ใกล้ถึงวันแต่งงาน ว่าที่เจ้าสาว ส่วนใหญ่มักจะมี “เจ้าหนูจำไม” โผล่เข้ามาสิงร่าง ผุดคำถามแนวกังวลประมาณว่า … ถ้าเลือกอย่างโน้น ถ้าเลือกอย่างนี้ จะดีกว่าไหมนะ
หลายคนตีบตันไม่รู้จะไปสรรหาคำตอบจากไหน กลายเป็นโมเม้นต์นับถอยหลังวันแต่งแบบเครียดๆ ก็มาก
ไม่เป็นไรค่ะ แพรวเวดดิ้งเข้าใจหัวอกคุณๆ ว่าที่เจ้าสาวทั้งหลายเป็นอย่างดี ผสมกับอยากให้คุณเฟรชสดชื่นไร้ความกังวลในวันสำคัญแบบสุดๆ จึงอาสารวบ 10 สารพันปัญหาคาใจที่เจ้าสาวตัวจริงและเวดดิ้งกูรูทั้งหลายฟันเฟิร๋มว่าถ้าว่าที่เจ้าสาวได้รู้ก่อนถึงวันแต่งงานของตน รับรองจะขจัดปัญหาอุปสรรคที่ไม่คาดฝันในวันแต่งงานไปได้มากกว่าครึ่ง
ใจดีรวบมาขนาดนี้ ว่าที่เจ้าสาว อย่าลืมส่งมินิฮาร์ทมาให้เราด้วยน้าาาา
Q1: ลองแหวนแต่งงานตอนไหน ได้แหวนถูกใจที่สุด?
A1: คำตอบง่ายๆ เลยคือ ตอนที่คุณอารมณ์ดี และมีสติมากที่สุด อย่าชวนกันไปเลือกแหวนช่วงที่รู้สึกไม่สบายหรือมีประจำเดือน ที่สำคัญ ไม่ควรลองไซส์แหวนในช่วงเช้า เพราะร่างกายอาจบวมจากการสะสมเกลือหรือแอลกอฮอล์จากคืนก่อนหน้านั้น หลังออกกำลังกายหรือ เดินเหนื่อยๆ ก็อาจจะทำให้นิ้วบวมได้เช่นกัน
Q2: จัดงานวันธรรมดา ต้องคำนึงถึงเรื่องอะไรเป็นพิเศษบ้าง?
A2: ควรคำนึงเรื่องการคอนเฟิร์มอาหาร เพราะงานวันธรรมดาแขกจะมาค่อนข้างตามจำนวนซองที่แจก และมักไม่ค่อยพาลูกมา ด้วย ซึ่งบางงานอาจมีแขกแค่ 80 เปอร์เซ็นต์เท่านั้น อีกเรื่องที่ไม่ควรมองข้ามคือแขกจำนวนหนึ่งจะมาก่อนกำหนดมาก แต่อีกกลุ่ม หนึ่งที่อยู่ในส่วนที่การจราจรคับคั่งจะมาช้าไปเลย เพราะฉะนั้นจึงต้องกะจำนวนแขกก่อนเริ่มพิธีให้ดี ไม่อย่างนั้นแขกที่มาช้าจะไม่ได้เห็นงานช่วงพิธีการเลย
Q3: จะบอกว่าที่คุณแม่สามีได้ไหมว่าอยากให้ใส่ชุดแบบไหนและบอกอย่างไรดี?
A3: เจ้าสาวตัวจริงคนหนึ่งเล่าประสบการณ์ของเธอให้ฟังว่า ว่าที่คุณแม่สามีซื้อเดรสผ้าคอตต้อนสีขาวไว้สำหรับใส่ในงานแต่ง ในขณะที่คุณแม่ของเธอเองเตรียมชุดราตรีสีมิดไนท์บลูสุดคลาสสิก ความแตกต่างสุดขั้วแบบนี้ทำให้เธอรู้สึกอึดอัดและคิดไม่ตกว่าจะบอกว่าที่แม่สามียังไงดี
คำแนะนำนะคะ ขึ้นอยู่กับระดับความสัมพันธ์ของคุณกับท่าน หากเข้าขั้นสนิทอาจจะอธิบายกับท่านไปตรงๆ ได้ว่า ปกติแล้วคุณแม่ ทั้งสองฝ่ายน่าจะแต่งตัวเป็นทางการใกล้เคียงกัน อาจแนะนำให้ใส่ชุดที่เตรียมไว้แล้วสำหรับงานเลี้ยงกันเองในครอบครัว
แต่หากไม่ค่อยสนิทกันนัก งานนี้ก็ต้องบอกให้ว่าที่สามีช่วยพูดให้แล้วละ หรือถ้าที่บ้านคุณว่าที่สามี มีพี่สาวหรือน้องสาวหรือใครที่เป็นผู้หญิง ลองขอให้เขาช่วยพูดก็จะแลดูซอฟท์ขึ้นมาก เพราะคนในครอบครัวน่าจะสนิทและรู้วิธีพูดกับท่านมากกว่าเรา
Q4: จำเป็นไหมที่รองเท้าแต่งงานจะต้องเป็นสีขาว?
