พระอัจฉริยะภาพด้านการดนตรีของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุยเดช เป็นที่ประจักษ์แก่ปวงชนชาวไทย ด้วย ๔๘ เพลงพระราชนิพนธ์ ซึ่งในวันนี้เราจะขออัญเชิญ ๑๐ เพลงพระราชนิพนธ์พร้อมที่มา ที่มีเนื้อหาเกี่ยวกับความรักอันหวานซึ้ง มาเล่าสู่กันฟัง
เพลงที่ 1 “อาทิตย์อับแสง” และ เพลงที่ 2 “เทวาพาคู่ฝัน”
ทำนอง : พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุยเดช
คำร้องภาษาไทยและภาษาอังกฤษ : พระเจ้าวรวงศ์เธอพระองค์เจ้าจักรพันธ์เพ็ญศิริ
จากบันทึกส่วนพระองค์ของพระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าจักรพันธ์ เพ็ญศิริ ได้กล่าวถึงที่มาของบทเพลงทั้งสองว่า เกิดขึ้นในยามที่ทั้งสองพระองค์ต้องประทับห่างไกลกัน โดยพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุยเดช ประทับ ณ เมือง ดาโวส์ ขณะที่ ม.ร.ว.สิริกิติ์ กิติยากร (พระยศในขณะนั้น) ทรงประทับอยู่ที่ เมืองโลซานน์ ประเทศสวิซเซอร์แลนด์ โดยเพลง “อาทิตย์อับแสง” ทรงพระราชนิพนธ์ขึ้น เมื่อวันที่ 3 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2492 อันเป็นเพลงพระราชนิพนธ์ลำดับที่ 8 และในเวลาอันไล่เลี่ย วันที่ 7 กุมภาพันธ์ 2492 ก็ได้พระราชนิพนธ์เพลง “เทวาพาคู่ฝัน”
เพลงที่ 3 “รักคืนเรือน”
ทำนอง : พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุยเดช
คำร้องภาษาไทยและภาษาอังกฤษ : พระเจ้าวรวงศ์เธอพระองค์เจ้าจักรพันธ์เพ็ญศิริ
เนื้อเพลงรักคืนเรือนกล่าวถึง รักอันห่างไกลที่ใจพะวงขอไม่ให้แปรเปลี่ยนเช่นสายลมที่หมุนวน และขอให้รักนี้คงมั่นไม่อับเฉา โดยทรงพระราชทานให้นำออกบรรเลงในงานของสมาคมนักเรียนเก่าอังกฤษ ในพระบรมราชูปถัมภ์ ณ เวทีลีลาศสวนอัมพร เมื่อวันที่ 2 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2495 ซึ่งเพลง “รักคืนเรือน” เป็นเพลงพระราชนิพนธ์ลำดับที่ 14
เพลงที่ 4 “ค่ำแล้ว”
ทำนอง : พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุยเดช
คำร้องภาษาอังกฤษ : พระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าจักรพันธ์เพ็ญศิริ นิพนธ์ และท่านผู้หญิงนพคุณ ทองใหญ่ ณ อยุธยา
คำร้องภาษาไทย : ท่านผู้หญิงสมโรจน์ สวัสดิกุล ณ อยุธยา
มีเรื่องเล่าขานกันว่า พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุยเดช เคยทรงอิเลคโทนขณะทรงอุ้มสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี จนทรงบรรทมหลับไปจึงเป็นที่มาของ เพลงค่ำแล้ว หรือที่มีอีกชื่อว่า Lullaby เป็นเพลงพระราชนิพนธ์ ในลำดับที่ 24 ทรงพระราชนิพนธ์ขึ้นในเดือนกรกฎาคม พ.ศ. 2498 แม้เนื้อหาเพลงอาจไม่ได้กล่าวถึงความรักระหว่างชายหญิง แต่ก็มีเนื้อร้องที่แสนหวานจับใจ
เพลงที่ 5 “แสงเดือน”
ทำนอง : พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุยเดช
คำร้องภาษาไทยและภาษาอังกฤษ : พระเจ้าวรวงศ์เธอพระองค์เจ้าจักรพันธ์เพ็ญศิริ
เพลงแสงเดือน เป็นเพลงพระราชนิพนธ์ลำดับที่ 27 โดยทรงพระราชทานให้อัญเชิญไปประกอบการแสดงบัลเล่ต์ ในงานสมาคมนักเรียนเก่าอังกฤษในพระบรมราชูปถัมภ์ ณ เวทีลีลาศสวนอัมพร เมื่อวันที่ 8 กุมภาพันธ์ 2501 เนื่องด้วยเป็นเพลงที่มีท่วงทำนองอ่อนหวาน แต่สง่างาม ได้นำออกบรรเลงในงานสมาคมนักเรียนเก่าสหรัฐอเมริกาในพระบรมราชูปถัมภ์ เมื่อวันที่ 22 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2501
เพลงที่ 6 “ภิรมย์รัก”
ทำนอง : พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุยเดช
คำร้องภาษาอังกฤษ : พระเจ้าวรวงศ์เธอพระองค์เจ้าจักรพันธ์เพ็ญศิริ
คำร้องภาษาไทย : พลเรือตรี ปรีชา ดิษยนันทน์
