วันนี้บอกได้เลยว่าความฮาของเหล่าสมาชิกตัวน้อยในตระกูลศิลาชัย “ออกัส-ออก้า-ออกู๊ด” กำลังครองใจผู้ชมไปทั่วเมือง เราจึงขอนัดคุยกับเจ้าของผลผลิตแก๊งค์ 3 ออ คุณเปิ้ล-นาคร และคุณจูน-กษมา ศิลาชัย ว่าทำอย่างไรถึงสร้างครอบครัวที่ทั้งน่ารักและสุขภาพจิตดี๊ดีได้ขนาดนี้
เรานัดเจอหัวหน้าแก๊งค์ 3 ออกันที่คาเฟ่ร่มรื่นย่านเลียบด่วน ทั้งคู่เดินเข้ามาในธีมสปอร์ตลุคเท่ๆ คุณจูนดูเก๋และทะมัดทะแมงแม้กำลังอุ้มท้องสมาชิกคนที่ 4 ส่วนคุณเปิ้ลดูคูลๆ นิ่งๆ สไตล์หนุ่มใหญ่ WE ไม่รอช้า ขอเปิดประเด็นคำถามกับฝ่ายหญิงทันที
สาววัยใสกับหนุ่มใหญ่หัวใจวัยรุ่น
ความรักของทั้งคู่เริ่มต้นจากคุณจูนย้ายไปอยู่คอนโดย่านทาวน์อินทาวน์ แม้จะอยู่คนละตึกกับคุณเปิ้ล แต่กลุ่มเพื่อนของคุณจูนเคยรับจ๊อบเป็นตัวประกอบในรายการสาระแนจึงได้รู้จักกัน
ตอนแรกก็แค่มองๆ เหล่ๆ กัน จนวันหนึ่งพี่เปิ้ลเจอจูนอยู่กับกลุ่มเพื่อนก็จอดรถแซวทีเล่นทีจีบ เพื่อนก็ชงไปชงมา ให้เบอร์ไป ทีแรกนึกว่าเขาจีบเล่นๆ เราก็หยอกกลับ ตอนนั้นจูนยังเด็กด้วย เพิ่งยี่สิบ เขาชวนไปเลี้ยงก็เอาเพื่อนๆ ไป ไปๆ มาๆ เริ่มชวนไปกันเอง พาไปรู้จักคนในออฟฟิศ รู้จักเพื่อนๆ เฮ้ย คงไม่ใช่เล่นๆ แล้ว ตอนแรกยังไม่ได้คิดไปไกลมาก คุยกันไปเรื่อยๆ จนความรู้สึกผูกพันค่อยๆ ซึมเข้ามา เพราะพี่เปิ้ลดูแลจูนทุกอย่าง เป็นห่วงเป็นใย คอยบังคับให้ไปเรียน (หัวเราะ) สมัยวัยรุ่นไง อ้างโน่นอ้างนี่ไม่ยอมไปเรียน พออ้างว่ารถติด ไกล พี่เปิ้ลก็เอากุญแจรถให้ขับไปเรียน เลยอยู่กันมาเรื่อยๆ ช่วงปีที่ 2 พาพี่เปิ้ลไปเจอคุณแม่ ท่านก็ไม่ได้ว่ะอะไร จนเข้าปีที่ 7 เราอยากมีลูกก็เลยแต่งงานกัน”
“ผมดูแลเขาอยู่เรื่องเดียวคือเรื่องเรียน เพราะจูนเป็นคนใจถึงมากในเรื่องการศึกษา สามารถไม่ตื่นไปสอบได้ พอถามก็บอกว่าไม่เป็นไร เดี๋ยวดร็อปไปลงใหม่ปีหน้า ต้องขู่ว่าถ้าไม่ไปสอบเลิกกัน หรือขู่ว่าต้องจบปีนี้นะ ไม่งั้นเลิก เพราะผมไม่ชอบผู้หญิงโง่ กว่าจะลากให้เรียนจบได้ หืม พอจบปุ๊บก็วางแผนต่อว่าจูนต้องทำงาน
