แหวนแต่งงาน เป็นอีกหนึ่งการลงทุนที่สำคัญสำหรับว่าที่บ่าวสาว ซึ่งปัจจุบันก็มีแบบแหวนแต่งงานให้เลือกหลายสไตล์ขึ้นอยู่กับว่าบ่าวสาวจะเลือกเพื่อสะท้อนถึงตัวตนของผู้หญิง หรือจะเลือกรูปแบบที่เป็นตัวของคุณทั้งสอง และไม่ว่าจะเลือกแบบไหน หรือใครจะมีส่วนตัดสินใจในเรื่องนี้มากกว่ากัน หรือเจ้าบ่าวจะไปเลือกเองเพื่อนำมาเซอร์ไพร้ส์เจ้าสาว หรือจะไปเลือกด้วยกันที่ร้าน นี่คือสิ่งที่ว่าที่บ่าวสาวต้องรู่ก่อนไปเลือกซื้อแหวนแต่งงาน
Step 1 : เลือกอัญมณีที่ชอบ
ว่าที่บ่าวสาวหลายคู่น่าจะพอมีความรู้เรื่อง 4Cs มาบ้าง เพราะเป็นหลักการขั้นพื้นฐานในการเลือกซื้อเพชร แต่สำหรับคู่ไหนที่ยังไม่รู้ เรามีหลักสูตรการเข้าใจแต่ละ C แบบง่ายๆ มาฝาก เพื่อที่จะใช้ในการเลือกซื้อเพชรที่ดีที่สุดและเหมาะสมกับงบประมาณของคุณ
– Cut คือความสมบูรณ์แบบในการเจียระไนเพชรแต่ละเม็ด ซึ่งส่งผลต่อการส่องประกายแวววาวของเครื่องประดับชิ้นนั้นๆ ถ้าอยากรู้ว่าเพชรที่กำลังสนใจอยู่มีคุณภาพการเจียระไนระดับไหน ให้หาคำว่า Excellent, Very Good, Good,Fair และ Poor ซึ่งเป็นคำบอกถึงระดับการเจียระไน แต่ถ้าเจอตัวย่อ “3EX” หรือเห็นคำว่า Excellent ถึง 3 ครั้งแปลว่าเพชรอยู่ในระดับดีเลิศที่มีการเจียระไนแวววาวสุดๆ และมีความสมมาตรได้สัดส่วนเต็มร้อย
– Carat คือหน่วยวัดน้ำหนักเพชร ซึ่งน้ำหนักของเพชรเป็นคุณสมบัติแรกที่มองหาง่ายที่สุดทั้งจากป้ายและจากใบรับรอง โดยป้ายที่คุ้นตาส่วนใหญ่จะบอกเป็น 2 ชุดตัวเลข คือ น้ำหนักเพชรเม็ดกลางและน้ำหนักเพชรรวมทั้งหมด เช่น “D1 = 2.00 ct.” D หมายถึง Diamond เลข 1 หมายถึงจำนวนเม็ดเพชร 1 เม็ด แปลว่า เพชรเม็ดเดียวที่อยู่บนตัวเรือนมีน้ำหนัก 2 กะรัต แต่ถ้าเป็น “D18 = 0.36 ct.” จะหมายถึง เพชรทั้งหมด 18 เม็ด มีน้ำหนักรวม 0.36 กะรัต ทั้งนี้บางร้านอาจไม่ใส่ตัว D ลงไป แต่จะเขียนเลยว่า 24 – 48 หมายถึง เพชร 24 เม็ด น้ำหนัก 0.48 กะรัต
– Clarity คือความสะอาดในเนื้อเพชร เพชรยิ่งขาวยิ่งแพง ยิ่งสะอาดยิ่งดี ยิ่งไร้ตำหนิยิ่งเลอค่า ถ้ายังไม่ได้ส่องกล้องดูตำหนิ ให้ลองหาตัวย่อระดับความสะอาดของเพชรบนป้ายก่อน เพราะบางร้านก็ระบุไว้ให้ด้วย ระดับความบริสุทธิ์ของเพชรมีตั้งแต่ไร้ตำหนิจนถึงมีตำหนิขนาดใหญ่แบบที่มองไปก็เห็นเลย โดยให้สังเกตสัญลักษณ์เหล่านี้
- FL (Flawless) และ IF (Internal Flawless) หมายถึง เพชรเม็ดนี้ไร้ตำหนิเมื่อมองผ่านกล้องกำลังขยาย 10 เท่า
