เคยรู้สึกจางเป็นอากาศท่ามกลางความรักที่อบอวลอยู่รอบๆ ตัวกันไหมคะ ถ้าไม่เคย เราอยากให้อ่านบทสัมภาษณ์ของคู่รักยาวนานที่กำลังจะลั่นระฆังวิวาห์ ซาร่า เล็กจ์ และ เอ็ม–สืบสกุล ทวีผล แล้วคุณจะรู้ว่าความจางท่ามกลางความหวานมันมีความสุขขนาดไหน
ย้อนอดีต แรกพบเมื่อ 15 ปีที่แล้ว
ซาร่า : มันนานมากแล้วเนอะ ตอนนั้นเพื่อนของเราเขานัดออกมาเที่ยว ก็เลยได้เจอกัน
เอ็ม : ตอนนั้นผมกับซาร่าอยู่กันคนละค่าย แต่ก็ไม่ได้เป็นรักต่างค่ายที่ต้องปกปิดขนาดนั้น เพราะเราไม่ได้คบกันหวานมาก ใครมาถามก็โอเคตอบได้เท่านั้น
ซาร่า : โทรคุยกันมาเรื่อยๆ เกือบปี ซ่าเป็นคนที่คุยกับใครแล้วจะโฟกัสอยู่แค่คนเดียว ถ้าใช่ก็คุยต่อได้ยาวๆ ถ้าไม่ใช่ก็เลิกคุยไปเท่านั้นเอง แล้วพี่เอ็มเป็นคนคุยเก่ง
เอ็ม : นี่คือข้อดี (หัวเราะ)
ตกลงเราคงต้องเป็นแฟนกัน
ซาร่า : มันไม่ได้มีโมเม้นต์อะไรพิเศษเลย เป็นแค่การไปกินข้าวด้วยกัน แล้วก็พูดคุยกันเท่านั้นเอง
เอ็ม : หลังจากคุยกันได้ปีกว่าๆ ไปไหนมาไหนด้วยกัน แต่ยังไม่มีสถานะที่ชัดเจน ก็เลยถามเขาว่านี่ตกลงเราเป็นแฟนกันแล้วหรือยัง ซาร่าก็ตกลงเป็นแฟนกัน จนถึงวันนี้ก็ 14 ปี จะครบรอบ 15 ปีในเดือนกุมภาพันธ์ ปีหน้าครับ
ซาร่า : เขาเป็นแฟนคนแรกของซ่าเลย
เอ็ม : เราเป็นแฟนคนแรกของกันและกันครับ (น่าอิจฉาเนอะ)
ความรู้สึกในช่วงแรกที่คุยกัน
เอ็ม : ซาร่าเป็นคนที่คิดดี น่ารัก ทำอะไรก็จะคิดถึงครอบครัวก่อนเป็นอย่างแรก เป็นคนคิดบวก ซึ่งการที่เราอยู่กับคนคิดบวก ทำให้เราได้รับพลังบวกไปด้วย
ซาร่า : พี่เอ็มไม่ได้เป็นคนในสเปคซ่าเลยนะ แต่เขาเป็นคนที่เราคุยด้วยแล้วสบายใจ คุยด้วยแล้วมีความสุข สามารถคุยได้ทุกเรื่อง ทั้งๆ ที่ซ่าเป็นคนโลกส่วนตัวสูง มีพื้นที่ส่วนตัวเยอะ โดยเฉพาะช่วง 5 – 6 ปีแรกที่คบกัน เราจะมีกำแพง ผลักเขาออกตลอด
จีบสาวโลกส่วนตัวสูงยากไหม
เอ็ม : ไม่ยาก เราแค่ต้องทน (ซาร่าหันไปมองอย่างตั้งใจฟังเชียวละ) เพราะมันก็คือความสุขอย่างหนึ่ง (ยิ้ม…) ในเมื่อเรารักผู้หญิงคนนี้ ก็แค่เข้าใจเขา ให้พื้นที่กับเขา แล้วก็ชวนคุยในเรื่องที่เขาชอบ
รักกันมานานขนาดนี้ เคยมีปัญหากันหนักๆ บ้างไหม
เอ็ม : ช่วงอายุ 25 – 26 ก็เป็นช่วงเปลี่ยนผ่านจากวัยรุ่นเข้าสู่วัยผู้ใหญ่ ผมก็ทำงานมาตั้งแต่เด็ก ไม่ได้ถูกปลูกฝังเรื่องการใช้เงิน ก็ใช้จ่ายอะไรไปเยอะแยะ ในขณะที่ซาร่าเขาจะโตมาอย่างเป็นระเบียบในทุกเรื่อง ก็เลยทำให้มีปัญหา จนซาร่าต้องมานั่งถามว่าใช้เงินยังไง อายุเท่านี้มีเงินเก็บเท่าไหร่ แล้วอนาคตจะเป็นอย่างไร