“ทีแรกคุณแม่จูนก็ถามว่าทำไมต้องบังคับ ถ้าเขาไม่อยากทำก็ปล่อยเขาเถอะ แต่ผมอธิบายว่าวันข้างหน้าถ้าเรามีธุรกิจเป็นของตัวเอง จูนจะต้องลงมาดูแลด้วย ดังนั้นต้องมีประสบการณ์ เลยไล่ให้ไปทำงานที่ไหนก็ได้ เขาก็ไปทำงานโรงแรม ต้องตื่นตี 5 ผมไปส่งจากทาวน์อินทาวน์ถึงซังฮี้ทุกวัน โคตรโหดเลย สักปีสองปีพอเราเปิดร้านอาหารเลยให้จูนออกมาดูแล เขาก็ได้เอาระบบการทำงานตรงนั้นมาปรับใช้ คือผมเป็นคนขี้เกียจไง ฉะนั้นต้องฝึกทุกคน ทั้งพนักงานและคนข้างตัวให้เก่ง ไม่งั้นถ้าคนรอบตัวเราทำอะไรไม่เป็นเลย เราก็ต้องทำเองหมด แล้วจะเอาเวลาที่ไหนไปฝึกวิ่งมาราธอนหรือไปเล่นเจ็ทสกี” คุณเปิ้ลอำ
ตลอด 14 ปีที่อยู่กันมามีปัญหาอะไรบ้างไหมคะ ผ่านมาอย่างไร
“ปัญหาใหญ่สุดของผมคือ ไม่ชอบทะเลาะกันและไม่อยากทะเลาะกับใครเลย ก่อนเจอจูนผมมีแฟนมาหลายคน ก็เป็นเรื่องธรรมดานะ เจอคนนี้ชอบ คุยกัน กินข้าวด้วยกัน คบกันได้ 3 เดือน 6 เดือน เอ๊ะ ทำไมเขากับเราต้องทะเลาะกันอาทิตย์ละ 2 วันวะ ก็แยกกัน “จนมาเจอจูน เฮ้ย ทำไมคบผู้หญิงคนนี้มาปีหนึ่งแล้วยังไม่ทะเลาะกันเลย ก็เลยคบกันไปเรื่อยๆ จน 7 ปี ทะเลาะกันไป 3 ครั้ง เลยรู้สึกว่า เออ…ต้องอย่างงี้ (อย่างงี้เค้าเรียกว่ารัก – คุณจูนบอกให้รู้ตัว) มันต้องถูกกัน ทะเลาะกันคือไม่ถูกกัน ฉะนั้นทุกวันนี้เวลาจูนเสียงดังมา ผมจะไม่สวนกลับแต่จะถามว่า ตกลงเราไม่ถูกกันหรือเปล่า ทำไมต้องเสียงดังกับอีแค่เรื่องไม่แปรงฟันกลิ่นกระเทียมหึ่ง (ช่วงนี้จูนแพ้ท้องเลยจะเหวี่ยงพี่เปิ้ล ท้องที่แล้วก็เป็น มันจะเหม็นไปหมดค่ะ – คุณจูนอธิบาย)
“พอตกลงใจว่าเป็นจูนแล้ว ผมจะไม่แรงใส่ เพราะมีความรู้สึกว่า กูไม่ทะเลาะกับมึง เพราะอะไรรู้ไหม เพราะว่าทะเลาะไปเราก็ชนะ สมองเราดีกว่าเขา เหลี่ยมในการเถียงการด่าเราเหนือกว่า ถ้าใช้แรงเราเป็นนักกีฬาก็ชนะเห็นๆ แล้วเราจะชนะไปเพื่ออะไร การเป็นคู่กันมันคือการเป็นชิ้นส่วนเดียวกัน ทะเลาะกันก็เหมือนเรานั่งทะเลาะกับตัวเอง ถ้าไปตีเขาก็เหมือนเราตีแขนขาตัวเอง”
“ที่มีปัญหาจริงๆ คือตอนที่มีข่าวว่าจูนโดดตึก ช่วงนั้นคบกันได้ 3 ปี ไม่ได้ทะเลาะหรือมีปัญหาอะไรใหญ่โตเลย เป็นเรื่องที่จูนหนีเที่ยว เขาโทร.มาตามก็ไม่รับๆๆ พอตอนเช้าโทร.กลับไปคราวนี้เขาไม่รับแล้ว เหมือนเขาจะดัดนิสัย แต่ตอนนั้นจูนเด็กไง ภูมิชีวิตต่ำ พอเขาไม่รับสาย 3 วันก็นึกว่าเขาเลิก ต้องบอกว่าจูนเรียนหญิงล้วนมาตั้งแต่เด็ก พี่เปิ้ลเป็นแฟนจริงจังคนแรก แล้วอยู่ด้วยกันมาตลอด 4 ปีจนกลืนไปกับชีวิต เขาเป็นทั้งพี่ ทั้งพ่อ ดูแลเราทุกอย่าง รู้สึกเหมือนอวัยวะเป็นชิ้นหนึ่ง มานั่งคิดว่าถ้าขาดเขายังไงก็อยู่ไม่ได้ แล้วไม่ได้คิดหน้าคิดหลังอะไรเลย โดดเลย จากชั้น 4”
