เพชรสเป็คเดียวกัน…เลือกอย่างไรให้ได้แหวนแต่งงานที่สวยกว่า

แค่จะซื้อแหวนเพชรใส่เล่นสักวง บางทียังแสนยากเย็น ไม่ใช่เพราะงบไม่มี แต่เพราะไม่รู้ว่าวงที่ซื้อจะคุ้มค่าเงินหรือเปล่า แล้วยิ่งถ้าเป็น แหวนแต่งงาน จะไม่ยิ่งหัวหมุนกว่าเดิมหรือ ตัวเรือนแบบไหนจะถูกใจ แล้วเพชรที่เลือกจะได้คุณภาพสมราคาไหม อย่างนี้คงต้องขอตัวช่วยแบบด่วนๆ

ขั้นแรกของการเลือกซื้อ แหวนแต่งงาน ให้โดนใจอยู่ที่ตัวคนใส่ว่ามีแบบแหวนแบบใดอยู่ในใจบ้างหรือเปล่า ถ้ามีแล้วก็เดินหน้าเข้าร้านเพชรไปขอลองสวมได้เลย ทีนี้ก็จะได้รู้คำตอบในเบื้องต้นแล้วว่า แหวนในฝันกับชีวิตจริงไปด้วยกันได้ไหม แต่ถ้าโนไอเดียจริงๆ ลองพิจารณาจากตัวเรือนยอดนิยมดังต่อไปนี้ดูก่อน

1. ตัวเรือนแบบแหวนชูเม็ดเดี่ยว

เป็นแบบสุดคลาสสิกที่นิยมใช้เป็นตัวเรือน แหวนแต่งงาน กันมาทุกยุคสมัย หรือพูดง่ายๆ ว่า ไม่มีตกเทรนด์อย่างแน่นอน โดยหนามเตยที่ใช้จะมีทั้งแบบ 4 หนามเตยและ 6 หนามเตย ขึ้นอยู่กับขนาดของเพชรเป็นหลัก หากเป็นแหวนชู 4 หนามเตยจะช่วยให้ขนาดของเพชรดูใหญ่และเด่นขึ้นกว่าเม็ดจริงเล็กน้อย ในขณะที่แบบ 6 หนามเตยมีข้อดีต่อผู้ซื้อในด้านความรู้สึกว่ามีความแข็งแรงในการยึดเพชรกับตัวเรือนมากกว่า ส่วนในเรื่องความสวยงามนั้น แบบ 6 หนามเตยจะทำให้เพชรแลดูกลมกว่าและหวานกว่าแบบ 4 หนามเตยและแหวน 6 หนามเตยรุ่นคลาสสิกแบบนี้ยังสามารถใส่เพชรได้ทุกขนาดอีกด้วย

2. ตัวเรือนแหวนชูประกอบด้วยเพชรข้าง

เป็นแบบที่สามารถใส่เพชรได้หลายขนาด ขึ้นอยู่กับตัวเรือน 2 แบบดังนี้

(1) ตัวเรือนเพชรชูที่เพิ่มรายละเอียดการฝังเพชรที่ก้านแหวน เหมาะกับเพชรเม็ดกลางที่มีขนาด 0.40 กะรัตขึ้นไป

(2) ตัวเรือนแหวนชูที่มีเพชรล้อมรอบเพชรยอดอีกชั้นบวกการฝังเพชรที่ก้านแหวน ตัวเรือนแบบนี้สามารถใช้ได้กับเพชรทุกขนาด แต่มักจะไม่ใหญ่เกิน1.50 กะรัต เพราะจะใหญ่เกินนิ้ว การล้อมหัวแหวนช่วยให้เพชรเม็ดกลางดูใหญ่ขึ้นก็จริงแต่ต้องทำใจว่า บางครั้งความเด่นของเม็ดกลางที่ถูกล้อมอาจลดลงไปด้วย

