10 ประเพณีแต่งงาน ที่รู้แล้วคุณจะอยากทำตามหรือไม่!? มาเช็กกันเลย
ช่อดอกไม้ สายรัดถุงน่อง หรือของ Something Blue ที่อยู่บนชุดแต่งงาน … คุณเคยรู้หรือไม่ว่าสิ่งของเหล่านี้แท้จริงมีที่มา หรือมีความหมายที่ซ่อนไว้ยังไงบ้าง? เอาเป็นว่า วันนี้ แพรว wedding ได้ไปรวบรวม 10 ข้อเท็จจริง เกี่ยวกับสิ่งที่ซ่อนอยู่ใน ประเพณีแต่งงาน มาฝากแล้ว
1. ทำไมถึงต้องสวมแหวนไว้ที่นิ้วนางข้างซ้าย : แหวนหมั้น และแหวนแต่งงาน จะต้องสวมไว้ที่นิ้วลำดับที่ 4 ของมือซ้าย (นับจากนิ้วหัวแม่มือ) เพราะที่นิ้วนางข้างซ้ายมีเส้นเลือดที่เชื่อมต่อโดยตรงไปยังหัวใจของผู้สวมใส่นั่นเอง
2. ทำไมเจ้าสาวถึงต้องใส่ชุดแต่งงานสีขาวกันนะ : เริ่มมาตั้งแต่สมัย สมเด็กพระราชินินาถวิกตอเรียแห่งสหราชอาณาจักร พระองค์คือผู้ริเริ่มเทรนด์การใส่ชุดแต่งงานสีขาวในโลกตะวันตก เมื่อครั้งงานแต่งงานของพระองค์ในปี 1840 ซึ่งก่อนหน้านั้นเหล่าเจ้าสาวเพียงแค่สวมชุดเดรสที่ดีที่สุดของพวกเธอเพื่อเข้าพิธีแต่งงานเท่านั้น จากเหตุการณ์นั้นจึงได้กลายมาเป็น ประเพณีงานแต่ง ที่เจ้าสาวจะต้องสวมชุดแต่งงานสีขาวมาถึงปัจจุบัน
3. หากเพื่อนเจ้าสาวดันแต่งตัวเหมือนกับเจ้าสาว นั่นหมายความว่าพวกเขากำลังโชคดี!! : ประเพณีการจับคู่หรือแมตช์ชิ่งเพื่อนเจ้าสาวนั้นต้องย้อนกลับไปถึงสมัยโรมันเลยทีเดียว เพราะยุคนั้นเป็นยุคที่ผู้คนเชื่อว่าปีศาจและวิญญาร้ายมักจะมาเยือนในวันแต่งงานเพื่อที่จะพยายามสาปแช่งเจ้าบ่าวเจ้าสาวให้ไม่สมหวังและไม่มีความสุข เพราะฉะนั้นจึงมีการแก้เคล็ดด้วยวิธีที่ว่า ให้เพื่อนเจ้าสาวแต่งตัวให้คล้ายคลึงกับเจ้าสาวมากที่สุดเพื่อสร้างความสับสนให้กับวิญญาณร้าย!! อ่ะ เอากับเขาซิ๊
4. ที่มาของการสวมเวลไม่ใช่เรื่องความสวยงาม : ย้อนกลับไปในยุคกรีกและโรมัน คนในยุคนั้นมีความเชื่อกันว่า เจ้าสาวจะต้องสวมเวลในวันแต่งงาน เพื่อช่วยป้องกันพวกเธอจากเหล่าปีศาจร้ายที่คอยสาปแช่งนั่นเอง
5. ประเพณี “something old, something new, something borrowed, something blue” มาจากบทประพันธ์อันเก่าแก่ของอังกฤษ : something old คือตัวแทนของความต่อเนื่อง, something new คือการมอบสิ่งดีๆ สำหรับอนาคต, something borrowed คือสัญลักษณ์ที่ยืมมาจากผู้อื่นเพื่อสื่อถึงความสุข และ something blue คือความบริสุทธิ์ ความรัก และความซื่อสัตย์
6. เค้กแต่งงานมีที่มาจากยุคโรมโบราณ : เค้กแต่งงานถือเป็นสัญลักษณ์ของงานแต่งและหมายถึงความอุดมสมบูรณ์ด้วย ในยุคโรมันแขกจะนำเค้กก้อนเล็กๆ ที่อบจากข้าวสาลีมากองรวมกันให้เป็นชั้นสูงขึ้นไปและให้คู่บ่าวสาวปีนขึ้นไปบนเค้กและจูบกันเหนือยอดเค้ก หากบ่าวสาวคู่ใดปีนขึ้นไปจูบได้สำเร็จเชื่อว่าบ่าวสาวคู่นั้นจะครองรักกันยาวนานและยั่งยืน
7. เคยสงสัยหรือไม่ว่า สำนวนฝรั่งที่ว่า “tying the knot” นั้นมาจากไหน? : ในบรรดาวัฒนธรรมต่างๆ ในโลกนี้ รวมไปถึงวัฒนธรรมการแต่งงานของชาวเซลติก, ฮินดู และชาวอียิปต์ เชื่อกันว่า มือของเจ้าบ่าวเจ้าสาวนั้นมีความผูกพันกันเหมือนเงื่อน ที่จะต้องจูงมือกันเดินไปสำหรับการเริ่มต้นชีวิตใหม่ของทั้งคู่
8. ประเพณีแต่งงานสมัยก่อน มีความเชื่ออิงกับวิญญาณร้ายที่คอยจ้องจะเล่นงาน! : นั่นจึงทำให้เกิดประเพณีที่เจ้าบ่าวจะต้องอุ้มเจ้าสาวผ่านธรณีประตูเพื่อปกป้องเธอจากวิญญาณร้ายที่อยู่ด้านล่าง
9. การแต่งงานในเดือนมิถุนายนไม่ใช่เรื่องใหม่ : เทพธิดาจูโน ของโรมัน ได้การแต่งงานและคลอดบุตรในเดือนดังกล่าว จึงทำให้ผู้คนนิยมที่จะแต่งงานในเดือนนี้เช่นกัน
10. การฮันนีมูนไม่จำเป็นต้องหรูหราเสมอไป : คู่แต่งงานชาวนอร์สโบราณจะต้องไปหลบซ่อนตัวหลักจากงานแต่งงานของพวกเขา และเหล่าสมาชิกในครอบครัวจะค่อยผลัดเปลี่ยนนำไวน์น้ำผึ้งไปให้คู่รักเป็นเวลา 30 วัน หรือคืนที่พระจันทร์เต็มดวง ซึ่งจากประเพณีนี้จึงได้ก่อกำเนิดเป็นคำว่า “ฮันนีมูน” ขึ้นมานั่นเอง
เรียบเรียงข้อมูลจาก brides.com
ภาพ pexels, pinterest
ติดตามบทความเกี่ยวงานแต่งงาน และความเชื่อต่างๆ ในงานแต่งงานได้ที่นี่ >> คลิกเลย! <<