ถ่ายพรีเวดดิ้งอย่างมือโปร ถ่ายรูปสวยไม่ยากอย่างที่คิด คุณก็ทำได้!

หากทำเช็กลิสต์ก่อนวันวิวาห์ หนึ่งหัวข้อที่อยากชวนว่าที่บ่าว-สาวให้ความสำคัญเป็นอันดับต้นๆ คือการ ถ่ายพรีเวดดิ้ง เพราะภาพเหล่านี้ไม่เพียงบันทึกความทรงจำในช่วงเวลาสำคัญเท่านั้นแต่ยังสามารถนำไปใช้ในวันงาน จากนั้นหลายคนยังนำไปตกแต่งบ้านต่อได้อีก ภาพทุกภาพจึงควรบ่งบอกตัวตน เรื่องราว และสไตล์ของคนทั้งคู่ด้วย แพรว wedding คัด 3 แนวทางการถ่ายพรีเวดดิ้งที่จะอินเทรนด์ตลอดปี 2020 ตั้งแต่หัวใจของการถ่ายภาพแต่ละแบบ รวมถึงการวางแผนแต่ละขั้นตอนที่คุณสามารถทำได้ด้วยตัวเอง – เรื่อง ปารัณ เจียมจิตต์ตรง

MINIMAL STYLE

การ ถ่ายพรีเวดดิ้ง สไตล์มินิมัลได้รับการพูดถึงมาพักใหญ่ และจะได้รับความนิยมต่อไปแบบยาวๆ เพราะหัวใจของมินิมัลคือ ความเรียบง่ายที่มีเสน่ห์ ไม่ต้องการพร็อปส์หรือใช้อุปกรณ์มากมาย สถานที่ถ่ายทำอาจเป็นกำแพงเรียบๆ ในบ้าน หรือถ้าอยากจริงจังขึ้นมาหน่อยอาจเช่าสตูดิโอ ซึ่งมีอัตราค่าบริการเริ่มตั้งแต่ 1,500 บาท ต่อ 3 ชั่วโมง จนถึงหลักหมื่น ขึ้นอยู่กับความสะดวกในกระเป๋าสตางค์ ในที่นี้เราไม่ได้หมายถึงสตูดิโอที่ตกแต่งอลังการนะ อันนั้นคงไม่ใช่สไตล์มินิมัลที่เน้นความน้อยแต่มีเสน่ห์

ถึงจะน้อยอย่างไร ถ้าอยากได้ภาพสวยก็อย่าเรียบจนละเลยองค์ประกอบที่จะทำให้รูปสวยขึ้น เช่น การคุมโทนสีเสื้อผ้าของคู่บ่าว-สาวและฉากให้เป็นไปในทิศทางเดียวกัน เช่น เสื้อขาวกับกางเกงยีน หรือถ้าอยากได้รูปคลาสสิกแบบอยู่ยาวๆ ก็อาจเลือกโทนขาว – เทา – ดำ โดยกล้องถ่ายรูปที่ใช้อาจเป็นกล้องของคุณเองหรือเช่าเพิ่มเติมจากสตูดิโอ คุณอาจตั้งกล้องถ่ายโดยสั่งการจากแอพพลิเคชั่นในโทรศัพท์มือถือหรือให้เพื่อนช่วยกดชัตเตอร์ได้ เพราะสายมินิมัลไม่จำเป็นต้องเนี้ยบเรื่องเทคนิค หัวใจสำคัญคือการบันทึกอารมณ์ ความรู้สึกในมู้ดต่างๆ เช่น โรแมนติก สุขุม หรือความสนุกสนาน

จากองค์ประกอบทั้งหมดนี้ การถ่ายพรีเวดดิ้งสไตล์มินิมัลจึงใช้เงินน้อย คุณสามารถถ่ายรูปที่บ้านโดยไม่เสียเงินสักบาท หรือได้รูปสวยๆ จากการถ่ายในสตูดิโอด้วยงบ 5,000 บาท (ไม่รวมค่าแต่งหน้า-ทำผม) ในกรณีที่คุณตั้งกล้องถ่ายเองหรือให้เพื่อนมาช่วยกดชัตเตอร์ให้ หรือถ้าคุณใช้ไฟสตูดิโอไม่เป็น เดี๋ยวนี้มีสตูดิโอที่ให้แสงธรรมชาติผ่านผนังกระจกเข้ามาได้ ถือเป็นทางเลือกให้การถ่ายภาพมีมิติมากขึ้น