- VVS1 และ VVS2 หมายถึง เพชรเม็ดนี้มีตำหนิขนาดเล็กมากๆ ไม่สามารถมองเห็นได้ด้วยตาเปล่า เมื่อมองผ่านกล้องกำลังขยาย 10 เท่าจึงจะเห็นแต่ก็เล็กมากๆขนาดกูรูเพชรเองยังต้องใช้เวลาสักพักกว่าจะหาเจอ
- VS1-VS2 หมายถึง เพชรเม็ดนี้มีตำหนิขนาดเล็กมาก ไม่สามารถมองเห็นได้ด้วยตาเปล่า แต่กูรูเพชรสามารถเห็นได้หากมองผ่านกล้องกำลังขยาย 10 เท่า (หาเจอง่ายกว่าระดับVVS)
- SI1-SI2 หมายถึง เพชรเม็ดนี้มีตำหนิขนาดเล็ก สามารถมองเห็นตำหนิได้ง่ายด้วยกล้องกำลังขยาย 10 เท่า และอาจมองเห็นตำหนิได้ด้วยตาเปล่าในบางกรณี
- I1-I3 หมายถึง เพชรเม็ดนี้มีตำหนิขนาดใหญ่ ส่องกล้องปุ๊บเห็นตำหนิปั๊บ และยังสามารถมองเห็นได้ด้วยตาเปล่า
– Color หรือที่คนไทยเรียกว่า“น้ำ” จะแสดงด้วยอักษรภาษาอังกฤษตั้งแต่ตัว D – Z หรือแสดงตัวเลขเปอร์เซ็นต์ตั้งแต่ 100% ลงไปเรื่อยๆ โดยสีระดับ D – F (100 – 98%) เช่น ระบุ D Color หมายถึงน้ำ 100% เป็นต้น ซึ่งส่วนใหญ่จะบอกถึงสีของเพชรเม็ดกลางที่เด่นที่สุดในตัวเรือนนั้นๆ แต่ก็อาจมีบางร้านที่ระบุระดับสีของเพชรประดับมาด้วย
TIP : เพชรแต่ละเม็ดนั้นไม่เหมือนกัน แม้ว่าในใบเซอร์จะระบุคุณสมบัติไว้เหมือนกันก็ตาม และแน่นอนว่าคุณสมบัติเบื้องต้นนี้ก็เป็นตัวกำหนดราคาของเพชรด้วย และถึงแม้ว่าเพชร 2 เม็ดที่มีน้ำหนักเท่ากัน แต่ถ้ามีการเจียระไน, ความสะอาด และสีที่ต่างกัน ราคาก็จะแตกต่างกันไปด้วย เพราะฉะนั้นจึงควรเปรียบเทียบทุกอย่างให้ดีเพื่อให้สอดคล้องกับงบประมาณที่คู่ของคุณตั้งไว้
Step 2 : เลือกรูปทรงที่ชอบ
แหวนแต่งงานที่คุณเลือกควรจะบ่งบอกถึงสไตล์ของผู้สวมใส่ด้วย และนี่คือรูปทรงของเพชรแบบต่างๆ ที่ได้รับความนิยมในการนำมาทำแหวนแต่งงาน
- Round : เป็นรูปทรงเพชรที่ได้รับความนิยมมากที่สุด และมีความแวววาวที่สุดในบรรดาเพชรรูปทรงอื่นๆ
- Oval : เหมาะกับผู้ที่มีนิ้วมือที่ผอมและยาว
- Emerald : เป็นรูปทรงเพชรที่สามารถโชว์ความใสสะอาดของเนื้อเพชรได้เป็นอย่างดี ซึ่งเหล่าคนดังในฮอลลีวู้ดนิยมเพชรรูปทรงนี้ เช่น บียอนเซ่ และอมาล คลูนีย์
- Asscher : เป็นเพชรทรงสี่เหลี่มจัตุรัสที่ให้อารมณ์สไตล์วินเทจ
- Cushion : เป็นรูปทรงเพชรที่ได้รับการสร้างสรรค์ขึ้นในยุค 1800s เป็นเพชรที่มีมุมแบบโค้งให้อารมณ์แบบวินเทจนิดๆ
- Princess : รูปทรงเพชรแบบพีรามิดที่ช่วยให้เพชรดูใหญ่ขึ้นกว่าความเป็นจริง
- Marquise : เป็นเพชรที่มีรูปทรงเรียวยาว
- Pear : เป็นเพชรที่ให้ความแวววาวและเหมาะกับตัวเรือนที่บาง