“ตอนที่เขาโดดตึก รู้สึกว่า เฮ้ย มีคนกล้าที่จะตายถ้าไม่มีเราด้วยเหรอวะ แต่ถ้าตอนนั้นไม่ตายแต่พิการนี่ผมก็เลิกนะ นี่พูดจริง เพราะผมไม่ใช่ผู้ชายที่แสนดีขนาดนั้น”
“แต่ตอนนั้นจูนเห็นหน้าเขาทุกวันนะ (หัวเราะ) ยอมรับว่าเหมือนตายแล้วเกิดใหม่ ลุกขึ้นมาเปลี่ยนแปลงตัวเอง ไม่ได้เปลี่ยนเพื่อจะเป็นเมียเขา แต่รู้สึกว่าต้องเริ่มต้นใหม่ จูนดามเหล็กและใช้ไม้เท้าเป็นปี มันทำให้คิดได้เองว่าต้องโตขึ้นแล้วนะ ก็รักษาตัว เรียนให้จบ รับปริญญา หางานทำ ระหว่างนั้นพี่เปิ้ลดูแลค่าใช้จ่ายทุกอย่าง แต่เขาจะไม่พยุงจูนเลยสักครั้ง ก็คิดน้อยใจตามประสาเด็ก แต่มารู้ทีหลังว่าเขาอยากสอนให้เรารู้ว่าทำเองก็ต้องรับผิดชอบเอง ก็ซึ้งนะ ถ้าเป็นคนอื่นคงไปไกลแล้ว”
ขุมพลังครอบครัวศิลาชัย
ไหนจะงานในวงการ ไหนจะธุรกิจ ไหนจะลูกอีก 3 คน + ในท้องอีก 1 คน เราชักอยากจะรู้ว่าพ่อแม่คู่นี้เอาเรี่ยวแรงมาจากไหนและจัดการอย่างไรให้ลงตัว
“ทุกวันนี้ผมหาปลาให้ลูกเมีย ถ้าวันหนึ่งตายไป เขาจะมาผลิตรายการทีวีเหรอ ผมถึงต้องคิดสร้างเครื่องมือหาปลาให้เขา นั่นคือบริษัทมาดามกัสก้า ขายผลิตภัณฑ์เกี่ยวกับความงามทุกอย่างทั้งภายนอก อีกหน่อยจะไปถึงอาหารสำหรับเด็ก ซึ่งตรงนี้จูนเขาบอร์นทูบีนะ อย่างตอนที่เขามาบอกว่าจะทำกันแดด ผมยังเตือนว่าในเมืองไทยมีเจ้าใหญ่เยอะมาก เธอมีจุดเด่นอะไรที่แตกต่าง จูนก็บอกเลยว่านี่ไง กันแดดมีสี ยังไม่มีในเมืองไทย ฉะนั้นซันดู๊ดเลยเป็นเจ้าแรกและเจ้าเดียว พอปล่อยออกไปปรากฏว่าดังเลย ผมเลยตั้งเป้าว่าเธอต้องไม่ใช่แค่แม่ค้าขายของนะ อีก 10 ปีข้างหน้าเธอต้องเป็นเจ๊เล้งเวอร์ชั่นสมัยใหม่ …พอมีเครื่องมือหาปลาไว้แล้ว เกิดปุบปับผมตายไป ก็ตายแบบสบายใจ หรือถึงไม่ตายก็จะได้เลิกทำทีวีแล้วจิกหัวใช้เขาไป จะได้มีเวลาไปวิ่ง”
แบบนี้คุณจูนแยกร่างดูแลลูก งาน และสามีอย่างไรคะ
“การดีลเบื้องต้นพี่เปิ้ลจะออกไปทำให้ พอถึงแมทช์สำคัญจูนค่อยออกไป นอกนั้นจูนก็ทำงานออนไลน์อยู่บ้านและดูแลลูกไปด้วย สบายๆ ค่ะ ส่วนพี่เปิ้ลเขาขอแค่ช่วงกินข้าวเย็น เราก็ทำอะไรของเราไปแล้วรอไปกินข้าวกับเขาตอนเย็น บางทีก็เอาลูกไปด้วย ไม่ได้เป็นอะไรที่ลำบากเลย”