ซาร่า : ใช่ ซ่าเคยพูดเลยนะว่า ถ้าจะมาขอซ่าต้องมีเงินเท่านี้ๆ
เอ็ม : จากวันนั้นก็ทำให้ต้องปรับเปลี่ยนการใช้เงิน จนตอนนี้มีเงินมากกว่าที่เคยตกลงกันไว้เยอะมาก บอกได้เลยนะว่า อีกสิบปีข้างหน้าจะมีเงินเท่าไหร่
ซาร่า : ซ่าเป็นคนที่จะพูด พูดจนกว่าเขาจะเชื่อ จนกว่าเขาจะยอมรับว่ามันคือเหตุผลที่ดี
เอ็ม : ส่วนผมก็ใช้คำว่ายอมอย่างเดียวเลย เพราะสิ่งที่เขาทำให้เรามันคือเรื่องที่ส่งผลดี ทำแล้วไม่เสียหายแน่นอน
ซาร่า : ใช่ ยอมผู้หญิงเป็นเรื่องดี เพราะเราก็คิดมาแล้วว่านี่คือสิ่งที่ดี (หันไปยิ้มให้ คนยอม ><)
เอาชนะรักทางไกล
ซาร่า : เปลืองค่าตั๋วเครื่องบินมากกกกก
เอ็ม : (หัวเราะ ก่อนจะยิ้มกว้าง) แทบจะเรียกว่ารักทางไกลไม่ได้เลย เพราะกรุงเทพฯ กับสิงคโปร์ก็ไม่ได้ไกลกันมาก แล้วตั้งแต่ก่อนที่ผมจะย้ายไปทำงานที่นั่น ก็บอกกับทางบริษัทเลยว่าจะกลับกรุงเทพฯ ทุก 2 อาทิตย์นะ ส่วนซาร่าก็สลับมาหาทุก 2 อาทิตย์เหมือนกัน เท่ากับว่าเราได้เจอกันทุกวันหยุด
ซาร่า : ก็ห่างกันนิดนึงนะ เพราะว่าปกติวันธรรมดา ซ่ากับพี่เอ็มก็จะกินข้าวเย็นด้วยกัน หรือไปไหนมาไหนด้วยกัน แต่พอไปทำงานที่นู่นก็ได้เจอกันแค่เสาร์อาทิตย์ แต่ที่สิงคโปร์ก็เป็นช่วงเวลาที่เจ๋งมากๆ มีแค่เราสองคน ไปเดินเที่ยวที่ไหนก็ได้ ได้ใช้เวลาส่วนตัวอยู่ด้วยกัน
เอ็ม : เป็นอีกหนึ่งช่วงความทรงจำพิเศษ ได้รู้ด้วยว่าต่อไปเขาจะดูแลเรายังไง อย่างตอนที่จะต้องไปอยู่ เขาก็เป็นคนหาที่พักให้ ดูว่าต้องอยู่แถวไหนถึงจะดี เวลาเขาไปหาก็จะทำอาหารไว้ให้ อย่างสปาเกตตี้สำหรับ 2 อาทิตย์บ้าง ผัดกะเพรา 2 อาทิตย์บ้าง
ซาร่า : แล้วมันก็โชคดีตรงที่ซ่าไม่ได้เป็นผู้หญิงเรียกร้องว่าเราต้องอยู่ด้วยกันตลอดเวลานะ ก็เลยทำให้เราไม่มีปัญหาเวลาที่ต้องอยู่ไกลกัน
เรื่องของความโรแมนติค
ซาร่า : เขาเป็นคนโรแมนติคกว่าซ่ามากๆ เป็นเจ้าพ่อเซอร์ไพรส์ เจ้าพ่อคอนเซ็ปต์ ทำอยู่ตลอดตั้งแต่เริ่มคบกัน อย่างเมื่อก่อนพี่เอ็มจะเอาไอพอดมาให้พร้อมกับลิสต์เพลง แล้วก็เปลี่ยนลิสต์เพลงทุกเดือน เปลี่ยนไปตามธีมต่างๆ ส่วนซ่าไม่ได้เป็นผู้หญิงขนาดนั้น เคยได้ของเต็มบ้านจนต้องบอกว่าไม่เอาแล้วนะ มันรกบ้านต้องมานั่งเก็บ สุดท้ายต้องตั้งกฎว่าให้ได้ปีละ 2 ครั้งเท่านั้น คือ ของขวัญวันเกิด กับของขวัญวันคริสต์มาส แล้วของขวัญวันคริสต์มาสไม่ต้องซื้อมาให้ เดี๋ยวไปเลือกเอง
เอ็ม : เขาจะโอเคกว่ามากถ้าให้เป็นวอยเชอร์ (หัวเราะลั่น)