หลายคนถามว่า การถ่ายรูปนอกสถานที่ถือเป็นสไตล์มินิมัลไหม คำตอบคือได้เหมือนกัน แต่เป็นภาพที่เน้นตัวบุคคลมากกว่าสถานที่ เพราะมินิมัลให้ความสำคัญกับอารมณ์ของบ่าว-สาวมากกว่าเรื่องอื่น ฉะนั้นก่อนถ่ายอย่าลืมตกลงกันให้ดีกว่าอยากให้ภาพออกมาแนวไหน อารมณ์อย่างไร หรือจะถ่ายให้ครบทุกอารมณ์เลยก็ได้ แกลเลอรี่หน้างานแต่งของคุณจะได้มีเรื่องราวที่หลากหลายและสนุกขึ้น

STREET & LOCATION

การถ่ายภาพแนวสตรีทและการถ่าย On Location โดยเฉพาะสถานที่สวยๆ ในต่างประเทศเป็นตัวเลือกที่ได้รับความนิยมมากขึ้นเรื่อยๆ เนื่องจากปัจจุบันมีสายการบินราคาประหยัดเยอะขึ้น แต่หลายคนก็ตกม้าตายไม่ได้ภาพสวยสมใจ เพราะแม้คำว่าสตรีทอาจดูง่าย แต่ความจริงมีรายละเอียดซ่อนอยู่เพียบ ยกเว้นถ้าคุณเป็นสายชิลก็อาจไปเที่ยวกับแฟนแล้วถ่ายรูปไปเรื่อยๆ แต่ถ้าอยากได้รูปแสงสุดท้ายก่อนดวงอาทิตย์ลับขอบฟ้า ภาพโรแมนติกบนถนนที่เต็มไปด้วยหิมะ ฯลฯ โปรดอ่านต่อครับ

ในการถ่ายภาพโดยอิงกับสถานที่องค์ประกอบสำคัญสุดๆ คือ แสงธรรมชาติที่เหมาะในการถ่ายรูป ถ้าไม่ใช่ช่วงเช้าก็แนะนำให้เป็นหลังบ่ายสามโมง โดยมีไฮไลต์อยู่ในช่วงใกล้พระอาทิตย์ตกที่ช่วยให้มู้ดแอนด์โทนของภาพดูโรแมนติกขึ้นหลายเท่า และถ้าเป็นโลเกชั่นที่ไม่คุ้นเคยก็ควรไปดูสถานที่จริงไว้ก่อน เพื่อเห็นภาพรวมว่าแสงและมุมที่ต้องการเป็นอย่างไร ยกตัวอย่างโลเกชั่นถ่ายสตรีทยอดฮิตในกรุงเทพฯ อาทิ ย่านบางรัก ที่มีตรอกซอกซอย การจราจรคับคั่ง และร้านค้าที่ให้เรื่องราวความเป็นสตรีทอย่างสมบูรณ์ และถ้ามีการเลือกมุมไว้ล่วงหน้าจะทำให้คุณทำงานในวันจริงได้ง่ายขึ้น

ถ้าเลือกโลเกชั่นที่เน้นแสงสีในช่วงกลางคืนอย่างเยาวราช อุปกรณ์สำคัญอันดับแรกคือขาตั้งกล้องเพื่อเก็บแสงธรรมชาติรอบตัวให้มากที่สุด สำหรับแสงไฟที่ทำให้ตัวแบบสวยอาจใช้แฟลชติดกล้อง หรือถ้ามีทุนก็อยากให้หาไฟแอลอีดีเพื่อช่วยให้โทนผิวของคู่บ่าว-สาวสวยงาม ราคาตั้งแต่ 3,500 บาทขึ้นไป

สำหรับการถ่ายแบบ On Location สิ่งสำคัญคือการเลือกช่วงเวลาที่เหมาะสม เช่น ถ้าอยากได้รูปใบไม้เปลี่ยนสีในประเทศญี่ปุ่น ควรหาข้อมูลให้เป๊ะว่าควรเดินทางในช่วงเวลาไหน และอีกเรื่องที่สำคัญไม่แพ้กันคือ เงิน! ทั้งค่าเดินทาง ค่าอาหาร และค่าที่พัก ซึ่งความจริง แล้วอาจเป็นปัจจัยแรกที่จะบอกว่าคุณสามารถไปถ่ายรูปได้ไกลแค่ไหน