“ผมไม่เคยชินกับการกินข้าวเย็นในบ้าน ข้าวกลางวันกินได้ แต่ถ้าเป็นข้าวเย็นจะรู้สึกว่าทำไมมันหดหู่อย่างนี้ กินในบ้าน มองหน้ากันเอง คือต้องออกไปนั่งกินข้างนอก ไม่ว่าจะเป็นร้านบะหมี่ข้างทาง ร้านข้าวแกง ขอให้ได้นั่งติดถนน เห็นคนเดินผ่านไปมา มันเหมือนได้ดูทีวีไปด้วย ได้อ่านชีวิตคน เฮ้ย คนนี้แต่งตัวแปลกดี คนนี้เอาถุงไปแขวนไว้กับร่มเว้ย”
ความเครียดจากการทำงานกระทบครอบครัวบ้างไหม
“จูนสามารถตัดได้ และเลือกได้ว่าเรื่องนี้จำ เรื่องนี้ไม่จำ เรื่องนี้จำแค่นี้พอ อะไรที่ฟังผ่านๆ ไม่ต้องซีเรียสเพราะมีคนดูต่อให้แค่ตามเบาๆ ดังนั้นในวันหนึ่งที่ต้องทำงาน เลี้ยงลูก ดูแลสามี ดูแลร้านอาหาร จึงไม่เป็นปัญหากับจูนเลย
“สำหรับจูนลูกต้องมาก่อนอยู่แล้ว จูนมีพี่เลี้ยงช่วยแต่เราต้องอยู่ด้วยตลอด ตอนนี้ลูกเริ่มโตขึ้น ไม่ใช่เบบี๋เหมือนเมื่อก่อน จึงไม่ลำบาก สามารถวางตารางได้ เลี้ยงลูกเสร็จไปประชุม กลับมารับลูก เสร็จตีรถไปออฟฟิศได้อีก เพราะว่าออฟฟิศอยู่ใกล้บ้านและโรงเรียนลูกอยู่ปากซอยบ้าน ทำให้การเดินทางสะดวก อย่างช่วงท้องที่ผ่านมา (น้องออกู๊ด) จูนทำงานตลอดเพราะเพิ่งเริ่มบริษัทก็เปลี่ยนให้มาประชุมกันที่บ้าน ทุกอย่างปรับเปลี่ยนได้ ไม่ได้ทรมานขนาดนั้น จูนว่าเราต้องไม่คิดให้มันยาก”
ในบทบาทของคนรัก-สามีภรรยา-พ่อแม่ มีการปรับตัวเยอะไหมคะ
“ในแต่ละช่วงชีวิตจูนว่าไม่ต่างนะ (เหมือนเดิม เหมือนคบกันใหม่ๆ เลย – คุณเปิ้ลยืนยัน) เราสองคนไม่เคยต้องมานั่งคุยกันว่าจูน เดี๋ยวจูนจะต้องเป็นอย่างนั้น พอเราแต่งจะต้องอย่างนี้ แต่มาปรับจริงๆ ตอนมีลูก เพราะคิดว่ามันน่าจะเป็นแบบนี้นะ การใช้ชีวิตครอบครัวถ้าไม่ปรับเปลี่ยนอะไรเลยคงเป็นไปไม่ได้ อย่างจูนก็ปรับ ตื่นให้มันเร็วขึ้น พี่เปิ้ลไม่ได้บอกหรอก แต่เราก็ต้องรู้หน้าที่ความเป็นแม่”
“ปรับไปตามธรรมชาติแต่อย่าไปจงใจว่า เอ้ย ครอบครัวที่สมบูรณ์มันต้องกินข้าวเย็นทุกวันอาทิตย์ จะต้องพาลูกไปทำกิจกรรมร่วมกันอย่างงั้นอย่างงี้ ไม่มีคำว่า “จะต้อง” ใช้ความรู้สึก ณ วันนี้ …วันนี้อยากพาลูกไปเล่นสวนน้ำ วันนี้อยากพาลูกไปกินก๋วยเตี๋ยว ให้มันเป็นไปตามธรรมชาติ เหมือนไม่ได้ปรับแต่มันเป็นไปเอง
ครอบครัวตัวฮา
ใครที่ติดตามความเคลื่อนไหวของครอบครัวนี้คงจะซึ้งถึงความฮาของแก๊งค์ 3 ออ กันดี จนมีคำถามว่า…เลี้ยงลูกกันอย่างไรถึงได้สุขภาพจิตดีขนาดนี้?
