เคยได้ยินมาว่าขนาดไม่สำคัญเท่าลีลาและความชำนาญที่จะพาให้เธอสู่สวรรค์การฟิน แต่สำหรับหนุ่มสาวบางคู่ ค่านิยมเรื่องขนาดก็ยังไม่อาจตัดขาดออกจากใจได้ บางคนมุ่งหน้าเข้าคลินิคฉีดขยายขนาด อวัยวะเพศชาย ซะงั้น (ล่าสุดมีหนุ่มใหญ่เยอรมันฉีดซิลิโคนขยายน้องชายจนหนักตั้ง 3-4 กิโลเชียวนะ) ทั้งที่จริงๆ แล้ว ถ้าพาน้องชายไป “ขริบ” ตั้งแต่ยังเยาว์ น้องจะเติบใหญ่ได้ไม่แพ้ชาติใด
ที่บอกไปว่าการขริบช่วยขยายขนาดนั้นพูดจริงค่ะ วันนี้มาดามหาข้อมูลเบาๆ ที่ยืนยันด้วยหลักการแพทย์ว่าการขริบช่วยเพิ่มขนาดได้มาฝากกัน เพราะว่ากันว่าจริงๆ แล้วคนไทยเองก็มีสิทธิ์โตมาพร้อมๆ กับน้องชายที่ “บิ๊ก” ได้ไม่ต่างจากฝรั่งมังค่า เพียงแต่คนไทยไม่ค่อยนิยมพาลูกหลานไปขริบตั้งแต่ตอนยังเป็นเด็กน้อยเหมือนฝรั่ง นี่จึงเป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้หนุ่มไทยมีน้องชายตัวเล็กทั้งที่จริงๆ แล้วมีสิทธิ์ผงาดเป็นมังกรมากกว่ากิ้งกือน้อยเช่นทุกวันนี้
“ขริบ” ในอวัยวะเพศชาย คือการผ่าตัดเพื่อเอาหนังหุ้มปลายของน้องชายออกไป โดยเริ่มต้นนั้นมีจุดประสงค์เพื่อการรักษาความสะอาดที่ง่ายขึ้น รวมถึงเพื่อให้หนุ่มๆ ที่มีหนังหุ้มปลายอวัยวะเพศหนาเกินไปจนไม่สามารถเปิดออกเองได้จนเกิดความเจ็บปวดเวลาอวัยวะเพศแข็งตัว
เมื่อตัดเอาหนังส่วนปลายออกไปแล้วจึงไม่มีอะไรมาขวางกั้นการเติบโต อ่ะ!! ให้นึกง่ายๆ ว่า เมื่อไม่มีอะไรมาบังทาง เจ้าเห็ดน้อยก็สามารถผุดขึ้นมารับแสงและเติบโตได้อย่างเต็มที่ จึงเป็นเหตุผลว่าทำไมการขริบถึงทำให้ขนาดของน้องชายขยายได้มากกว่าการไม่ขริบ
นอกจากนี้ เรื่องของการใช้งานก็มีส่วนช่วยให้น้องชายมีขนาดใหญ่ได้ด้วย ฉะนั้นคนที่หมั่นใช้งานอยู่บ่อยๆ (ซึ่งแน่นอนว่าไม่ได้ใช้เพียงแค่ปัสสาวะเท่านั้น) และใช้ด้วยเวลาที่นานขึ้นประมาณ 10-15 นาทีต่อรอบจะทำให้มีเลือดไปหล่อเลี้ยงที่น้องชายมากขึ้นส่งผลให้อวัยวะใหญ่หรือแข็งแรงขึ้นได้ ซึ่งถ้าอยากจะมีเซ็กส์ได้นานอย่างใจหวัง
การขริบที่ว่านี้ยังมีประโยชน์แฝงที่คุณไม่คาดคิด นั่นคือ ช่วยให้หลั่งช้าลงถึง 90% เพราะการที่เปิดหนังหุ้มแล้ว หัวที่ออกมาด้านนอกจะได้รับการเสียดสีตลอดเวลา ทำให้มีการต้านทานที่ดีขึ้นเมื่อได้รับการกระตุ้น ฉะนั้นเวลาที่ต้องออกรบก็สามารถรบได้นานขึ้นด้วย จึงช่วยลดปัญหาการหลั่งเร็วได้
สิ่งที่พึงรู้เรื่องสุดท้ายคือ น้องชายของหนุ่มๆ เป็นอวัยวะที่ไม่หยุดเจริญเติบโตแม้ว่าจะอายุ 40 แล้วก็ตาม เพราะถ้ามีการใช้งานหรือใช้ในเวลาที่นานขึ้น มันก็จะขยายตัวด้วยตัวของมันเองไงล่ะคะ
เรื่อง : Madam Hong Hern
ภาพ : http://www.netdoctor.co.uk