อาการเสื่อมสมรรถภาพทางเพศของคุณผู้ชายหรือที่รู้จักกันในทางการแพทย์ว่า โรค หย่อนสมรรถภาพทางเพศ หรือ Erectile Dysfunction (ED) หมายถึง การที่เขาไม่สามารถที่จะทำให้อวัยวะเพศแข็งตัวหรือคงสภาพการแข็งตัวเป็นเวลานานพอที่จะมีเพศสัมพันธ์ตามปกติได้ ซึ่งโรคนี้สามารถเกิดขึ้นได้กับผู้ชายทุกคน แต่ประเด็นคือ เมื่อเกิดขึ้นแล้วคนที่อยู่ข้างๆ อย่างภรรยาสาว จะช่วยดูแลและเยียวยาได้อย่างไรบ้าง เรานำประสบการณ์ตรงจากภรรยาสาวท่านหนึ่งที่อยู่ในสถานการณ์นี้มาฝากกันค่ะ
จริงอยู่ที่วิธีการรักษาโรค ED ได้ถูกพัฒนาให้ก้าวหน้าและมีประสิทธิภาพมากขึ้นแล้วในปัจจุบัน ไม่ว่าจะเป็นการรักษาโดยการทานยา การผ่าตัด (Penile implants) หรือใช้เครื่องสูญญากาศ (Penile Pump) แต่ขณะเดียวกันคุณหมอก็จะแนะนำให้ปรับเปลี่ยนรูปแบบการดำเนินชีวิตควบคู่กันไปด้วย เช่น ออกกำลังกายให้มากขึ้น เลิกสูบบุหรี่ และลดความวิตกกังวลลง ซึ่งประเด็นหลังนี่แหละที่ภรรยาสาวท่านนี้ใช้เป็นหัวใจหลักในการดูแลสามีของเธอ
เธอบอกกับ เราว่า สามีของเธอมีอาการนี้มาราว 3 ปีแล้ว ในตอนแรกที่เขาไม่ทำการบ้านเธอคิดไปเองว่าอาจเพราะเธอเพิ่งคลอดลูก แต่ปรากฏว่าเวลาผ่านไปจนลูกจะสองขวบแล้ว เขาก็ยังเหมือนเดิม พอสะกิดก็บอกปัด พอกระแซะก็บ่ายเบี่ยงจนเธอคิดไปไกลว่าเขามีอีหนู แต่ในความเป็นจริงแล้วเธอไม่เคยรู้เลยว่าเขาประสบกับปัญหานี้อยู่ จนกระทั่งเริ่มปฏิบัติการจับผิดจนพบว่า ทั้งหมดนี้คือเธอคิดไปเอง เหตุที่เขาไม่ทำการบ้านเพราะเขากำลังเผชิญกับโรคนี้อยู่ จึงไม่อยากให้เธอผิดหวังถ้าพาไปไม่ถึงสวรรค์ บวกกับความอายที่ตัวเองต้องอยู่ในภาวะแบบนี้ เพราะสำหรับผู้ชายแล้ว เรื่องนี้ถือว่าเป็นเรื่องใหญ่มาก
สิ่งแรกที่เธอทำหลังจากเขายอมเผยความทุกข์ให้ฟังคือ “ทำความเข้าใจเขา” แม้ว่าในช่วงแรกจะค่อนข้างลำบากที่จะเข้าใจ โดยเฉพาะในประเด็นความอาย เพราะเธอคิดเสมอว่า เป็นผัวเมียกันไม่ควรมีอะไรต้องอายหรือปิดบังกัน แต่ในที่สุดเธอก็พยายามมองข้าม และใช้ใจทำความเข้าใจเขากับทุกเรื่องและทุกความรู้สึกที่เกิดขึ้นกับเขา
“ให้กำลังใจเขา” เมื่อเธอเริ่มทำความเข้าใจว่าอาการดังกล่าวอาจเกิดจากความเครียดจากการทำงานหนักหรืออาจเป็นด้วยวัยที่ฮอร์โมนเริ่มไม่คงที่ เธอจึงค่อยๆ หาต้นเหตุของปัญหาและพยายามช่วยดูแลในส่วนที่เธอทำได้นั่นคือ ทำให้เขาผ่อนคลายจากความรู้สึกอัดอั้นนี้และให้กำลังใจว่าอาการที่เป็นไม่ใช่สิ่งที่แก้ไขหรือรักษาให้หายไม่ได้ ซึ่งนี่คือสิ่งที่เขาต้องการจากคนที่เป็นภรรยามากที่สุด
“ชักจูงเขาไปพบแพทย์” ผู้ชายส่วนใหญ่จะอายทั้งนั้นเมื่อตัวเองต้องประสบปัญหาที่ว่านี้ จึงไม่ค่อยยอมเดินหน้าหาคุณหมอเพื่อเยียวยาให้ตรงจุด แต่เมื่อผ่านการทำความเข้าใจจากภรรยาแล้ว กำลังใจที่จะไปพบแพทย์ก็เริ่มมีมาตามลำดับ แต่เธอบอกว่าภรรยาสาวไม่ควรบังคับเขาให้ไปหาหมอเด็ดขาด วิธีทีเธอทำคือ ค่อยๆ พูดจาโน้มน้าวใจเขาให้เชื่อมั่นในความชำนาญเฉพาะทางของแพทย์ที่จะช่วยดูแลเขาให้ตรงจุดดีกว่าหายามาทานเอง แม้ว่าในช่วงแรกเขายังลังเล แต่เธอก็ใช้ความอดทนและหาตัวอย่างของคนที่ต้องเจอกับปัญหานี้และเลือกที่จะไปพบแพทย์และหายขาดมาช่วยเพิ่มน้ำหนักในการชักจูงเขา
“ช่วยผ่อนคลายเขาอย่างเสมอต้นเสมอปลาย” เธอบอกว่า สิ่งที่เธอพอจะช่วยได้อีกเรื่องคือ ทำอย่างไรก็ได้ให้เขาผ่อนคลาย ซึ่งไม่ใช่การผ่อนคลายแค่ช่วงแรกๆ ที่รู้อาการหรือเริ่มรักษา แต่จะต้องทำเรื่อยๆ อย่างสม่ำเสมอ เธอจึงพยายามบอกตัวเองว่าอย่าเอาเรื่องเครียดไปให้เขาเพิ่มเติม เพราะอาการนี้เรื่องอารมณ์ความเครียดจากสิ่งรอบตัวมีผลมากถึงมากที่สุด ต่อให้คุณหมอดูแลอย่างดี แต่ถ้าจิตใจห่อเหี่ยวสะกิดเท่าไหร่อารมณ์ก็คงไม่เกิด
สาวๆ คนไหนที่กำลังเผชิญกับปัญหานี้อยู่ จะลองทำตามคำแนะนำและประสบการณ์ตรงของภรรยาท่านนี้ดูก็ได้นะคะ เพราะหลังจากที่เธอทำทั้ง 4 สิ่งที่ว่าไปนี้แล้ว เธอบอกว่านอกจากความสัมพันธ์ของเธอและเขาจะกลับมาดีขึ้นแล้ว อาการที่เขาเป็นก็ดีขึ้นลำดับเมื่อจับคู่กับการรักษาที่ถูกต้องจากคุณหมอ
ขอให้โชคดีกันทุกคู่ค่ะ
ภาพ : http://divorcedover50.com