ซาร่า : ใช่ ขอไปเลือกเองดีกว่า มีอยู่ปีนึงพี่เอ็มเหมือนเก็บกดมาก เพราะบอกว่าไม่เอาของขวัญแล้วนะ แต่เวลาเราไปเดินห้างด้วยกัน ซ่าก็จะมีอารมณ์ผู้หญิงแบบ “อันนี้สวยจัง อันนี้อยากได้” แต่ไม่ซื้อ ปรากฎว่าวันคริสต์มาสเขาหอบถุงแดงแบบซานตาครอสมาให้ถุงใหญ่มาก แล้วข้างในมีของที่ซ่าเคยพูดว่าอยากได้มาตลอด ตอนเปิดดูบางชิ้นยังสงสัยว่าเลยเราเคยอยากได้อันนี้ด้วยหรอ
(คุณเอ็มยิ้มและหัวเราะ พร้อมมองว่าที่เจ้าสาวด้วยสายตาที่ทำเอาคนนอกอย่างเราต้องอิจฉา หวานอะไรกันเบอร์นี้)
ทำไมขยันทำเซอร์ไพรส์จัง (คำเตือน : คนโสดควรทำใจก่อนอ่าน)
เอ็ม : ผมทำเพราะว่าอยากให้ผู้หญิงคนนี้มีความสุข เราทำแบบนี้แล้วเขายิ้ม เขาหัวเราะ เรารับรู้ได้ว่าเขามีความสุข แล้วเราก็มีความสุข เท่านี้ก็เพียงพอแล้ว ผมว่าการที่เราให้ของแก่กัน วันข้างหน้าตอนเอาของออกมาดู เราก็จะดูด้วยความสุข เพราะของแต่ละชิ้นก็จะมีความทรงจำที่ดีอยู่
15 ปี กับที่สุดของความประทับใจ
ซาร่า : เขาเป็นคนที่อยู่กับซ่าทุกช่วงเวลา ไม่ว่าจะแย่ จะดาวน์แค่ไหน พี่เอ็มก็อยู่ข้างๆ เคยมีช่วงที่ซ่าดาวน์ที่สุดด้วยปัญหาหลายๆ อย่าง พี่เอ็มก็ขับรถจากกรุงเทพฯ เอาโทรศัทพ์บีบีไปวางที่หน้าบ้านที่พัทยาแล้วก็กลับเลย เขาบอกว่าเอาไว้ส่งข้อความเป็นกำลังใจให้นะ คือเขารู้ว่าเป็นช่วงที่ซ่าอยากอยู่คนเดียวมาก เขาก็จะคอยส่งข้อความมาให้เราเสมอๆ
เอ็ม : ที่ประทับใจที่สุดของผมก็เป็นตอนวันครบรอบ 10 ปี ผมอยู่ที่สิงคโปร์ ซาร่าทำเซอร์ไพรส์โดยการมาแบบไม่บอกล่วงหน้า พอผมเปิดประตูเข้าไปก็เจอเขาพร้อมกับบรรยากาศที่เขาตั้งใจเตรียมไว้ให้ แล้วก็มีโฟโต้บุ๊กที่ซาร่าทำให้ เปิดดูไป ก็ร้องไห้ซึ้งใจที่เขาทำให้
ซาร่า : แต่เป็นโฟโต้บุ๊กที่ยังทำไม่เสร็จนะ มีแค่ 4-5 หน้า ทุกวันนี้ก็ยังค้างอยู่แค่นั้น ทั้งที่ตั้งใจว่าจะทำให้ทั้งเล่ม
(แล้วเขาทั้งคู่ก็มองหน้ากัน ยิ้มจากปากถึงดวงตา พุ่งแทงใจคนโสด ต้องรักกันมากแค่ไหนถึงจะมอบรอยยิ้มอบอุ่นให้แก่กันได้ขนาดนี้ ฮือออ)
เอ็ม : หลายปีก่อนตอนช่วงที่อินกับจักรเย็บผ้า เขาก็ปักหมอนให้
ซาร่า : ใช่…ออกแบบหมอนให้เลย
เอ็ม : ทุกวันนี้หมอนใบนั้นก็ยังอยู่บนที่นอนครับ (คนโสดตายไปเลยจร้า)
หากวันหนึ่งต้องเลิกกัน
ซาร่า : คิดไม่ออกว่าถ้าไม่มีพี่เอ็มในชีวิตจะเป็นยังไง เพราะเราก็อยู่ด้วยกันมาตั้งแต่เด็ก ก็เกือบครึ่งชีวิต ในทุกก้าวซ่ามีเขามาตลอด
เอ็ม : ก็เหมือนกัน เพราะแผนในอนาคตของผมทุกแผน มีเขาอยู่เป็นส่วนหนึ่งด้วยทั้งหมด ถ้าไม่มีเขาก็ไม่ใช่