“เราใช้ชีวิตอยู่ด้วยกันเยอะ ทำกิจกรรมด้วยกันตลอด จันทร์-ศุกร์พี่เปิ้ลทำงานก็จริง แต่งานในวงการไม่ได้เป็นเวลาเป๊ะๆ อยู่แล้ว บางทีจูนก็พาลูกไปหาพี่เปิ้ล เสาร์อาทิตย์นี่ไม่ต้องห่วง กิจกรรมพี่เปิ้ลคือเจ็ทสกี จูนก็แพลนให้ว่างเพื่อพาลูกไปเล่นด้วยกัน จูนให้ความสำคัญกับครอบครัวมากเพราะจูนเข้าโรงเรียนประจำตั้งแต่อนุบาล 2 ไม่ได้อยู่กับครอบครัวเลย จึงตั้งใจว่าจะไม่ให้ลูกรู้สึกเหมือนเรา จะให้เวลาเต็มที่ อยู่กันให้เบื่อไปเลย”
“อีกอย่างหนึ่งคือ ผมมั่นใจล้านเปอร์เซ็นต์ว่าลูกของเราไม่เคยเห็นพ่อแม่ทะเลาะกัน มีแต่เล่น กลิ้งกัน กอดกัน ถีบกันอยู่ในห้องนอน เวลาผมฟังคนอื่นเล่าว่าทะเลาะกันกลางบ้าน กลับบ้านแทบไม่มองหน้าเมีย เฮ้ย…ทำไมไม่เลิกกันให้มันรู้แล้วรู้รอด แล้วก็อธิบายให้ลูกเข้าใจ แบ่งหน้าที่ให้ชัดเจน ช่วยกันดูแลลูกให้ดีๆ ดีกว่าอยู่กันแล้วทะเลาะกันข้ามหัวเด็ก แล้วสุขภาพจิตเด็กจะเป็นยังไง แต่ไม่ใช่เลิกกับเขาแล้วไปทำร้ายหรือเอาสมบัติเขานะ ถ้าเป็นผู้ชาย แน่จริงก็ต้องให้ผู้หญิงหมด กล้าไหมล่ะ”
ภาพลักษณ์ของครอบครัวเราออกแนวฮา ชีวิตจริงเป็นอย่างไรคะ
“เขาเป็นของเขาอย่างนั้นจริงๆ การที่เราทำรายการสด “ออไลฟ์” ในเฟซบุ๊กนี่เสี่ยงนะ แต่มันโอเคเพราะ เขาเป็นเด็กฮาๆ ไม่ก้าวร้าว แต่ไมได้ถึงขนาดเซตมาฮา หรืออย่างรายการ “Oh My Dad” ในช่องยูทูป Ple Nakorn Chanel คนก็ตามดูเยอะ เพราะว่ามันเป็นรายการที่โคตรส่วนตั๊วส่วนตัวและมีความเป็นธรรมชาติมาก มันเกิดจากจูนที่วันๆ เอาแต่ถ่ายคลิปลูก ต้องบอกว่าเด็กทุกบ้านน่ารักหมด ตลกทุกคน อยู่ที่พ่อแม่จะเล่ายังไง บางคนก็เลือกเอารูปที่ลูกแต่งตัวเนี้ยบๆ ลง”
“แต่บ้านเรานี่ลูกใส่กางเกงในก็ถ่าย เลยขำกันหมด ซึ่งในความเป็นจริงเด็กทุกคนก็ใส่กางเกงใน มันอยู่ที่พ่อแม่เล่า เราเล่าออกไปทางน่ารัก ขำขัน คนถึงติด”
ลูกเราเป็นที่รู้จัก เป็นห่วงว่าเขาจะเสียความเป็นส่วนตัวหรือความเป็นเด็กไหม
“เราไม่ได้ดังขนาดนั้น ก็มีแค่พี่ๆ น่ารักๆ เด็กมหา’ลัย เด็กม.5 ม.6 มาคอยวิ่งตามบ้าง เราก็บอกเทคนิคว่าน้องไม่ต้องวิ่งตาม หาของเล่นมาตีซี้เขาดีกว่า เท่านั้นแหละ หันไปอีกที จูงมือกันแล้ว แต่ถ้าเข้ามาจู่โจม จะเอาแต่ถ่ายรูปๆๆ ยิ้มๆๆ จับแก้มๆๆ เด็กทุกคนตกใจหมดแหละ”