A4: แคร์ลีย์ โรนีย์ บรรณาธิการ “The Knot” นิตยสารเวดดิ้งชื่อดังของสหรัฐอเมริกา ได้แนะนำไว้อย่างน่าสนใจว่า ไม่เคยมีใครกำหนดว่ารองเท้าแต่งงานต้องเป็นสีขาว เพียงแต่เพราะเจ้าสาวส่วนใหญ่ใส่ชุดแต่งงานโทนขาว จึงนิยมเลือกรองเท้าที่ดูเข้ากันได้ง่ายที่สุด ซึ่งก็คือสีขาว
อย่างไรก็ตาม เจ้าสาวยุคใหม่หลายคนที่ยังติดกับชุดแต่งงานสีขาวก็หันมาเล่นสนุกกับดีไซน์ของรองเท้ามากขึ้น ด้วยการเลือกรองเท้าโทนเมแทลลิกให้แมตช์กับความวาววับของเครื่องประดับ หรือดีเทลบนชุดแต่งงานก็ดูเก๋ไม่เบา
นอกจากนี้แคร์ลีย์ยังยุให้เจ้าสาวอินดี้เลือกรองเท้าแต่งงานที่แสดงความ เป็นตัวของตัวเอง เธอเล่าว่าเคยเห็นเจ้าสาวใส่บู๊ตขี่มอเตอร์ไซค์และบู๊ตคาวบอยปักอักษรย่อ บ่าว- สาว เดินอย่างมาดมั่นเข้าโบสถ์มาแล้ว
สรุปคุณบอกอนิตยสาร The Knot เธอต้องการจะบอกว่า เลือกรองเท้าที่คุณชอบน่ะแหละ และไม่ว่ามันจะเป็นสีอะไร ขอแค่ใส่แล้วคุณมั่นใจเป็นพอ
Q5: จะหอบชุดแต่งงานขึ้นเครื่องไปแต่งงานต่างจังหวัดหรือต่างประเทศ ต้องทำอย่างไร?
A5: มีหลายช้อยส์ให้เลือกค่ะ
1. แพ็คหลวมๆ ลงกล่อง กระเป๋า หรือใส่ที่คลุมหิ้วขึ้นไปเก็บในช่องเก็บกระเป๋า แต่อย่างหลังแนะนำให้เช็คอินน์ขึ้นเครื่องเนิ่นๆ เพื่อจะได้ยังมีที่ว่างพอ
2. ฝากแอร์โฮสเตสนำไปแขวน ตรงที่แขวนสูทใน Business Class ได้ (แต่ถ้าชาวบิสเนสคลาสครองที่แขวนไปเต็มหมดแล้วก็อาจ จะมีปัญหาได้นะคะ)
3. เครื่องบินบางเครื่อง โดยเฉพาะเครื่องเล็กและสายการบินราคาประหยัดจะไม่มีที่แขวนให้ หรือหากมีความสูงก็ไม่พอสำหรับแขวนชุดแต่งงานยาวๆ แนะนำให้ซื้อตั๋วสำหรับวางชุดเพิ่มไปเลยเพื่อความสบายใจ
4. ถ้าไปประเทศไกลๆ ยิ่งที่ต้องทรานซิทเครื่องด้วยแล้ว แนะนำให้ใช้บริการชิบปิ้งอย่าง FedEx หรือ DHL ไปเลย น่าจะทำให้อุ่นใจกว่า
Q6: ใส่ชุดแต่งงานอย่างไรให้นั่งแล้วไม่ยับ?
A6: ทำผม – แต่งหน้าให้เรียบร้อย (อย่าเพิ่งทาลิปสติก) แล้วค่อยสวมชุด โดยให้เพื่อนช่วยจับชุด หากมีสุ่มก็จับซ้อนกันให้เรียบร้อยก่อน แล้วสวมจากทางปลายเท้าขึ้นมา จะช่วยให้ชุดไม่ยับมาก ในกรณีต้องเดินทางด้วยรถ ควรแผ่ชายกระโปรงด้านนอก (นั่งทับสุ่ม) ลงบนเบาะให้ได้มากที่สุด เพื่อไม่ให้ชุดยับยู่ยี่
ส่วนคุณเจ้าสาวที่สวมกระโปรงแคบ ให้นั่งหมิ่นๆ เอียงตัวเล็กน้อย เพื่อกระโปรงจะได้ไม่ยับ ไม่ควรนั่งไขว่ห้าง เพราะจะทำให้กระโปรงยับมากขึ้น
Q7: มีรอยสักทำให้ไม่ค่อยมั่นใจ ควรทำอย่างไรดี?
