญ่ อาจมีกิจกรรมสร้างความสัมพันธ์ด้วยการร้องคาราโอเกะร่วมกัน หรือเมื่อมีลูก ก็ขอความเมตตาจากผู้ใหญ่ฝากลูกอาทิตย์ละวัน ออกไปดูหนัง ฟังเพลง ดินเนอร์ใต้แสงเทียน แล้วอย่าลืมต้องแต่งตัวสวยเซ็กซี่ด้วยนะ แค่นี้เขาก็ไม่เหลือสายตาไว้แลใครแล้ว
4. ไม่เห็นคุณจะดีขึ้นบ้างเลย!
เพราะเชื่อมั่นว่าความรักเปลี่ยนแปลงทุกสิ่งได้ ผู้หญิงจึงมักคิดว่าผู้ชายของเธอจะดีขึ้น โดยเฉพาะหลังแต่งงาน เขาจะรักเธอมากขึ้น จะทำตัวดีขึ้น แม้สัจธรรมจะสอนว่า ทุกสิ่งเกิดขึ้น ตั้งอยู่ และดับไป แต่เชื่อเถอะว่านิสัยบางอย่างของคน รอให้ตายดับกันไปข้างยังง่ายกว่าให้เขาเปลี่ยนแปลง แล้วอย่าเอาแต่โทษเขาฝ่ายเดียว แม้แต่นิสัยบางอย่างของตัวเองที่คุณอยากเปลี่ยนจะแย่ สุดท้ายก็ยังเปลี่ยนไม่ได้ หากคาดหวังกับคู่ชีวิตแบบนี้ เตรียมตัวผิดหวังได้เลย
“คนเราเปลี่ยนไม่ได้หรอก แค่ว่าจะปรับได้มากน้อยแค่ไหน หลังแต่งงานผู้ชายอาจจะดีขึ้นในแง่ที่พยายามเป็นหัวหน้าครอบครัว เป็นผู้นำให้มากขึ้น ผู้หญิงก็อาจเป็นแม่บ้านแม่เรือนขึ้นบ้างจากที่ทำอะไรไม่เป็นเลย แต่นิสัยส่วนตัวอย่างอื่น เอาเป็นว่าอย่าไปคาดหวัง เพราะการแต่งงานไม่ได้ช่วยเปลี่ยนนิสัยที่เป็นมาทั้งชีวิตของคนคนหนึ่งได้หรอก อย่าไปหวังว่าเขาจะทุ่มเทเวลาและทุกอย่างให้คุณแบบหน้ามือเป็นหลังมือ คุณแต่งงานเพราะรักเขาแบบที่เขาเป็น เพราะฉะนั้นหลังแต่งงานก็ควรรักเขาในแบบนั้น ไม่ใช่หวังให้ทุกอย่างเปลี่ยนไปตามใจคุณ” คือคำพูดจากปากคำของสามีมือใหม่นายหนึ่ง
วิธีรับมือ:
เมื่อเราตัดสินใจเลือกใครสักคนมาเป็นคู่ชีวิต สุดท้ายเขาคือคู่ทุกข์คู่ยาก สิ่งยิ่งใหญ่ของชีวิตคู่คือการมีคนคนหนึ่งที่เราจะบอกเขาได้ทุกเรื่อง คนที่คอยรับฟังและช่วยเราแก้ปัญหา ซึ่งเราเองก็ต้องเป็นคู่ทุกข์ของเขาเช่นกัน ดังนั้นนิสัยบางอย่างของเขาที่เราไม่ชอบ ถ้าไม่ร้ายแรงก็ให้รับรู้ไว้ว่านั่นแหละคือตัวเขา และพยายามดูแลชีวิตคู่ไปด้วยกัน
5.ทำไมเราไม่เห็นจะมีอะไรเหมือนกันเลย?
เหตุผลที่ได้ยินบ่อยๆ เวลาคนรักเลิกรา หรือสามี- ภรรยาหย่าร้างคือ “ทัศนคติ ไม่ตรงกัน” เพราะตอนคบกันเป็นแฟน ต่างคนต่างมองแต่ข้อดีและพยายามมองข้ามข้อเสียของอีกฝ่าย แต่ความจริงที่ว่าการเป็นแฟนกับการเป็นสามี- ภรรยานั้นแตกต่างกัน เมื่อใช้ชีวิตอยู่ด้วยกัน การมองข้ามข้อเสียต่างๆ เหมือนจะเป็นไปไม่ได้เลย ฉะนั้นควรท่องไว้ว่าการแต่งงานเป็นเรื่องของการประนีประนอมและการปรับตัว ทัศนคติบางอย่างของอีกฝ่ายไม่มีวันเปลี่ยนมาเหมือนกับทัศนคติของคุณ
ยกตัวอย่างให้เครียดหน่อยก็เช่นเรื่องมุมมองการเมืองที่คุกรุ่นอยู่ในประเทศไทยมานาน มีหลายคู่ที่หย่าร้างกันเพราะเพราะมีความคิดเห็นทางการเมืองไม่ตรงกัน พูดง่ายๆ คือเชียร์กันคนละฝ่าย แถมเป็นฝ่ายตรงข้ามกัน ดูข่าวด้วยกันทีไรเป็นมีเรื่องทะเลาะ หรือไม่ก็หงุดหงิด เก็บมาเป็นอารมณ์ และระบายลงกับเรื่องอื่นจนความสัมพันธ์แย่ลงไปด้วย
วิธีรับมือ:
ไม่มีใครมีความเห็นตรงกันไปหมดเสียทุกอย่าง แม้แต่หัวหน้าหรือเพื่อนร่วมงานที่มีความเห็นไม่ตรงกัน เรายังทำงานร่วมกับเขาเหล่านั้นได้เลย เพียงแต่กับสามี หรือภรรยา เรายึดติดว่าเขาเป็นของเรา ต้องเป็นอย่างที่เราต้องการทุกอย่าง จึงเป็นทุกข์และต้องการเอาชนะจนลืมนึกไปว่า เขาก็เป็นคนที่มีชีวิตจิตใจคนหนึ่ง เราต้องให้เกียรติเขาเท่ากับหรือมากกว่าคนอื่นด้วยซ้ำ ก็เขาคือคนที่เราต้องแคร์ที่สุดไม่ใช่หรือ
สำหรับคนสองคนที่ตัดสินใจใช้ชีวิตร่วมกัน แน่นอนว่ายังมีตัวแปรอีกมากมายที่ต้องจูน ต้องปรับกัน แต่ถ้ามีความรักเป็นสิ่งเชื่อมโยง หนักนิดเบาหน่อยจะทนกันได้แน่นอน