“แต่เวลาจะไปงานพี่เปิ้ลจะบอกน้องก่อนว่า เดี๋ยววันนี้เราจะไปทำนี่นะ เดี๋ยวเราจะเจอพี่ๆ นะ พี่ๆ รักเรานะ พี่ๆ ชอบที่ออก้าเป็นเด็กหัวเราะง่าย เวลาเจอออก้าต้องไหว้พี่นะ ถ่ายรูปแล้วยิ้มให้พี่นะ พอเจอแฟนคลับเราก็จะบอกเขาว่าต้องเข้าหาแบบนี้ๆ ซึ่งแฟนคลับก็น่ารัก เขาเปิดใจ บางทีรู้นิสัยออก้ามากกว่าเราอีก
การมีลูกให้อะไรกับเราบ้าง
“ลูกเป็นคนให้ชีวิตให้จูนเหมือนกันนะ ลูกสอนให้เราเปลี่ยน มีความเป็นแม่ ก็ไม่ได้เป็นแม่ที่เป๊ะหรอก แต่จูนเลี้ยงลูกได้ และทำให้ดูแลพี่เปิ้ลด้วย คือพอมีลูกก็อยากให้พี่เปิ้ลอยู่กับเรานานๆ อยู่ไปจนกว่าลูกจะโต ตอนมีลูกคนที่ ๔ เนี่ย คำแรกที่บอกพี่เปิ้ลเลยคือ อย่าตายนะ เพราะว่าเราเริ่มไล่ตั้งแต่ออกัสแล้วว่าถ้าลูกจะรับปริญญาพี่เปิ้ลจะอายุเท่าไหร่ แล้วนี่ไอ้ตัวเล็กเพิ่งจะไม่กี่เดือนเอง จะทันเขาเข้ามหา’ลัยไหม ห่วงความรู้สึกลูก”
“ลูกคือแบตเตอรี่ก้อนสำคัญ สมมติว่าโทรศัพท์เครื่องหนึ่งมีแบตอยู่ก้อนเดียวก็ต้องชาร์จเรื่อยๆ ถึงวันหยุดต้องไปเที่ยวเพื่อชาร์จแบตกลับมา แต่พอมีลูก มีจูน เหมือนมีแบตเตอรี่ 5 ก้อนล้อมรอบ ทำให้เราเป็นโทรศัพท์ที่มีพลังมากกว่าคนอื่นที่ไม่มีลูกไม่มีเมียหรือไม่มีครอบครัว เพราะแบตทั้ง 5 ก้อนนี้ชาร์จตัวเราตลอดเวลา ให้เราทำโน่นทำนี่ โคตรสนุกเลย (ไม่เคยรู้สึกเหนื่อยเลยเหรอคะ – WE) โอ้ย สนุก ทุกวันนี้ที่ทำงาน ทำนู่นทำนี่ ผมรู้ว่าทำไปเพื่ออะไร ทำเพื่อทิ้งไว้ให้ลูกให้เมีย ที่เหลือซื้อเจ็ทสกีที่แรงที่สุดในโลก นอกจากนี้ก็มีความฝันตั้งแต่วัยรุ่นว่าสักวันถ้ารวยจะสร้างโรงละครเล็กๆ มีละครเวที ให้คนเข้ามานั่งดูนั่งดื่ม นั่งหัวเราะ มีความสุขกับ Performance …ทั้งหมดนี้ทำให้ชีวิตโคตรสนุกเลย
“จะว่าไปสิ่งที่ทำอยู่ทุกวันนี้ก็เหมือนโรงละครเล็กๆ นะ โชคดีสมัยนี้มีช่องทางออนไลน์อย่างอินสตาแกรม เฟซบุ๊ก ยูทูป ไลน์ทีวี ทำให้เราได้เล่าเรื่องราวต่างๆให้คนไทยฟังกันทุกวัน”
เรื่อง : ณิชารีย์
ภาพ : ดวงพร
สไตลิสท์ : ณัตสุพล
แต่งหน้า-ทำผม : ภาสวีร์ แก้วพวง
ผู้ช่วยช่างภาพ : ประจักษ์ สุนทรธัย
ขอบคุณสถานที่ : ร้าน Plantation Cafe ถ.ประดิษฐ์มนูธรรม โทร.08-4670-6772 เฟซบุ๊ก: Plantation Cafe