A7: อีกหนึ่งปัญหาคลาสสิคที่กวนใจเจ้าสาวแทททูคือกลัวว่ารอยสักจะไปสะดุดสายตา ทำให้ว่าที่คุณแม่สามีและผู้ใหญ่หลายๆ ท่านรู้สึกไม่ปลื้ม ที่จริงปัญหานี้แก้ไขได้หลายวิธี เช่น
1. เลือกชุดที่ปกปิดช่วงที่มีรอยสักเสียตั้งแต่แรก ปัญหาส่วนใหญ่จะเกิดกับรอยสักช่วงหัวไหล่และหลัง ลองเลือกชุดเจ้าสาวแบบไหล่เดี่ยว หรือแบบที่มีเสื้อคลุมก็ช่วยได้
2. สาวๆ ที่ตัดใจจากชุดเกาะอกไม่ได้ ให้ใช้เมคอัพช่วยปกปิด ซึ่งช่างแต่งหน้ามืออาชีพส่วนใหญ่จะมีรองพื้นและคอนซีลเลอร์ที่ปกปิดรอยสักได้ดีติดกระเป๋าช่างอยู่แล้ว คุณเจ้าสาวจึงแทบจะไม่ต้องกังวลเรื่องปกปิดรอยสักเลย เพราะช่างจะมีอุปกรณ์และเทคนิคเนรมิตผิวใหม่ให้คุณได้อยู่แล้ว
แต่หากงานแต่งของคุณเป็นแบบกันเอง ไม่ได้จ้างช่างแต่งหน้า แถมยังหารองพื้นปกปิดขั้นเทพไม่ได้ อีกเทคนิคหนึ่งที่แนะนำคือลงคอนซีลเลอร์แล้วพ่นทับด้วยแอร์สต๊อกกิ้ง (Air Stocking) กดเบาๆ ให้เนียน และรอให้แห้ง ก็พอช่วยได้อยู่นะ
3. ถ้าเป็นรอยสักเล็กๆ ที่ช่วงแขน แนะนำให้ลองหากำไลข้อแขนสวยๆ ที่มีความหนาพอจะปิดรอยสักมาใส่ แพรวเวดดื้งเคยห็นเจ้าสาวคนหนึ่งใช้วิธีนี้ กลายเป็นเก๋ไปเสียอีก
Q8: เตรียมงานมาอย่างหนักหน่วง กลัวว่าตื่นมาวันแต่งงานแล้วตาจะคล้ำ แถมบวมตุ่ย มีวิธีแบบเอสโอเอสช่วยบ้างไหม?
A8: ความรู้ทั่วไปเวลาตาบวมคือให้ใช้ถุงชา ช้อนแช่เย็น หรือน้ำแข็งมาประคบ บางคนบอกควรใช้ความร้อน เช่น สำลีชุบน้ำอุ่นประคบจะดีกว่า ความเชื่อที่ขัดแย้งกันแบบนี้ยิ่งทำให้หลายคนงงเข้าไปใหญ่ว่าตกลงแล้วควรต้องใช้ความเย็นหรือความร้อนกันแน่
แพรวเวดดิ้งขอเฉลยว่า ที่จริงแล้วทั้งความเย็นและความร้อนก็ช่วยให้ตาหายบวมได้ แต่ต้องขึ้นอยู่กับสาเหตุด้วย ถ้าเป็นอาการใต้ตาบวม หมองคล้ำ เพราะเส้นเลือดฝอยใต้ตาขยาย ซึ่งมักเกิดจากการทำงานหนัก พักผ่อนไม่เพียงพอ และเกิดร่วมกับคนที่มีพันธุกรรมใต้ตาคล้ำเนื่องจากมีเส้นเลือดฝอยใต้ตาจำนวนมากหรือคนที่มีภาวะภูมิแพ้ ก็ต้องใช้ความเย็นประคบเพื่อให้เส้นเลือดหดตัว ทำให้ผิวดูเปล่งปลั่ง กระชับขึ้น
แต่หากตาบวมจากการร้องไห้หรืออดนอน ทำให้มีของเหลวคั่งอยู่บริเวณเนื้อเยื่ออ่อนใต้ดวงตา ก็ต้องใช้ความร้อนประคบเพื่อระบายน้ำระหว่างเซลล์ออกไป ทำให้อาการบวมลดน้อยลง เพราะฉะนั้นหลังตื่นนอนในเช้าวันแต่งงานลองประคบอุ่นก่อนเพื่อระบาย ของเสียออกจากเซลล์ จากนั้นประคบเย็นตามเพื่อให้เส้นเลือดหดตัว
จากนั้นทาครีมรอบดวงตาที่มีส่วนผสมของ Bi-mineral Complex หรือวิตามิน K ก็ได้ เพื่อช่วยลดอาการบวมช้ำและรอยเขียวคล้ำ ทำให้ผิวรอบดวงตาใสวิ้งมากขึ้น
Q9: เช้าวันแต่งงานควรกินอะไรให้อยู่ท้องไปทั้งวัน และที่สำคัญ… พุงไม่ป่อง?