ถ้าทุนทรัพย์พร้อมแล้ว สิ่งต่อมาที่ต้องทำคือ การจัดโปรแกรมทัวร์ขนาดย่อมว่า คุณมีเวลาถ่ายรูปกี่วัน แต่ละโลเกชั่นอยู่ห่างกันแค่ไหน ใช้เวลาเดินทางเท่าไร สิ่งเหล่านี้จะเป็นตัวแปรสำคัญว่าคุณจะได้รูปภาพที่ตั้งใจไว้ครบหรือเปล่า หากเป็นไปได้ควรมีเวลาสัก 1 วันสำหรับเซอร์เวย์สถานที่ก่อนจะดีมาก เพราะคุณจะได้เห็นด้วยตาตัวเองว่าโลเกชั่นนี้สวยที่สุดในเวลาไหน

สำหรับช่วงเลนส์ที่เหมาะในการถ่ายภาพสไตล์นี้คือช่วงเลนส์ซูม 70 – 200 mm หรือเลนส์ที่มีรูรับแสงกว้างที่ทำให้ได้รูปหน้าชัดหลังเบลอ แต่ถ้าคุณไม่ซีเรียสจะใช้เลนส์ที่แถมมากับกล้องก็ได้ และถ้าเป็นทริปแบบไปกันเอง 2 คน ไม่มีเพื่อนช่วยถ่ายรูปให้ ขอแนะนำให้พกเลนส์ไปแค่ 1-2 ตัว ไม่อย่างนั้นการต้องแบกทั้งเลนส์ และเสื้อผ้าไว้เปลี่ยนตามโลเกชั่นต่างๆ อาจทำให้คุณตีกันก่อนก็ได้

อีกเทคนิคในการถ่ายภาพแนวนี้คือ การใช้สิ่งของใกล้ตัวมาเป็นโฟร์กราวนด์หรือฉากหน้าของภาพ เช่น เสาไฟฟ้าที่คุณสามารถ ใช้เป็นองค์ประกอบของภาพระยะใกล้ แล้วให้คู่บ่าว-สาวอยู่ไกลออกไปอีกฝั่งของถนน รวมถึงอุปกรณ์ใกล้ตัวอย่างถุงพลาสติกหรือ แว่นตาก็สามารถนำมาใช้บังเลนส์ แม้แต่การเปิดไฟจากโทรศัพท์มือถือ ให้แสงสาดเข้ากล้องถ่ายรูปเล็กน้อยก็ช่วยให้ภาพมีมิติขึ้น

โดยสรุปแล้ว คุณสามารถถ่ายพรีเวดดิ้งแนวสตรีทโดยไม่เสียเงินสักบาท ยกเว้นจะเพิ่มออปชั่นพวกไฟแอลอีดีและขาตั้งกล้อง ซึ่งสามารถคุมงบให้อยู่ใน 5,000 บาทได้ แต่ถ้าอยากไปถ่ายสถานที่สวยๆ ในต่างจังหวัดหรือต่างประเทศก็ขึ้นอยู่กับเงินในกระเป๋าของคุณแล้วละ ขอเตือนว่าแม้จะไปถ่ายในประเทศหรือโลเกชั่นที่สวยหรูขนาดไหน ถ้าขาดการวางแผนที่ดีตอนขึ้นเครื่องบินขากลับอาจไม่ร่าเริงเหมือนขาไปก็ได้ จำไว้ว่า วางแผนให้ดีมีชัยไปกว่าครึ่ง

CONCEPTUAL PRE-WEDDING

การถ่ายภาพแบบเน้นคอนเซ็ปต์คือสิ่งที่แสดงถึงตัวตนของคู่แต่งงานในยุคสมัยนี้ได้อย่างชัดเจนที่สุด เพราะหากย้อนกลับไปสัก 10 ปีการถ่ายรูปพรีเวดดิ้งส่วนใหญ่คือการเข้าไปซื้อแพ็คเกจจากสตูดิโอ ใส่ชุดแต่งงานแล้วถ่ายรูปในฉากต่างๆ ซึ่งอาจมีตัวเลือกอยู่ไม่มาก ทุกอย่างถูกกำหนดมาให้จากสตูดิโอนั้นๆ แต่เมื่อยุคสมัยเปลี่ยนไป คนในสังคมเริ่มมีคาแร็กเตอร์ คู่แต่งงานอยากได้ภาพพรีเวดดิ้งและธีมการแต่งงานที่สื่อถึงตัวเอง ไม่อยากซ้ำแบบคนอื่น จึงเป็นที่มาของสไตล์การถ่ายพรีเวดดิ้งที่หลากหลาย โดยเฉพาะการถ่ายสายครีเอทีฟที่ต้องทำการบ้านเยอะที่สุด ว่าคุณอยากถ่ายทอดเรื่องราวในภาพอย่างไร รวมถึงอาจใช้เทคนิคถ่ายภาพมากกว่าแบบอื่น