นอกจากนี้ก้านแหวนฝังเพชรของตัวเรือนประเภทนี้ยังมีให้เลือกอีก 2 แบบ คือก้านแหวนแบบมีเส้นขอบทอง ซึ่งช่วยทำให้ตัวเรือนดูหนาและแข็งแรงขึ้น แถมยังช่วยป้องกันเพชรจากการชนหรือกระแทก แต่แบบนี้มีข้อแม้ว่า เพชรยอดต้องมีขนาดไม่ต่ำกว่า 0.40 กะรัต หัวแหวนจะได้ไม่เล็กกว่าก้านแหวน กับอีกแบบคือ ก้านแหวนที่ไม่มีเส้นขอบทองกั้น เหมาะกับคนที่อยากโชว์เพชรเวลาสวมจะช่วยปรับลุคให้ดูเป็นสาวหวานขึ้นมาทันที

3. เพชรสเป็คเดียวกันที่สวยกว่า

นอกเหนือจากการเลือกตัวเรือนแหวนให้ตรงตามที่ต้องการและเหมาะกับตัวเองแล้วอีกปัญหาหนึ่งที่หลายคนต้องเจอคือ แค่เปลี่ยนร้าน ราคาก็เปลี่ยน ทั้งๆ ที่ก็เป็นเพชรน้ำหนักเดียวกัน ใบเซอร์ก็ระบุคุณสมบัติเหมือนกันเป๊ะ จึงเกิดเป็นความฉงนขึ้นว่าเพราะอะไรกันหนอ ร้านนี้จึงขายแพงกว่า เรามีคำอธิบายง่ายๆ มาช่วยเสริมให้เข้าใจดังนี้

การซื้อเพชรสมัยนี้จะการันตีกันด้วยใบเซอร์อยู่แล้ว ยิ่งถ้าเป็นใบเซอร์จาก GIA ด้วย ขอให้สบายใจได้เลยว่าคือเพชรคุณภาพอย่างแน่นอน นั่นเพราะ GIA เป็นสถาบันที่ได้รับการยอมรับมากที่สุดในโลกนั่นเอง หลังจากนั้นคือการพิจารณาคุณสมบัติเพชรจากส่วนต่างๆ ในใบเซอร์ ถ้าต้องการได้เพชรระดับบน ขอให้จำคุณสมบัติดังนี้ D-I Color, FLVS1Clarity, 3Excellent (Cut Grade, Polishและ Symmetry) และ None Fluorescence รับรองว่าได้เพชรเม็ดสวยในเบื้องต้นอย่างแน่นอน

4. ตำหนิต่าง ราคาต่าง

เหตุผลหลักของราคาที่ต่างกันในการซื้อเพชรที่หลายคนไม่รู้คือ ประเภทของตำหนิที่ต่างกันส่งผลให้เพชรเม็ดนั้นๆ มีราคาต่างกันซึ่งตำหนิแต่ละชนิดจะอยู่ตรงความชัดเจนที่มองเห็นได้แตกต่างกันไป เช่น ตำหนิประเภท Indented Natural หรือ Featherหมายถึงรอยแตกที่สามารถมองเห็นได้ชัดเจนกว่าตำหนิประเภท Pinpoint ซึ่งมีลักษณะเป็นจุดเล็กๆ ตำหนิที่ดีที่สุดหรือเรียกได้ว่าเป็นตำหนิที่ไม่น่าเกลียดได้แก่ ตำหนิประเภท Pinpoint, Needle (ตำหนิที่มีลักษณะยาวคล้ายเข็ม) และ Cloud (ตำหนิที่มีลักษณะเป็นกลุ่มก้อนเมฆ) ทั้งนี้ในเพชรหนึ่งเม็ดสามารถมีประเภทของตำหนิได้มากกว่าหนึ่ง