เป็นเพลงที่ทรงเรียบเรียงประสาน และควบคุมการฝึกซ้อมด้วยพระองค์เองโดยทรงโปรดเกล้าให้วงดนตรีสุนทราภรณ์บรรเลง เพื่อประกอบการแสดงบัลเลต์ชุดมโนห์รา หรือ Kinari Suite ณ เวทีลีลาศสวนอัมพร ในวันที่ 5-7 มกราคม พ.ศ.2505 ซึ่งเพลง “ภิรมย์รัก” นี้ เป็นเพลงเพลงพระราชนิพนธ์ลำดับที่ 30 ทรงพระราชนิพนธ์ใน พ.ศ. 2502
เพลงที่ 7 “ในดวงใจนิรันดร์”
ทำนอง และคำร้องภาษาอังกฤษ : พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุยเดช
คำร้องภาษาไทย : ศาสตราจารย์ ดร.ประเสริฐ ณ นคร
เป็นเพลงพระราชนิพนธ์เพลงแรกที่ทรงพระราชนิพนธ์คำร้องด้วยพระองค์เอง ในปีพ.ศ. 2508 และเป็นเพลงพระราชนิพนธ์ลำดับที่ 37 เดิมทรงตั้งชื่อเพลงว่า “I Can’t Get You Out of My Mind” แต่ต่อมาทรงเปลี่ยนเป็น “Still on My Mind” โดยในเนื้อเพลงกล่าวถึงความรักที่ฝั่งแน่น แม้ว่าจะผ่านเวลาไปนานเพียงใดก็ตาม แต่รักนี้ติดตรึงอยู่ในใจชั่วนิรันดร์ไม่มีวันลบเลือน ดังประโยคที่ว่า “You’ll be ever and ever, Still on my mind.”
เพลงที่ 8 “เตือนใจ”
ทำนอง และคำร้องภาษาอังกฤษ : พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุยเดช
คำร้องภาษาไทย : ท่านผู้หญิงมณีรัตน์ บุนนาค และหม่อมหลวงประพันธ์ สนิทวงศ์
อีกหนึ่งบทเพลงที่ทรงพระราชนิพนธ์ทั้งทำนองและคำร้องภาษาอังกฤษด้วยองค์เอง ในปีพ.ศ. 2508 นับเป็น บทเพลงพระราชนิพนธ์ลำดับที่ 38 โดยทรงกล่าวถึงบทเพลงเก่าๆ ที่เป็นสื่อแทนใจ และความคิดคำนึง ดังเนื้อเพลงที่ว่า “Now there’s no word that can say, I can’t tell you in anyway. Let me tell you with this Old Fashioned melody.”
เพลงที่ 9 “แว่ว”
ทำนอง และคำร้องภาษาอังกฤษ : พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุยเดช
คำร้องภาษาไทย : ศาสตราจารย์ ดร.ประเสริฐ ณ นคร
บทเพลงพระราชนิพนธ์ในลำดับที่ 41 ในปีพ.ศ. 2508 ที่หลังจากนิพนธ์ไปแล้วหนึ่งปี ได้ทรงพระราชทานให้วงดนตรีสุนทราภรณ์นำออกบรรเลงเป็นครั้งแรกในงานสังคีตมงคล ครั้งที่ 1 ณ บริเวณพระที่นั่งอัมพรสถาน พระราชวังดุสิต โดยเนื้อเพลงกล่าวถึง การแว่วเสียงเพลงหวานที่ทำให้หวนนึกถึงความรักของสองเรา ที่แม้โลกจะไม่จีรัง แต่รักของเราจะยั่งยืน “I know Our love will Linger on For eternity.”
เพลงที่ 10“รัก”
ทำนอง : พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุยเดช
คำร้อง : สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี
เป็นเพลงที่เกิดจากขึ้นจากบทพระราชนิพนธ์กลอนสุภาพในพระบาทสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ในปีพ.ศ. 2510 โดยสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถกราบบังคมทูลพระกรุณา ขอให้พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงพระราชนิพนธ์ทำนองเมื่อเดือนธันวาคม พ.ศ. 2537 โดยนับเป็นเพลงพระราชนิพนธ์ลำดับที่ 47
จากนั้นพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว พระราชทานเพลงนี้ให้วงดนตรี อ.ส.วันศุกร์บรรเลงทุกวันศุกร์และวันอาทิตย์ตลอดเดือนธันวาคม พ.ศ. 2537 และในงานพระราชทานเลี้ยงส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่ พ.ศ. 2538 ณ พระที่นั่งบรมพิมาน ในพระบรมมหาราชวัง โดยทรงเชิญ คณะองคมนตรี นายกรัฐมนตรี และนายทหาร ตำรวจ ชั้นผู้ใหญ่ ขึ้นไปร้องเพลง “รัก” บนเวที โดยทรงบรรเลงดนตรีนำด้วยพระองค์เอง
ทั้ง 10 บทเพลง ล้วนเป็นเพลงที่มีท่วงทำนองรักหวานซึ้ง และแฝงไว้ด้วยความหมายพิเศษจนมิอาจมีผู้ใดปฏิเสธได้ว่า บทเพลงเหล่านี้ไม่ตราตรึงอยู่ในใจ
ขอบคุณที่มา web.ku.ac.th/king72/2530/music.htm
http://www.oknation.net/blog/balladdrums/2010/10/09/entry-1
ขอบคุณข้อมูลจาก http://www.oknation.net/blog/balladdrums