อันดับแรก ต้องถามตัวเองก่อนว่าอยากให้ภาพเล่าเรื่องอะไร ซึ่งอาจเป็นเรื่องราวในชีวิตของคุณเอง หรือเป็นคอนเซ็ปต์เหนือจริงที่คุณอยากทำมานานแล้วก็ได้ เช่น บางคนอยากได้ธีมเสื้อผ้าโอต์กูตูร์สมัยวิกตอเรีย เพราะฉะนั้นทั้งเสื้อผ้าหน้าผมและสถานที่ก็ต้องจัดเต็ม บางคนอยากเล่าเรื่องแบบนามธรรม เช่น การแต่งหน้าบ่าว-สาวให้เป็นคนแก่ เพื่อสื่อว่ารักของเราจะยืนยาวตลอดกาล ถ้าเป็นแนวนี้ช่างแต่งหน้าจะมีบทบาทสำคัญที่สุด บางคนเลือกแนวแฟนตาซีใส่ชุดตัวตลก ก็ควรเลือกโลเกชั่นที่ทำให้เรื่องราวไปด้วยกัน เช่น การถ่ายภาพในสวนสนุก หรือบางคนอาจเลือกกีฬาที่ชอบเหมือนกัน อย่างการวิ่งก็อาจใส่ชุดแต่งงานแต่สวมรองเท้าวิ่งก็ดูเท่ไปอีกแบบ

ข้อดีของการถ่ายภาพสไตล์นี้คือ แกลเลอรี่หน้างานแต่งงานจะมีเสน่ห์สุดๆ แขกที่มาร่วมงานจะได้บรรยากาศของการดูงานในนิทรรศการภาพถ่าย และถ้าคุณเลือกตกแต่งบรรยากาศภายในงานให้เหมือนคอนเซ็ปต์รูปถ่ายของคุณจะทำให้งานสนุกมากขึ้น ลองคิดดูสิว่าถ้างานแต่งของคุณเต็มไปด้วยตัวละครในยุควิกตอเรีย การถ่ายรูปจะสนุกสนานและอลังการขนาดไหน

และความที่การถ่ายรูปแนวนี้เน้นความคิดเป็นหัวใจสำคัญ เพราะฉะนั้นงบประมาณที่ใช้จึงขึ้นอยู่กับไอเดียว่าต้องใช้พร็อปส์หรือองค์ประกอบอะไรบ้าง เช่นเดียวกับการถ่ายรูป 2 สไตล์ข้างต้นที่คุณสามารถถ่ายเองด้วยการตั้งกล้อง ถ้าคุณมั่นใจว่าสามารถจัดการทุกอย่างทั้งหมดได้ด้วยตัวเอง แต่เราขอแนะนำว่าถ้าเลือกการถ่ายรูปสายนี้ยอมลงทุนสักหน่อยคุณจะได้ภาพที่ดีขึ้น

ไม่ว่าจะเลือกการถ่ายรูปแนวไหน อย่าลืมว่าหัวใจสำคัญที่สุดของการถ่ายพรีเวดดิ้งคือเรื่องราวความรักของคู่บ่าว-สาว เพราะต่อให้คุณลงทุนบินไปถ่ายรูปถึงขั้วโลกเหนือ แต่ถ้ารูปใบนั้นไม่มีความรักอยู่ข้างในก็อาจกลายเป็นรูปถ่ายธรรมดา

คอนเซ็ปต์ สไตล์ หรืองบประมาณจึงสู้ความรู้สึกที่คนสองคนสื่อถึงกันไม่ได้ ก่อนจะเดินออกไปหน้ากล้อง ลองทบทวนเรื่องราวความรักที่ผ่านมา ทั้งตอนหวานซึ้งและวันที่งอนกันแทบเป็นแทบตาย แต่คุณก็เดินทางมาถึงวันนี้ด้วยกันไม่ใช่หรือ

ถ้าถ่ายรูปได้ผลอย่างไร อย่าลืมส่งให้ แพรว wedding ดูบ้างล่ะ

ภาพประกอบ : www.indyweddingphoto.com, IG @smallmoon_photo

Recommended