A9: ผู้เชี่ยวชาญต่างชาติมักแนะนำให้กินอาหารที่ช่วยรักษาระดับน้ำตาล แต่ไม่หนักท้องและไม่ทำให้ท้องอืด เช่น ชีสกับแครกเกอร์ โยเกิร์ตกับกล้วย ซึ่งอาจไม่ค่อยคุ้นปากคนไทยเท่าไร แพรวเวดดิ้งอาสาจัดเมนูอาหารเบาๆ แต่อยู่ท้อง ได้แก่ น้ำเต้าหู้หรือนมถั่วเหลือง ขนมปังโฮลวีต ร่วมกับผลไม้ที่มีไฟเบอร์ แต่ไม่หวานจัด เช่น แอ๊ปเปิ้ล ฝรั่ง ชมพู่
และหากยังกลัวง่าหิว แต่ก็ไม่อยากให้ท้องป่อง ให้เตรียมผลไม้ที่กล่าวมาไว้กินระหว่างวัน หรือดื่มน้ำผลไม้ผสมบุก จะทำให้อยู่ท้อง และอิ่มได้นาน แถมสดชื่นไปถึงฤกษ์ส่งตัวเข้าหอด้วยนะ
Q10: ทำอย่างไรจึงไม่ปรี๊ดแตก เมื่อว่าที่สามีไม่ยอมช่วยจัดการอะไรเลย โดยให้เหตุผลสวยหรูว่า “ผมให้เกียรติคุณ คุณจะได้มีงานแต่งงานที่ถูกใจคุณที่สุดไง”
A10: ปัญหาระดับชาตินี้คงต้องอาศัยความสามารถเฉพาะบุคคลในการจัดการกับว่าที่เจ้าบ่าวของตัวเอง แต่ทางที่ดีแพรวเวดดิ้งแนะนำว่า ควรจะเปิดใจคุยกันอย่างจริงจัง บอกเขาไปตรงๆ ว่า คุณคาดหวังให้เขาช่วยอะไรบ้าง ให้เขาเข้าใจว่า คุณไม่สามารถเตรียมงานทั้งหมดด้วยตัวคนเดียวได้
การแบ่งหน้าที่แยกส่วนกันไปตามความสนใจและความสามารถ ก็เป็นวิธีที่เวิร์คอยู่ เช่น ให้เขาเป็นคนหาวงดนตรี หาช่างภาพ ฯลฯ พูดง่ายๆ คือ ให้พ่อเจ้าประคุณทำอะไรก็ได้ตามความถนัดของเขาไปเลย
อีกเทคนิคที่อยากแนะนำคือ ให้ถามถึงความต้องการของผู้ใหญ่ฝ่ายเขาเยอะๆ และสุดท้ายก็โอนหน้าที่นั้นไปให้เขาช่วยจัดการเลย ด้วย เหตุผลว่าเราอยากเอาใจฝ่ายเขา แต่กลัวว่าจะจัดการให้ไม่ถูกใจ หรือเวลาคุณว่าที่เสนออะไรที่พอจะเข้าท่ามาสักนิด ให้รีบชื่นชมว่ามันช่างเลิศล้ำ นี่ละเป็นโอกาสโยนหน้าที่นั้นให้อีกฝ่ายรับไปแบบเนียนๆ
สุดท้ายถ้าให้ช่วยทำอะไรแล้วยังบ่ายเบี่ยงว่าไม่ถนัดอะไรสักอย่าง แนะนำว่าควรใช้วิจารณญาณไตร่ตรองอย่างรอบคอบอีกครั้ง ถ้าทำทุกเม็ดแล้วเขายังงงๆ ทำอะไรไม่ถูก ก็ให้ท่องไว้ว่าอย่างน้อยเขาก็ยืนอยู่กับเราในวันแต่งงาน
ถ้าขาดเขา ทั้งหมดที่เราทำไปก็ไร้ประโยชน์เนอะ