ชุดแต่งงานวินเทจ อีกหนึ่งลุคสุดปังที่เจ้าสาวสายแฟชั่นต้องไม่พลาด
ว่าที่เจ้าสาวที่เบื่อชุดแต่งงานทรงบอลกาวน์ หรือชุดแต่งงานทรงเมอร์เมด และกำลังมองหาดีไซน์ของชุดแต่งงานที่ดูแตกต่างไปจากเดิม ชุดแต่งงานวินเทจ เป็นอีกหนึ่งสไตล์ที่ แพรว wedding อยากแนะนำ ที่งานนี้เราขนมาให้เลือกถึง 10 สไตล์ รับรองว่าหนึ่งในนี้ต้องมีโดนใจว่าที่เจ้าสาวแน่นอน
Edwardian Style
ในยุคเอ็ดวาร์เดียน ราวปี ค.ศ. 1901-1910 คอร์เซตยังทำหน้าที่รัดเอวดอคกิ่วของผู้หญิง กระโปรงยาวกรอมเท้า คอเสื้อตั้งปิดขึ้นไปถึงคอหอยที่เรียกว่า Wedding Band Collar หรือคอเสื้อแหวนแต่งงาน แขนเสื้อพองช่วงต้นเขนและลีบเล็กตั้งแต่ช่วงศอกลงมาจนถึงข้อมือที่เรียกว่า Gigot Sleeves หรือแขนเสื้อขาแกะ
Paul Poiret
ในปี ค.ศ. 1905 ปอล ปัวเรต์ ดีไซเนอร์ชาวฝรั่งเศสได้นำเสนอดีไซน์ใหม่ที่เรียกว่า Nouvelle Vague ซึ่งได้แรงบันดาลใจมาจากชุดกรีกโบราณที่เน้นการจับเดรป และปล่อยให้ชายผ้าทิ้งตัวลู่ไปตามสรีระของผู้หญิง โดยไม่มีคอร์เสคเข้ามาช่วยจัดแจงรูปร่าง ต่างจากแฟชั่นแบบเอ็ดวาร์เดียนที่ขัยเน้นทรวดทรงองค์เอวชัดเจน
Bohemian Gown
ลูซิล (Lucile) และเอด้า วูล์ฟ (Aida Woolf) สองดีไซเนอร์สร้างสไตล์ใหม่ที่ถือว่าเป็นแฟชั่นอาวองต์-การ์ด หรือแฟชั่นที่มาก่อนกาลในทศวรรษ 1900 จากโครงสร้างรูปตัว S ที่เน้นอก เอว และสะโพกของผู้หญิง จึงทำให้แฟชั่นยุคนี้เน้นชุดเป็นเชปทรงตรงเหมือนหลอด ช่วงเอวสูง และแขนเสื้อมีระบาย
Royal Wedding
พิธีแต่งงานในราชวงศ์หลายคู่ส่งผลต่อเทรนด์ชุดแต่งงานในห้วงเวลานั้นๆ เนื่องจากสื่อมวลชนกระจายข่าวอย่างแพร่หลาย เช่น เจ้าหญิงแมรี พระธิดาในพระเจ้าจอร์จที่ 5 กับเฮนรี วิสเคานต์ลาสเชลส์ ในปี ค.ศ. 1922 หรือเจ้าชายอัลเบิร์ต ดยุคแห่งยอร์ก กับเลดี้เอลิซาเบท โบวส์-ลีออน พระบิดาและพระมารดาของควีนเอลิซาเบทที่ 2 ในปี ค.ศ. 1923 จนเรียกได้ว่าชุดแต่งงานของราชวงศ์นั้นเป็นเทรนด์เซตเตอร์สำหรับแฟชั่นชุดแต่งงานก็ว่าได้
Jazz Age
ยุคนี้วัฒนธรรมทางดนตรีแจ๊ซ บลูส์ และการเต้นรำเฟื่องฟูมาก จึงทำให้ชุดของผู้หญิงในยุคนี้หดสั้นลง เพื่อจะได้ออกสเต็ปได้ง่ายขึ้นนั่นเอง เพราะฉะนั้นหากว่าที่เจ้าสาวจัดงานแต่งงานสไตล์แกสบี้ และมีอาฟเตอร์ปาร์ตี้สุดแซ่บหลังจบงาน การเลือกใส่ชุดสไตล์นี้นอกจากจะช่วยให้ภาพรวมของงานออกมาสวยงามแล้ว ยังช่วยให้แดนซ์ออกสเต็ปลีลาได้ง่ายขึ้นอีกด้วย