ขนาดและจำนวนของตำหนิก็มีความสำคัญเช่นกัน เช่น เพชร 2 เม็ดที่มีคุณสมบัติเกรดเดียวกันสามารถมีขนาดและจำนวนของตำหนิที่แตกต่างกันได้ โดยเพชรที่มีขนาดของตำหนิเล็กกว่าและจำนวนน้อยกว่าย่อมสวยและหายากกว่าเพชรที่มีตำหนิใหญ่และจำนวนมากกว่า นอกจากนี้ตำแหน่งของตำหนิก็มีความสำคัญมากในการกำหนดราคาเช่นกันตำหนิที่อยู่บริเวณขอบเม็ดนั้นจะสังเกตได้ยากกว่าตำหนิที่อยู่บริเวณใจกลางเพชร

นอกจากนี้ก็ไม่ควรมองข้ามตำหนิเล็กๆ น้อยๆ อย่าง Graining เพชรที่ดีจะต้องไม่มีตำหนิประเภท Graining หรืออาจเรียกว่าเป็นร่องรอยการเจริญเติบโตของผลึกเพชรที่เห็นเป็นเส้นๆ ทั้งประเภท Internal Graining และ Surface Graining นอกจากนี้ยังมีตำหนิประเภท Black Inclusions หรือตำหนิที่มีสีดำซึ่งตำหนินี้สามารถสังเกตเห็นได้ง่ายกว่าและมีมูลค่าถูกกว่าเพชรที่มีตำหนิแบบไร้สี แต่ในใบรับรอง GIA จะไม่ระบุถึงสีของตำหนิ จึงจำเป็นต้องใช้กล้องขยายเพื่อที่จะตรวจสอบรวมถึง Brown Shade เพราะโดยทั่วไปเพชรจะมีลักษณะไร้สีจนถึงมีสีปนเหลือง แต่ก็มีเพชรจำนวนมากที่มีโทนสีน้ำตาลอ่อนแทนที่จะเป็นสีเหลือง ซึ่งทำให้เพชรเม็ดนั้นมีสีที่สังเกตได้ง่ายขึ้น ราคาจึงลดลงมากกว่าเพชรทั่วไป

5. ทำความเข้าใจกับ Hearts & Arrows ที่สวย ได้สมมาตร และคมชัด

หลังจากได้เพชรตามมาตรฐานทั่วไปแล้ว แนะนำให้เริ่มสังเกตในรายละเอียดในเม็ดเพชร เริ่มจาก Hearts & Arrows หรือประกายและเหลี่ยมในเม็ดเพชรที่สวยที่สุด เพราะแม้ว่าเพชรของคุณจะเป็น 3Excellent ก็ไม่ได้หมายความว่าจะเป็น Hearts & Arrows เสมอไป นอกจากนี้ลักษณะของ Hearts & Arrows ที่ไม่สวย ไม่ได้สมมาตร และไม่คมชัด เช่น ลูกศรธนูผอมหรืออ้วนเกินไป รูปทรงหัวใจตีบเล็กหรือใหญ่เกินไปจะส่งผลถึงราคาที่ต่างกันออกไปด้วย หากเป็นเพชรที่มี Hearts & Arrows สมส่วน ราคาย่อมสูงกว่าแน่นอน

เห็นไหมว่า เทคนิคง่ายๆ ที่ศึกษาเองได้ไม่ยากแบบนี้ ก็ทำให้คุณสามารถซื้อเพชรสเป็คเหมือนคนอื่น แต่ได้คุณสมบัติที่เริดกว่าเป็นกอง

cr : anantajewelry.com

อ่านบทความเพิ่มเติม

ไอเดียแหวนแต่งงาน เทรนด์แหวนหมั้นปี 2020 หลากสไตล์สุดปิ๊ง

5 เคล็ดลับเลือกเครื่องประดับเจ้าสาวสุดล้ำค่าให้คุ้มราคา

https://praewwedding.com/rings-and-accessories/5474

Recommended